A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

Nodame The Movie Part2 ฝันสุดใจไปกับดนตรี(กันต่อ)


ปรากฎการณ์ของ Nodame Cantabile ในส่วนภาคของฉบับการ์ตูน
ซึ่งถือเป็นต้นฉบับก่อนคลอด มาเป็น Nodame Cantabile ในหลายสกุล
จนล่าสุดได้กลายมาเป็น Nodame the Movie เข้าฉายกินตังค์แฟนคลับถึงสองคำรบ
เริ่มต้นจากฉบับการ์ตูนมังงะ ของปลายปากกา "โทโมโกะ นิโนะมิยะ"
ที่วาดให้กับนิตยสาร Kiss รายปักษ์ อันเป็นสื่อหนึ่ง
ในเครืออาณาจักรสือสิ่งพิมพ์โคดันฉะ ในปี ๒๐๐๑
(เป็นนิตยสารที่เน้นกลุ่มเป้าหมาย พวกjosai (กลุ่มสตรีวัยวุฒิภาวะแรกรุ่น))
จนไปจบอวสานสมบูรณ์ในอีกเก้าปีต่อมา
(ระยะหนึ่งต้องปรับเป็นรายเดือน เพราะคนวาดถูกเสกเด็กเข้าทอ้ง)
ความยืนยาวจากการตอบรับของคนอ่าน ไม่ได้เป็นเพียงแค่ได้ใจมหาชนนิยมเท่านั้น
เพราะในปี ๒๐๐๔ แม้เจ๊นิโนะมิยะจะวาดไปได้แค่ครึ่งชีวิตเรือ่งราวของฉบับโนดาเมะซีรีย์
ทางโคดันฉะอวอร์ด ก็ต้องจัดรางวัลซูฮกเชิงคุณภาพในสาขา
"สุดยอดการ์ตูนตาใสแห่งปี" (best shojo manga) เรียกได้ว่า เป็นเครือ่งประกันราคาคุย
ซึ่งทิ้งห่างความนิยมจากเรือ่ง London Doubt Boy ที่เป็นผลงานชิ้นแรกของเจ๊อย่างลิบตา





การแพร่ขยายของ Nodame Cantabile ฉบับมังงะขจรขจายสู่โลกกว้าง
ลิขสิทธิ์ได้ถูกซื้อในอีกหลายภาษา ของแต่ละสำนักพิมพ์ อาทิ
ในอเมริกา โดย สนพ.Del Rey Manga ,ในฝรั่งเศส โดย สนพ.France
ในเกาหลีใต้ โดย สนพ. Daiwon C.I. ในอินโดนีเซีย โดย สนพ.
Elex Media Komputindo ในไต้หวัน โดย สนพ Tong Li Comics
และแน่นอนในประเทศไทย โดย สนพ.NED Comics โดยเบ็ดเสร็จกระบวนตอน
ทั้งสิ้น ๑๓๖ ตอน แค่ในเฉพาะญี่ปุ่นก็รวมไปได้ทั้งหมด ๒๔ เล่มบริบูรณ์
เป็นอรรถรสสากลที่ เดริ์ก เด็ปเปย์ แห่ง Comic Journal ยกย่องความเป็นนักเล่าเรือ่ง
ของผู้วาดนิโนะมิยะ ว่าสามารถใช้ระดับอักษรที่บ่งบอกภาวะอารมณ์ของตัวละคร
ได้อย่างเป็นเลิศ เหมือนสั่งการได้แบบกดปุ่มผู้อ่านได้อย่างฉับพลัน




Nodame Cantabile ถือเป็นการ์ตูนมังงะไม่กี่เรือ่ง
ที่ถูกนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบผลิตภัณฑ์ตามช่องทางต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
ในฉบับการ์ตูนอนิเมชั่น ทางค่ายฟูจิทีวีรับลิขสิทธิ์ โดยโยนให้ทาง J.C.Staff Studio
เป็นผู้ผลิต (ทีมนี้เคยผลิตงานที่พอรู้จักมาแล้วบ้าง ใน Toradora!,Honey and Clover
และGhost Hunt) ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยทีมงาน Animax Asia
นอกจากการรับชมแล้ว การรับไปเล่นที่บ้าน
อย่างในรูปของซอฟเเวร์เกมส์ ก็ถูกผลิตไปในส่วนของเครือ่ง
Nintendo DS และเครือ่งเล่นสบัดพัดโบก Wii ในลิขสิทธิ์ของบรัษัท Namco Bandai Games
และในส่วนคอนโทรลเลอร์ PlayStation 2 ที่เป็นลิขสิทธิ์ของ Banpresto
ซึ่งในรูปแบบของเกมส์ ล้วนผลิตขึ้นในปี ๒๐๐๗ ที่เป็นช่วงปีหลังจากโนดาเมะซีรีย์
เพิ่งฉายจบลง และต่อเนือ่งไปด้วยฉบับอนิเมชั่นที่ฉายทางช่องฟูจิทีวี
จึงมองข้ามไปไม่ได้ที่จะมองว่า เป็นการสืบเนือ่งต่อยอดตลาดของแฟนๆ
ไม่ให้น้องโนะต้องหายตายไปจากใจ เพราะจากนั้นก็มีภาคสเปเชียลซีรีย์ในต้นปี ๒๐๐๘
แล้วตามติดมาด้วยอนิเมชั่น ที่จะตามหลังเนื้อเรือ่งฉบับสเปเชียลเพราะดันมีโอกาสได้
ฉายในตอนปลายปี ที่ชื่อตอน Nodame Cantabile: Paris Chapter แต่สุดท้ายการ์ตูน
อนิเมชั่นก็ได้เปรียบกว่า ด้วยชิงออกตัวจบไปก่อนในชื่อตอน Nodame Cantabile: Finale
ขณะที่ภาพยนตร์ ยังใช้สูตรแบ่งตอนรับทรัพย์ไปสองภาค ซึ่งจะว่าไปก็ไล่เลี่ยกับ
ฉบับมังงะการ์ตูนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ที่มีชื่อภาคว่า Nodame Cantabile - Opera Hen
ที่เพิ่งออกจำหน่ายกลางปี ๒๐๑๐ เป็นอวสานบทของโนดาเมะเปเปอร์โดยสมบูรณ์สักที





ส่วนในรูปของเพลงดิจิตอล ก็ต้องบอกว่าล้นเหลือหลากหลายอัลบั้มนักแล
ซึ่งแบ่งออกได้สองหลักใหญ่ๆ คือ ในส่วนของ promotional tie-ins (เพลงตามเล่มหนังสือ)
และส่วนของ soundtrack albums (ก็ยังมีแบ่งเป็นหนังกับอนิเมชั่นอีก) เรียกได้ว่าฟังกันให้
หูแฉะกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว งานนี้ไม่ต้องพึ่งซับ เพราะแม้แต่เนือ้ร้องก็ยังหาไม่เจอสักแอะ
สิ่งที่ทำได้อย่างมีส่วนรวมที่สุด ก็คือ การโยกนิ้วไปกับจังหวะดนตรี




แต่สิ่งที่จะบอกร่ายในครั้งนี้
เป็นการต่อเนื่องจาก Nodame The Movie ภาคแรก สัปดาห์ที่แล้ว
เพราะผู้เขียนได้แผ่นโนดาเมะเดอะมูวี่สอง เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนโนดาเมะ
ซึ่งอยากจะบอกว่า สิ่งที่เคยเดาสุ่มและนั่งทางในของครั้งก่อน
มีทั้งที่ถูกต้องและเดาผิดทาง เคลาะเคล้ากันไป ซึ่งแน่นอนว่า
"ผิด" อันนี้ต้องเหยียบไว้ ส่วนไอ้ที่ "ถูก" ควรจะเอาเน้นย้ำและต่อขยายให้ได้ทราบกัน
ถูกที่ว่า ก็คือ โนดาเมะเดอะมูวีภาคสอง ที่ถือเป็นฉบับจบของคนเล่นตัวเป็นๆ
ที่จะได้สลัดถอดรื้อตัวละคร กอ่นที่จะถูกทักทายในชื่อตัวละครนั้นๆ
แทนที่จะจดจำในชื่อจริงของเขาเหล่านั้น ถ้าโนดาเมะเดอะมูวีภาคแรก
เกิดขึ้นภายใต้การนำที่ชายเป็นใหญ่ อย่างท่านจิอากิ พระเอกของเรือ่งอย่างไร
ในภาคสุดท้าย น้ำหนักของตัวละครจึงตกเป็นของโนดาเมะเซ็นเตอร์ฉันนั้นนั่นเอง




เป็นความต่อเนือ่งของภาคที่หนึ่ง เมื่อท่านจิมีทีท่าว่าจะรุ่ง
และกลายเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในวงออเคสต้า "มาร์เล็ต" ทุกคน
ผู้เขียนได้วางแปลนสำหรับการคาดเดาอนาคตของตอนที่สอง
ว่าด้วยคุณสมบัติของคู่มิขนานแถมวางคนละบรรทัด
ระหว่างท่านจิผู้ใฝ่สูงกับน้องโนะผู้ฝันใฝ่ ว่าคงจัไปด้วยกันไม่รอด
ทั้งด้วยในเรือ่งของมุมมองอนาคต การคาดหวัง และพื้นฐานรสนิยมส่วนต๊วส่วนตัว
หากใครที่ได้ชมความเป็นเดอะมูวีในภาคแรก คงจะได้เห็นปมอะไรบางอย่าง
ที่เป็นรอยปริบางๆ ของปัญหาความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ที่ได้เปิดตัวกลายๆ
(จนท่านจิแทบจะกลายร่างอยู่บ่อยครั้ง)
ระหว่างคู่พระเอกกับนางเอก และน่าจะมีไม่น้อย
ที่ผู้เขียนคาดเดาเอาว่า ใกล้จะระเบิดออกมาตูมต้ามกลางกรุงปารีสในภาคที่สอง
แต่ผิดคาดแหะ !
หนังยังคงดำเนินไปด้วยวิธีการเล่าสไตล์โนดาเมะจัง
ยังคงปล่อยให้สนุกสนาน ระคนไปด้วยการหยิกแก้มหยอกตลอดที่เปิดเรือ่ง
ยอมรับเลยว่า แทบจะลืมในส่วนของการ "คาดหมาย" และ "ปมปัญหา"
ที่วางไว้ของภาคแรก เกือบอย่างสิ้นเชิง
ในส่วนของเนือ้เรือ่งของภาคที่สอง ดูไปเผลอๆ แทบจะมีประเด็นดำเนินเรือ่งได้นอ้ยมาก
ไม่ต่างอะไรไปจาก ชาย-หญิงสองคน ที่ยังไม่มั่นใจตนเอง และตอบโจทย์ของตัวเองไม่อออก






เหตุที่ทำให้ลืมได้ขนาดนั้น เพราะผู้กำกับ" ฮิโรกิ ทาเคอุชิ"
ที่มองโนดาเมะเป็นสิ่งปลูกสร้างแรกเริ่มเดิมที ตั้งแต่สมัยทำให้กับทีวีตังแต่ภาคแรก
เลือกที่จะอาศัยทรัพยากรของตัวละครในภาคปกติทางทีวี
ที่ถือว่าเป็นมนต์เสน่ห์จัดๆอีกด้าน ที่ไม่ใช่เพื่อนแฟน-ทำแทนไม่ได้
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวป่วนคนสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น อาทิ "มิเนะ" (สิงห์ไวโอลินร็อค)
"โอคุยามะ" (ตุ๊ดซี่ตีทิมปานี) และ "มิกิ" (สาวไวโอลินมือหนึ่งของทีมเอ)
มาสร้างความหฤหรรษ์ตั้งแต่ไก่โห่ ซึ่งก็สนุกเอาเรือ่งตามประสาวงเพื่อน
ที่อาจสร้างความขุ่นเคืองให้กับท่านจิ ที่แม้จะไม่กินเส้น
แต่ก็คงพอที่จะทานน้ำร่วมได้ในบางส่วน ตามประสาคนที่เคยทำทีมร่วมกันมา
โดยในบท ได้สร้างสถานการณ์ให้มิเนะดั้งดลเดินทางมาไกล
ส่วนหนึ่ง เพื่อจะได้เป็นการเยี่ยมโนดาเมะและถือโอกาสพาเที่ยว แถมมีที่พักฟรี
อีกด้าน เพื่อจะได้แอบมาดูการสอบคัดเลือกในตำนาน The Cantona Concours
เป็นการแข่งขันทุกๆสามปีของเหล่านักไวโอลินและเปียโนหน้าใหม่ชั้นเลิศ
ที่จัดมาตั้งแต่ปี ๑๙๔๐ โดยมิกิผู้เข้าแข่งขันเลือกใช้ในเพลงเอก
"Brahm's Violin Concerto in D major" ซึ่งเป็นเพลงดังที่น่าจะคุ้นหูกันดีอยู่
หลังจากยอมที่จะห่างหายจากการติดต่อมานานสองปีกับแฟนหนุ่มมิเนะ
เพื่อให้เธอได้มีสมาธิต่อการซ้อมและผลักดันในการทำความฝันให้เป็นจริง





ถ้าจะให้มองโดยภาพรวม (ซึ่งถ้าแยกออกเป็นชิ้นๆ ก็สุดจะอลหม่านใจ)
โนดาเมะเดอะมูวี่สอง ลดทอนในแง่ของความเป็นสัดส่วนในเรือ่งของเพลงที่เคยเป็นที่ตั้ง
โดยให้ส่วนใหญ่ที่เหลือ เป็นเรือ่งของความสัมพันธ์ในขีวิตคู่ในฉบับเต็มๆ
ประมาณว่า อรอ่ยหูกันข้างต้นจากภาคแรกมามากแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้
ก็เป็นในภาคชีวิตของการตัดสินใจของโนดาเมะเป็นหลัก (เพราะชีอั้นมานานในเดอะมูวี่ภาคแรก)
โดยที่ท่านจิ ต้องมาคอยมาเที่ยวยื้อเที่ยวไล่
ไม่ใช่มาเป็นศูนยืกลางเอาแต่ใจเป็นหลักเหมือนเช่นทุกคราว
แต่กระนั้น ก็หาใช่ว่าจะไม่มีเพลงเด็ด เพื่อนำมาใช้เป็นจุดขายท้ายสกุลcantabile เอาสักเลย
อย่างน้อยๆ สองสามเพลงที่โชว์อลังการงานสะกดคีย์เปียโนเฉพาะหนูโนะ ก็มี
"Beethoven's Piano Sonata No31" (เพลงเปียโนบรรเลงสุดท้ายก่อนปีโธเฟนจะลาโลก)
และ "Chopin's Piano Concerto No2" (เป็น๑ใน๓เพลงเปียโนที่ว่าดีที่สุดตลอดกาลของโชปิน)
โดยสองเพลงนี้ ถือเป็นกระบวนท่ายาก ที่กะจะเอามาไว้โชว์ออฟ-ออกงาน
(ขณะที่เดอะมูวีภาคหนึ่ง เน้นในแง่นัยยะความหมายที่แฝงเร้นอยู่)
ซึ่งสแตนแมนด์ได้วางแผนจะปลุกปั้นให้โนดาเมะ ให้กลายเป็นดาวรุ่งค้างฟ้าทางดนตรี
แซงหน้าเจ้าจิอากิ ทั้งเในเรือ่งชือ่เสียงและพรสวรรค์อย่างไม่เห็นฝั่ง
ที่เป็นเรือ่งเซนซิทีฟอ่อนไหวต่อความเป็น"โนะ" อย่างยิ่ง ด้วยความฝันเล็กๆของโนะ เขาอยากจะ .........(เนื่องจากสนธิสัญญาสปอยด์ไทยแลนด์ จึงไม่อาจเผยแพร่สาธารณกุศลได้)
แต่กระนั้น ก็ไม่กล้าดูถูกกระบวนการความซับซ้อนที่แฝงนัยยะ
ที่ถอดสลักเก็บซ่อนเสียมิดตา ด้วยฤทธิ์ของชายแมนๆเมื่อได้ยล จนกระทั่งได้รับทราบ
ทัศนะสตรีชนคนคอมเมนต์ที่กรุณาสละสัมภาษณ์ความเห็น
ถึงได้รู้ว่า โนดาเมะสตอรีเนี่ย แม้ดูภายนอกผ่านพฤติกรรมตัวละครที่ตื้นเขิน
แต่เอาเข้าจริง มันเต็มไปด้วยความซับซ้อน ภาวอารมณ์และความเห็นอกเห็นใจอย่างเปี่ยมล้น
ในขณะที่ผู้เขียนกลับขำในพฤติกรรมความเชื่อมั่นขาดวงประกันของยัยโนดาเมะ
ทั้งวิธีคิด จิตสำนึกและการแสดงออกผ่านสัญลักษณ์ ที่ถ้าบังเกิดถอดสัญญะเหล่านี้ไม่ออก
ก็อาจส่งผลให้คุณแม่รู้สึกขัดอกขัดใจ ซึ่งเกรงว่าถ้าทิ่มผิดจุด
คงส่งผลต่อบ้านแตกคาบล็อก เพราะแฟนคลับของหนูโนะแกเหลือล้นคงด้วยสะสมทุนทางสังคม
และทุนพาณิชยนิยม ด้วยช่องเจ็ดปรารถนาดีฉายฟรีแต่ติดที่เสียงพากย์ทำให้หนูโนะกลายเป็นเด็กต๊อง
มากกว่าเด็กเนิร์ด อีกทั้งจะมังงะหรือการ์ตูนเช่าก็มีวางขายให้เกลื่อน






คงไม่มีอะไรจะร่ายให้มาก เพราะได้ขายแบ่งกันกินไว้ตั้งแต่ภาคหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว(ฮา-หมดมุข)
เรียกได้ว่า ทำให้นึกถึงแบบแผนการตลาดเฉกเช่นเดียวกับ Rookies The Moive
กล่าวคือ ในซีรีย์เองก็จบได้สวย แต่บทในมังงะการ์ตูนที่เหลือก็เกื้อกูลซะ
ชนิดที่ซีรีย์เองก็ได้่โลห์ เรตติ้งคนดูก็อวยซะ งัดงบมาลงทุนต่อก็ไม่น่าจะขาดทุน
เป็นการต่อลมหายใจผ่านช่องขายตั๋ว อีกทัั้งโอกาสทำดีวีดีรับทรัพย์เมืองนอกเมืองนาจากแฟนต่างชาติ
ดีไม่ดี ฮอลีวู้ดเห็นแล้วจะไปพลิกแพลงรีเมก ก็ยิ่งโกยดอลลาร์เข้าประเทศได้อีก
ถ้าจะให้มอง ก็ต้องบอกว่าทั้งผู้กำกับ "ทาเคอุชิ" และ คนดัดแปลงบท "ฮิโต ริน"
ได้ทำให้โนดาเมะเดอะมูวี ภาคสอง กลายเป็น "โนดาเมะเอื้ออาทรณ์"
ตอบสนองในจุดดี จุดแข็งและจุดประทับใจ ในภาคทีวี
มาแบ่งสรรปันส่วน ในจุดต้องโน้นนิด ตรงนี้หน่อย ทั้งลูกแง่ลูกงอน
ลูกกระล่อน ลูกโหด ลูกฮา ลูกเวอร์ ลูกบ้า ลูกคิขุ และแถมมีลูกซีเรียสจริงจังของหนูโนะ
แบบที่ไม่เคยมีให้เห็นในโทรทัศน์ ภาคนี้ก็งัดออกให้ทิ้งท้ายกระบวนการ
และแน่นอนที่สุด ถ้า "Piano Concerto No.2 ของ ราฟมารินอฟ"
เป็นฉากที่ประทับใจใครต่อใครหลายคน ในตอนเปิดตัวด้วยเปียโนคู่
งานนี้ทีมงานเขาก็ไม่ลืมที่จะปิดท้ายในสไตล์เปียโนคู่ในเพลง
"Two Pianos Sonata ของ โมสาร์ต" ชนิดส่งท้ายให้หลับฝันดีแด่สาวกโนดาเมะ
ห้านาทีเต็ม แบบไม่ต้องมาสรุปปิดท้ายสร้างบทไดอะล็อคสนทนาน้ำลายยืด
ในรูปแบบการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์นิสัย แบบที่ท่านวรินทร์รตา ว่าไว้

"จิอากิเป็นเครื่องดนตรีที่ขึ้นสายจนตึงเปรี๊ยะ
โนดาเมะก็คือ เครื่องดนตรีที่สายหย่อนยาน ที่เล่นแทบไม่เป็นเพลง"
แต่ทั้งคู่ก็เติมเต็มกันและกัน จนกลายเป็นลำนำเพลงรักที่แสนจะสุโค้ยย์คลาสสิกไปในบัดดล........







อวยข้อมูล

wikimediadrama.co , wikipedia and warinrata@bloggang









 

Create Date : 26 ธันวาคม 2553    
Last Update : 27 ตุลาคม 2555 13:03:32 น.
Counter : 5921 Pageviews.  

Nodame Cantabile the Movie Part 1 ฝันสุดใจไปกับดนตรี


ความสำเร็จของซีรีย์ Nodame Cantabile ที่ไปสร้างในอีกหลายๆปรากฎการณ์
ในกับแวดวงความบันเทิงของประเทศ แค่เพียงเฉพาะปี 2007
ที่ซีรีย์ได้ถือโอกาสเปิดตัวทะลุจอแก้วเป็นครั้งแรก
ก็คว้ารางวัลจากสถาบันซีรีย์ทีวีดรามาอวอร์ด (Television Drama Academy Awards )
(ทั้งๆที่โคตรจะดรามาตรงไหน?) ในส่วนของ Best Drama,
Best Direction (ฮิเดกิ ทาเกอุชิ)และ Best Music (ทากายุกิ ฮัตโตริ)
ที่สำคัญยังเป็นการสร้างชือ่ให้กับ จูริ อุเอะโนะ ในสถาบัน TDAA เมื่อคว้ารางวัลในส่วนของ
Best Lead Actress ในภาคแรก และ Best Actress จากสถาบัน Tokyo Drama Awards
ในภาคที่สอง รวมไปถึงนักแสดงหน้าใหม่ จากสถาบัน Elan d'or Awards



ความสำเร็จของซีรีย์ภาคนี้ ไม่ได้ติดเกาะและเกยฝั่งเพียงเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น
แต่ยังขจรขจาย ไปรับอานิสงส์รางวัลทางสถานีโทรทัศน์ของประเทศเกาหลี
ในฐานะสาขา มินิซีรีย์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยมและสาขาเพลงยอดเยี่ยม
จากสถาบัน Seoul Drama Awards ครั้งที่ 2
ยังไม่นับรวมในแง่ตลับเพลง ก็ยังสร้างปรากฎการณ์คลาสสิกรึซึม
เมื่อ Nodame Orchestra LIVE! กลายเป็นอัลบั้มขึ้นชาร์ตลำดับที่เจ็ดของโอริกอนชาร์ต
และถือเป็น breaking the record ในสาขาหมวดเพลงคลาสสิกพุ่งปี๊ดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน




ท่ามกลางอานิสงส์แห่งกระแส ที่ยังคงฟีเวอร์คุกกรุนอยู่
เห็นว่ามีพ่อค้าหัวใส ลงทุนเปิดร้าน Nodame Cantabile Cafe ในย่านฮาราจุกู
ที่วันทั้งวัน ก็วนเวียนเปิดเพลงคลาสสิกประกอบซีรีย์ ที่คนรุ่นปู่รุ่นย่ารู้จักกันดี
อาทิ ไชคอฟสกี้ ,โมสาร์ต ,ปีโธเฟ่น,บาร์ค อะไรเทือกนี้
แต่เด็กยุคใหม่อาจเสนาะคุ้นหูกันดีว่า และเกรงเอาว่าจะเหมาว่าเพลงบรรเลงคลาสสิก
ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งนี้ มาจากนักประพันธ์ดนตรีคนเดียวกัน นั่นคือ "โนดาเมะ" นี้เอง




ความจริงยังมีปรากฎการณ์พันละสิ่งพันละอย่าง
ที่มินิซีรีย์ Nodame Cantabile ได้สร้างทิ้งเอาไว้ ทั้งส่วนของ หนังสือการ์ตูน
อนิเมชั่น ดีวีดีบ๊อกเซต ความนิยมในส่วนของภูมิภาคและระดับ worldwide
รวมไปถึงการไปมีอิทธิพลต่องานสร้างซีรีย์เกาหลี อย่าง่ Virus Beethoven
และทำให้เด็กน้อยกระจองงอแง อยากริลองหัดเล่นดนตรี
เผื่อจะได้เป็นโนดาเมะสองและสาม เหมือนชาวบ้านกับเขาบ้าง
ซึ่งจะว่าไป Nodame Cantabile จะจัดหมวดให้เป็นเพียงแค่มินิซีรีย์ก็หาใช่ที
เพราะมันได้ถูกนำมาสร้าง ที่แม้จะจำกัดตอนแต่ก็ผ่านมาหลายรูปแบบ
นับเพียงเฉพาะส่วนที่คนเป็นๆเล่นกันจริง ก็ทรมานน้องหนูจูริให้ติดคราบโนดาเมะ
ทั้งจากภาคที่หนึ่ง และภาคที่สอง ตอ่ด้วยการโกอินเตอร์ในภาคสเปเชียลหนึ่งและสอง
ซึ่งดูก็จะหน่ำใจไม่พอ ทางค่ายฟูจิทีวีจึงทุ่มงบตามขนบวิธีมาสู่ภาคหนังใหญ่
Nodame The Movie ที่มีโครงการฉายถึงสองภาค ซึ่งวันนี้จะขอร่ายในส่วนของภาคแรก
ที่คิดว่า แฟนพันธ์แท้โนดาเมะ ก็ไม่สมควรที่จะพลาดด้วยประการทั้งป่วง



Nodame The Movie ถือเป็นภาคลำดับที่ต่อเนื่องในอีกครึ่งปีต่อมา
ของ Nodame ภาค Special ที่จบลงอย่างสุขสมหวังทั้งในส่วนของ
ฝันที่ตามหากับรักแท้ที่รอวันเข้าใจ ระหว่างหนุ่มนิ่งกับสาวเนิร์ด
(ท่านจิ) ชิอิจิ จิอากิ (นำแสดงโดย ฮิโรกิ ทามากิ)
กับ (น้องเมะ) เมกูมิ โนดาเมะ (นำแสดงโดย อุเอโนะ จูริ) ซึ่งถ้าใครได้เคยติดตาม
ทั้งจากแผ่นซีรีย์ที่จำหน่ายและเคยถูกนำมาฉายทางช่อง 7 สี
น่าจะพอเรียบเรียงเหตุการณ์ก่อนหน้า สืบเนื่องด้วยตัวละครเก่าๆจากภาคสเปเชียล
ยังคงปรากฎอยู่กันพร้อมหน้าอย่างพ้รอมเพรียง อาทิ
ฌอง ดองนาเดร์ (คู่แข่งท่านจิในภาคสเปเชียล) ยูโกะ(ผู้จัดการจอมกร่างของฌอง)
เจ๊ออดิตินี นังโนเอะมิ ,ฟรองซ์ (เพื่อนเมทอารมณ์ป่วย) เอลิเซ่ (สาวเจ้ากี้เจ้าการท่านจิ)
มัตซึดะ (จอมอิจฉา) คุโรกิ (คนที่เคยเป่าโอโบะกับวงไรซิงสตาร์) เป็นต้น
ซึ่งตัวละครล้วนที่กล่าวมา ถูกลดบทบาทให้กลายเป็นเพียงแค่ตัวละครหลังฉาก
ที่โผล่มาไม่กี่บท เพราะในส่วนของฉบับหนัง ไปให้น้ำหนักกับตัวละครหน้าใหม่
ที่คัดความเป็นชนฝรั่งเศสรับประทานครัวซองเป็นอาหารหลัก
ในฉบับหนังนี้ ท่านจิถูกยกระดับในอาชีพคอนดักเตอร์ตัวเสียบ
ให้กับวง"มาร์เล็ต" วงออเคสตาร์ของท้องถิ่น ที่ไวทยากรณ์คนก่อน
ตีชิงหนีเอาตัวรอดเพราะเห็นท่าจะไปไม่รอด หากยังขืนมาเป็นคอนดักเตอร์ให้กับวงชุดนี้
ความที่ท่านจิ เป็นคอนดักเตอร์มีฝีมือ ระดับดีกรีแชมป์หน้าใหม่จากยุโรป(ต่อจากสเปเชียล)
และที่สำคัญที่สุด เป็นคอนดักเตอร์ชาวเอเชียที่ไม่โก่งค่าตัว ซึ่งมีความหมายถึง "ถูกเข้าว่า"
จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม และไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก




แต่การเข้ามาของท่านจิ ก็ต้องเผชิญอุปสรรคในแง่วัฒนธรรมองค์กรของวง
ด้วยปัญหามรสุมรุมเร้าก่อนหน้า ทั้งความไม่เป็นมืออาชีพของวง การถอดตัวของเพื่อนสมาชิก
การแบ่งเวลาซ้อมกับเวลาการทำงาน และที่สำคัญ คือ
การเอาชนะใจหัวหน้าวงที่หน้าบอกบุญไม่รับ อย่าง โทมัส ซิมอน
ที่เริ่มจะหมดไฟในการควบคุมวงและตราตรึงกับคณะออเคสตาร์ที่มีสเตรชมันด์เป็นผู้คุมวง
(ซึ่งถ้าใครพอได้ติดตาม คงพอนึกออกนะว่า ท่านจิของเราก็เป็นศิษย์เอกนอกรอบของสเตรชมันด์)
การที่ท่านจิ ซึ่งเป็นชาวเอเชียต้องมาเล่นคอนเสริต์ร่วมกับวงที่ชาวฝรั่งเศสร่วมครึ่งร้อยชีวิต
บนโรงภาพยนตร์เก่าที่เป็นตำนานแดนน้ำหอม อย่าง โรงภาพยนตร์บล็องซ์
สถานปะทะสังสรรค์ทางดนตรีที่ชนผู้ลุ่มหลงในเชิงศิลปะ แบบที่เกิดคีย์เพี้ยนแล้ว
หูก็พร้อมจะกระดิกจับผิดได้อย่างฉับพลัน ถือเป็นการวัดใจทางพรสรรค์และอุตส่าหะทางดนตรี
ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ง่าย เพราะอย่างลืมว่าอุปนิสัยสุดเนี้ยบ-เฮียบเรียกพ่อของท่านจิ
ก็ไม่ได้จางหาย หรือว่าวางซุกเก็บหลังจากหายกลัวเครือ่งบิน ไว้ที่ประเทศญี่ปุ่นแต่ประการใด



โดยภาพรวมแล้ว ถือเป็นข้อสงสัยแต่เริ่มต้นสำหรับตัวผู้เขียนแล้ว่ว่า
ผู้กำกับ "ทาเกอุชิ ฮิเดกิ" แกจะเลือกมุมอะไรให้ได้เล่นสำหรับ Nodame The Movie ได้อีก
แต่กระนั้น ก็ไม่อาจดูแคลนหัวช่างไถลของผู้กำกับท่านนี้ได้
เพราะก่อนที่รู้ว่าจะมีการสร้างโนดาเมะ จากฉบับการ์ตูนมาสู่ฉบับซีรีย์
ในฐานะที่ได้อ่านโนดาเมะฉบับมังงะ ของผู้วาดโทโมโกะ นิโนะมิยะมาก่อน
ก็คิดพล็อกเรือ่งไว้ในประมาณหนึ่ง แต่ไม่นึกว่าผู้กำกับจะพาเตลิดและเริ่ดสแมนแตนได้ยิ่งกว่า
ทำให้ซีรีย์คอเมดี้ไก่กาบ้าบอและคอเกือบแตก กลายเป็นซีรีย์สุดคลาสสิก
ที่ไปได้ดีจนเกือบหลุดวงโคจร บนความอ่อนไหวของกวีบทเพลงออเคสตาร์คลาสสิก
ที่ไม่ใช่เพียงแค่การยัดใส่ แต่บรรจงวางเก็บไว้อย่างศึกษาทำการบ้านมาดี
อีกทั้งหยอดลูกรายละเอียดของแต่ละเพลง ทำให้ดนตรีที่ไม่มีคำร้องฟังดูมีความหมาย
ผ่านจินตนาการและแรงบันดาลใจของผู้ประพันธ์
และในหลายๆเพลงคลาสสิก ถูกส่งผ่านความหมายระหว่างตัวละครโดยไม่ต้อง
สร้างสถานการณ์มาเป็นตัวอธิบายหรือชุดคำสนทนาเพื่อกระชับพื้นที่ตัวละคร
ซึ่งใครจะไปคิดว่า ผู้กำกับคนนี้เป็นคนๆเดียวกับที่เคยสร้างงานซีรีย์
อย่าง Fire Boys และ Densha Otoko ที่มีฐานของความเป็นซีรีย์บนพื้นฐานความเป็นจริงยิ่งกว่า




และโดยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน โนดาเมะเดอะมูวี่
ไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งขยายขายกันกินให้เยอะขึ้น เพราะโดยเนื้อหาสาระแล้ว
สามารถเล่าเรือ่งจบได้เพียงภาคเดียวก็เหลือแล่ แต่เข้าใจว่าผู้กำกับต้องการ
ใส่รายละเอียดของสองภาคตัวละคร โดยท่านจิรับผลประโยชน์ไปเต็มๆในภาคแรก
โดยมีน้องเมะเป็นส่วนชูรสฮาๆขำๆในภาคเสริม ซึ่งก็มีแนวโน้มอย่างเดาสุดโต้งได้ว่า
น้องเมะน่าจะมารับบทดรามาเต็มๆในส่วนของเดอะมูวี่ภาคที่สอง
โดยอาศัยเพ่งทางและนั่งทางในของผู้เขียนเป็นสำคัญ
จากทิศทางของเครือ่งบ่งชี้ในภาคแรกและทีเซอร์ยั่วน้ำลายในภาคที่สอง
จึงไม่แปลกที่การอธิบายในภาคแรก ผู้เขียนจะอ้างความเป็น"ท่านจิ" อย่างหนาตาขึ้น
ขณะที่สัดส่วนอิงแอบอ้างถึงน้องเมะ ดูน้อยจนบางตาลง
ลองคิดดูสิครับ! มีอย่างที่ไหน ที่ในฉบับหนังจะมีสัดส่วนของการรำลึกความหลัง
โดยไปตัดในส่วนสำคัญๆในภาคทีวีและภาคสเปเชียล แล้วมาปะติดปะต่อทำความเข้าใจ
ไปกว่า 20 นาที สำหรับหนังที่มีความยาว 122 นาที (หมดไปหนึ่งส่วนหกของหนังทั้งหมด)
เข้าข่ายขุดของเก่ามากินชัดๆเลย ส่วนคนที่ไม่เคยดูอาจได้ลูกชี้แจงตัวละครก็บัดนี้อะ)
แต่แบบแผนนี้ ยังพอให้อภัยกันได้ เพราะในแง่ของเพลงบรรเลง
ที่ต้องเป็นไฟล์บังคับห้ามขาดสำหรับโนดาเมะไดเร็กชั่นแล้ว ซึ่งในภาคเดอะมูวี่ถือว่า
สร้างไฟล์บังคับได้น่าสนใจ มองแบบคนไม่รู้วิชาเพลงบรรเลง ที่ผิวปากก็ยังผิดคีย์
แต่บทของหนังที่ใช้ตัวละคร อย่าง แฟร็งค์ สเตรซมันน์ (เล่นโดย นาโอโตะ ทาเกนากะ
ที่มาครั้งนี้เน้นมาดเข้ม ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังจดจำบทบ้าๆบอๆใน water boys อยู่ดี)
เป็นผู้ชักใยและกำหนดบททดสอบสุดหิน ให้คู่รักท่านจิกับน้องเมะ เพื่อพิสูจน์รักแท้
และฝึกปรือวิชาฝีมือบนเวทีระดับนานาชาติ โดยอาศัยเส้นสายความมีชื่อเสียงของตน
มันจึงนำมาซึ่งเพลงไฟล์บังคับของคีตกวี อย่าง Sorcerer's Apprentice ของ พอล์ก ดูการ์
Belero ของ เรเวล , Barenreitte ของ โมสาร์ต ,Symphony No 6 in B Minor ของ ไซคอฟสกี้




และสองบทคีตประพันธ์ ที่ผู้เขียนคิดว่าคนเขียนบท "อิโตะ ริน" ฉลาดในการวางเงื่อนไข
และเชิญชวนให้น่าติดตามอย่างยิ่งในครึ่งหลัง
คือคีตประพันธ์ "Overtune 1812 ของ ไซคอฟสกี้ ซึ่งผู้เขียนก็ไม่รู้หรอกนะว่า
แรงบันดาลใจที่ไซคอฟสกี้แต่งบทประพันธ์นี้เป็นไปเพื่อการใด แต่จากในหนังแล้ว
หนังเล่าว่า เป็นบทเพลงที่เฉลิมฉลองในความพ่ายแพ้ของกองทัพของนโบเลียน
ที่บุกเข้ามายึดมอสโก หลังจากตีฝ่ายึดพื้นที่ในเขตยุโรปตะวันออกโดยศิโรราปตามกัน
จะเหตุด้วยความไม่ชำนาญในเขตพื้นที่ที่เหน็บหนาวและฝูงกองทัพที่เหนื่อยล้าจากการกรำศึก
ประกอบกับการรุกคืบป้องกันของชนชาติรัสเซียอย่างสุดจิตสุดใจ
จึงบังเกิดความยิ่งใหญ่ผ่านบทเพลงที่มอบให้แก่วีรชนผู้กล้าชาวรัสเซียทั้งหลาย
เพื่อสดุดีในศึก Battle of Borodino ในปี 1812
การที่ท่านจิ ถูกบังคับให้ต้องเล่นเพลงของชาวรัสเซียบนผืนเเผ่นดินฝรั่งเศส
ที่ถ้าไม่อาจเค้นพลังจนสุดตัวจนเป็นที่ยอมรับได้ ก็เท่ากับตายทั้งเป็นในอาชีพทางดนตรี
เพราะก่อนหน้านี้วงมาร์เล็ต ก็เล่นได้ฮาแตกในฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ภารกิจนี้ จึงเป็นภารกิจสุดท้ายที่จะมากู้หน้าชือ่เสียงของวง รวมทั้งบารมีที่สั่งสมของตัวท่านจิเอง
ซึ่งการขอถอนตัวจากวง ดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในการรักษาอนาคตทางอาชีพ
ก็รู้ๆกันอยู่ว่า ขนบนิยมของหนังญี่ปุ่นจะนำพาเราไปในทิศทางไหน




ส่วนอีกเพลงที่เป็นภาคเปียโนบรรเลง รวมกับวงออเคสตาร์ คือ
"Concerto Piano No 1 in D minor ของ บาร์ค" ก็ถือเป็นลูกเด็ดที่คนเขียนบท
จัดวางเอาไว้ขยี้ เพื่อไปกระทบชิงให้เกิดปมปัญหาคาใจ ระหว่างพรสวรรค์ของตัวท่านจิ
และความน้อยเนื้อต่ำใจที่เป็นอาการเดิมๆของหนูเมะ ซึ่งเป็นมาแต่ไหนแต่ไร
ตั้งซีรีย์ภาคปกติและยังตามไปสมทบกันในภาคสเปเชียล ในหนังไมได้บ่งบอกนัยยะอะไรชัดเจน
เกี่ยวกับเพลงนี้ แต่มนต์ขลังของบรรยากาศ การตัดต่อภาพ และการสอดรับตามท่วงทำนอง
ยังคงเป็นสไตล์ "เชื่อตีกิน" ของผู้กำกับฮิเดกิ ที่แม่นยำในการวางจังหวะ บังคับอารมณ์คนดู
แม้จะเป็นกรรมวิธีที่เก่าตามแบบฉบับโนดาเมะ แต่ก็มักจะสะกดคนดูได้อยู่มัด
ทั้งๆที่โนดาเมะ ไม่ใช่สื่อบันเทิงประเภทเร้าอารมณ์คนดู
แต่มียุทธวิธีในการนำเสนอ และตอบสนองในลูก "ฮา" และ ลูก "คล้อย"
ท่ามกลางตัวละครที่ชุลมุนในแนว "เปิ้น-เริ่ด-เนริ์ด-ป่วย" ซึ่งถ้าไม่ใช่ความเป็นญี่ปุ่น
ที่มีวัฒนธรรมมังงะ ปกคลุมในวงกว้างที่เป็นตัวรองรับมานมนานด้วยแล้ว
ขืนประเทศไหนริจะเอามาทำ ก็คงไม่พ้นอารมณ์ ยี้ๆ อะจึ๋ยๆ เป็นแน่



ถือเป็นงานที่แฟนโนดะเมะ น่าจะสบายใจที่จะได้ชม
ส่วนแฟนใหม่ ก็อาจได้ลูกชื่นชมในแง่เพลงคลาสสิกแม้จะอคติด้วยฤทธิ์"ตูน"จัด
ยังไม่นับรวมพวกโอตากุโมดาเมะ ที่อุตสาห์ตามติดมาแต่ไหนแต่ไรเป็นทุนเดิมอยู่กอ่นแล้ว
แม้โดยโครงภาพรวม อาจจะดูไม่แตกต่างไปจากความเป็นภาคสเปเชียล
ที่คนยุ่นจะตามหาฝันในดินแดนตะวันตกที่ห่างไกล แบบตั้งใจผลัดที่นาคาที่ไร่
ซึ่งคงพอเข้าใจว่า ถ้ายกระดับความเป็นหนังเมือ่ไร
ทั้งในแง่ของทุน โปรดักชั่น อนิเมชั่นกราฟฟิก
มีระดมใส่ให้อย่างหนำใจ แต่ในแง่ของบทแล้วเป็นอีกเรือ่ง
ที่ยังไม่อาจกล้าวัดได้ว่าฉบับทีวี กับฉบับลงจอ
อย่างไรมันจะดีมากน้อยไปกว่ากัน คงต้องตบท้ายใน The movie ภาคสอง
ที่เพิ่งจะลงโรงในปีนี้ น่าจะพอมองเห็นและอธิบายได้อย่างกว้างๆครอบคลุมในทุกประเด็น
แต่เอาว่า อย่างน้อยๆก็ไม่ผิดกลิ่นไปจากหน้าทีวี
แบบทีเคยเห็น Galileo The Movie
ทำเอาแฟนฉบับซีรีย์ต้องร้อง "เฮ้ยละหว่าเฮ้ย" กันมาแล้ว ........




อิงข้อมูลโดย..........
wikipedia ,imdb ,



(ตัวอย่าง Nodame Cantabile the Movie ภาคหนึ่ง)




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2553    
Last Update : 25 ธันวาคม 2553 10:54:39 น.
Counter : 4750 Pageviews.  

Heaven's Coin ใยน้อ?สวรรค์จึงลำเอียง



พยายามจะระบายสต็อกซีรีย์ในช่วงที่จะใกล้สิ้นปีให้มากที่สุด
แต่คงเหมือนว่า ยิ่งระบาย ก็ยิ่งเป็นการกายกองแบบซ้ำเติมมากขึ้นทุกที
ตั้งใจว่า จะมาจัดอันดับซีรีย์สุโค้ยแห่งปีขาลศก
แต่ทว่าติดปัญหาที่ข้อมูลปีนี้ มันมีมากกว่าในปีฉลูศกพอสมควร
ซึ่งเกรงว่า การปล่อยปละละเลยดาราสักคน อาจจะเป็นการโยนบาปทั้งชีวิต
ให้กับดาราท่านนั้นกันไปเลย ซึ่งการแก้ตัวในปีหน้า
อาจจะเป็นระยะเวลาที่นานพอ จะทำให้ผู้เขียนไปเห่อในการหมวดร่ายเรื่องอื่นๆ
ซึ่งก็เป็นนิสัย โดยมีกมลบางสันเป็นเครือ่งรองรับจริตนี้เสียด้วยสิ
เอาเป็นว่า สัปดาห์นี้ขอขัดตาทัพด้วยการหยิบยกประเด็นที่กัลยาณซีรีย์
อย่างท่านมะนาวเพคะ ที่ฝากคำถามไว้ในช่องคอมเมนต์
เกี่ยวกับดาราที่ชื่อ "โนริโกะ ซากาอิ" ว่ามีเส้นทางโคจรในวงการบันเทิง
ให้พอคาบเกี่ยวความเป็นร่วมสมัยทางสายตา ว่าจะเคยข้องแวะเเกะห่อ
ในความบันเทิงใดให้พอกล้ำกลาย พอคุ้นหน้าเธอสักครั้งบ้างรึไม่
ซึ่งถ้าถามผม (ซึ่งเขาก็ถามแกนั่นแหละ) ถ้าเอ่ยชื่อ "โนริโกะ" ขึ้นมายามใด
ก็ทำให้ผู้เขียนต้องวางหมาก ปล่อยใบพลู ลืมปูนแดง เพื่อหวนคิดถึงวันเก่าๆ
คงมีเพียงซีรีย์เรือ่งเดียว ที่พอจะจดจำในตัวเธอได้
ซึ่งความจริง ก็มีเอ่ยเรือ่งนี้คาบเกี่ยวแบบฉวัดเฉวี่ยงชวนวิงเวียนศีรษะไว้หลายคร่า
ที่แรกทำท่าว่าจะแค่ แสดงวิชาผ่านช่องคอมเมนต์ แต่ยิ่งเติมก็ยิ่งเยอะขึ้น
เท่าที่พอจำได้โดยไม่ง้อเจ้ากูเกิ้ล ก็ตอนที่ร่ายซีรีย์เรือ่งJinกับ Ketsuekigatabetsu Onnaฯ
โดยที่ถ้าย้อนรำลึกถึงวันวาน
กับซีรีย์ของค่าย NTV ที่มีชื่อว่า Heaven's Coin ที่ไม่ต้องคอยนาน
ซ้ำร้ายยังจำต้องใช้ชีวิตแบบลุงบุญมีเพื่อมาระลึกชาติ ตบยักใย้และมาปัดฝุ่น
ซึ่งความคุ้นชินที่พอจะใบ้คนร่วมสมัยของผู้เขียนพอจำจดได้ คือ
"ชื่อไทย" ที่แฟนซีรีย์ที่เคยได้ชมทางทีวีไทย น่าจะรู้จักกันดีในชื่อ "สวรรค์ลำเอียง"




Heaven's Coin ที่จริงแล้วยังมีอีกชื่อ ที่เอาไว้ไปตีตลาดเยอรมันได้อย่างน่าไม่อาย
ในชื่อ "Die Sterntaler" (ซึ่งจริงๆแล้วน่าจดจำในชื่อเยอรมันมากกว่า เพราะเป็นการ
อาศัยโครงเรื่องนิทานพื้นบ้านของบ้านเขา (German fairy tale) มาดัดแปลงให้เป็น
ซีรีย์ดราม่าน้ำตาโศกแถมโลกนี้ยังกลั่นแกล้งทิ่มแทงให้ตกตายไปตามกัน)
มีสาวคนรักคนเดียวกัน จากพี่น้องต่างบุพการี
ที่จำต้องยื้อแย่ง เพื่อให้ได้ซึ่งความสุขสมอารมณ์หมายในการมีเนือ้คู่
เป็นงานเดอะสตาร์ที่ค้นหาคว้าดาว เพื่อมาประดับวงการบันเทิงบ้านเขา
ที่ปัจจุบันได้กลายเป็น "หน้าเก่า" สำหรับแฟนซีรีย์ญี่ปุ่นที่คงพอจะคุ้นหน้ากันดี
ด้วยพี่น้องผู้ต้องมายื้อแย่งคนรักเดียวกันนี้ ประกอบไปด้วย
พระเอกสองหนุ่มหล่อ (ตอนโน้น)
"ทากาโอะ โอซาวา" ก็พ่อหมอจินย้อนเวลาหน้าปลาจวดแบบไม่หล่อขอเร้าใจ
กับ "ยูกาตะ ทาเกโนอุชิ" หนุ่มหล่อหน้านิ่งแต่อารมณ์ไหลลึก
ผู้ที่ผ่านงานซีรีย์ระดับคุณภาพมามากมาย อาทิ Tomorrow,Beach Boys,
yankee bokou ni kaeru เป็นต้น
ส่วนนางเอกแกนกลาง แบบไม่ต้องสั่งน้ำส้มมาทานก็รู้ว่านางเอ๊กนางเอก
ที่ไปทำให้พี่น้องเกือบต้องแตกแยก เพราะปกติในบทเขาก็เขม่นขี้หน้าอยู่ก่อนแล้ว
สู่คำถาม ที่สะท้อน "ความเป็นไป"อย่างสาหัสสากรรจ์
(ที่ยังอาจจะยังไม่รู้ความเป็นมา) ของคุณป้า "โนริโกะ ซากาอิ"





I will come back soon and we'll ger married wait for me
(แล้วฉันจะกลับมาในไม่ช้าและเราทั้งสองจะได้แต่งงานร่วมกัน โปรดรอฉันนะ)


Heaven's Coin ถือเป็นซีรีย์ที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับสถานี NTV
ในฐานะระดับตำนาน แต่พอเข้ามาฉายในเมืองไทย
ทางช่องสามมาลีนนท์ ดันถูกจัดใส่ให้มาฉายตอนบ่ายแก่ๆสักงั้น
จึงเป็นบุญให้กับเหล่านักเรียนเลิกเร็วไม่กี่คน (และโดดเรียนบางคณะ)
ที่ยกระดับเกียรติ์แห่งวัยในปัจจุบัน ให้พอเรียก ลุงๆ ป้าๆ ก็ไม่ว่ากัน
ซึ่งถ้าจะให้กลับมามองย้อนและเล่าเท้าความถึงความหลังครั้งเก่า
ก็ต้องบอกว่า เป็นซีรีย์ระดับที่เน่าได้ใจในแบบที่ ถ้าน้องๆหนูๆ ที่เพิ่งมาติดตาม
รับชมซีรีย์ญี่ปุ่นในปัจจุบัน อาจจะนึกภาพตามและแสดงอาการไม่ออก
ผู้เขียนก็จะขอกลั้นใจเล่าความขื่นขมและทุกข์ระทมตามท้องเรือ่ง
แล้วจะรู้ว่า สมความปรารถนาของการตั้งชื่อเรื่อง ว่า "สวรรค์ลำเอียง"
ได้ครอบคลุมทุกกระบวนกรรม โดยที่จะแยกไปตามมุมองศาของความลำเอียง
ตามระดับชั้นสวรรค์ ซึ่งถ้าสวรรค์มีวุฒิภาวะตามอารมณ์แบบมนุษย์
สวรรค์ก็ไม่ใช่เคหวิมานอันน่าอยู่แต่ประการใด





You've got it wrong.lt wasn't to become happy.
That the girl gave her bread and clothing to others.
Like the girl in the story.
(หากเธอได้ทำสิ่งผิด สุขนั่นก็เป็นเพียงสิ่งจอมปลอม
เด็กหญิงคนนั้นให้ขนมปังและเสื้อผ้าของเธอแก่ผู้อื่น
เหมือนดั่งเรือ่งราวของเด็กผู้หญิงในนิยาย )

You already have strength and purity in your heart.
You knows someday you too will have stars falling down
on you.
(เธอจะเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและบริสุทธิ์ไปทั้งหัวใจ
เธอจะรู้ว่าสักวัน ดาวทั้งหลายบนท้องฟ้าจะตกลงมาสู่เธอ)



สวรรค์ลำเอียงในมุมที่ ๒๐
เรือ่งเกิดขึ้นในช่วงต้นของท้องที่ที่ห่างไกล และอยู่หลังเขาแบบกันดารครบสูตร
ในท้องที่เขตหนึ่งของฮอกไกโด ในช่วงเวลาที่มีหิมะหนาวเหน็บ
"ชุนอิจิ" (เล่นโดย โอซาวะ) เป็นหมอชนบทที่ใช้อย่างมีความสุขตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ในคลินิกโรงไม้เล็กๆ ที่ชื่อ Mihorobeisu Clinic โดยมีผู้ช่วยแพทย์ "อายะ"
(เล่นโดย โนริโกะ) สาวหูหนาวและเป็นใบ้โดยกำเนิด
ซึ่งทั้งสองต่างเป็นคู่รักและมีเป้าหมายที่จะแต่งงานร่วมกันในไม่ช้า
แต่ทว่า ชุนอิจิในอีกสถานะหนึ่งเป็นบุตรชายคนตัวหัวขบถ ที่มีบิดา
เป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนในเมือง แน่นอนว่าทั้งมีชื่อเสียง ร่ำรวยและมีอิทธิพล
ปรารถนาให้เขามาสืบทอดมรดกกิจการต่อ ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของโรงพยาบาล
เพราะไม่อาจพึ่งพาลูกชายหัวท้ายอีกคน ที่ชื่อ "ทาคูมิ" (เล่นโดย ยุกาตะ)
ที่แม้จะเป็นศัลยแพทย์มีฝีมือ แต่เพราะมีเคสต์การผ่าตัดที่ผิดพลาดครั้งหนึ่ง
เลยเป็นเหตุให้เขาทำตัวสำมะเร่เทเมา ให้ชีวิตเยี่ยงสิงห์เพลย์บอยผลาญเงินใช้ไปวันๆ
อันนี้แค่น้ำเน่าในบ่อบำบัดขั้นที่หนึ่งเท่านั้นนะครับ
ยังมีเน่า เกือบเน่า และใกล้เน่า จนเน่าสนิทอีกตามมิติองศา





In the same shallowway you love me.Don't worry,
l'll be the hospital director.l hate shuichi just as much as you do.
( มองได้อีกทาง ฉันรู้ว่านายชอบฉัน อย่าได้กังวล
ฉันจะได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลร่ำมะล่อ ฉันเองก็เกลียดเจ้าชุนอิจิมากพอๆกับนายนั่นแหละ)


เมื่อชุนอิจิ สัญญากับอายะว่าจะกลับมาหาเธออีกครั้ง หลังจากที่่พ่อของเขาเรียกตัวฉุกเฉิน
(ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าฉุกเฉินแค่ไหน แต่ผ่านโทรเลขมาคงไม่ส่งกันง่ายแบบ BB chat หรอก)
จึงเป็นเหตุให้พระเอกลูกกตัญญู ต้องขอลาเพื่อกลับไปเมืองเกิด แต่ก็ยังไม่อดทำซึ้ง
ผ่านสัญญาณสื่อสารทางมือให้กับอายะ ที่คล้ายๆจะบอกว่า
"รักนะเด็กโง่ รอเขาด้วยนะตัวเอง"
ชะตากรรมของสวรรค์ลำเอียงตามชื่อเรือ่ง เริ่มขึ้นบนขั้นบันไดเลื่อนของสนามบิน
ชุนอิจิได้ช่วยเหลือหญิงสาวที่กำลังจะตกจากบันไดเลื่อน จนเขานั้นตกไปกระแทกพื้น
กลายเป็นคนที่ความจำเสื่อม ลืมเรือ่งราวไปเกือบทุกอย่าง
และที่สำคัญ ลืมสัญญาที่เขาให้ไว้กับอายะว่าเขาจะรีบกลับมาเพื่อพบกันใหม่ในไม่ช้า
ความที่พ่อไม่อยากให้ลูกชายหัวปี ไปทนลำบากในเขตที่ห่างไกล
จึงสร้างปฏิบัติการสวมรอย โดยหาเจ้าสาวแบบอุปโลก
ว่าตัวเขาเอง มีคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้า ส่วนอายะที่รอคอยชุนอิจิวันแล้ววันเล่า
ก็ไม่เห็นข่าวคราวใดใดของตัวชุนอิจิ ซ้ำร้ายทางเขตได้หาหมอคนใหม่มาทดแทนเขาเรียบร้อย
เธอจึงตัดสินใจแพ็คกระเป๋าเพื่อออกตามหาชุนอิจิในเมืองหลวง และทนไม่ได้กับหมอคนใหม่
ที่มีพฤติกรรมขี้หลี แต่ความที่อายะไม่ประสีประสาโลกภายนอกและเป็นเด็กกำพร้าแต่กำเนิด
อีกทั้งเธอต้องมาประสบเคราะห์จากโจรขโมยกระเป๋า แบบ welcome to tokyo
ซึ่งเธอจดจำรูปพรรณของคนร้ายได้เลาๆ
แต่เพราะเกิดความเข้าใจผิดด้วยรูปทรงโดยบังเอิญ เธอจึงไปชี้ตัวคนร้ายเป็น ทาคูมิ
ซึ่งกำลังมีปัญหากับตำรวจ ทาคูมิคนที่ว่า ก็คือ น้องชายต่างมารดาของชุนอิจิ
ชุนอิจิที่เป็นแฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง





สวรรค์ลำเอียงในมุม ๖๐ องศา
ความเน่าแค่นี้ ถ้าเป็นระดับอินเซปชั่น ก็ขอบอกว่าเป็นเพียงฝันชั้นที่สอง
เพราะยังมีเรื่องราวความเน่าที่สร้างความเข้มข้น ความที่อายะอยู่ตัวคนเดียว
และทาคูมิมีแผนที่กำลังจะบอกเลิกแฟนสาวที่เขาไม่ปลื้ม จึงขอยืมตัวอายะ
ในฐานะเครือ่งมือในการบอกเลิก โดยแอบอ้างให้เธอเป็นแฟนสาวคนใหม่ของเขา
และนั่นก็เป็นเหตุให้อายะ ไปพบกับชุนอิจิ แฟนหนุ่มอีกครั้งที่โรงพยาบาล
ที่พ่อของชุนอิจิและทาคูมิเป็นผู้บริหาร เลยทำให้มีเส้นสายภายในทำให้
อายะได้ทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้ และต้องการอยู่ใกล้กับชุนอิจิให้มากที่สุด
โดยเชือ่ว่าสักวันชุนอิจิจะหายจากโรคความจำเสื่อม
แม้จะรู้อยู่บ้างว่า ชุนอิจิมีแผนที่จะแต่งงานกับสาวคนใหม่ในไม่ช้า



ความเน่าเริ่มกลิ่นยุงชุมขึ้น เมือ่หญิงที่ชุนอิจิจะแต่งงานด้วย
คือ หญิงคนเดียวกันกับที่ชุนอิจิได้เคยช่วยชีวิตเธอจากขั้นบันไดเลื่อนไว้
จนเป็นเหตุให้เขาต้องมีความจำเสื่อม
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตัวทาคูมิเริ่มค่อยซึมรักในตัวอายะมากขึ้น
ขณะเดียวกัน อายะเองก็ค่อยๆตัดใจจากชุนอิจิ จนวันหนึ่งชุนอิจิมีอาการไม่ดีขึ้น
ทาคูมิซึ่งมีปมในการผ่าตัดที่ผิดพลาด ต้องมารับหน้าเสื่อในการตัดผ่าฉุกเฉินให้กับพี่ชาย
แน่นอนว่า การผ่าตัดครั้งหนึ่งสำเร็จไปด้วยดี แต่เวรกรรมก็ยังไม่เลิกสัญจร
แฟนเก่าของทาคูมิ ยังคลั่งแค้นในตัวอายะไม่หาย จึงจวกแทงด้วยมีด
เป็นเหตุให้ทาคูมิจำต้องรีบผ่าตัดอายะโดยด่วน และอีกนั่นแหละ
การช่วยชีวิตเธอได้อย่างฉิวเฉียด ในขณะที่อีกด้าน
ความทรงจำหลังการผ่าตัวของชุนอิจิก็ค่อยกลับฟื้นดีขึ้น
อะไรจะลิเกไปกว่าซีรีย์เรือ่งนี้คงไม่มีอีกแล้ว แต่ความเน่าก็หาได้หมดแค่นั้น





Choose one ,if it's red you are mine.
(เลือกของขวัญสักอันสิ ถ้าเป็นสีแดงก็หมายความว่า เธอได้เลือกฉัน)



สวรรค์ลำเอียงในมุมที่ ๙๐
ถ้าในระดับชั้นนี้ ก็ต้องเรียกว่ากำแพงกันแล้วละครับ
คลื่นน้ำเน่าลูกใหม่ก็ซัดโถมลงมาอีก เมื่อชุนอิจิได้ความทรงจำทั้งหมดคืนมา
เขาประกาศขอเลิกงานหมั้นกับแฟนขี้ตู่ โดยที่ชุนอิจิไม่รู้ว่า
เธอกำลังจะมีลูกกับเขาในไม่ช้า วิญญาณนางเอกแสนดีอย่างอายะเกิดเข้าสิง
อายะได้เข้ามาห้ามการทำแท้งได้ทัน และเป็นฝ่ายที่ยอมตัดใจจากชุนอิจิเป็นการถาวร
(ไม่มามั่วเกาะเก้าอี้สมาคม จนมีแฟนกีฬากลุ่มใหญ่ ก่อหวอดขับไล่หน้าสถานีข่าว)
แม้จะรู้ว่าชุนอิจิได้ความทรงจำนั่นกลับคืนมาเป็นที่เรียบร้อย แต่นั่นก็เป็นดั่งสวรรค์ลำเอียง
เพราะอายะไม่อยากให้ลูกที่กำลังเกิดมา ต้องเป็นเด็กกำพร้า
ซึ่งอายะเองก็มีปมจากการเป็นเด็กกำพร้ามากอ่น




สวรรค์ลำเอียงในมุม ๑๘๐ ในระดับที่พลิกโลกออกจากชั้นบรรยากาศ
งานแต่งระหว่างทาคูมิกับอายะใกล้จะเกิดขึ้น หลังจากที่อายะตอบตกลง
สวรรค์กับดันมาให้ท่า เมื่อแฟนของชุนอิจิได้ตายลง จนชุนอิจิได้กลับมาเป็นโสดอีกครั้ง
ทาคูมิซึ่งเป็นน้องชาย รับรู้ถึงความรักของคนทั้งสองที่ยังแยกตัดใจไม่ขาด
จึงแสนโชว์แมนด้วยการให้อายะไปพบกับรักจากคนที่ใช่
แต่ทำดี ไม่ได้ดี ทาคูมิเกิดประสบอุบัติเหตุต้องตัดขาทิ้ง
นั่้นก็เป็นโอกาสดีๆ ที่เขาไปพบกับนางพยาบาลที่มาปรนนิบัติเขาจนกลายเป็นรักที่ลงตัว
แต่ก็ยังอีกละครับพี่น้อง ชาติที่แล้วคนทั้งสามคงได้สร้างวินิบากกรรมครั้งใหญ่
ทาคูมิมีแผนที่จะบอกลาครั้งสุดท้ายและกล่าวคำยินดีกับอายะ
แต่กลับกลายเป็นว่านางพยาบาลสาวคนใหม่ เข้าใจผิดคิดว่าทั้งสองกำลังกลับมาคืนดีกัน
จึงใช้ช่วงตอนโอกาสทีเผลอ ผลักอายะลงกลางถนนให้รถวิ่งชน
และนั่น ก็เป็นเหตุให้ อายะกลายเป็นหญิงพิการที่นอกจาก "เป็นใบ้และหูหนวก" อยู่กอ่นแล้ว
ต้องมากลายเป็นคน "ตาบอด" ครบสวรรค์ทุกชั้นที่จะลำเอียงได้ถึงเพียงนี้ โอ้!บทน้อบท



"did I forget any important promise", did someone love me, was I in love with someone".
(ฉันได้หลงลืมคำมั่นสัญญาที่สำคัญ ใครบางคนที่รักฉัน และฉันเคยได้รักกับใครบ้างคน)




Heaven's Coin (หรือที่คนญี่ปุ่นจดจำว่า Hoshi no Kinka)
เป็นซีรีย์โหลตอน ที่ผู้เขียนบท "ยามาสากิ จุนตะ"
ที่เรียกได้ว่า พลิกเกมส์อย่างน่าลำเอียงแล้วโทษสวรรค์กันสุดๆ
เรือ่งหนึ่งที่ซีรีย์ญี่ปุ่นปานจะมีได้ โดยอาศัย "กิเลส" และ "ตัณหา" ของมนุษย์
เป็นจุดพลิกเกมส์ ซึ่งถ่ายทอดได้อย่างโจ่งแจ้งและชัดเจน ในขณะที่ซีรีย์ญี่ปุ่นปัจจุบัน
เน้นความอึมครึม เตะไม่ถึงและอธิบายผ่านการกระทำได้ยากยิ่ง
อาศัยองค์ประกอบของตัวละครเพียงไม่กี่ตัว และเคาะเชื่อมโยงสัมพันธ์ไขว้กันไปมา
ดังนั้นผู้เขียน จึงมองความเป็น "สวรรค์ลำเอียง" ได้สองด้าน
ด้านแรก สวรรค์ลำเอียงในฐานะโชคชะตาที่เล่นตลก จนขำไม่ออกและจี้เองก็ไม่จักกะจี้
ของตัวละครหลักสามฝ่าย คือ อายะ ชุนอิจิและทาคูมิ ที่กะจะไม่ให้ลืมตาอ้าปาก
มีช่วงสุขสมหวังดั่งที่ตั้งใจไว้ยาวๆสักช่วงหนึ่งก็ไม่ได้ พอถึงจุดช่วงแสงสว่างจากสวรรค์
ที่ทำท่าว่าจะดีให้แฮปปี้เอนดิ้งซะ ก็วกกับมามืดมนบนสองมาตราฐานจากสวรรค์สักงั้น
มองในแง่ดี ก็เป็นการพิสูจน์รักแท้แม้ต้องปาดด้วยน้ำตา และเป็นกำลังใจให้กับคน
ที่ติดอยู่ในชั้นสวรรค์ลำเอียง ให้เอียงมองความเข้มแข็งของจิตใจโดยเฉพาะตัวอายะ
ที่ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตาและสวรรค์กำหนด-นรกเผชิญ





ด้านที่สอง ความเป็นสวรรค์ลำเอียง ในฐานะที่จัดความสัมพันธ์อันบังเอิญ
ของตัวละครอิจฉา-ริษยา ที่ดันมาอยู่ในสังคมที่ไม่ไกลกัน เป็นคนใกล้ที่ชวนเป็นภัยได้ทุกเมือ่
เพราะใครมันจะไปคิดว่า หมดจากแฟนอุปโลกคนเก่าของนายชุนอิจิแล้ว
ทุกอย่างน่าจะเข้ารูปเข้ารอย อีกทั้งคนรักของทุกฝ่ายก็ทำท่าว่าลงตัว
ที่ไหนได้ คนที่เข้ามาแทนที่กลับกลายเป็นคนที่มาแทงข้างหลังให้สถานการณ์ต้องแปรเปลี่ยน
ให้กลับมาในรูปอิรอบเดิม จะไปโทษสวรรค์หาเหงกเซียนฮองเต้ก็กระไร
คงต้องโทษจิตใจและความวู่วามส่วนบุคคล ที่ตีตนไปก่อนไข้และข้างนอกสุกใส ข้างในตะติ่งโหน่ง



ผลงานการกำกับของ โยชิโนะ ฮิโรชิ ( จาก Hotaru no Hikari,Anego)
ก็เป็นงานกำกับเเบบไม่ได้เร้าอารมณ์ แต่อาศัยการพรรณนาเล่าเรือ่งไปแบบเรือ่ยๆเฉื่อยๆ
ซึ่งจะว่าไป เป็นกรรมวิธีที่มีอิทธิพลต่อซีรีย์หลายต่อหลายเรือ่ง เท่าที่จับทางได้ในปีนี้
ก็มีซีรีย์หมอโรง'บาลมหาชน Tomorrow ที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายตัวละครแต่ละตัวว่า
มีความเป็นมาอย่างไร ก็อาศัยการเดินเรือ่งเอื่อยๆ แล้วเรือ่งราวค่อยๆผูกโยงสัมพันธ์
คนนี้คนนั้นกันเอาเอง ซึ่งก็วกวนกันอยู่ไม่กี่ตัวละครและมีลูกความสัมพันธ์อันบังเอิญ
เป็นตัวเชือ่มให้ซีรีย์มันอยู่ในกรอบ ไม่ให้เข้ารกเข้าพงขยายความมากไปกว่านั้น
แต่สิ่งที่น่ากลัว เมื่อมามองในสายตาของปัจจุบัน Heaven's Coin
ถือว่ามีความเสี่ยงในแง่ การใช้ปัจจัยของ"ตัวละครรอง"ในฐานะที่เป็นจุดเปลี่ยนผันให้เรือ่งราวดำเนิน
อย่างต่อเนื่องและสร้างเงื่อนไข โดยที่คนเขียนบทไม่กังวลว่าตัวละครเหล่านี้จะได้รับความ
เห็นอกเห็นใจรึไม่ กล่าวง่ายๆคือ ถ้าตัวละครหลักสามตัวไม่ทำให้คนดูรักและเอาใจช่วยไปกับเหตุการณ์ได้
นั่นหมายถึง มีแต่ตายกับตายเพียงสองสถาน
เพราะเขาไม่ได้แคร์ว่า จะเหลือสัดส่วนให้คนดูหลงรักในตัวละครรองอยู่กอ่นแล้ว
ดีว่าเรือ่งนี้ทำงานในส่วนของแกนหลักได้ดี อายะของเราเอาคนดูได้อยู่มัด
นอกจากความสวยที่เป็นต้นทุนให้เข้าสู่วงการและรับบทนางเอกแล้ว ความแสนดีของบท
ก็เอาชนะใจพ่อบ้าน แม่บ้านและลูกบ้าน จะเหลือไว้แค่เพียงเจ้าที่ ซึ่งมักไม่คอ่ยออกความเห็นนัก





Heaven's Coin ถือเป็นงานเปิดตัวที่สร้างชื่อ "ทาเกโนะอุชิ ยูกาตะ"
ในฐานะดาวรุ่งดวงใหม่เข้ามาประดับวงการ เมื่อไปคว้ารางวัล Golden Arrow Award ครั้งที่ ๓๓
ส่วนรางวัล Japan Drama Awards ครั้งที่ ๕ ซีรีย์เรือ่งนี้ได้รับไปสองรางวัล
จากทีมสต็าฟทั้งหลาย ก็ถูกเหมาให้รับรางวัล
อีกส่วนหนึ่งก็ตกกับคนที่ถูกเอ่ยถาม???
"ซากากิ โนริโกะ" ในฐานะนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งก็ถือว่าเล่นได้ยอดเยี่ยม
ตามขนบนิยมสมัยนั้น ที่รักสามเศร้าเราสามคน จะต้องเชิดชูให้"นางเอก"เป็นแกนกลางของเรือ่ง
เพราะเธอต้องแบกบท ทั้งในสว่นของความพิการ ทั้งหูหนวกและเป็นใบ้
และมาแถมท้ายให้กับตาบอดอีกสองข้าง
ที่ต้องเค้นทั้งหน้าตาและภาษาใบ้ ชี้โปชี้เปไปตลอดทั้งเรือ่ง (ชี้ผิดจิ้มตาเพื่อนร่วมงานก็มี)
อันไหนที่เกินความสามารถทางการสื่อสารหน่อย ก็เขียนผ่านลายมือแทน
ตรงส่วนนี้ทำให้นึกถึง น้องยูอิจากซีรีย์ Smile ที่มีความคล้ายคลึงกัน
(แต่แพ้กันตรงเรือ่งความใสในรอยยิ้ม)
แต่ความหงุดหงิดจากความแสนดีของบทอายะ ก็ยังดูหงุดหงิดน้อยกว่าความแสนดีของบิตโตะ
จากในซีรีย์ smile ซึ่งน่าจะเป็นในส่วนของบริบทของยุคสมัย
ที่กำหนดกรอบพฤติกรรมของตัวละครหญิง ที่มีแม่แบบมาจาก"โอชิน" ว่าอย่าได้แคร์ผู้ชาย
แปลกนะที่ใน heaven's coin แทบไร้คะแนนสงสารจากคนดู
คล้ายกับบทถูกสร้างมาเพื่อไม่เรียกร้องขอความเห็นใจจากผู้อื่น อีกทั้งอายะเอง
เธอก็สามารถแสวงหาช่องทางที่เหมาะสมให้แก่ตัวเธอเอง อย่างพระเอกไปมีคนใหม่
ฉันก็หาทางเดินของฉัน เอาเข็มไล่จิ้มคนไข้ไปวันๆ หรือหันไปรับรักกับน้องชายพี่ก็ได้ ชิวๆ
เลยกลับกลายเป็นว่า เราไม่อาจจะไปโทษการกระทำคนหนึ่งคนใด
เพราะล้วนแล้วแต่มีแรงดลใจให้เป็นฝ่ายกระทำและเป็นผู้ถูกกระทำ
งานนี้คงหนีไม่พ้น ประชาชนคนดูลงทัณฑ์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมานั้น หาใช่เกิดจากตน
แต่เป็นเพราะ "สวรรค์ลำเอียง"




แล้วก็มาถึงคำถามแบบตรงประเด็นสักที
หลังจากที่เล่าอ้อมไปอ้อมมา ตามประสาเน็ตโหลดช้ากว่าจะเข้าหาคำตอบ
เลยต้องหาสิ่งอธิบายอื่นเพื่อแก้เขินจากเน็ตไม่ค่อยเดิน
ในบท "อายะ" แม้จะเป็นนางเอกแสนดี ที่ใครตอนนั้นเปิดได้ชม
ยอ่มจะได้ลูกอ้อนและคะแนนเห็นอกเห็นใจของยอดหญิงบูชิโด ไม่แพ้โอชินรุ่นแม่
แต่ทว่า ในโลกของความเป็นจริง "โนริโกะ ซากาอิจัง" เผชิญมรสุมเรือ่งติดยาเสพย์ติด
ประเภท methamphetamine (หรือยาบ้า) เพิ่งจะหย่าร้างกลางปีนี้
และการหายสาปสูญจากวงการระยะหนึ่งพร้อมลูกชาย
ชื่อ "โนริ-พี" ถือเป็นนักร้องสาวเจป็อบที่โด่งดังมากในกลางปี ๙๐ ไม่เพียงแค่ญี่ปุ่น
แต่รวมถึงไต้หวันและฮ่องกง แต่นับจากคดีที่มียาเสพย์ติดไว้ในครอบครอง
เธอเองก็ถูกพักงานยาวไปจากวงการ ถูกเลิกสัญญากับค่ายเพลงในสังกัด
เรียกเก็บอัลบั้มที่วงขายตามแผงเทป และถูกลบเว็บไซด์ส่วนตัวออกจากต้นสังกัด
ปัจจุบันเ ธอยังคงถูกภาคทัณฑ์ในคดีที่รอการตัดสิน ชีวิตวัย ๓๙ ปีของเธอ
จึงมุ่งเน้นในทางเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้กับสถานศึกษาในเรื่องการพยาบาลและสังคม
ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมดาราหญิงที่ผู้เขียนเคยปลื้มเมื่อครั้งวัยเยาว์นี้
ยามที่เจอะกับดราม่าในชีวิตจริง ล้วนแต่ไปไม่เป็นและไม่รู้จักใช้ทักษะจากซีรีย์
เพื่อนำไปประกอบใช้ในชีวิตประจำวัน คราวก่อนก็เพิ่งหยิบอุทาหรณ์ของ
"มิยาซาวา ริเอะ" นางเอกจากเรือ่ง Concerto ไปทีนี้ละน๊าผลจากการทำอะไรไม่ปรึกษาแฟนคลับ)




เมื่อทางค่าย NTV เห็นถึงความโด่งดังและเน่าได้ใจคนดูทุกหัวระแหง
Heaven's Coin ภาคสอง จึงถูกเร่งสร้างตามมาหลังจาก
จบภาคแรกที่ชื่อ Hoshi no Kinka เพียงหนึ่งปี
Heaven's Coin ภาคสอง Zoku Hoshi no Kinka โดยภาพรวมก็โอเค
แต่ผู้เขียนทนฤทธิ์ความเน่าระทมไม่ไหว จึงจบความประทับในภาคแรกและเสพย์
ความเป็นภาคสองแค่เพียงเล็กน้อย ด้วยยุคสมัยอันพอสมควรแก่เวลา
แต่กระนั้นกระแสตอบรับก็ยังดี จนต้องมีการสร้างภาคสเปเชียลเพื่อเอาใจคุณพ่อยกแม่ยก
ก่อนจะทิ้งช่วงไปหลายปี
จนในปี ๒๐๐๑ จึงมีการกลับมาสร้างภาคที่สาม Shin Hoshi no Kinka
ด้วยทีมนักแสดงยกเครือ่งใหม่ทั้งชุด ซึ่งดูรายชื่อก็น่าจะดี
เพราะมี "ฟูจิวาระ" (จาก DeathNote,Bettle Royal)และ"โฮชิโนะ มาริ" (จากAir Doll)
เสียงตอบรับไม่ดีเท่าคนรุ่นพ่อเล่น เหลือแต่เพียงผู้กำกับฮิโรชิที่พอไว้ใจได้
ตั้งแต่นั้นมา Heaven'Coin ก็ถูกพับเก็บในลิ้นชัก
ไม่มีการถูกนำกลับมาสร้างขึ้นอีกเลย ........




ได้ข้อมูลช่วยกระตุ้นความทรงจำจาก...........

haiku@bloggang and wikipedia




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2553    
Last Update : 12 ธันวาคม 2553 22:27:33 น.
Counter : 2740 Pageviews.  

หมอโคโตะภาคสอง ดีเสียจนต้องยกให้เป็นซีรีย์ยอดเยี่ยมประจำปีขาลศก


และแล้ว การรอคอยส่งท้ายปลายต้นเดือนของปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป
ก็เข้าสู่หมวดพิจารณาตามธรรมเนียม "ซีรีย์ยอดเยี่ยมแห่งปี"
ประจำปีนี้ หลังจากที่เมื่อปีก่อนส่งมอบให้กับซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง Orthros no Inu
แบบย่ำรุ่งไก่ขันเอ้กอี้เอ้กเอ้ก ตามประสาเห่อของใหม่ที่สดได้ใจกว่า
พอมาปีนี้ ผู้เขียนก็ตั้งท่ารอคอยจนเกือบในวินาทีสุดท้าย
เพื่อหยั่งเชิงและโยนหินถามทาง ให้ใครสักคนเดินสะดุด เอาว่า
"จะมีเรือ่งไหน น๊า!ที่น่าจะตีแซงในช่วงโค้งสุดท้ายในวันใกล้สิ้นปีเช่นนี้"




พูดอย่างงี้ ก็เท่ากับเผยไต๋มาหนึ่งองค์ธุลีแล้วว่า ผู้เขียนมีซีรีย์คาดหมายไว้ในใจ
เพียงแต่ว่า ยังไม่ได้นำมาโพทะนาหากิน เล่าเป็นคุ้งเป็นแค้วอันสมควรแก่เวลา
ตรงกันข้าม กลับจำต้องเก็บพะนำ กระะหมุบกระหมิบและจะจุกอกแตกตาย
ด้วยความที่ ซีรีย์เรื่องนี้ ดูจบไปเมื่อกลางตุลาคม หลังจากเพิ่งจะชงฟาด
ในส่วนของภาคสเปเชี่ยลซีรีย์แทบจะทันทีทันใด เสร็จสรรพระบายความในใจ
ก็กะจะหม่ำต่อ ในส่วนของภาคที่สองอย่างเต็มตัว และออกนอกหน้า
ด้วยสมาการของตัดสิน ในสูตรที่ว่า
"สิ่งที่คาดหวัง - สิ่งที่ได้รับ = กำไรจากสิ่งที่เกินความคาดหวัง"
และแน่นอนซีรีย์เรื่องนี้ ก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสิ่งที่ปรารถนาไว้เป็นอย่างดี





ครับ ซีรีย์ยอดเยี่ยมประจำปีขาลศก ผู้เขียนขอยกสองหัวโป้งมือกับสองหัวแม่เท้า
ให้กับซีรีย์เรือ่ง "Dr. Koto Shinryojo ภาคที่สอง" ของค่ายฟูจิทีวี
ชนิดที่ลองพยายามเอาตราชั่งอคติ หักลบกลบชังกับอีกหลายซีรีย์
ที่ได้ร่ายมาอาทิตย์ละเรื่อง เรียกว่าต้องผ่านสายหินในไม่ใช่น้อยเอาการ อาทิ
Jin ,smile,life,precious time,tomorrow,karei naru ichizoku เป็นต้น
สุดท้ายก็ไม่อาจแย่งพื้นที่ทางใจให้กับหมอโคโตะได้แต่อย่างใด
ซึ่งดีอย่างไรนั้น ก็ขอโฆษณาชวนเชื่อและใสไข่สักใบสองใบเพื่อเสริมรสชาติโปรตีนทางสมอง




เพื่อความกำชับ และไม่ลงทะเลน้ำลึกแบบที่เคยเล่นกันมา
ขอไม่ว่ากันในเรื่องของการปูฐานของรายละเอียด
เพราะได้ร่ายอย่างมโหราฐไว้ในสว่นของ หมอโคโตะทั้งภาคหนึ่งและภาคสเปเชี่ยลไปแล้ว
แต่สิ่งที่ภาคสอง ทำไว้และได้ใจอย่างแรงส์ เป็นผลของการสืบเนือ่งจากชะตากรรม
ของแต่ละตัวละครที่สร้างไว้และกำหนดปลายเปิด
"กำหนดปลายเปิด" หมายถึงอะไร? ก็เป็นในส่วนของภาคแรก ที่ได้สร้างฐานการรับรู้
โดยเฉพาะพื้นฐานของตัวละครนั้นๆตามที่เราเข้าใจ และกำหนดความผูกพันในเชิงประสาน
ไขว้กันไปมาในแต่ละบุคลิกและสายสัมพันธ์ของตัวละคร จนนำมาสู่
ความเป็นเอกภาพเดียวกันของคนบนเกาะ ในฐานะชุมชนรวมหมู่
ที่เรียกแบบสำนวนหน่อย จะได้ว่า "รวมกันเราอยู่ แยกหมู่ดูกันกระจาย" ซึ่งการสูญเสีย
หรือการแยกจากของใครสักคน ย่อมกระทบต่อเอกภาพและความรู้สึกร่วมของคนดู
อันเป็นพื้นฐานหลักอยู่แล้ว ผู้เขียนเคยได้อธิบายไว้สำหรับภาคสเปเชียลเอาว่า
มันเป็นจุด Turning Point ที่พลิกผันรูปแบบชีวิตของแต่ละตัวละครอย่างฉับพลัน
ทั้งในส่วนของไอ้หนูเทเคฮิโระ โดยเลือกที่จะไปเรียนต่อสายวิชาแพทย์ในเมืองกรุง
ซึ่งทาเคฮิโระจำต้องไกลห่างกับฮินะ ลูกสาวของครูคนใหม่ที่มาอยู่ประจำบนเกาะ
(ฮินะ เป็นเด็กหญิงภาคสเปเชียล ที่ถูกย้ายมาบนเกาะเพราะเชื่่อว่า
บรรยากาศบนเกาะที่ใกล้ชิดธรรมชาติและมีหมอเก่งอย่างหมอโคโตะ
จะช่วยคอยดูแลอาการหอบหืดเรื้อรังของตน โดยความปรารถนาดีของคนเป็นพ่อแม่
สถานการณ์ในภาคสเปเชียล ยังได้สร้างกรณีพลิกผันยังเจ้าประจำอื่นๆ
ไหนจะอาการเนื้องอกในสมองของแม่พยาบาลอายากะ ที่มีผลเปลี่ยนแปลงชีวิต
ครั้งใหญ่ให้กับปลัดอำเภอเซอิจิ เพียงจะบอกว่า
ความผันเเปรที่เกิดขึ้นในภาคสเปเชียลนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กน้อยที่เกิดขึ้น
เพราะในส่วนของภาคสองฉบับเต็มนั้น ยังมีอีกมากมายหลายส่วน
ที่จะ turning many points ให้กับโครงสร้างในเรือ่งราว
ชนิดที่พลิกไปก็พลิกมา จนเจ้ามือไม่กล้ารับแทง ซึ่งงานนี้
ถ้าในสว่นของภาคแรก คุณเตรียมกระดาษทิชชูใช้ไปได้เพียงแพ็คเดียว
ในส่วนของภาคสอง คุณก็ควรเตรียมซื้อไว้อีกแพ็ค ในยามฉุกเฉินที่ทิชชูขาดมือได้เลย




ถ้าใครที่เคยได้ชมในภาคสเปเชียล ที่ผู้เขียนอธิบายให้เข้าใจย่อๆว่า
มันก็คือ ตอนที่สิบสอง และสิบสาม ที่สืบเนือ่งจากบทอวสานในตอนทีสิบเอ็ดของภาคแรก
เพียงแต่จะเป็นช่วงก้าวกระโดดในระยะไกลที่มีความต่อเนื่องในภาคพื้นของการเล่าเรือ่ง
ไม่อยากบอก แต่ก็ต้องบอก ว่าภาคนี้ไม่ได้สร้างความสุนทรียภาพ
ในแบบที่ตบหัวแล้วลูบล้าง แบบวิธีการเดิมๆโดยการสร้างสถานการณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉิน
เพื่อให้หมอโคโตะโชว์ออฟ ที่เป็นสูตรสำเร็จหารับประทานในภาคแรกในเกือบทุกตอน
มาภาคนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงหมอโคโตะให้กลายมาเป็น "หมอสอน"
ในฐานะที่ปรึกษาทางจิตใจ ให้กับผู้อื่นที่สับสนในทิศทางที่จะเลือกก้าวเดิน
ตอ่ไปในอนาคตครั้งหน้า ตัดสินใจแทนพยาบาลอายากะ
ที่รู้สึกผิดเพราะอยากให้แม่ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลบาฝั่ง
โดยไม่ถามความสมัครใจของคนที่เป็นพ่อและผู้ป่วยที่เป็นแม่ อีกทั้งเธอดันมาค้นพบว่า
ตัวเองกำลังเป็นมะเร็งในระยะแรก ผลสุดท้ายพยาบาลอายากะ
เลือกที่จะขอเรียนต่อ เพื่อหาทางกลับมารักษาแม่และหาทางบำบัดรโรคของตัวเอง
ตัดสินใจแทน ทาเคฮิโระ ที่ผลคะแนนสอบไปได้ไม่สวยนักเมื่อต้องเจอคนเก่งจากในเมือง
การที่ต้องแบกรับความคาดหวังของผู้คนที่มองว่า ทาเคฮิโระเป็นหน้าตาให้กับคนบนเกาะ
และสำคัญเหนืออื่นใด พ่อของทาเคฮิโระ ที่ยอมสูญเสียเรือประมงซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิม
เพื่อจะได้พอมีค่าเทอมให้ได้ส่งเสียลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โดยยอมผันชีวิตอาชีพตัวเอง
ไปเป็นกรรมกรเเบกหาม ที่ชีวิตเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เกิดอุบัติจากการทำงาน
อีกทั้งยังถูกหลอกโดยนำเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตอนหลังมาทราบข่าวว่า
คนที่เคยอยู่บนเกาะเดียวกัน เป็นผู้หลอกเชิดเงินไป พูดง่ายๆว่า
ซีรีย์เสมือนเป็นการต่อยอดของการล่มสลายของผู้คนในอดีตชุมนุมบนเกาะ
อย่างสูญสิ้นและบัดซบนัก ชนิดที่คนดัดแปลงบท "โนริโกะ โยชิดะ" ที่เขียนมาตั้งแต่แรก
กะจะไม่รักษาน้ำใจให้กับแฟนซีรีย์ที่คบหากันมา แบบที่ถ้าตัวละครใด
คิดสั้นฆ่าตัวตายที่หนีปัญหา ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดคาดอะไรนัก
แต่คนดัดแปลงบทมีความฉลาด ที่จะตอ่เติมกำลังใจและวิธีคิดเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง
โดยผ่านคนในชุมชนที่ไกลบ้านและโชคชะตาที่เล่นตลกในภาวะฉุกเฉินของชีวิต
โดยเฉพาะตัวละครอย่าง อายากะ ,ทาเคชิโระและ ทาเคฮาชิ
ที่ต้องโดดเดียวเป็นคนเหงา จากการสวามิภักดิ์ของการเป็นคนเมืองชั่วคราว เพราะถ้า
ใครเคยได้ติดตาม บรรยากาศโดยภาพรวมของหมอโคโตะทั้งหนึ่งและสเปเชี่ยลแล้ว
คงรู้สึกและรับรู้ได้ถึงความชุลมุนวุ่นวายท่ามกลางความสุขแบบอบอุ่น
แต่พอมาภาคนี้ กลับเป็นการเรียนรู้ชีวิตทางเลือกของแต่ละตัวละคร
และดูเหมือนว่า ภาคที่สองนี้หมอโคโตะเอง ก็ได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตของตนเอง
จากผู้อื่น ที่นอกเหนือไปจากการผ่าตัด-ซื้อใจ เพราะมาตราฐานการได้ใจจากชุมชน
มันเกินล้นมาตั้งแต่ภาคแรก แม้จะมาครั้งนี้ในรูปพฤติกรรมหน้าเห่ยจะยังเหมือนเดิม
เพียงแต่ ถ้าครั้งหนึ่งหมอโคโตะเคยเป็นคนแปลกหน้า
ที่อาศัยความมีวิชาชีพและจรรยาบรรณเป็น "เครื่องซื้อใจ" คนบนเกาะโดยรวมแล้ว
มาภาคนี้ หมอโคโตะ แม้จะไม่ได้เป็นคนที่แปลกหน้าอีกต่อไป
แต่กลายเป็น "ผู้ถูกซื้อ" ในแง่ของความจริงใจ ใสซื่อของผู้คนและประสบการณ์นอกตำรา
ที่หาไม่ได้จากบนพื้นที่ชายฝั่ง โดยอาศัยธรรมชาติเป็นเครื่องชี้นำผ่านตัวสัจธรรมแห่งชีวิต
ซึ่งถ้าเป็นซีรีย์เรือ่งอื่นๆ คงจะมีวิธีคิดไปในแบบเดียวกัน แต่ทว่าสำหรับหมอโคโตะแล้ว
ไม่ว่าจะเลือกข้อไหน ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ทุกทาง และมีฐานการรอบรับที่ปูทางเอาไว้ทั้งคู่
สิ่งที่คนดูจะทำได้ เพียงการตามลุ้นและอธิษฐานในใจให้ตัวละครคิดเหมือนเราเท่านั้น




ผู้เขียนว่า เสน่ห์ของหมอโคโตะในภาคที่สองนั้น
เป็นการสืบเนื่องและดำเนินไปในทิศทางของแต่ละบุคคล
ไหนจะความเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวา ท่ามกลางตัวตนของปัจเจกบุคคลที่ตีจาก
นั้นหมายความว่า สูตรที่เคยได้ใช้กันมาโดยอาศัยนักแสดงตัวหนึ่งตัวใด
คอยเป็นตัวยืน ในภาคที่สองนี้กลายเป็นเรื่องของการบริหารชะตาชีวิตของแต่ละตัวละคร
ไปในทิศทางที่แต่ละคนได้เลือกกันก้าวเดิน ด้วยภาคนี้เขาไม่ได้จับเจ่า
อยู่กันเพียงแต่ในเฉพาะเกาะเป็นประการสำคัญ ตรงกันข้ามกับมีสัดส่วน
ของความเป็นเมือง ในอัตราส่วนที่พอสูสีกับความเป็นเกาะท้องถิ่น
โดยมีการสลับตัดถ่ายกันไปคนละเหตุการณ์ แล้วให้คนดูบริหารความเข้าใจกันเอาเอง
ยิ่งในสถานการณ์ที่เป็นดราม่าชีวิต ได้ยกระดับในการแสดงข้ามขั้นไปอีกขั้น
นักแสดงแต่ละคนทำงานได้เป็นอย่างดี เข้าขากันเสียเหลือเกิน
โดยเฉพาะการสลับฉากคล้องไปกับเพลงบรรเลงที่ประพันธ์โดย "โยชิมาตะ เรียว" เจ้าเดิม
เรือ่งนี้ยังคงรักษาระดับการทำได้ดีและมีชั้นเชิง เรียบง่ายแต่ซึมลึก
และไม่ใช่ว่าจะอารมณ์ดราม่าน้ำตาแตกซ่าน มันก็ยังคงมีลูกตลกลูกทุ่งๆ
กระจายให้กะปริดกะปรอย ตอดเล็กตอดน้อยที่แม้ไม่ฮาแต่น่ารักอยู่โดยตลอด
อีกทั้งไม่ต้องห่วงว่า คนทีเพิ่งมาดูภาคสองแล้วจะไม่เข้าใจ
ผู้กำกับ อิสามุ นาคาอิ คาซฺุฮิโระ โคบายาชิและฮิเดกิ ฮิราอิ ยังคงรักษาทรัพยากร
และเอกลักษณ์ส่วนที่ดีของหมอโคโตะได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ มีการลำดับเรือ่งย่อ
ของในภาคก่อนๆ เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างหยาบๆ ที่เหลือก็มีการชงของตัวละคร
เพื่อเสริมความเข้าใจให้ดีขึ้น อีกทั้งยังได้ใส่ความแปลกใหม่
แต่ไม่ผิดกลิ่นจนเป็นเหตุให้แฟนขาประจำต้องขุ่นเคืองกัน




แต่ความน่าเสียดาย ใช่ว่าจะไม่มี
โดยเฉพาะการไม่มีดาราคุณยายสายเหยี่ยวเจ้าประจำ อย่าง "อุชิ ทซึรุโกะ"
ที่เล่นโดย เซนคุกุ โนริโกะ เพราะคุณยายเธอได้ประกาศอัปเปหิจากวงการบันเทิง
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยวัยชราปาไปเก้าสิบกว่า อดีตเธอก็มิใช่ธรรมดา
เพราะเคยเป็นนักแสดงคู่บุญให้กับ ผู้กำกับฝรั่งปลื้ม อย่าง "อากิระ คุโรซาวะ"
ในระหว่างยุคปี 50-60 ผ่านงานบิ๊กทีใครเคยดู
ก็หาได้คุ้นหน้าเหี่ยวๆในปัจจุบัน ด้วยริว้รอยและความชราภาพที่ดูกลบเกลื้อน อาทิ
Drunken Angel (1948), Stray Dog (1949) The Quiet Duel (1949) Scandal (1950)
, The Idiot (1951) และ Seven Samurai (1954) ชนิดที่แฟนเก่าหมอโคโตะ
ที่ได้ชมภาคสอง ไปสักตอนถึงสองตอน คงต้องเปรยถามด้วยความระคนใจว่า
"ยายแกไปไหน" (งานชิ้นสุดท้ายที่ฝากไว้ คือTokyo Tower ในบทแม่ของแม่ของพระเอก)
เพราะ บทบาทในภาคแรก ถือได้ว่าเป็นตัวละครที่สำคัญและมีสีสันสำหรับเรือ่งอย่างมาก
แต่การไม่มีแกในภาคนี้ ก็ไม่ได้ลดทอนต่ออรรถรสของท้องเรื่องไปแต่อย่างใด
แม้ในตอนแรก ผู้เขียนจะเอะอะโวยวาย ทำท่าว่าจะส่งอีเมล์ประท้วงไปยังศาลโลก
เพื่อไถ่เธอคืนมาสู่วงการ แต่ทว่า ก็โดนปิดปากอย่างสนิทใจ
เมื่อทีมงานเขาได้ระดมพล เพื่อคัดสรรตัวละครใหม่เข้ามาเสริมรสชาติ
ในฐานะที่สร้างสีสันและเงื่อนไขใหม่ ให้เรือ่งของภาคสองแลดูเข้มข้นขึ้น
เพราะต้องเข้าใจว่าตัวละครอย่างนางพยาบาลอายากะ เลือกที่จะไปเรียนต่อในเมือง
นั้นย่อมต้องหมายความว่า ตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาลสาวต้องว่างลง
งานนี้ทางอำเภอจึงต้องมีการอิมพอร์ตนางพยาบาลจากนอก(เกาะ) หวยที่ได้ จึงเป็น
"นากาอิ มินะ" ที่รับบทโดย อาโออิ ยู (จากซีรีย์ แม่นาง Osen)
แม้จะเป็นพยาบาลสาว สวย เปิ้นและติดลูกโก๊ะเล็กน้อย แต่ทว่ากว่าจะได้การยอมรับ
ของคนบนเกาะ ก็ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจที่สถาบันโคโตะก็รองรับให้กันไม่ได้
มินะจัง จึงต้องอาศัยความมุมานะ ทุ่มเท แม้ในตอนแรกทำท่าว่าเห็นเลือดแล้วเจ๊จะเป็นลม
กระนั้นสุดท้ายความสวยก็นำพา แม้ฝีมือการรักษาจะพึ่งพาไม่ค่อยได้สนิทใจนัก
ดูจะผิดหลักกับการเลือกเล่นบทของน้องยู ที่มักจะมาในแนวเลิศเลอแสนเฟอร์เฟ็กท์
แต่หน้าตา ก็ถือได้ว่าเป็นโอสถชั้นเลิศที่ธรรมชาติสร้างขึ้นให้กับวัยสาว
ดังนั้นเวลาเครียดๆ หมอโคโตะภาคสองก็ช่วยรักษาโรคทางใจสำหรับผู้เขียนได้เยอะ
มากเสียยิ่งกว่า เจ๊โค ชิบาซากิ ในบทพยาบาลอายากะในภาคแรกจะพอช่วยได้เสียอีก
แต่การมาของมินะในครั้งนี้ คงได้ใจคนในคลินิกบางคน
โดยเฉพาะผู้ช่วยหนุ่มพยาบาล "วาดะ" จะได้โชว์แมน-แจ้งเกิด มีคู่กับเขาสักที
แต่ทว่า สุดท้ายก็ต้องมารู้ความจริงที่่น่าปวดใจบางอย่างของพยาบาลมินะเข้า
ก็ยิ่งเป็นการเข้าทางให้ส่งเสริมความโชว์ซูเปอร์แมน โดยไม่ต้องอาศัยการเล่นกล้อง
ถ่ายดะไปทั่ว แบบที่เห็นในภาคแรกอีกต่อไป




อีกภาคที่น่าเสียดาย คือ บทเพื่อนร่วมรุ่นวัยเด็กของทาเคฮิโระ
ที่ถูกลดสัดส่วนให้เหลือน้อย จนน่าตกใจ กลายเป็นทรัพยากรที่ถูกทิ้งร้างอยู่บนเกาะ
สำหรับภาคที่สองไป จึงเห็นมากสุดแค่บทพูดไม่กี่ฉาก ที่เหลือจากนั้น
ก็เป็นการสลับฉากเพื่อแก้ความเลี่ยนทางใบหน้าของนักแสดงหลักๆ
โดยเฉพาะ คูนิโอะเพื่อนวันเด็ก หรือ ฮินะสาวป๊อปปี้เลิฟ ที่น่าเสียดายส่วนนี้อย่างแรง
แน่นอนว่า การกลับมาถ่ายทำอีกครั้งหลังจากทิ้งช่วงไปสามปี ตัวละครเด็ก
ต่างเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงห้าวขึ้น ตัวโตขึ้น สู่ยุคแห่งการเจริญพันธ์
ที่ถ้าไปเทียบกับดารารุ่นเดียวกันจากเรือ่งอื่น ก็อาจเป็นบุคคลบ้านๆในที่สุด
การได้เล่นเป็นดาราวัยรุ่นในหมอโคโตะ ถือเป็นความโชคดีใหญ่หลวง
แม้ว่าเอาเข้าจริง จะเป็นซีรีย์ที่เจาะตลาดคนสูงวัยก็ตามที
แม้แต่ "ป้าเนเน่" ที่เล่นเป็น "เจ๊มาริโกะ" เจ้าของร้านอาหารประจำเกาะ
ก็ถูกหั่นให้บทยังน้อยตาม มาโผล่เวลาสำคัญในช่วงท้ายๆ
ที่มาให้ท้่ายและเสริมกำลังใจตัวพ่อทาเคชิ เเม้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดยังไม่ชัดเจน
ว่าตกลงมีสถานะอะไรกันแน่ คลุมเครือเสียยิ่งกว่าหมอโคโตะกับอายากะสักอีก
อันนี้ความเห็นส่วนตัว เด็กเล่นน้อ่ยไม่ว่า แต่ป้าเนเน่นี้ ขอกันไม่ได้เลยเหรอไง!




พูดอย่างนี้ ก็ต้องเอาหลักกาลามาสูตรเป็นเครื่องบ่งชี้
ว่าอย่าได้เชื่อสืบๆกันมาแต่อย่างใด แต่อย่างที่เคยบอกไว้ในภาคสเปเชี่ยล ว่า
"ยังคงได้รับรางวัล Galaxy Awards ครั้งที่ 44 ในสาขารางวัลพิเศษ
ฝ่ายทีมโปรดักชั่น ซึ่งโดยธรรมเนียมแล้ว โอกาสของการเชิดชูทีมงาน
จากความเป็นซีรีย์ภาคต่อ ดูจะไม่ง่ายนัก"
แต่รางวัล อาจมิใช่สถาบันให้ชวนคาดหวังแต่อย่างใด
เพราะหลายคนไปไม่ถึงฝั่งฝัน ด้วยฤทธิ์ของการเป็นอาร์ทขั้นเทพ
แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความเป็นงานมหาชนได้ดี โดยสถาบันเรตติ้ง
Video Research, Ltd ที่พอเป็นมาตราฐานชี้วัดประการหนึ่งในการ
เลือกสรรงานซีรีย์ ด้วยอัตราค่าเฉลี่ยที่ดีโคตรในระดับ ๒๒ กว่า
(ขณะที่หมอจิน ได้ไปเพียงเฉลี่ยที่ ๑๙) ตอนนี้ก็ได้แต่รอคอยภาคสาม
ที่คิดว่าทางสถานีฟูจิคงทำแน่ แต่จะจัดสร้างลงมือทำเมื่อไรอันนี้ยังไม่รู้
(เพราะถ้าทิ้งช่วงสามปี ที่สร้างขึ้นภาคแรกในปี ๒๐๐๓ มาภาคสองในปี ๒๐๐๖
ภาคสามก็น่าจะเป็นปี ๒๐๑๐ แต่ยังไม่เห็นมาแหะ)




โดยภาพรวม ถือเป็นงานสไตล์โคโตะที่ไม่ง่าย
เพราะโดยปกติ ผู้เขียนดูซีรีย์เรื่องหนึ่งเรือ่งใด มักจะจดจำได้เฉพาะเพียงบางตอน
และบางฉาก แต่ในซีรีย์หมอโคโตะแล้วกลับเป็นกลุ่มก้อนและความรู้สึกโดยรวม
ด้วยการดำเนินเรือ่งแบบแยกกระจาย คลี่คลายไปในช่วงเวลาเดียวกัน
กลายเป็นภาคที่แสดงยัตถาปัจจตัง อันยากจะประสานความซ่านเซ็น
ให้กลับมาเป็นกลุ่มก้อนเฉกเช่นเดิมเหมือนกันในภาคแรก
แต่ผู้กำกับก็ยังควบคุมกรรมวิธีแบบโคโตะ ที่เป็นสไตล์เอกลักษณ์เฉพาะตน
ทั้งการตัดต่อ ลำดับภาพ แสง มุมกล้อง การเล่าเรือ่ง มุขตลก
เป็นความหนักหนาที่ไม่ฟูมฟาย ยังพอเห็นประกายความหวังในช่วงเวลาที่ริบหรี่
แม้ปัจฉิมบทของภาคที่สอง จะลงเอยได้อย่างสวยงาม แฮปปี้กันไปในเปราะหนึ่ง
ซีรีย์ยังเปิดช่องว่างทางทรัพยากรเรือ่งราวในตอนท้าย เพื่อเปิดประเด็น
ให้ทีมงานได้เล่นพอเอาไปทำภาคต่อ ไม่จำเป็นต้องมุทะลุไปนั่้งเทียนเขียนเรือ่งในภาคหน้า
เพราะมีสิ่งที่ค้างคา ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาเป็นพยาบาลของอายากะบนเกาะอีกครั้ง
เส้นทางการเป็นหมอของไอ้หนุ่มทาเกฮิโระ การหวนกลับคืนทะเลของตัวพ่อทาเคชิ
ไหนจะสายปริศนาที่หมอโคโตะติดต่อไปยังคนที่บ้าน ที่ร้อยวันพันปีจะโทรหาให้เห็น
นี้ยังไม่นับแรงบันดาลใจของการอยากจะเป็นหมอของหมอโคโตะเอง
ยังไม่รวม แบบแผนการรักษาตามมาตราฐานทางการแพทย์ที่ยังหลอกหลอนไม่เลิก
ในภาคที่หนึ่ง ก็กลับมาสะกิดใจอนาคตของหมอโคโตะว่าจะเลือกเส้นทางทางการแพทย์อย่างไร
เรียกว่าการเดินทางของชีวิต ยังเป็นแค่เพียงการเริ่มต้น
และประมาณการถึงความเข้มข้นในลำดับต่อไปของเหตุการณ์
ที่ไม้ถูกพื้นรองรับการซับน้ำตา น่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่า........





ครั้งหนึ่งเคยร่ายซีรีย์โคโตะภาคแรก ไว้ที่Dr.Koto หมอชนบท,หมอเกาะ,หมอโคโตะ



ครั้งหนึ่งเคยร่ายซีรีย์โคโตะภาคสเปเชียล ไว้ที่ Dr.Koto Special วิถีที่เพียงพอของหมอโคโตะ




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2553    
Last Update : 13 กันยายน 2555 23:48:36 น.
Counter : 1944 Pageviews.  

Kimi wa Pet คุณผู้หญิงคือเจ้านาย คุณผู้ชายเป็นสัตว์เลี้ยง


มีซีรีย์เก่า อยากจะร่ายอยู่เรื่องหนึ่ง ทั้งที่จะว่าไปแล้ว
องค์ประกอบของความเป็นเรื่องราว ตลอดจนถึงตัวนักแสดงเอก
เข้าข่าย "อุดมคติชั้นกึ๋ย" ด้วยกันทั้งสิ้น อันนี้ใช้ทัศนะเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวนะขอรับ
ซึ่งจะว่าไป องค์ประกอบโดยภาพรวมอย่างงี้ มันง่ายนักที่จะ
"ง่ายที่จะหลงลืม และยากที่จะจดจำ" อยู่มิใช่น้อย แต่กาลเวลาล่วงเลยเนิ่นนานนม
ไม่รู้ว่าทำไมน้อ ยังคงนึกถึงซีรีย์เรื่องนี้อยู่มิรู้คลาย ถ้าให้ตอบตรงๆได้ในตอนนี้
เข้าใจว่าเป็นเรื่องของความแปลก สดและมีเสน่ห์อยู่ในตัวนั้นเอง




Kimi wa Pet หรือ ในชื่อไทย ที่หลายคนน่าจะพอรู้จักกันในชื่อ "โมโม่ที่รัก"
โมโม่ที่รัก! แค่ชื่อก็ออกอารมณ์กึ๋ยให้กับท่านชาย ที่อยากจะริลองชมสักครึ่งตอนเสียแล้ว
ซีรีย์เรื่องนี้ คงอยู่ห่างไกลที่จะคว้ามาดู ถ้าได้รับโอกาสให้กองอยู่ตรงหน้าในเวลานี้
แต่ทว่าซีรีย์เรื่องนี้กลับโชคดี ที่จังหวะเวลาของมัน ได้รับลิขสิทธิ์เผยแพร่
ทางช่องไอทีวี แบบดูฟรี ในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘
ในระยะที่ตลาดซีรีย์ญี่ปุ่นยังไม่ฟูมฟัก และการทักทายกระทำต่อหน้าซีรีย์
ทำได้เพียงการรอความเมตตาจากสถานี ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด





พล็อกเรื่องที่ชวนอัศจรรย์กำลังกึ๋ย เมื่อเปิดสู่สายตาประชาชีซีรีย์ คิดดูละกันว่า
ผู้หญิงสาวสูงวัยที่เลิศเลอโคตรจะเพอร์เฟกต์ ทั้งรูปร่าง หน้าตา
และประวัติการศึกษาระดับม.โตเกียว ปัจจุบันทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์
แต่ต้องตกอยู่สภาพของการถูกแฟนทิ้งอีกทั้งเจ้านายก็มักจะชอบลวนลาม
นี้ยังไม่นับปมฝังใจในวัยเด็กต่อสุนัขตัวโปรดของบ้าน ที่ชื่อ “โมโม่”
ที่ฝังเป็นระดับจิตใต้สำนึกจนแก่ปูนนี้ จึงเป็นเหตุให้ "สึมิเระ" (รับบทนางเอกโดย โคยูกิ)
มีอาการปวดหัวอย่างไม่จำเป็น ถ้าเรื่องราวหยุดลงแค่ที่ตรงนี้ ซีรีย์เรื่องนี้
ก็น่าจะยังพอเป็นที่ยอมรับได้ด้วยสามัญสานึกปกติ และวุฒิภาวะในปัจจุบัน
ที่มีขอบเขตการรับแนวแฟนตาซีได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งผิดกับปัจจุบัน
แต่ซีรีย์ ก็ทำให้ผู้เขียนเข้าสู่ภวังค์ "กึ๋ยอะลึกกึกกึก"
เมื่อหล่อนกลับมาที่ห้อง แล้วพบชายหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งนอนคุดคู้อยู่ภายในลัง
ท่ามกลางใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผล เป็นชายที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ญาติเองก็มิใช่
บรรจุลังชั้นดีนอนกองเลียนแบบชนิดที่ ทำให้สึมิเระหวนนึกถึงโมโม่
สุนัขแสนรักของเธอ และยังมีหน้าเสนอขอมาอาศัยร่วมห้องสักงั้น
โดยที่จะยอมรับในทุกเงื่อนไข ที่สึมิเระเสนอมา
นายคนนี้ชื่อ "ทาเคชิ" (รับบทโดย มัตซึโมโตะ จุน)
เป็นนักเต้นบัลเลต์อนาคตไกล แต่หนีออกจากบ้านเนื่องด้วย
ทางบ้านไม่ยอมรับการเต้นบัลเลย์ ด้วยข้อหาว่า "มันไม่แมน"
(บทและนิสัยที่เล่นก็ไม่ชวนแมนอยู่ก่อนแล้ว)






My name is momo.My Parents are normal people,So obviously that
isn't my name Though,l guess my name isn’t that important.
We’ll just skip over it.


(ผมเองมีชื่อว่าโมโม่ พ่อแม่ของผมก็เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไปนี้ละ
แต่ที่ชัดเลยตอนนี้ก็คือ ผมเองยังไม่มีชื่อเป็นแน่แท้นักหรอก
ดังนั้นผมเดาว่า ชื่อผมคงไม่สลักสำคัญอะไรมากมาย
งั้นเราข้ามเรื่องนี้กันดีกว่า)

One month ago, l was found unconscious.
Since then.l’ve been living at her house.
She is an elite Tokyo University graduate.
But her ex-boy friend was jealous of her accomplishments
And cheated on her.Now she’ll only date more successful men
Tall guys with lots of money and fancy degrees.

(หนึ่งเดือนก่อน ผมถูกพบแบบไร้สติ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้มาอาศัยอยู่บ้านเธอ
เธอเป็นถือนักเรียนหัวไบร์ทแห่งมหาลัยโตเกียวเชียวนะ แต่ทว่า
แฟนของเธอ ก็ฉกฉวยผลประโยชน์จากความสำเร็จของเธอ
และฉ้อโกงไปตามระเบียบ แต่ตอนนี้เธอกำลังจะมีเดทครั้งใหม่กับ
ชายที่เหมาะสมคู่ควร ในระดับฐานะที่เท่าเทียมกัน
งานก็ดัง ตังค์ก็มี แถมดีกรีก็สุดยอด)

I’m shorter than her and l don’t have any money.
But even so she’s very kind of me.
Still.Sex is not allowed. Why? because l’m just her pet.

(ผมสิทั้งเตี้ยกว่าเธอ ตังค์ก็ไม่มี แต่ก็ได้รับความปราณีจากเธอเสมอมา
แม้จะคิดอกุศลก็เหอะ ไม่เคยได้แอ้มเธอหรอก ทำไมนะเหรอ
เพราะผมเป็นเพียงแค่สัตว์เลี้ยงของเธอนั่นไง)



แล้วเงื่อนไขในการเจรจา เพื่อให้ทาเคชิสามารถอยู่ร่วมชายคาห้องสาวเพิ่งโสดอย่างเธอ
ก็แสนพิลึกพิลั่น โดยให้เจ้าทาเคชิ ปฏิบัติตัวเยี่ยงสุนัขตัวโปรด "โมโม่จัง"
สุนัขตัวโปรดที่เธอเคยเลี้ยงไว้แต่เด็ก การได้เจ้าทาเคชิในฐานะกึ่งๆการกลับชาติ
ของหมาโมโม่มาเป็นคน ก็ช่วยให้อาการปวดหัวของเธอ หายเป็นปลิดทิ้ง
ดีจริง ยิ่งกว่าทานพาราเซตามอลสักหนึ่งกำมือ แต่นั้น เป็นการเอาแต่ใจของเธอ
โดยหารู้ไม่ว่า มันกำลังทำให้ความสัมพันธ์ที่อนุมานเอาว่า
เป็นสุนัขกับการแสร้งว่าเป็นเจ้าของสุนัข ถูกเกินเลยขีดคั่นในชุดสัมพันธ์เดิม
และกำลังกลายเป็นสัมพันธ์ชุดใหม่ ที่เป็นปัญหาทรมานหัวใจเธอในเวลาต่อมา





ความที่ซีรีย์เรื่องนี้ ถูกสร้างมาจากการ์ตูนตาใส
เคยคว้ารางวัลโคดันฉะ ในอันดับหนึ่งของปี ๒๐๐๓ มาแล้ว
ซึ่งเคยได้ลิขสิทธิ์แปลเป็นไทย ในชื่อ คุณผู้หญิงคือเจ้านาย คุณผู้ชายคือสัตว์เลี้ยง
โดยผู้วาด ยายูอิ โอกาวา ดังนั้นระดับความกึ๋ยในสไตล์ญิง๊ๆ
จึงล้นเปี่ยมในสายโซจูตากลมชนิดที่ต้องแหง้มช่องว่างให้หนุ่มๆ พักทำใจ
ในพล็อกเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นและคงเป็นเพราะซีรีย์เรื่องนี้ ที่เป็นเหตุให้ "จดจำแบบหมายหัว"
สำหรับเจ้านักแสดง "มัตซึโมโตะ จุน" ที่รับบท ทาเคชิ หรือ ชายในร่างโมโม่
ด้วยความที่ บทมันไม่แมนตลอดครึ่งเรื่อง และยังสะเออะเต้นบัลเลย์อีก
ซึ่งถ้าขืนตั้งวงร่วมแก็งค์กับผู้เขียน มีหวังได้เล่นล้อให้เสีย
"ชาติชาย" และ "เชิงชาย" ในทุกๆสถาบันที่ประจานความเป็นชายอยู่หลายขุม
แต่ก็ยังพยายาม ที่จะทำเข้าใจในคุณวุฒิและวัยวุฒิที่หลบซ่อนด้วยปัญหาสังคมแบบวัยรุ่น
ที่ยึดโยงตัวเองไว้เป็นศูนย์กลางและอารมณ์ประมาณ อยากจะให้ผู้อื่นสนใจตน
(โดยเฉพาะสาวๆ)แต่นี้ ต้องมากระทำเยี่ยง "หมา" ชนิดที่ถ้าหมาเดินผ่านจอ
ต้องทำการขับไล่เพราะอับอายในเกียรติภูมิความเป็นมนุษย์ ซึ่งกลัวว่าสุนัขที่บ้าน
จะแยกแยะเรื่องจริงกับการแสดง ได้ไม่ชัดเจนนัก
แล้วผู้เขียน ดันมาเจอะสาวข้างบ้าน ที่เปิดมาดูเรื่องเดียวกัน
ยังมามีหน้าส่งเสียงกรี๊ดกร้าดอยากได้ "หมาในร่างผู้ชาย" หรือ "ผู้ชายร่างหมา"
แบบมัตซึโมโตะ จุน ขี้อ้อนเข้าให้ด้วยแล้ว ยิ่งทบทวีความหมั่นไส้ซับซ้อนเพิ่มขึ้นตามไปอีก
(แม้แต่รับบทนักเรียนกุ้ยใน Gokusen ก็ออกไปในเชิงชุมชนคนหน้าหวานสักงั้น)
แต่ถ้าใครดูจนจบเรือ่ง จะรู้ถึงความเป็นดราม่าเรียกน้ำตาที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้
โดยปรามาสไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องตามแบบฉบับ อยู่ให้ติด-คิดให้อยาก-แล้วก็จากไป
แต่เรื่องนี้ คงติดหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย เพราะในท้ายตอนจบดูจะ
เที่ยวยักเที่ยวยืออยู่นานโข่งเอาการ ก็อย่างว่า
ตัวละครเอกแต่ละตัว มีสถานะทางเลือกมากมาย แต่ให้ตายเถอะ
ต้องเลือกได้แค่อย่างเดียว และเป็นเพียงโอกาสเดียวเสียด้วยสิ
ทุกคนเลยต่างติดสภาวะ "ช่างเลือก" เพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุด





Reminds me of Momo.

(ยังจำเจ้าโมโม่ได้ไหมละเธอ)

Wasn't momo the dog you used to own back in middle school?

(ใช่เจ้าโมโม่ สุนัขที่เธอเลี้ยงช่วงเรียนกลางเทอมอะเปล่าละ)

Yeah so l felt like l couldn't just leave him there.

(อืม ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้จากเขาไปไหนเลยละตอนนี้)



โฮ่ๆ ส่วนการแสดงของเจ๊โคยูกิ ก็ต้องขอบอกว่า
หน้าเเหย๋ๆของเจ๊ ช่างสอดรับกับบทได้ดีแบบไม่มีทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่านี้
ซึ่งดูๆไป ดูเหมือนว่าเจ๊โคยุกิจะเป็นอุดมคติเชิงความคิดให้กับสาวมั่นประจำยุ่น
ในระดับที่ว่าเข้าองค์ประกอบ "สาม h.highs"
ก็เฉิดฉายในสังคมญี่ปุ่นได้ ใครมีลูกมีหลานก็อย่าลืมจัดสร้างไว้

ก.เงินเดือนดี (higher pay)
ข.การศึกษาดี (higher education) และ
ค.ส่วนสูงดี (higher height) (หน่วยก้านดีควรจะต้องสูงสักประมาณ 170 cm. อัพ)

ที่ต้องรักษาบุคลิกภาพและพกพาความมั่นใจ แสดงไว้แต่ภายนอกอย่างไม่หวั่นเกรง
แต่พอมาขึ้นสู่หัวกระไดบ้านเมื่อไร ก็แต๋วแตกแปรสภาพเป็นสาวโฮ
ผู้สูญสิ้นอย่างเดี่ยวดาย แม้ผู้เขียนจะเคยติเจ๊อย่างมีอคติก็ตาม
แต่ยอมรับว่า ซีรีย์เรื่องนี้เจ๊เป็นผู้นำพาในการขับเคลื่อนเรื่องราว
จนเผลอคิดว่า นี้อาจเป็นชีวิตจริงของเจ๊แน่นักเชียว เพราะมันไม่ได้กุลสตรีดีจ๋า
แบบที่เห็นในซีรีย์ engine เลยมีลักษณคติเชิงความเป็นมนุษย์อยู่สูง
ผิดกับบทหางกระดิกๆของนายทาเคชิ ที่คิดเห็นตามไปอย่างไรก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
ว่าจะมีมนุษย์โลกพันธ์ทางเช่นนี้ อยู่บนผืนพิภพจริง







แต่เสน่ห์ของการหวนคำนึงคิด สำหรับซีรีย์เรื่องนี้
เป็นการบ่มเพาะดาวรุ่งในวงการโดยไม่รู้ตัว ที่ไม่กล่าวถึงซ้ำก็อาจจะมีลืม
แม้บทพวกเขาจะมีน้อยและรอคอยการออกฉาก แต่อย่างน้อยก็พอเห็นวี่แววในอนาคต
ของอาชีพนักแสดงอย่าง ดาราสาวโก๊ "ซาโตมิ อิชิฮารา" ที่รับบทเป็นแฟนสาวของทาเคชิ
ที่ทุกวันนี้เอาดีกับการเป็นนางเอกหลายเรื่อง อาทิ h2,water boys,pizzle
Aoi Nurse เป็นต้น หรือ "กระทาชายนากายามะ เออิตะ" ที่ไตร่ความสำเร็จเป็นตัวเอก
แนวเพื่อนเรารักนาย ทั้ง last friends,tokyo friend,Hard to say l love you
และรวมทั้งเห็นพี่ "เรียวตะ ซาโต้" คนที่เล่นเป็นครูใน Rookies ด้วยอีกคน
นี้คงเป็นผลิตผลของการได้รับบทซีรีย์ดีๆ พร้อมกับการได้ประชันนักแสดงมากฝีมือ
สังเกตมานานแล้วว่า ส่วนใหญ่กว่าที่นักแสดงจะฉายแววได้
จำต้องสร้างเครดิตไว้กับความสำเร็จของซีรีย์ชื่อดัง แม้บทจะไก่การองบอ่นกว่าชาวบ้าน
ที่ท่าไม่บอกอีกที ก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เคยชมผลงานการแสดงของพวกเขาเหล่านี้มาแล้ว
จะว่าไป ถือว่าเป็นซีรีย์ในยุคผลิตภัณฑ์ "เจ๊เมืองยุ่น ตรากินเด็กสมบูรณ์"
ที่ทางสถานีแต่ละช่อง จะได้สร้างสรรค์ปรากฎการณ์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
ซึ่งต้องหมายความว่า สนองตอบรสนิยมของกลุ่มคนรักเด็ก
ที่ไม่ใช่นางงามก็ปิ๊งเด็ก(หนุ่ม)ได้ และในทางกลับกัน ก็ตอบสนองแก่เด็ก
ที่อุตริคิดการใหญ่กับบุคคลวัยแม่ (สุภาพหน่อยก็พี่)
ทำให้ความรักของคนต่างวัยกลายเป็นเรื่องเดียวกัน
เพียงแต่กระแสของการทำ อาจจะไม่ตอ่เนื่องนัก แต่ขนบรับประทานอย่างเอิบอิ่ม
ทำนองนี้ ก็มีมาอยู่เรือ่ยๆ ซึ่งดาราวัยรุ่นชายเกือบทั้งหมด
มักจะถูกไฟล์บังคับ ให้ต้องรับเล่นเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตแทบทุกคน
อย่างใน เอ็นทีวี ก็เคยนำเอา ป้าชิโนฮารา เรียวโกะ ประกบกับ อากานิชิ จิน
ในเรื่อง anego ในปี ๒๐๐๕ หรือ ในหนัง tokyo tower
ที่ยามะพี เด็กยาม ต้องมาประกบกับป้ามาซามิ ในบทแม่บ้านใจเปลี่ยว
นี้ยังไม่รวม ป้าชิโนฮาราอีกครั้ง ที่เคยอิ่มก่อนหน้าจากการรับประทานทาคุยะใน
Long Vocation ของค่ายฟูจิทีวีจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแบบไม่มีภูมิคุ้มการชมกันมาก่อน
หากเจ๊โคยุกิจะคิดลิ้มลองบ้าง จะมิได้เชียวเหรอ??





Kimi Wa Pet หรือ โมโม่ที่รัก จึงเป็นซีรีย์ฉบับกึ๋ย ที่สนุกสนาน รื่นรมย์
บนหลักการที่ไม่เป็นจริง สู่ระดับสามัญไม่ทันนึก มีความแปลกในเชิงเนื้อหา
และสาระระดับบุคคลที่จะ"ชิงหมาเกิด"อย่างไม่น่าเชื่อว่าพล็อกอย่างนี้ ทางไม่เกิดขึ้น
จากการ์ตูนก็ยากที่จะให้จินตนาการได้ เป็นเสน่ห์ของซีรีย์ญี่ปุ่น ที่กลบมูลเหตุอัศจรรย์
จนหลงลืมความไม่น่าเชื่อนั้นๆได้แบบหลงประเด็น โดยเฉพาะเจ๊โคยุกิ
แม้จะเคยมีอคติใส่กันมา แต่ทว่าในบทของสึมิเระ ค่อนข้างที่จะทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า
การเข้ามาของคนแปลกหน้าอย่างเจ้าหนุ่มน้อยทาเคชิ ถือเป็นภาวะการทดแทน
ท่ามกลางความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอดีต สืบเนื่องตลอดจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ (ส่วนความเหมาะควร อันนี้ก็ต้องว่ากันอีกเรื่อง)
และความแข็งกระด้างหน้าทื่อของเธอ มันถูกสอดรับกับปมชีวิตของตัวละคร
ที่ทั้งเหงาและเปล่าเปลี่ยว แม้โดยสภาพแวดล้อมแล้ว จะถูกจัด
ว่าเป็นผู้หญิงเก่งได้ไม่ยาก แต่สำหรับสึมิเระแล้วอาจจะยาก
ที่จะหาคนที่เข้าใจในตัวเธอ ว่าเธอเองก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
ที่ต้องการสภาพจากความเข้าใจของใครสักคนหนึ่ง ที่เธอรู้สึกไว้วางใจ
ซึ่งภาวการณ์นี้ เธอเคยมีให้กับโมโม่ สุนัขตัวโปรดเมื่อวัยเด็กของเธอเอง
ที่ความรู้สึกนี้ เธอเองก็ไม่อาจจะมีให้ได้กับ อาสึมิ (รับบทโดย ทานาเบะ เซอิจิ
จาก Psychometrer Eiji และ Fatatsu no Spica)
รุ่นพี่รักแรกที่หวนพัดอย่างบังเอิญ อันเป็นเหตุให้การจัดสรรความสัมพันธ์เดิม
ระหว่างเธอเองกับโมโม่จัง ทาเคชิ ค่อยๆที่จะระหองระแหงกินแหนงแคลงใจ
เข้าสู่บทส่งให้เธอต้องเลือก แล้วสีหน้าของเจ๊โคยุกิก็บ่งบอกความสามารถ
ของความเป็นช่างเลือก ที่ต้องให้เวลาเธอสักสองตอนคงจะพอสรุปเห็นผลในลำดับถัดมาได้




เรื่องความเหงาและความเปล่าเปลี่ยว ศาสตราจารย์จิตวิทยา Rollo May
หนึ่งในสมาชิก American Psychological Association
ได้วิเคราะห์ว่าเป็นผลจากการล่มสลายของค่านิยามต่างๆ ทำให้เรากลวงโบ๋ในใจ
และการถูกโดดเดี่ยวจากผู้อื่น ทำให้เราควบคุมอะไรในชีวิตไม่ได้เลย
แต่มนุษย์เราจะไม่เหงา ถ้ารู้จักใช้ชีวิตให้เป็น คือ
ต้องรู้จักจัดการตัวเอง (Self-mastry) และบรรลุในศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่
ตลอดจนถึงการดูแลผู้อื่น เราจะมี peak experience ได้ ถ้าเรามีชีวิตที่สมบูรณ์
เห็นชีวิตและสิ่งรอบข้างในเชิงที่สวยงาม เกิด peace of mind ในใจตน
หรือแม้แต่ความทรงจำในวัยเด็ก นักจิตวิทยาแอ็ดเลอร์ ก็เชื่อว่า
ชีวิตวัยเด็กมีความสำคัญต่อความเข้าใจวิถีชีวิตพิเศษ ทำให้ได้เบาะแสนำไปสู่ความเข้าใจ
ของการต่อสู้เพื่อความเหนือกว่าของคนๆนั้น ความทรงจำจะช่วยไปเสริมเจตคติของคนไข้
เข้าใจแก่นของปัญหา ที่ทำให้สามารถปรับการใช้ชีวิตได้ถูกต้องขึ้น





แต่ส่วนสำคัญ ที่คิดว่าทำให้ซีรีย์เรือ่งนี้ดูสนุกได้
ทั้งๆที่ปัจจัยองค์ประกอบแสนกึ๋ยครบวงจรขนาดนี้ คือ
การได้มือเขียนบทในดวงใจผู้เขียนอย่าง "โอการิ มิกะ" ซึ่งเธอเป็นสายคอเมดี้จ้าวสำราญ
แต่ไหนแต่ไรมาเนิ่นนานแล้ว สร้างงานน้ำหูน้ำตาไหลในและแอบใส่มนต์เสน่ห์ฺ
อย่าง my boss my hero และ Buzzer Beat เป็นต้น
แม้ผู้เขียน จะไม่เคยได้อ่านต้นฉบับการ์ตูนเลยมาก่อน แต่เชื่อใจตัวเองได้เลยว่า
ถ้ายกทั้งกระปิในฉบับการ์ตูน มาใส่เป็นหนัง คงได้สำลักอาการกึ๋ยเข้าขั้นอาเจียน
แต่เจ๊มิกะ ก็ได้ขัดเกลาเรื่องราวจาก "รักต่างวัย และ(เกือบ)ต่างสายพันธ์"
ให้กลับกลายมาเป็น เรื่องราวของ "สาวเก่งวัยเหงากับหนุ่มเห่าเท้าบัลเลย์"
ที่บุคลิกลักษณะจิตใจ เรียกว่า ไปคนละเส้นทาง
ผู้ชายก็แสนจะหลั๋นลาขี้ง้อ กับหญิงเจ้าที่แสนจะหน้าบึ้งหน้างอ
จากนั้น ก็ใส่สถานการณ์ตัวละครใหม่ๆให้ดูอลวนเข้า และกำหนดทิศทางอนาคต
เพื่อสร้างจุดเชื่อมต่อและถามใจตัวละคร ว่าตกลงแล้วจะเอาอย่างไรต่อไป
เป็นการสรุปพล็อกที่ไม่แปลก เพราะหลายเรื่องตอนนั้นเขาก็กระทำมา
แต่ทว่า เรื่องราวความรักของคนแปลกหน้าที่รู้ใจ
กับคนรักในใจที่ดูแปลกแยก อย่างไรเสีย
คนแปลกหน้า ก็มักสร้างสีสันและได้ความสด ในแง่ชวนให้ติดตามมาโดยตลอด
เรือ่งนี้จึงทำให้เป็นคำสาปของความกึ๋ย ที่อยากจะปฎิเสธ แต่ใจก็ถามหาไปเสียทุกที........




อวยข้อมูลจาก

wikidrama,wikipedia,มารีออง@bloggang

ภาพจากอินเตอร์เนต




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 10 ตุลาคม 2555 21:56:02 น.
Counter : 7038 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.