Group Blog
 
All blogs
 

9 ส่วนประกอบในอาหาร ที่นักโภชนาการร้องยี้

อาหารเพื่อสุขภาพ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

อาหารที่เราเข้าใจว่าอุดมไปด้วยสารอาหารและประโยชน์อย่างครบถ้วน บางทีอาจจะไม่ได้ดีต่อสุขภาพอย่างที่เราคิด อย่างเช่นข้อมูลที่เราจะมาบอกกล่าวให้ได้รู้กันในวันนี้ ซึ่งอาจทำให้ทุกคนตกใจกับความรู้ใหม่ที่จะได้รับกันเลยก็เป็นได้ Smiley

1. โพแทสเซียม เบนโซเอท (Potassium Benzoate)

          หลายคนเลือกที่จะดื่มเครื่องดื่มประเภทไดเอตโซดา เพื่อหวังจะช่วยลดแคลอรี่ให้ร่างกายได้ไม่มากก็น้อย แต่แทนที่จะได้รับผลดีต่อสุขภาพอย่างที่ตั้งใจ อาจจะได้รับโพแทสเซียม เบนโซเอท ซึ่งมักจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทซอฟต์ดริงก์ เช่น น้ำผลไม้แทน เหตุผลที่เราควรเลี่ยงส่วนประกอบนี้ก็เพราะ หากโพแทสเซียม เบนโซเอท ได้เจอเข้ากับวิตามินซีเมื่อไร จะทำปฏิกริยาเคมีและกลายร่างเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่งได้ทันที

2. ข้าวโพด

          ข้าวโพดที่ผ่านการดัดแปลงเป็นแป้งข้าวโพด น้ำมันข้าวโพด น้ำตาลเด็กซ์โตรส (dextrose) และมอลโตเด็กซ์ตริน (maltodextrin) จะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 เหมือนจะดูดีใช่ไหมคะ แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลอักเสบ, มะเร็ง และโรคหัวใจได้ หากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไป 

          นักโภชนาการจึงแนะนำว่า เราควรให้ร่างกายได้รับโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ในสัดส่วน 1 ต่อ 1 เพื่อปรับระดับกรดไขมันดีที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันให้เหมาะสม เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกว่าร่างกายได้รับโอเมก้า 6 มากเกินไปจากการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบจำพวกมาการีน น้ำมันพืช และถั่วเหลือง ก็อย่าลืมเติมโอเมก้า 3 ให้ร่างกายด้วยการรับประทานปลาทู ปลากระพง ปลาแซลมอน ไข่ โยเกิร์ต เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายด้วย

ถั่วเหลือง


3. ถั่วเหลือง

          ถั่วเหลืองจัดได้ว่าเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ มีประโยชน์และราคาก็แสนถูก แต่ถั่วเหลืองก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะถั่วเหลืองที่ผ่านกระบวนการสกัดมาเป็นน้ำมันถั่วเหลือง โปรตีนถั่วเหลือง และถั่วเหลืองสกัดในรูปอื่น ๆ ก็มีส่วนทำให้การเจริญพันธุ์ลดลง สมรรถภาพทางเพศลดลง เร่งการเจริญเติบโตก่อนวัยอันควรในวัยเด็ก อีกทั้งยังมีผลกระทบกับฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงอีกด้วย นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังเป็นสาเหตุให้ระดับโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในร่างกายของเราปรวนแปร นักโภชนาการจึงแนะนำให้เลือกรับโปรตีนจากถั่วชนิดอื่น ๆ แทนจะปลอดภัยกว่าค่ะ

4. BHA

          BHA มีคุณสมบัติช่วยไม่ให้อาหารเหม็นหืน ส่วนมากจึงถูกนำไปใช้ในอาหารที่มีไขมันหรือใช้น้ำมันเป็นส่วนผสม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทขนมอบ อาหารทอดต่าง ๆ มาการีน เนยแข็ง ซึ่งหากร่างกายเราได้รับสารนี้มากเกินไป ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมากขึ้น นั่นเพราะ BHA เป็นสารก่อมะเร็งอีกตัวหนึ่งเช่นกันค่ะ

5. น้ำมันปาล์ม (Fractionated Palm Kernel Oil)

          น้ำมันปาล์มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเราคือ น้ำมันปาล์มที่กลั่นมาจากเนื้อปาล์ม ที่ถูกนำไปใช้เคลือบบนหน้าช็อกโกแลตและลูกอมไม่ให้ละลาย อันตรายของมันก็คือ มีคอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นชนิดที่อันตรายต่อสุขภาพ หากรับเข้าร่างกายมาก ๆ ก็เสี่ยงจะเป็นโรคไขมันในเลือดสูงและโรคอ้วนได้

ผงชูรส

6. ผงชูรส Monosodium Glutamate (Msg)

          แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าหากรับประทานเจ้าผงชูรสมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการผมร่วง รู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติ และยังเสี่ยงเป็นโรคไมเกรนได้ แต่การใช้ชีวิตในสังคมสมัยนี้ก็ทำให้เราไม่มีเวลามากพอที่จะทำอาหารด้วยตัวเอง เราจึงต้องยอมรับสภาพไปวัน ๆ เหมือนเป็นชะตากรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นความซื่อสัตย์ของผู้ประกอบการและร้านอาหารที่กล้ายอมรับว่าใช้ผงชูรสเป็นส่วนประกอบหนึ่งในอาหารจึงมีความสำคัญ เพื่อให้คนที่รักสุขภาพจริง ๆ ได้รู้และเลี่ยงได้ และเพื่อความปลอดภัยสำหรับใครที่แพ้เจ้าผงชูรสนี้ด้วยเช่นกัน

7. กลิ่นสังเคราะห์

          สารสังเคราะห์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นสังเคราะห์ รสชาติสังเคราะห์ หรืออะไรที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติย่อมไม่ให้คุณค่าทางสารอาหารใด ๆ แก่ร่างกายเราเลย เพราะฉะนั้นหากเลี่ยงได้ก็จะดีกว่าค่ะ อย่างเช่น ลดการดื่มน้ำอัดลมและน้ำผลไม้กระป๋อง แล้วหันมารับประทานน้ำผลไม้ที่คั้นสด ๆ หรือน้ำสมุนไพรแทน ซึ่งจะได้รสชาติที่ดีกว่าและยังได้รับคุณค่าทางสารอาหารมากกว่ากันเยอะเลย

แฮม

8. โซเดียมไนเตรทและไนไตรท์ (Sodium Nitrate And Nitrite)

แม้โซเดียมไนเตรทและไนไตรท์จะช่วยถนอมอาหารไม่ให้เสีย และช่วยคงสภาพสีของอาหารให้ดูสดอยู่เสมอ ซึ่งส่วนมากจะถูกนำไปใช้ในอาหารประเภท ไส้กรอก เบคอน กุนเชียง ปลาเค็ม แหนม เป็นต้น แต่ส่วนประกอบชนิดนี้มีส่วนช่วยให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต โดยจากผลวิจัยบอกว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีโซเดียมไนเตรทและไนไตรท์มากกว่าสัปดาห์ละครั้ง จะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคิเมียมากกว่าคนที่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารประเภทนี้เลย

9. แป้งสาลีเติมสารอาหาร (Enriched Wheat)

          ถ้าบนถุงขนมปังที่คุณถืออยู่เขียนว่าโฮลเกรน 100% อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อค่ะ ให้คุณขยับสายตาอีกนิดแล้วอ่านส่วนประกอบของขนมปังก่อน หากพบว่าส่วนประกอบหลักเป็นแป้งสาลีเติมสารอาหาร (Enriched Wheat) แล้วล่ะก็ ให้คุณวางถุงขนมปังนั้นไว้บนชั้นดังเดิม และเลือกหาขนมปังที่มีส่วนประกอบหลักเป็นแป้งโฮลวีทแทน เพราะแป้งสาลีเติมสารอาหารทำมาจากธัญพืชที่ผ่านการขัดสีและผ่านกระบวนการ ซึ่งเป็นการนำเอาสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไปเรียบร้อยแล้ว

Smiley
เห็นข้อมูลแบบนี้แล้ว ต้องยอมรับว่า อาหารบางอย่างก็เลี่ยงยากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ น่าจะเป็นวิธีที่จะช่วยให้ร่างกายของเราแข็งแรงพอที่จะสู้กับโรคภัยทั้งหลายได้อย่างดีค่ะ Smiley

ปล.เพื่อนๆ คงตกใจและ ได้ประโยชน์จากเนื้อหา นี้เยอะเลยนะค่ะ เหมือนเจ้าของบล็อกค่ะ 




 

Create Date : 30 มีนาคม 2556    
Last Update : 30 มีนาคม 2556 16:04:05 น.
Counter : 1094 Pageviews.  

8 วิธีสะกดจิตตัวเอง ให้เลิกกินอาหารขยะ


จังก์ฟู้ด

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอาหารขยะอย่าง แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส์ พิซซ่า ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เรายังอยากรับประทานอาหารประเภทนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา หน้าตาและกลิ่นที่ชวนให้รับประทาน รวมทั้งความสะดวกรวดเร็วชนิดที่แค่โทรสั่งก็มาส่ง

แต่วันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ จาก Reader's Digest ที่จะมาแนะนำวิธีคิดที่จะช่วยให้คุณลดความอยากและเลิกกินอาหารพวกนี้อย่างเด็ดขาดมาฝากค่ะ

1. คิดถึงส่วนประกอบ

          ก่อนตัดสินใจซื้ออาหารรับประทาน ให้คุณคิดถึงส่วนประกอบในอาหารนั้น ๆ ก่อน หากคิดสะระตะแล้วเห็นว่า ไม่มีส่วนประกอบไหนเป็นประโยชน์กับร่างกายเราเลย ก็ตัดสินใจหันหลังให้มัน แล้วเลือกอาหารจานใหม่ดีกว่าค่ะ

2. พยายามกินอาหารให้ครบสามสี

          จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยคอร์เนล ในปี 2012 พบว่า มนุษย์เราจะชอบทานอาหารไม่น้อยกว่า  3 ชนิด และ 3 สี ในจานเดียวกัน เพราะฉะนั้น แทนที่คุณจะหยิบลูกอม หรือถั่วชนิดต่าง ๆ มากินเป็นของว่าง ให้คุณเปลี่ยนใจมาเลือกกินผลไม้ หรือดาร์กช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ๆ แทน เพื่อให้ร่างกายได้รับคุณค่าทางสารอาหารที่มากกว่า


อาหารขยะ

3. เลิกขี้เกียจ

ถ้าเมื่อก่อนคุณเกิดความรู้สึกขี้เกียจออกไปข้างนอก บวกกับนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี เลยตัดสินใจโทรสั่งอาหารฟาสต์ฟู้ดมากิน นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้คุณสลัดความขี้เกียจออกจากตัวให้หมดสิ้น แล้วเดินออกไปหาอะไรกินข้างนอก อาหารที่ตั้งขายอยู่มากมาย จะช่วยให้กระตุ้นความอยากอาหาร แถมยังช่วยให้คุณประหยัดเงินไปได้อีกเยอะเลยล่ะ

4. เปลี่ยนเมนูขนมหวาน

          ถ้าปกติเคยกินของหวานหลังอาหารเป็นประจำ ลองเปลี่ยนเมนูขนมหวานเป็นผลไม้แทนดีไหมคะ เช่น นำองุ่นแดงไปแช่ช่องแช่แข็ง ทิ้งไว้สักพัก องุ่นแดงจะกลายเป็นไอติมองุ่นที่อร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์อย่างนี้ พลาดไม่ได้แล้วจ้า


อาหารเพื่อสุขภาพ

5. มีอาหารเพื่อสุขภาพติดบ้านเสมอ

ขนมถุง ๆ ที่เต็มไปด้วยผงชูรสหาซื้อง่าย ราคาถูก และยังเปิดกินสะดวก แค่ฉีกซองก็กินได้เลย เพราะฉะนั้น ปิดโอกาสตัวเองด้วยการอย่าซื้ออาหารพวกนี้มาเก็บไว้ในบ้าน แต่ให้ซื้อผลไม้ เมล็ดทานตะวัน คุกกี้ธัญพืช หรือขนมเพื่อสุขภาพติดไว้ สร้างพฤติกรรมการทานอาหารที่ดีให้กับตัวเองไว้ก่อนดีกว่าค่ะ

6. ตัดใจซะเถอะ

          ทุกคนต้องมีขนมโปรดที่เห็นทีไรก็ห้ามใจไม่อยู่ทุกที เพราะฉะนั้นหากคุณรู้ตัวเองดีว่าชอบกินของหวาน หรือมันฝรั่งทอดกรอบ ก็พยายามอยู่ให้ห่างจากของพวกนี้ไว้ดีกว่าค่ะ พอไม่ได้กินสักพัก ร่างกายเราก็จะปรับตัวได้เอง และความอยากก็จะหายไปในที่สุด


อาหารขยะ

7. ตระหนักถึงอันตรายที่จะได้รับ

วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เราตัดใจจากอาหารสำเร็จรูปได้สำเร็จ คือการตระหนักถึงอันตรายที่เราจะได้รับ ทุกครั้งที่เรากินไก่ทอด หรือไส้กรอก ให้คิดเสมอว่าคุณกำลังนำเอาสาร BHA  ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเข้าร่างกาย วิธีนี้คงช่วยยับยั้งความอยากของเราได้ไม่มากก็น้อยล่ะค่ะ

8. เคี้ยวให้ช้าลง

อดัม เมโลนาส เชฟชื่อดังและเป็นผู้ก่อตั้งสมาคม UNREAL Candy แนะนำว่า ให้เคี้ยวอาหารช้า ๆ แล้วคุณจะกินได้น้อยลง เทคนิคนี้นำไปใช้ได้ในกรณีที่คุณอดรนทนไม่ไหว จัดอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารสำเร็จรูปไป (ขอให้เป็นนาน ๆ ทีนะจ๊ะ) เพราะมันจะช่วยลดปริมาณที่คุณจะกินลงได้ครึ่งหนึ่งเลยล่ะ

เรารู้ว่าการห้ามใจมันยาก แต่ถ้าคุณเป็นห่วงสุขภาพตัวเองสักนิด เทคนิคทั้ง 8 ข้อนี้ก็ไม่ยากเกินจะทำหรอก จริงไหมคะ




 

Create Date : 25 มีนาคม 2556    
Last Update : 28 มีนาคม 2556 17:11:08 น.
Counter : 1479 Pageviews.  

3 ข้อน่ารู้ เลี่ยงสารพิษในอาหาร ภัยร้ายใกล้ตัว

ทำอาหาร


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

แน่ใจแล้วหรือว่า "อาหาร" ที่เราทานกันเข้าไปทุกวัน ๆ ปลอดภัยจากสารพิษอย่างแท้จริง เชื่อว่าทุกคนก็คงรู้แอยู่แล้วว่า อาหารพวกนี้ล้วนมีการเติมแต่งสารเคมีลงไปเกือบทั้งนั้น แต่ก็จำใจต้องทาน แม้จะรู้ดีว่า สารเคมีเหล่านี้ก็เป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ มากมายที่จะคุกคามสุขภาพของเราในระยะยาว

          ...แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษในอาหารให้ได้มากที่สุด ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. มีคำแนะนำดี ๆ มาบอกกัน


ล้างผัก

3 ข้อน่ารู้ เลี่ยงสารพิษในอาหาร ภัยร้ายใกล้ตัว (สสส.) โดย ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ

"อาหารการกิน" คำโบร่ำโบราณที่กล่าวขานกันมานานในสังคมไทย อาจเป็นข้อบ่งชี้หนึ่งให้เห็นว่า เรื่องของ "อาหาร" และ "การกิน" นั้น แยกออกจากกันไม่ได้

          ยิ่งได้กินอาหารอร่อยด้วยแล้ว แหม... อารมณ์นี้ มันช่าง "สุข" จังหนอ 

          หากแต่ ข้อมูลจากหนังสือ "เปลี่ยนได้ รวมข้อเสนอเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองผู้บริโภค" อาจทำให้ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นหายไป ด้วยข้อเท็จจริงที่ระบุว่า…

ปี พ.ศ. 2554 ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ไทยใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นอันดับที่ 5 ของโลก คือ 0.86 กิโลกรัม/เฮกเตอร์ โดยอันดับที่ 1-4 ได้แก่ ฝรั่งเศส เวียดนาม สเปน และบราซิล

          ส่วนรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ไทยมีพื้นที่เกษตรกรรมเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่นำเข้าสารเคมีทางการเกษตรสูงเป็นอันดับ 1 

ขณะเดียวกัน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 มีการสุ่มตรวจสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานในผักและผลไม้จาก 70 ประเทศที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ปรากฏว่าสินค้าจากประเทศไทยมีสารพิษตกค้างสูงสุดเป็นอันดับ 1 และถูกตรวจพบบ่อยครั้งที่สุดในโลก

นั่นหมายความว่า ทุกมื้อความ "อร่อย" ของอาหารที่กินกันเข้าไปในทุกวันนี้ มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเจือปนด้วยสารพิษปนเปื้อน และนี่อาจเป็นตัวการหนึ่ง ซึ่งก่อ "โรคมะเร็ง" และโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ ทำให้คนไทยป่วยเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกปี

          พชร แกล้วกล้า ผู้ประสานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า อัตราความเสี่ยงที่จะพบสารพิษในอาหาร ไม่ว่าจะผลิตที่ไหน จำหน่ายอย่างไร ไทยยังคงมีการปนเปื้อนทั้งทางด้านกายภาพ จุลินทรีย์ และสารเคมี อยู่ 1 ใน 3 ของภาพรวมในประเทศ

          ส่วนด้านกายภาพนั้นหมายถึง เส้นผม เล็บ หรือแมลง ด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ เชื้อที่ทำให้ก่อโรคต่อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย สุดท้าย การใช้สารเคมีต่าง ๆ ในอาหาร อาทิ สารกันบูด สารกันรา และยาฆ่าแมลง ทั้งนี้ ไม่สามารถบอกได้ว่า พบการปนเปื้อนในผัก ผลไม้ เนื้อแดง หรืออาหารแปรรูปประเภทใดมากที่สุด แต่หากดูจากข่าวสถานการณ์ที่มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ แล้ว จะพบว่า เรื่องของอาหารเป็นพิษพบบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว


ฉลากอาหาร

1. มี "ฉลาก" ต้องอ่าน

การป้องกันเรื่องสารพิษในอาหาร อีกหนึ่งจอมวายร้ายใกล้ตัว "อยู่ที่ตัวเราเอง" โดยหลักการเบื้องต้น พชร แนะนำว่า หากซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้า โดยมากแล้วจะมีฉลากหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์อยู่ อยากจะให้อ่านเสียก่อน เพราะบนฉลากหรือหีบห่อบรรจุภัณฑ์ พอที่จะให้ข้อมูลแก่เราได้ว่า สินค้าที่จะซื้อนั้น ผู้ผลิตคือใคร ผลิตจากไหน และผลิตด้วยกรรมวิธีการใด

"อย่างไรก็ตาม ผักสดและผลไม้ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในตลาดสดนั้น ไม่มีบรรจุภัณฑ์มาด้วย สิ่งที่ต้องดูต่อไป จึงเป็นเรื่องทางกายภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจ ไม่ควรเลือกซื้อผักหรือผลไม้สวย ๆ มารับประทาน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการปรุงแต่ง หรือมีการใช้สารเคมีในการปลูกค่อนข้างมาก ที่สำคัญคือ ควรล้างก่อนนำไปประกอบอาหาร และไม่นำมารับประทานกันอย่างดิบ ๆ แต่ควรนำไปลวก นึ่ง ต้ม หรือผัดก่อนทุกครั้ง วิธีการนี้จะช่วยลดสารตกค้างและสิ่งสกปรกที่มากับผัก ส่วนความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ตัวการก่อโรคลงได้"

สำหรับเนื้อสัตว์สด ๆ นั้น ต้องระวังการใช้สารเร่งเนื้อแดง ดินประสิว และการใช้สารเพื่อคงความสดของอาหาร อาทิ การใช้ฟอร์มาลีน รวมถึงการใช้สารฟอกขาวในเครื่องในสัตว์

"เนื้อสดตามตลาดสดทั่วไป จะสังเกตได้ง่ายทั้งจากกลิ่นและจากการสัมผัสกับเนื้อสัตว์โดยตรง ถ้าลองกดดูเนื้อสัตว์ก็จะพอสังเกตได้ว่า เนื้อนั้นสดจริงหรือไม่ เพราะหากผ่านการแช่ฟอร์มาลีนมา เนื้อสัตว์จะเหลวและมีกลิ่นฉุน นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกตความอนามัยของร้านได้ด้วยว่า สะอาดเกินไปหรือไม่ หากที่แผงขายไม่มีแมลงใด ๆ มาก่อกวนเลย ก็มีความเป็นไปได้ว่า เจ้าของร้านใช้สารเคมีบางอย่างในการป้องกันแมลงเหล่านี้ ซึ่งอาจทำให้สารเคมีนั้นปนเปื้อนเพิ่มมาในอาหารได้"

          ทั้งนี้ ผู้บริโภคพึงตระหนักไว้ว่า อะไรที่เกินพอดี มีความสุดโต่งทั้งด้านรูปลักษณ์ของตัวอาหารและความสะอาดที่มากเกินไปนั้น ควรระวัง


บาร์บีคิว

2. "สำเร็จรูป" ต้องช่างสังเกต

จากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ปัจจุบัน อาหารแปรรูปและอาหารกึ่งสำเร็จรูป จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความสะดวก กินง่าย รสชาติดี และใช้เวลาน้อย หากแต่ "แต่ละคำ" ที่กินเข้าไป สะสมโรคร้ายสู่ร่างกายไม่รู้ตัว

แฮม เบคอน ไส้กรอก และเนื้อสัตว์แปรรูปชนิดต่าง ๆ มักมีความเสี่ยงในการใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งหลายครั้งพบว่า มีการใช้วัตถุกันเสียมากเกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ และการที่ได้รับสารกันบูดมากเกินไปนั้น ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานหนัก และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้

"นอกจากนี้ ยังต้องระวังการใช้โซเดียมหรือเกลือในการแปรรูปไว้ด้วย หากกินบ่อย ๆ ต้องระวังตัวเองว่าจะได้รับสารจำพวกเกลือเข้าสู่ร่างกายมากเกินความต้องการ ทำให้ไตทำงานหนัก" คุณพชร กล่าว

ส่วนการใช้น้ำประสานทอง หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ "สารบอแรกซ์" สารเคมีสังเคราะห์ที่ถูกนำมาผสมในอาหาร เช่น ลูกชิ้น หมูยอ หรืออาหารชุบแป้งทอด ฯลฯ เพื่อให้มีความเหนียว กรุบกรอบ ชวนรับประทานด้วย เพราะแม้ปัจจุบัน จะมีปริมาณการใช้สารบอแรกซ์น้อยลง แต่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่

          "ของทอดต่าง ๆ ที่ชอบซื้อกินกันข้างทาง นอกจากจะต้องระวังเรื่องการใช้สารบอแรกซ์ การใช้สารกันบูด และสีผสมอาหารแล้ว ยังต้องดูถึงน้ำมันที่ใช้ทอดด้วย เพราะการใช้น้ำมันทอดซ้ำในปัจจุบัน ไม่ได้ลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเลย อีกทั้งจะดูจาก "สีของน้ำมัน" ก็ทำไม่ได้แล้ว จึงต้องสังเกตจาก "กลิ่น" ของอาหาร เพราะแม้สีจะดูใหม่ แต่เมื่อนำมาใช้ซ้ำ จะมีกลิ่นหืนค่อนข้างแรง"


ช้อปปิ้ง

3. "เลือกซื้อ" อย่าง "ฉลาด" 

แม้ว่าจะมีการใช้สารเคมีกันอยู่มาก จนดูไม่มีความปลอดภัยทางด้านอาหารก็ตามที แต่เมื่ออาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต การวิตกกังวลจึงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากไร้ซึ่งความระวังและความตระหนักในตนเอง 

นอกเหนือจากข้อมูลด้านบนที่กล่าวไป คุณพชร กล่าวเพิ่มว่า วิธีการในการดูแลตนเองให้ปลอดภัยจากสารพิษในอาหาร เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยตนเอง ยกตัวอย่างการกินผัก-ผลไม้ ที่ไม่ควรตามใจความอยาก แต่ควรเลือกกินผักและผลไม้ให้ตรงตามฤดูกาล ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อสารเคมีตกค้าง ส่วนอาหารแปรรูปนั้น ขอแค่อ่านฉลากอย่างละเอียด รู้ตัวว่ากำลังจะรับประทานอะไรเข้าไป มีส่วนประกอบของอะไรบ้าง ก็พอจะช่วยได้

หรือหากมีเวลาลองทำอาหารกินเอง ก็เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่่ยงจากสารพิษปนเปื้อนในอาหารได้ ดังนั้น แค่รู้จักเลือกกินอย่าง '"ฉลาด" เรื่องอาหารการกิน ก็ยังเป็นอีกหนึ่งความสุขของชีวิตได้ค่ะSmiley




 

Create Date : 21 มีนาคม 2556    
Last Update : 21 มีนาคม 2556 15:21:08 น.
Counter : 1154 Pageviews.  

นาฬิกาชีวภาพในตัวผิดปกติ ทำคนนอนดึกตื่นสาย

นอนดึก ตื่นสาย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

นักวิจัยออสเตรเลีย ชี้ สาเหตุที่คนนอนดึกและตื่นสายจนเป็นกิจวัตรโดยไม่สามารถฝืนตัวเองได้ เกิดจากนาฬิกาชีวภาพในร่างกายมีความผิดปกติ แก้ได้ด้วยการออกมารับแสงแดดยามเช้า

          การตื่นสายนั้นคงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนก็คงจะเคยทำกันโดยเฉพาะในวันหยุดพักผ่อน และเมื่อถึงวันปกติ พวกเราก็อาจจะสามารถลืมตาตื่นในตอนเช้าไปอย่างไม่ลำบากนัก แต่สำหรับคนบางกลุ่ม การที่ต้องลืมตาตื่นและฝืนลากสังขารลงมาจากเตียงในตอนเช้าของแต่ละวันนั้น ถือเป็นเรื่องที่ลำบากอย่างยิ่ง โดยเว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ ได้รายงานเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่่ผ่านมาว่า ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลินเดอร์ส ในแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย ได้ค้นพบถึงสาเหตุที่ทำให้หลาย ๆ คนมีพฤติกรรม นอนดึก ตื่นสาย อย่างที่ไม่สามารถฝืนตัวเองได้ ว่านั่นเป็นเพราะนาฬิกาชีวภาพในร่างกายของคนเหล่านั้นมีความผิดปกตินั่นเอง


โดยนักวิจัยเชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้หลายคนพยายามที่จะนอนดึกและเลื่อนเวลาตื่นนอนให้สายออกไป นั่นเพราะว่านาฬิกาชีวภาพในร่างกายของพวกเขานั้นได้ถูกปรับค่าให้ช้าเกินกว่าคนทั่วไป ทำให้ร่างกายเกิดการเลื่อนเวลาในตัวออกไป และไม่สามารถนอนหลับและตื่นในเวลาปกติได้ ซึ่งลักษณะความผิดปกติเช่นนี้ได้เกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นกว่า 15% ของประเทศ และจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเขาในระยะยาว

เคล็ดลับสุขภาพ

ด้านศาสตราจารย์ ลีออน แลก ผู้นำการวิจัย ได้เผยว่า จากผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่านาฬิกาชีวภาพภายในร่างกาย ของกลุ่มวัยรุ่นเหล่านั้นมีการเดินที่ผิดปกติ คือจะมีรอบในการหมุนที่ช้ากว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยผู้ที่มีอาการผิดปกตินี้จะไม่สามารถนอนหลับได้จนกว่าจะถึงเวลา 02.00 - 03.00 น. หรือในบางรายที่อาการหนักกว่านั้น อาจจะยาวไปถึง 04.00 น. ซึ่งนั่นทำให้การที่พวกเขาจะตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมในวันถัดไปเป็นเรื่องยากยิ่ง

          นอกจากนี้ จากตรวจสอบถึงสาเหตุที่ทำให้คนนอนดึกนั้น พบว่า 1 ในคำอธิบายที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือ นาฬิกาชีวภาพในร่างกายของพวกเขา มีรอบเดินที่นานกว่า 24 ชั่วโมง โดยตามปกติ นาฬิกาชีวภาพในตัวของคนจำนวนมากจะมีเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 24 ชั่วโมง ซึ่งนั่นเป็นจังหวะของธรรมชาติที่ส่งผลต่อความง่วง และอุณหภูมิในร่างกาย แต่สำหรับในคนที่เข้านอนดึกนั้น ความผิดปกติที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อวงจรชีวิตของพวกเขา ให้นาฬิกาในตัวของพวกเขาเดินช้ากว่าปกติซึ่งจะทำให้คนเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะเข้านอนดึกและตื่นสาย

สำหรับนาฬิกาชีวภาพในร่างกายนั้น ไม่เพียงแต่จะส่งอิทธิพลต่อวงจรในการนอนหลับและตื่นนอนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่ออุณหภูมิของร่างกาย การหลั่งฮอร์โมน และจังหวะในการใช้ชีวิตด้วย ทั้งนี้ คนบางคนอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ระดับของแสง หรือนาฬิกาชีวภาพในตัวอาจถูกรบกวนด้วยการบินข้ามโซนของเวลา หรือการทำงานตอนกลางคืน

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ ลีออน บอกด้วยว่า การทดลองกับกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ขึ้น คือสิ่งจำเป็นที่จะนำไปสู่การยืนยันการค้นพบในครั้งนี้ ส่วนการรักษาผู้ที่นาฬิกาชีวภาพในร่างกายมีการเดินอย่างผิดปกตินั้น ผู้วิจัยได้เสนอให้ใช้วิธีการบำบัดด้วยการออกมารับแสงแดดในยามเช้า ที่จะช่วยให้ร่างกายเกิดการตื่นตัวขึ้น และเป็นการแจ้งให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายได้รับรู้ว่าเป็นเวลาที่ควรจะตื่น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถเข้านอนและตื่นได้เร็วขึ้นในวันถัดไป หรือการให้ฮอร์โมนเมลาโทนิน เพื่อสามารถทำให้นอนหลับได้เร็วขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ศาสตราจารย์ ลีออน ยังย้ำว่า การหาสาเหตุของความผิดปกตินี้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมาก ทำให้คนหนุ่มสาวตื่นสายตอนที่พวกเขาต้องไปโรงเรียน และเมื่อไปถึงโรงเรียน พวกเขาก็จะยังไม่ตื่นเต็มตาจนกว่านาฬิกาชีวภาพในร่างกายจะทำให้พวกเขาตื่นในที่สุด ขณะที่ผู้ใหญ่ที่ตื่นสายก็จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเขาเช่นกัน





 

Create Date : 17 มีนาคม 2556    
Last Update : 17 มีนาคม 2556 13:11:41 น.
Counter : 1162 Pageviews.  

กลัวแก่ไว-ไม่สามารถมีลูก สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้หญิงเลิกบุหรี่ได้

เลิกบุหรี่ เลิกสูบบุหรี่

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ใครเคยเป็นสิงห์นักสูบบ้างคะ? .. ที่ใช้คำว่าเคยเพราะนั่นแสดงว่าในตอนนี้คุณจะต้องเลิกสูบบุหรี่แล้วเรียบร้อย ว่าแต่สาเหตุที่ให้คุณฮึดเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาดคืออะไรกัน ใช่เพราะว่ากลัวแก่ไว และกลัวจะทำให้เรื่องบนเตียงย่ำแย่จนพาลไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้หรือเปล่า ?

เนื่องในวันงดสูบบุหรี่แห่งชาติของอังกฤษ ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 2 ของเดือนมีนาคม เว็บไซต์quitfullstop ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ ได้ทำการสำรวจสมาชิกเว็บไซต์ทั้งชายและหญิงที่เลิกบุหรี่ได้แล้วจำนวน 2,000 คน ว่าแรงจูงใจอะไรที่ทำให้พวกเขาหย่าบุหรี่ได้สำเร็จคืออะไร ปรากฏว่าแรงจูงใจอันดับหนึ่งคือกลัวจะเหี่ยวย่นร่วงโรยไปก่อนวัย และประการที่สองสำหรับผู้หญิงคือมีลูกไม่ได้ แต่ในผู้ชายนั้นเป็นเรื่องกลัวสมรรถภาพทางเพศถดถอย

ผู้หญิง 55% ที่เคยสูบบุหรี่มาก่อน สามารถลดละเลิกมันได้สำเร็จ เพราะตระหนักกลัวว่าวันหนึ่งข้างหน้าเธอจะต้องเสียใจที่ผิวพรรณหน้าตารีบร่วงโรยไปไวก่อนอายุจริง ในขณะที่คุณผู้ชายเองก็กลัวแก่ไวด้วย จึงลดละเลิกบุหรี่ได้ตาม ๆ กันไปในสัดส่วน 40% ทั้งนี้ สารพิษที่ร่างกายได้รับจากบุหรี่ จะทำให้เส้นเลือดตีบตัว เลือดไม่สามารถเดินทางไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ดี โปรตีนในผิวจึงเริ่มเสื่อมโทรม ซึ่งนั่นหมายถึงคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวด้วย ส่งผลให้ผิวแห้ง เหี่ยว มีริ้วรอย โดยเฉพาะรอบดวงตาและริมฝีปาก 

เหตุผลในการเลิกบุหรี่อันดับรองลงมาสำหรับผู้หญิง ซึ่งคิดเป็น 45% คือพวกเธอเลิกบุหรี่ได้ในที่สุดเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมจะรับเจ้าตัวน้อยมาสู่ครรภ์ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งผู้หญิงทุกคนล้วนอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นแม่ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเลิกบุหรี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นให้พวกเธอก้าวสู่การเป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอจึงไม่ลังเลที่จะตัดใจจากบุหรี่อย่างเด็ดขาด เรียกได้ว่าสปิริตของความเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่ตั้งแต่ยังไม่ได้มีลูกจริง ๆ ด้วยซ้ำ

แต่เหตุผลอันดับรองในหมู่ผู้ชาย เรื่องมีลูกได้หรือไม่ได้ยังไม่สำคัญ สิ่งที่ทำให้พวกเขาหย่าขาดบุหรี่ได้นั้นคือเรื่องชีวิตเซ็กส์ต่างหาก 25% ของคุณผู้ชายตัดใจโยนซองบุหรี่ของตัวเองทิ้งเพราะกลัวจะกลายเป็นคนไร้น้ำยากับเรื่องบนเตียง
หลังจากได้ทราบว่าการสูบบุหรี่มีผลกระทบต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศ อันส่งผลกระทบต่อชีวิตเซ็กส์โดยตรง ซึ่งอธิบายได้ด้วยเหตุผลประการเดียวกันกับข้างต้น คือสารนิโคตินจากบุหรี่ทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น จึงสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงยังเจ้าน้องชายของคุณผู้ชายได้ไม่ดีด้วยนั่นเอง ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์มีอารมณ์แต่น้องชายไม่สู้ สู้ยอมเลิกบุหรี่ดีกว่า

         เหตุผลของการเลิกบุหรี่ของคุณผู้ชาย ออกจะต่างกับผู้หญิงไปสักหน่อย แต่ก็เอาเถอะค่ะ ไม่ว่าจะหย่าบุหรี่ด้วยเหตุผลที่ต่างกันแค่ไหนก็ตาม แค่มีใจฉุกคิดได้ว่าบุหรี่นั้นทั้งทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง ก็ถือว่าน่าพอใจแล้วล่ะ




 

Create Date : 15 มีนาคม 2556    
Last Update : 15 มีนาคม 2556 12:28:30 น.
Counter : 857 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.