|
Be With You คุณค่าของสิ่งที่ตกค้าง
ระยะนี้ถ้าใครไม่มีร่ม คงได้ตรมอารมณ์ตามชั้นกันสาด ห้องออฟฟิคหรือ ไม่ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ความจริงแล้วฝนตก ณ กรุงเทพ ก็แทบไม่ ต่างจากฝนตกในส่วนของจังหวัดอื่นๆ (เพราะมันไม่ได้ลอยขึ้นฟ้าหรือเทวดา บันดาลอย่างเลือกที่รักมักที่ชัง) เพียงแต่สภาพปัจจัยแวดล้อมที่มี ประชากรอย่างหนาแน่นและสิ่งปลูกสร้างอันแออัดแน่นเยียด ฝนตกกรุงเทพ จึงเป็นอริราชศัตรูที่ฟ้าส่งลงมาโดยตามเหตุแห่งปัจจัย เมืองกรุงจึงเป็น เมืองที่มุ่งจำลองธรรมชาติประดิษฐ์ (Inventional Natural) ทั้งๆที่ ส่วนลึกคนกรุงปฏิเสธธรรมชาติที่แท้จริง (Actual Natural) ที่จะมี ผลกระทบต่อวิถีชีวิตปัจเจกชนที่มีกรอบข้อจำกัดในการบริหารเวลา ผมจึงเห็นน้อยครั้งที่คนกรุงจะตื่นเต้นหรือชื่นฉ่ำกับบรรยากาศที่ ท้องฟ้ามืดครึ้มถมึนอยู่เบื้องหน้า ส่วนหนึ่งคงเพราะคนกรุงมีมิติที่ มองข้ามสภาพอากาศที่มีผลต่อวิถีชีวิตเกษตรกรรม กสิกรรม และวนวิทยาที่รับใช้เขตพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่ สืบเนื่องด้วยเงื่อนใขความเชื่อที่ว่า สังคมควรอยู่ในระดับที่รับใช้ชีวิตปถุชนของคนเมืองที่มีตึก ห้างและ ถนนที่แทบไม่สัมพันธ์กับฟ้าฝนมากกว่าการให้ความสำคัญโรงไฟฟ้าที่ส่งผ่าน จากประเทศเพื่อนบ้าน และน้ำประปาโดยไม่รู้แหล่งที่มา ว่ามาจากแม่น้ำ สายไหน
แต่มีหนังที่อยากจะเล่า (ที่แม้จะไม่มีใครเอ่ยถาม) คงด้วยหนังเรื่อง นี้ทำให้ฤดูฝนแลดูมีคุณค่ากว่าฤดูกาลใดใด ฤดูฝนที่นำพาความ ฉ่ำชุม นอกเหนือจากการสัมผัสเพียงแต่อายตนะร่างกาย แต่มีความหมาย ทางจิตใจ เพราะมีเรื่องอัศจรรย์ใจ เมื่อใครคนหนึ่งได้กลับมา แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่จำกัด ปรากฎขึ้นเพื่อต่อเติมสิ่งที่ขาดหายไปจากคำนิยามว่า"ครอบครัว"
"ปาฏิหาริย์รัก 6 สัปดาห์ (BE WITH YOU).... ที่จะทำให้คุณอยากอยู่เคียงข้างใคร .........ไปจนชั่วชีวิต" ภาพยนตร์โรแมนติกเจ้าของสถิติรายได้ 2400 ล้านบาท ที่ทำให้ผู้ชมกว่า 3.8 ล้านคนในญี่ปุ่น.. หลงรักฤดูฝน ถูกฉายผ่านโรงภาพยนตร์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2005
ทาคูมิ ( ชิโนบุ ทาคามูระ ที่เคยเล่นฮอลลีวู้ดอย่างLetters from Iwo Jima (2006)) ชายหนุ่มผู้สูญเสีย มิโอะ ( ยูโกะ ทาเคอุจิ ที่เคยเล่นเรื่องYomigaeri และ Heaven's Bookstore รวมทั้งซีรีส์ The Queen of Lunchtime Cuisine (สูตรรักข้าวห่อไข่) ภรรยาตัวเองไปและเขาต้องเลี้ยงดู ยูจิ ( อาคาชิ ทาเคอิ )ลูกชายวัย 6 ขวบ แต่เพียงลำพัง ก่อนตาย มิโอะ ได้ทิ้งสมุดภาพไว้ให้ ยูจิ .....สมุดภาพเล่มนั้นเป็นเล่มที่เธออ่านให้ลูกฟังเสมอ ก่อนเขาเข้านอน และตั้งแต่ที่เธอตายไป ยูจิก็นำมันติดตัวไปในทุกที่ ..... "คำสัญญาในสมุดภาพ" ถ้าแม่ตายไป .... 1 ปีหลังจากนี้ .... ......ในวันที่ฤดูฝนเดินทางมาถึง เราจะได้กลับมาพบกันอีก....
ก่อน ตาย มิโอะ ได้เขียนคำสัญญาทิ้งไว้ในสมุดภาพให้กับ ยูจิ ว่า .. “ ถ้าแม่ตายไป .... 1 ปีหลังจากนี้ ......ในวันที่ฤดูฝนเดินทางมาถึง เราจะได้กลับมาพบกันอีก.... " และนับตั้งแต่วันนั้น ยูจิก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่ฝนจะตกลงมา เพราะเขาเชื่อมั่นว่า เมื่อวันนั้นมาถึงเขาจะต้องได้พบกับแม่อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อ ครบกำหนด ยูจิ และ ทาคูมิ ก็พากันเดินเข้าไปในป่าที่อยู่ข้าง ๆ หลุมศพของ มิโอะ และที่นั่นพวกเขาก็ได้พบกับ..หญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับ มิโอะ ราวกับคน ๆ เดียวกัน "หญิงสาวที่กลับมาพร้อม...........คำสัญญา " - พวกคุณเป็นใครและฉันอยู่ที่ไหน
หญิง สาวคนนั้นนั่งอยู่กลางป่า ...เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร และมาทำอะไรที่นั่น แต่ถึงแบบนั้น ทาคูมิ และ ยูจิ ก็จูงมือเธอกลับมาที่บ้าน ด้วย ความเชื่อมั่นว่าเธอคือ มิโอะ... ที่กลับมาตามคำสัญญาที่ทิ้งไว้กับพวกเขา ..... ยิ่งนานวันพวกเขาทั้ง 3 ก็ยิ่งผูกพันกันมากขึ้น ..มิโอะ ซักเสื้อผ้าทำความสะอาดบ้าน และอ่านสมุดภาพให้ ยูจิ ฟังก่อนนอน .. ไปเดินเล่นกับ ทาคูมิ ... เย็บเสื้อผ้าที่ขาด และทำอาหารกลางวันให้เขา......ถึงมือจะหนาว.. แต่หัวใจอบอุ่น
- ฤดูฝน 6 สัปดาห์ - เธอจะจากไปในวันที่แสงอาทิตย์เดินทางมาถึง ความสุขมักจะอยู่สั้นกว่าที่เราคิดเสมอ เพราะในคำสัญญาที่ มิโอะ ทิ้งไว้ให้ เ ธอจะกลับมาอยู่กับพวกเขาแค่ช่วงฤดูฝนเท่านั้น และในวันที่แสงอาทิตย์เข้ามาแทนสายฝน เธอจะต้องกลับไปยังที่ ๆ จากมา.... และฤดูฝนแต่ละปีมีเวลาอยู่เพียงแค่ 6 สัปดาห์ เท่านั้น (นำเรื่องย่อจากคอมเมนต์จาก//www.pantown.com/ ของipA:58.10.132.241 )
เมื่อ มิโอะ จากพวกเขาไป ทาคูมิ และ ยูจิ ก็กลับเข้าสู่ความโศกเศร้าอีกครั้ง แต่คราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนเพราะ มิโอะ ได้ทิ้งสมุดบันทึกของเธอเอาไว้ ในสมุดเล่มนั้นเธอบันทึกเรื่องราวความรักระหว่างเธอและทาคูมิเอาไว้ ... และเมื่อทาคูมิเปิดอ่านเขาก็ได้รู้ความหมายที่ยิ่งใหญ่ของความรักที่เขาไม่ เคยรู้ .... ความหมายของการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของ มิโอะ มาตลอด 9 ปี ..เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างเขาและยูจิ .. ...
หนังเรื่องนี้ถือเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่ทำให้โรงหนังลิโด้ ยังจำต้องฉายอย่างต่อเนื่อง มากกว่า๔เดือนกว่า ด้วยกระแสจากผู้ชมหนังเล่ากันสู่ปากต่อปาก กระทู้ต่อกระทู้ สำหรับหนังเรื่องนี้ผมทั้งดูซ้ำเพื่อตระหนักถึงความฉลาดในการเขียนบทหนังและตาม เก็บDVD เพื่อค้นหารหัสนัยที่ซ่อนเร้นจากการที่เล่าเรื่องที่เราเองอาจมองข้ามไปอย่าง ไม่รู้ตัว (ดังนั้นแผ่นหนังเรื่องนี้จึงถูกเก็บซ่อนแยกต่างหากจากชั้นวางแผ่นหนังเรื่องอื่นๆ แม้ว่าหนังจะดีจนน่าแนะนำ แต่ก็มักช้ำด้วยเพื่อนไม่ค่อยคืน) เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ คือ การลดขนาดของสิ่งนอกฤดูฝนให้สั้นลงเพื่อเพิ่มระยะเวลาของฤดูฝนให้ยาวนานขึ้น แล้วต่อเติมความหมายพิเศษของช่วงฤดูฝนที่สัมพันธ์เชิงครอบครัวที่พร่องสภาพ เนื่องจากขาดแม่ผู้อ่อนโยนไป หนังเปิดเรื่องเมื่อเด็กชายยูจิมาถึงอายุ๑๘ เติบโตเป็นหนุ่ม ปั่นจักรยานไปยังโรงงานร้างกลางป่าที่เคยถูกแปรสภาพให้เป็นสวนดอกไม้ส่วนตัวสำหรับครอบครัว ที่แห่งนี้ถูกทำให้มีความหมายทั้งการเริ่มต้นและพลัดพราก สถานที่จึงทดแทนความหมาย ในเชิงการรับรู้และจดจำ คอยย้ำเตือนถึงคนที่เคยมีประสบการณ์ร่วม แม้ว่าคนๆนั้น จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไป (ดังนั้นอย่าได้มีแฟนนักเที่ยว เพราะยามที่เลิกรา สถานที่ ที่เคยเกี่ยวก้อยจะเป็นแหล่งเศร้าสร้อยในบัดดล) จากนั้นหนังก็เล่าเรื่องถึงพ่อนักทำเบเกอรี่ ที่มาส่งเค้กวันเกิดให้นายยูจิพร้อมกับกล่าวอำลาด้วยภารกิจสุดท้ายที่เคยรับปาก ไว้กับใครคนหนึ่งเมื่อ๑๒ปีก่อน บ้านหลังเก่าที่ยังมีพ่อกับพฤติกรรมที่ปำๆเป๋อๆไม่สมกับ ความเป็นผู้นำครอบครัว เรื่องราวทุกอย่างที่ยกขึ้นประเด็นขึ้นมาอย่างหลวมๆที่ไม่อาจ เชื่อมโยงกันเนื้อเรื่องส่วนอื่นๆได้ (แน่ละก็เพราะเพิ่งเริ่มเรื่องนี่หว่า?) จากนั้นหนังก็ย้อน กลับไปสู่ยุคอดีตเมื่อสมัยยังเป็นเด็กชายยูจิอายุ๖ขวบ กำลังนั่งอ่านนิทานทำมือที่มิโอะ แม่ของยูจิวาดให้อย่างตั้งใจ นึกถึงสมัยหนึ่งที่ผมเองก็เคยวาดนิทานทำมือให้หลาน ที่หน้าตาดีเหมือนกับลุงมันได้อ่าน เพราะรู้สึกไม่ชอบใจนิทานเล่มสำเร็จรูปที่วางขาย อยู่ตามร้านหนังสือที่เนื้อหาแทบไม่พัฒนาเช่นกับสมัยที่ผมยังเด็ก ยังจำได้เลยว่า ผมใช้สีเทียนแท่งระบายให้สีสันแลดูฉูดฉาดเพื่อเน้นความเร้าอารมณ์และเสริมบท คำพูดที่ดูจริงจัง ทำมากว่าร่วมเดือนแต่สุดท้ายก็ถูกหลานซนตัวดีทำลายไม่ถึงชั่วโมง อย่างหลุดหลุ่ยสิ้นสภาพ
ความที่เสน่ห์ของหนังมีองค์ประกอบดีๆอย่างบริบูรณ์ ทั้งภาพ ฉาก เรื่องราว มาผสมกับ เพลงประกอบที่อ่อนโยนและบริสุทธิ์ ยิ่งมาเจอกับแวดล้อมธรรมชาติของเมืองเล็กๆที่มี แมกไม้เขียวชอุ่มปกคลุม มีแม่น้ำสายนิ่งที่แลสะอาดใสตาที่หาไม่ได้ในลำคลองแสนแสบ เปี่ยมล้ำกับสายฝนโปรยปราย หยาดน้ำค้างเกาะปริ่มตามธรรมชาติ มันจึงหนังจรรโลง โลกที่อุดมความถวิลหาของกลุ่มคนในเมืองที่ถูกแบ่งแยกตามเงื่อนไข สิ่งที่คนเมืองทำได้ คือ การดันทุรังหลีกเร้นสู่นอกเมืองรับรู้สัมผัสนั้นอย่างชั่วคราวพอเยี่ยวยารักษาใจ แล้ว ตีรถกลับเพื่อทนรับสภาพแห่งโลกความเป็นจริงในเมืองต่อ หนังเรื่องนี้จึงเป็นอุดมคติ ของคนเมือง ที่มีครอบครัวพ่อแม่และลูก บ้านหลังเล็กที่มีรั้วกั้นเตี้ยๆพอเป็นพิธี มีสวนหลังบ้านไว้พอนั่งเล็ก มีเพื่อนบ้านคนรู้จักที่มีมิตรภาพพอให้ใส่ใจถามไถ่ หนังเรื่องนี้จึงไม่มีตัวตนของคนเมืองให้สะท้อนแสกหน้าอัตลักษณ์สภาพแต่อย่างใด
สิ่งที่เป็นเลิศสุดล้ำตามทัศนะของข้าพเจ้า คือ การวางโครงเรื่องและลำดับเรื่องราว เพราะด้วยการกระทำของตัวละคร บุคลิกลักษณะนิสัย สัญลักษณ์ สิ่งบอกเหตุ ในแต่ละตอน เป็นตัวส่งเฉลยปริศนาของลำดับความตอนท้ายเรื่อง หนังเรื่องนี้จึงไม่มี สิ่งไร้เจตนา แต่ทุกอย่างที่ถูกนำเสนอขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องการสื่อสารนอกจากการบอกเล่า จากปากโดยตรงของนักแสดง ดังนั้นความกำกวมและก้ำกึงจึงมาเอาชัดเจน ที่สุดท้าย ในตอนท้ายเรื่อง ไม่ว่าสมุดจดบันทึก นิทานทำมือ ตุ๊กตาไล่ฝน ตลอดจนคำพูดของ มิโฮะเอง เป็นต้น แต่สิ่งที่ไม่อยากเชื่อ คือการทิ้งประเด็นปลีกย่อยของหนังตั้งแต่ต้น เรื่อง แล้วมาเฉลยเป็นฉากๆ ทั้งในส่วนการย้อนเวลาและเรื่องราวการพบรักของมิโอะ กับทาคูมิ ที่แทบจะไล่ทะลักจนแจ่มแจ้งชัดเจน ต้องยกนิ้วโป้งทั้งสองมือและสองเท้า ให้กับ ผู้กำกับNobuhiro Doiและผู้เขียนบทTakuji Ichikawa ที่ทำได้อย่างไหลลื่น แทบไม่อยากลุกออกจากเก้าอี้ไปไหน แม้ต้องอั้นเก็บไว้ก็ตาม ฉากงดงามที่สามารถ เอาเครดิตตัวนี้แปะยี่ห้อการันตีได้เลยอย่างYoshikazu Okad และTakahide Shibanushi
ความจริงหนังเรื่องนี้ เป็นการสะท้อนความรักและความเสียสละของแม่ผ่านสิ่ง ที่มุ่งมั่นและตั้งใจในตัวของมิโอะเอง ความตายของมิโฮะเป็นเครื่องยืนยันเจตนา ที่บริสุทธิ์ผ่านการรับรู้สิ่งที่ตามมาล่วงหน้าและถัดไป มิติเวลาที่ข้ามผ่านเป็น เพียงเครือ่งมือเชิงนามธรรมประเภทหนึ่งที่เป็นสิ่งพิสูจน์ความหาญกล้า ความหมาย ของชีวิตบางทีก็ผ่านการรับรู้และชื่มชมจากคนที่เหลืออยู่ ความตายของมิโฮะจึง เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนดูและตัวละครหลักทั้งหมดที่รู้ว่าการข้ามเวลาเป็นสิ่งจริง แม้ความรู้สึกข้ามผ่านมาจะเป็นคล้ายความฝันของตัวมิโฮะเองก็ตาม การปรากฎตัว อีกครั้งของตัวมิโฮะที่คนส่วนใหญ่เพิ่งจะไปงานเคารพศพได้ไม่นาน มิโฮะจึงเป็น ความหมายเดิมที่ต่อเติมและผลิตซ้ำ ท่ามกลางสมาชิกในครอบครัวที่ยังไม่พร้อมรับ ความพร่องสภาพของสมาชิกภาพทางครอบครัวและปริศนาที่ค้างคาอยู่่ยังไม่ได้รับ การคลี่คลาย แม้การกลับมาชั่วคราวครั้งนี้มิโฮะจะสูญเสียซึ่งความทรงจำไปก็ตาม มันจึงเป็นการเยียวยาความรู้สึกร่วม (join for feeling treatment)โดยสมาชิก ภาพ โดยคำมั่นสัญญามิใช่เพียงการเือื้อนเอ่ยให้เพียงมีความหวัง แต่เป็นคำสัตย์ ผ่านตัวบุคคลที่รับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นจะเป็นจริงโดยมีกรอบฤดูกาลเป็นเพียงระยะเวลา กว้างๆ แต่การอธิบายความซับซ้อนของเหลื่้อมเวลาภาษามิติวิทยา (Dimensionology) คงต้องเป็นภาษาที่ผ่านจากตัวอย่างเหตุการณ์สมมติ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ยกสมมตินี้ มาเสนอให้เข้าใจตามได้ไม่ยาก
คงบรรยายความรู้สึกของหนังเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ได้ (แม้จะอ่านงานเขียนของตัวเองจบ ไปเที่ยวหนึ่งอย่างไม่พอใจนัก) แต่มันทำให้ผมตระหนักเสริมความเชื่อเดิมว่า "บทหนัง ที่ดีนำมาซึ่งเรื่องราวของภาพยนตร์ที่สนุกสนาน" แม้เรื่องจะจบลงด้วยความเศร้า แต่เป็นสิ่งที่ต้องเลือกเพื่อสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตกับสิ่งมีชีวิตน้อยๆคนหนึ่ง ซึ่งแม้ถ้าเป็น คนดูเองก็คงคิดกันได้ไม่ต่างกัน ผมชอบฉากที่เด็กชายยูจิพยายามหาดอกอะไรไม่รู้ ที่มีลักษณะใบเพียง๓กลีบ (ซึ่งส่วนใหญ่มี๔กลีบ) แล้วสามารถอธิษฐานพรได้หนึ่งอย่าง ถือเป็นการประสานเอาธรรมชาติกับวิธีการเล่นที่เชื่อมสำนึกของเด็กที่มีต่อธรรมชาติ ในเชิงบวก แต่ทั้งในหนังยังไปเชื่อมกับข้อจำกัดทางาความสามารถของเด็กที่จะมีส่วน ช่วยให้แม่ได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวอีกครั้ง หรือการผูกตุ๊กตาไล่ฝนหัวกลับเพื่อให้ ความเชื่อเชิงสัญลักษณ์แปรเปลี่ยนไปยังฝั่งตรงข้าม เป็นความนึกคิดซื่อๆที่ผู้ใหญ่อย่าง เราไม่น่ามองข้ามจิตใจแบบเด็กท่ามกลางวิธีคิดที่นับว่าซับซ้อนจนเส้นสมองจะแตกตาย ตามสไตล์ผู้ใหญ่ Be With You จึงว่าด้วยเรื่องของสิ่งตกค้างที่ของอีกคนที่สร้าง ความหมายแห่งชีวิตสำหรับคนที่เหลืออยู่ให้ได้ย้อนนึกและจดจำถึงชีวิตหนึ่งที่เติมเต็ม ตราบเท่าที่ยังดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่.........................
รูปจาก //www.pantip.com
Create Date : 14 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 14 กรกฎาคม 2551 19:57:42 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1182 Pageviews. |
|
|
|
โดย: to-be-love วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:48:50 น. |
|
|
|
โดย: nikanda วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:04:10 น. |
|
|
|
โดย: glorious วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:14:22 น. |
|
|
|
โดย: มะนาวเพคะ IP: 125.24.42.11 วันที่: 20 มีนาคม 2553 เวลา:20:30:43 น. |
|
|
|
| |
|
|
เคยดูเรื่องนี้แล้ว...และคิดว่าคุณได้ถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้สึกออกมาเป้นคำพูด ได้ตรงใจดี ทีเดียว....