A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
osen เมนูที่ประเมินมูลค่ามิได้




๑. ต้มน้ำ ๓๒๐ ซม. ให้เดือด ใส่บะหมี่ต้ม ๓ นาที
๒. เทใส่ชามและเติมเครื่องปรุง
๓. คนให้เข้ากันรับประทานได้ทันที
๔. เพิ่มคุณค่าทางอาหาร ควรเติมเนื้อสัตว์ ผัก และอื่นๆ ตามต้องการ

กระบวนวิธีการ เพื่อการยังชีพด้วยอาหารสำเร็จรูป
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติตามยุคสมัยมาตั้งแต่อ้อนแต่อ่อน ตามสโกแกนหลักสูตร รด.ผู้รักชาติ
ที่ว่า "กินเพื่ออยู่ ต่อสู้เพื่อชาติ" (แม้บางทีไม่ได้เรื่องของชาติ แต่บะหมี่สำเร็จรรูปก็ช่วยพิทักษ์ทรัพย์
ด้วยข้อจำกัดจากอิทธิฤทธิ์ความสุรุ่ยสุหร่ายเมื่อต้นเดือน ให้นั่งสแล๊นอยู่ในชาตินี้)
ในท่ามกลางของการลากสังขารมาจนถึงปัจจุบัน มีกระบวนการทำซ้ำทำซากอยู่ไม่กี่อย่าง
ที่ทำจนขึ้นใจจนเผลอเป็นความภูมิใจเล็กๆ
หนึ่งในนั้น ก็มีวิธีการต้มบะหมี่กึ่งฯนี้แหละ ที่ถือเป็นความชำนาญส่วนตัว
แต่ก็มีกลเม็ดเคล็ดลับนิดๆหน่อยๆ ตามประสา "ชมรมคนตกอับ" ที่มีบั่นปลายชีวิตรายเดือน
ได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชา ว่าควรใส่เครื่องปรุงก่อนต้มเพื่อให้สารปรุงเเต่งรสซึมเข้าไปในเนื้อเส้น
ไม่ควรใส่น้ำมากอันจะลดทอนซึ่งความเข้มข้นของเครือ่งปรุง ไม่ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ
อันจะเป็นการดูดซับอุณหภูมิความร้อนมิให้กระจายไปสู่เนื้อเส้นหมี่เท่าที่ควร เป็นต้น
จนหลงนึกปลื้มว่าเป็นปรมาจารย์ทางด้านนี้ จนกลายเป็นเกียรติ์ยศเล็กๆในใจ
แต่ทว่า..........สุดท้ายอัตตาวิชาตัวนี้ก็ถูกทลายสิ้น เมือ่เผลอไปแตะซีรีย์ที่ชื่อก็บอกเนื้อหาข้างใน
อันมีนามว่า "osen"



Osen เป็นซีรีย์ที่ว่าด้วยเรื่องการรักษาอุคมคติทางวิชาชีพเกี่ยวกับการทำอาหาร
ระหว่างการรักษาหลักสูตรแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันอย่างยาวนาน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงไป
ตามยุคสมัยที่มีกิจการ ห้างร้านและวัฒนธรรมบริโภคจานด่วน ที่มีเต็มไปให้พรึบ
ขอเพียงมีตู้เย็นกับไมโครเวฟเป็นสรณะสองอย่างนี้ คุณๆทั้งหลายก็สามารถดำรงชีพด้วยการ
หารับประทานเอิบอิ่มได้อย่างไม่สิ้นสุดช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นเช้า-บ่าย-เย็น หรือว่ารอบดึกตามเวลา
คิกออฟของฟุตบอลต่างประเทศแบบไม่เกรงใจเวลานอนของคนอีกซีกโลก
ถ้าใครเป็นแฟนการ์ตูนหน่อยคงจะพอรู้ว่า Osen เรือ่งนี้ถูกสร้างมาจากการ์ตูน
จากปลายปากกาของ คิคูชิ โชยูตะ (คนที่เคยวาดเรื่อง ซันชิโร่เอ็กซ์ทู จนโด่งดังเมื่อสิบกว่าปีก่อน)
แต่ด้วยความที่กระผมไม่เคยแตะฉบับการ์ตูนมาก่อน สิ่งที่จะบอกเล่าจากนี้
จึงมีแต่เฉพาะในกรอบตามฉบับซีรีย์ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะจากนี้จะได้ไม่ต้องร่ายยาว
ที่สมองซีกขวาต้องละเมอฉบับซีรีย์ ส่วนสมองซีกซ้ายต้องเพ้อพกฉบับการ์ตูน ไปในสองทาง



ประเทศญี่ปุ่น คิดๆไปแล้วก็เป็นชาติหนึ่งของเอเชีย ที่มีความกลมกลืนภายใต้ความขัดแย้งทาง
ด้านวัฒนธรรมภายในอยู่พอสมควร ดูจากการเมืองที่แม้จะเทเสียงให้กับฝ่ายค้านเป็นรัฐบาล
แต่ในใจลึกๆ ก็มีความเป็นอนุรักษ์นิยมแบบพรรคDLP เดินสวมกิโมโนพร้อมกับฟังวอร์กแมนตามท้องถนน
มีอัตรการฆ่าตัวตายสูงแต่ก็มีทรรศนะเกี่ยวกับศพในทางลบ ไม่เว้นแม้แต่ซีรีย์อย่าง osen
ที่คนพากย์จั่วหัวเปิดตัวว่า

“มาลองดูประเทศนี้กัน ประเทศที่ดูเหมือนกับว่าจะมีความสมบูรณ์พร้อมให้เลือกสรรและเลือกใช้อย่าง
ครบครัน มีทั้งเครื่องขายของอัตโนมัติเต็มเกลื่อนไปหมด ร้านสะดวกซื้อ ร้านแฮมเบอร์เกอร์ ร้านข้าวกล่อง
ร้านบะหมี่ ร้านที่เข้าไปกินได้ทั้งครอบครัวและถ้าคุณลองสังเกตดูศูนย์รวมอาหารของห้างสรรพสินค้า
คุณจะสามารถเลือกซื้ออาหารทำเสร็จ ไม่ว่าจะเป็น ปลา เนื้อ หรือผักที่แพ็คมาแล้วเรียบร้อย
แค่หิ้วมันกลับไปบ้าน เอาเข้าไมโครเวฟ แล้วก็พร้อมจะรับประทานได้ทันที
ไม่จำเป็นจะต้องหาภาชนะสำหรับใส่อีก รวมถึงเครื่องดื่มประเภทชาที่ทุกอย่างจะทำให้คุณทานได้ใน
๑ อิ่มพอดี หลังจากนั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องลำบากหาเครื่องมือที่จะล้างมัน
เพียงแค่ทิ้งมันลงถังขยะเท่านั้นก็เรียบร้อย”



จากนั้นก็มีภาพช่องเล็กๆ ของกลุ่มประชากรหลากหลายวัย ยิ้มรับต่อความยินดีในวิถีชีวิตสมัยใหม่
เช่นนี้ ภาพเหล่านั้นก็ค่อยๆซ้อนไปยังจุดศูนย์รวมในจุดเดียว ก็คือ เกาะญี่ปุ่น
แล้วภาพก็ตัดมายังเรือนพักโบราณที่มีสีไม้ซีดๆแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความสงบ มีร่มไม้ที่เขียวขจี
ไม่มีเสียงคนพากย์ แต่ทุกอย่างได้บอกเล่าเรื่องราวโดยเหล่าสมาชิก ที่กำลังทำกิจกรรม
ที่เกี่ยวเนื่องกับการทำอาหารด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่า ผ่าฟื้น ต้มน้ำ หัดผักในครัว นวดแป้ง
ไม่มีตู้เย็น ไม่มีไมโครเวฟ ไม่มีตู้อบ ไม่มีกระทะไฟฟ้า อย่าว่ากระนั้นเลย
แค่เต้าเสียบปลั๊กไฟฟ้าก็แทบจะมองไม่เห็น และนั่นละครับ คือ ร้านอาหารใจกลางกรุงโตเกียว
ที่รู้จักกันในกลุ่มเฉพาะระดับผู้บริโภคแนวอนุรักษ์นิยม โดยไม่ต้องมีสัญลักษณ์ชวนชิมใดใด
หรือป้ายทีวีสาธารณะ สาม ห้า เจ็ด เก้า อะไรเทือกนั้น
ความจริงจะให้เรียก "ร้านอาหาร" ก็คงไม่ถูก คงต้องเรียกว่า "สำนักการทำอาหาร" มากกว่า
เป็นสำนักที่พ่อพระเอกของเรา ใช้ความทรงจำแบบปะติดปะต่อในสมัยเด็กเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ถึงความประทับจิตประทับใจเมือ่ได้ลิ้มลองครั้งแรก และไม่ประทับจิตประทับใจในอาชีพปัจจุบัน
ที่ต้องมาเป็นบ๋อยแต่งตัวนินจา ใช้กระบี่ไฟแช็คจุดเตาให้กับลูกค้าต่างชาติให้ได้กรี๊ดกร้าดอะเมซิงกัน
จึงมุ่งมั่นตามปณิธานอย่างที่ตั้งใจตามแผนที่สมัยคุณยาย ที่เคยได้เก็บรักษาเอาไว้
เพื่อขอประสิทธิ์ประสาทวิชา เรียนรู้หลักสูตรต้นตำรับกับปรมาจารย์โอเซน ณ สำนักชิโตมาจิ
เพื่อตบหน้าผู้จัดการในภัตตาคาร ว่านี้แหละ................คือ อาหารญี่ปุ่นของแท้



แต่พระเอกของเรื่อง คงลืมนึกไปว่าเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผัน
สิ่งต่างๆ ย่อมที่จะเปลี่ยนแปลงไป ไม่เว้นแม้แต่ตัวเจ้าสำนักที่มีชื่อตำแหน่งว่า "โอกามิ"
โอกามิที่มีความหมายไม่ต่างจาก "นายหญิง" ในแบบฉบับหนังจอมยุทธในสมัยก่อน
เพียงแต่ว่า เมื่อนึกถึงคำว่านายหญิงทีไร มันเป็นรูปศัพท์ที่ดูสูงวัยเอาการ
ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น ซีรีย์เรื่องนี้ก็น่าจะจบลงแค่ตอนแรกสำหรับตัวผู้เขียนอย่างผม
ที่ทนพิษความชราไม่ไหว แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะนายหญิงที่ว่านี้ รับบทโดย
อาโออิ ยู (เด็กที่เล่น Hana and Alice ที่เคสติ้งด้วยการเต้นบรรเลย์โดยรองเท้าแก้วกระดาษ
และ น้องสาวตาบอดในRainbow Song )
เป็นนายหญิงโอเซน ที่มีฐานะทางตำแหน่งใหญ่สุดแห่งร้านอิชโซอัง ซึ่งมีบริวารพร้อมด้วย
เหล่าพ่อค้าและลูกมือไม่ถึงสิบชีวิต แต่เป็นสิบชีวิตที่มีสถานะไม่ต่างไปจากสมาชิกในครอบครัว
ที่รักใคร่และผูกพันซึ่งกันและกัน ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบในภารกิจที่ได้รับหมอบหมาย
จนมีความหมายกึ่งๆ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในศาสตร์นั้นๆ
ไม่ว่า พ่อครัวเซจิ ที่ทุกมื้อของอาหารบนจานเป็นความรับผิดชอบสูงสุดในหน้าที่
เทรุโกะแม่ครัวฝ่ายผลิตข้าวทุกเม็ดภายใต้การใช้เชื้อเพลิงจากฟางข้าว หรือทาเคดะหน่วยของ
การแหล่เนื้อให้ได้สัดส่วนน่ารับประทาน เป็นต้น ถึงกระนั้นจุดหลักใจกลางของเรื่องก็อยู่ที่
นายหญิงโอเซน ที่ต้องแบกรับทุกสถานการณ์ของการตัดสินใจในทุกประการ ในทุกๆปัญหาที่ประทัง
กันเข้ามา ไม่ว่าปัญหานั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน ทั้งไม่ว่าปัญหาจากกระบวนการผลิต
ปัญหาจากข้อสงสัยของลูกค้า ปัญหาในเรื่องการเลือกใช้วัตถุดิบ ไม่เว้นแม้แต่ปัญหาหัวใจของกลุ่มสมาชิก



ถือเป็นปัญหาโดยส่วนตัว นับตั้งแต่สงสัยการจัดหมวดที่ว่า
ในซีรีย์โอเซน อยู่ในหมวดของ Comedy Food
(ซึ่งดูซีรีย์มาหลายสิบเรื่อง ก็ไม่เคยเจอหมวดประเภทนี้)
ในแง่ความเป็นคอมเมดี้ ที่สนุกสนานเฮฮา รสที่ได้ก็ดูจะประดักประเดิด
อีกทั้งในความพิเศษส่วนตัว ที่เคยใช้กรอกในการสมัครงานและเคสติ้งเรียลิตี้มุ่งสู่ความเป็นดาว
ก็ไม่เคยใส่ความถนัดในเรื่องของการทำอาหารสักตัวอักษร และสำคัญอื่นใด
เห็นชอบร่ายซีรีย์ญี่ปุ่นออกปานนี้ หาได้ที่จะหมายถึงความชื่นชอบอาหารที่ผู้คนยืนอ้อเหมือนแจกฟรี
หน้าฟูจิหรือโออิชินั่นไม่ ออกจะไม่ถูกปากหรือปากจะชอบของถูกก็ไม่แน่ใจตัวเอง
โดยความเชื่อส่วนตัวในเรื่องของปริมาตรขนาดของอาหาร ที่ไม่สอดคล้องกับมูลค่าของราคา
อีกทั้งยังบำเพ็ญพรตในหลักการ "โภชเนมัตตัญญุตา" ว่าด้วยการกินมุ่งเน้นการยังชีพ
หรือถ้าเรียกแบบไม่ไว้หน้าตัวเองที่สอดรับคตินิยม ก็ต้องเรียกว่า ตักบาตรอย่าถามพระ
ประมาณว่า สั่งมาเถอะกินได้หมดแหละ (แต่ก็ช่วยออกตังค์ไปก่อน แล้วค่อยเคลียร์ที่หลัง)
ผู้เขียนจึงไม่อาจซาบซึ้งต่อความเข้าใจในความหมายของซีรีย์เรื่องนี้ ในฐานะภูมิปัญญาของการ
สืบทอดเคล็ดลับวิชาทางด้านอาหารที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้ตัวซีรีย์จะพยายามอธิบายถึง
คุณค่าของกรรมวิธีแบบโบราณที่เทคโนโลยีปัจจุบัน ไม่อาจจะตอบสนองให้ได้
เช่น การคัดเลือกเมล็ดถั่วเหลืองด้วยมือ การย้ำเมล็ดด้วยเท้า การใช้ฟางหุงข้าวแทนที่จะใช้ฟื้น
การทำสุกี้ด้วยเนื้อที่รักษาความอร่อยไม่แพ้การทำสเต็ก หรือการแข่งกับเจ้าแม่ไมโครเวฟทางทีวี
ขณะเดียวกัน อาหารสำเร็จรูปที่มีวางขายกราดเกลื่อนในซูปเปอร์มาเก็ต
ล้วนอยู่บนฐานของความเกลื่อน ที่ให้ผู้บริโภคเป็นผู้ที่ได้คัดเลือกในฐานะที่เลือกสรรสิ่งที่เห็นเหมาะควร
แก่ตนเอง ช้อปผิดช้อปถูกก็ตามแต่ความพึงพอใจส่วนตน แต่ที่อิชโซอังจะเป็นหน่วนที่คัดเลือก
เมนูอาหารในกรณีที่ผู้เลือกยังไม่มีสิ่งเลือกสรรในใจ โดยจะเป็นผู้ให้บริการโดยสร้างความพึงพอใจ
โดยอาศัยสัญชาติญาณและประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการทางด้านอาหาร โดยพิจารณาทางการ
ประเมินลูกค้าตามความถนัด เอกลักษณบุคคลและพยาธิสภาพ ซึ่งจะเห็นในตอนที่
โอเซนของเราเลือกซุปมิโสะช่วยคนที่กำลังเมาแฮงค์ การนั่งเหลาตะเกียบให้กำชับมือผู้ทาน
หรือเลือกใช้ภาชนะเพื่อจะสอนมุมมองของสิ่งที่ฉาบฉวย เป็นต้น
ผมว่าตรงจุดนี้ เขาเเม่นในการยิงจังหวะ เพราะถ้ายิงผิดก็จะเหมือนละครไทยในแนวเทศนา
ก็อย่างว่าจุดของประเทศที่มีอิทธิพลของมหายาน เรื่องของการสอนคนจากสิ่งหนึ่งโดยดูจากสิ่งหนึ่ง
ประเทศนี้เขาแม่นยำได้เสมอมา (แต่ไม่เสมอไปนะพี่นอ้ง)



ถือเป็นความงดงามในรูปแบบทางเลือก ชนิดที่ดำรงไว้ซึ่งคุณค่าในแง่การตอบสนองต่อบริบทของยุคสมัย
แต่เมื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมเข้าสู่การแข่งขันในเชิงพาณิชยนิยมมากขึ้น
การผลิตครั้งละจำนวนมากๆ ให้ได้มาตราฐาน ในstandard เหมือนๆกัน โดยไม่ได้มองถึงลักษณะเฉพาะ
ถึงความแตกต่างในรสนิยมระหว่างบุคคล และเวลาเป็นเรื่องที่มีข้อจำกัดด้วยเหตุผลผูกมัดนานาประการ
การบริโภคแนวต้นตำรับจึงถูกปรับเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเดิมในสมัยก่อน
กลายมาสู่กิจกรรมบริโภคทางเลือก สำหรับกลุ่มผู้โหยหาคุณค่าในสมัยรุ่นปู่รุ่นย่า
ซึ่งก็ต้องมีมูลค่าในการเข้าถึงบริการส่วนนี้ ซึ่งตรงจุดนี้ ซีรีย์โอเซนก็ตอบสนองชุดคำตอบ
ให้เต็มๆไปอีกหนึ่งตอน ว่าทำไมจึงต้องมุ่งจำหน่ายในราคาที่ย่อมเยา ในขณะที่อิชโซอังกดราคาค่าแรง
พนักงานแสนถูกเดือนละห้าหมื่นเยน ซึ่งถ้ามองในโลกความเป็นจริง ราคาเช่นนี้คงมีคนทยอย
เข้าออกสำนักนี้กันอยู่ทุกเดือน (เหมือนที่พระเอกบ่นแล้วบ่นอีกในช่วงแรกๆ)
แต่ก็อาจมีคนมองว่า แต่สิ่งที่ได้จากสำนักอิชโซอินนี้นะหน่า..........ไม่อาจประเมินเป็นราคาได้
เพราะเป็นสำนักทางอาหารที่จำกัดตัวเองให้อยู่นอกกรอบของการตลาด การตลาดเสียด้วยซ้ำ
ที่พยายามวิ่งเข้าหาเพื่ออาศัยชื่อเสียงของการดำรงไว้ซึ่งความเป็นต้นตำรับเฉพาะ ในฐานะ
การตลาดสมัยใหม่เพิ่งถูกสร้างขึ้นได้ไม่กี่สิบปี ขณะที่อิชโซอินถูกสร้างสมมาหลายชั่วคน
หลายชั่วคนที่วางโครงสร้างระบบการจัดการพื้นฐานด้วยตัวเอง ทั้งการปลูกผักในท้องที่ส่วนบุคคล
และสร้างสายสัมพันธ์กับSupplerในท้องถิ่น โดยอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันละกันตั้งแต่โคตรเหง้า
หาได้ขูดรีดจากวัตถุดิบมูลค่าหน่วยสุดท้ายที่ต่ำสุด



แต่ขณะเดียวกัน ซีรีย์เรื่องนี้ก็มีชุดการอธิบายที่ฉลาด
โดยใช้เครื่องมือซึ่งก็คือ "ตัวอาหาร" เป็นตัวอธิบายความรู้สึกภายในใจของตัวละคร
แทนที่จะตะเบ็งพูดกันป่าวๆๆ ให้ต้องยืดยาว ดูไปก็คล้ายกับปริศนาธรรม กล่าวคือ
ด้วยความที่เป็นซีรีย์ชนิดที่จบในตอน ดังนั้นทุกๆต้นเรื่องของตอนก็จะเป็นการสร้างตัวละครใหม่ๆ
ซึ่งก็เป็นแขกรับเชิญ ที่พยายามจะตั้งคำถามถึงคุณค่าของการคงอยู่ในการทำอาหารในสูตรดั้งเดิม
ที่ไม่สอดรับกับยุคสมัย ไหนจะต้องคว้านซึ่งวัตถุดิบชั้นดี กรรมวิถีที่แสนจะยุ่งยาก และข้อจำกัด
อีกจิปาถะ โน่นก็ไม่ได้ นี้ก็ไม่ได้ ดูกึ่งๆความเป็นเถรวาทกลายๆ ที่บิดเบือนหลักการนิดหน่อย
ก็จะมีข้อบิดเบือนแบบอะลุ้มอะล่วย จนเสียคุณค่าในหลักการเดิมอย่างไม่เหลือเค้า
อย่างการเฉือนปลาก็ต้องให้เป็นเส้นตรง หรือถ้าไม่มีโอเซนคนที่สองก็ไม่อาจจะมีสาขาที่สอง เป็นต้น
แต่พอได้เห็นอาหารและได้ใช้ลิ้นตวัดรับรสชาติของอาหาร ก็เป็นตัวสู่การบรรลุธรรม
ไม่ต่างจากการบรรลุโพธิญาณทางด้านอาหาร ออกจะเป็นกึ่งๆ "ซาโตริ" ในแนวเซน
ทั้งหมดนี้จึงออกไปในเชิง "สถานการณ์สร้างเมนูอาหาร" เป็นอาหารที่ถูกจัดเตรียมเพื่อเป็น
"สิ่งเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างบุคคล" โดยมีเรื่องสุขโภชนาการห้าหมู่เป็นเรื่องรอง
แต่ความปรองดองหมู่มิตรและนักชิมเป็นเรือ่งใหญ่กว่า
ไอ้ตรงจุดนี้ มองว่าดีก็ดีไป ขืนได้รับประทานแล้วยังหาคำตอบไม่ได้ สงสัยซีรีย์เรื่องนี้คงยืดยาว
เหมือนกับเจ้าหนูเคนโด้ยอดนักสู่ที่กินไปกว่า ๕๐ กว่าตอน จึงจะเข้าใจชีวิตตนเอง
แต่พอเป็นซีรีย์ที่จบในตอน การบรรลุธรรมจากรสชาติอาหาร ในทรรศนะส่วนตัว
เลยดูเป็นนิทานไป ผู้บริโภคอะไรจะมีคุณธรรมสูงทรงภายใน ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนหรือทรงศีล
เหมือนตอนหนึ่ง ที่มีครอบครัวกำลังจะแตกร้าว พอได้ทานมิโสะแบบไม่สำเร็จรูป
แล้วกลับมารักกัน อันนี้..........คนเขียนบทคงเห็นโฆษณากาแฟในเมืองไทย ทุกทีดื่มไม่ให้ง่วง
เดี๋ยวจะถูกเจ้านายหาว่าอู้ ไงกลายเป็นสื่อบอกรักไปได้ละหว่า!



ด้วยความที่ไม่สันทัดต่อเรื่องศิลปะบนจากอาหาร
ถ้าพุทธศาสนาเคยกล่าวถึง บัวสี่เหล่า ที่บอกถึงคนสี่จำพวก
ผมก็คงเป็นบัวจำพวกสุดท้ายที่อยู่ใต้บึง รอการเป็นภักษาหารให้กับสัตว์น้ำใต้ก้นบึง
เรื่องซาบซึ้งในรสอาหารอันเกิดจากน้ำมือของกลุ่มสำนักอิชโซอัง โดยผ่านรูปลักษณ์ของอาหาร
และความพึงพอใจของผู้ได้รับประทาน อาจไม่ได้ลดความ "เลี่ยน" ในการชมซีรีย์เรื่องนี้
ชนิดตอนต่อตอน แต่ก็ใช่ว่าจะสลัดทิ้งจนไม่ขอข้องแวะในแผ่นต่อๆไปได้
แน่นอนว่า.............ในเรื่องของความพิถีพิถันในการหาข้อมูล หาอุปกรณ์หรือสถานที่ประกอบฉาก
ดูแค่หางตา..... ก็รู้ถึงความตั้งใจของทีมงานเรื่องนี้อย่างมาก ซึ่งซีรีย์เรื่องนี้ทีมงานของสถานี NTV
คงหมดงบกับการ research ไปไม่น้อย เป็นซีรีย์ที่คนชอบทำอาหารควรดูไว้
เพราะมีกลเม็ดเด็ดพรายสอดแทรกอยู่ทุกตอน (แต่ไม่เข้าหูผู้เขียนเพราะหาได้สัดทัดเรื่องนี้ไม่)
แม้แต่คนที่ชอบดารา พระเอกเรื่องนี้ก็หล่อใช่ที่ "อุจิ ฮิโรกิ" แม้จะรับบทที่ออกจะบ้าๆบอๆ
แต่ก็เห็นแววในการแสดง ว่าเป็นที่มีความสามารถและทุ่มเทในการแสดงอยู่ไม่น้อย
ได้ข่าวว่าถูกพักงานจากวงการไปหลายปี เพราะดันทำตัวเกินวัยดื่มแอลกฮอล์ขณะที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์
ถ้าดื่มในเมืองไทยคงไม่แปลกนัก หากไม่เผลอขับรถแล้วไปทะเลาะวิวาทกับเจ้าหน้าที่ซ้ำจนเป็นข่าว
แต่น่าเสียดาย ที่ซีรีย์เรื่องนี้ไม่ได้ยกระดับตัวเอกให้เป็นหวานใจของท่านโอเซน
ด้วยให้ความสำคัญในเรื่อง "อาหาร" กับ "ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก" เสียมากกว่า
และไม่รู้ว่านี้รึเปล่า? ที่ทำให้ซีรีย์เรื่องนี้ไม่เป็นที่นิยม ทั้งๆที่ว่ามีเนื้อหาที่ชวนน่าคิด
เกี่ยวกับสมบัติชาติในฐานะแหล่งภูมิปัญญาในเรื่องเอกลักษณ์ของอาหารกับยุคสมัยที่เปลี่ยนฝ่าน
จะมีผลต่อการโหยหาคุณค่าเดิมรึไม่ หรือผู้คนปฏิเสธการรับรู้เพราะพึงพอใจต่อสิ่งปัจจุบัน
ที่มีอย่างสุขสบายและแสนสะดวกเข้าว่า



และที่อยากเขียนถึงซีรีย์เรื่องนี้ที่สุด หนีไม่พ้นนางเอกของเรื่อง
ความที่สายอาชีพของน้องยู ดูจะมุ่งไปในสายภาพยนตร์มากกว่าเรือ่งของซีรีย์
ถึงกระนั้น ก็หาได้ลดทอนบุคคลิกของรอยยิ้มที่สดใส ผมยาวสลวยและท่าทีมึนงงเวลาที่คุณน้องชอบสงสัย
อันเป็นเสน่ห์เฉพาะสำหรับผู้ที่สนิทสนมอย่างต่อเนื่องข้างเดียวอย่างผู้เขียน
ส่วนหนึ่งที่ทำให้อาหารทุกมื้อดูอร่อย ส่วนนี้ต้องบอกว่าความใส่ใจที่จะให้ ทุกมื้อสำคัญของอาหาร เป็นดั่ง
สิ่งมีชีวิตที่เปรียบเปรยคล้าย "บุคลาธิษฐาน" โดยน้องยูของผม จะเติม "คุณ" ในทุกๆส่วนผสม
ดั่งว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทั้ง คุณถั่ว คุณแป้ง คุณเมล็ดข้าว
ขณะเดียวกันก็เสกมนต์ "จงอร่อย จงอร่อย"
ในทุกมื้อ ที่คุณน้องกำลังคนส่วนผสมให้เข้าที่ แม้ว่าซีรีย์เรือ่งนี้
จะให้น้องยูรับบทที่ดูโตเกินวัยในฐานะคุณนายใหญ่ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้คุณน้องลดสภาพ
อินโนเซนต์เกริลด์ไฮโซ เพราะคุณน้องมาพร้อมกับเครื่องแบบกิโมโนตลอดทุกตอน
(แต่ฟังรายการชวนคิดชวนคุย เล่าว่าฉบับการ์ตูน หนูโอเซนแสนจะเจ้าเล่ห์นัก)
และแม้คุณน้องยูจะชอบละเมิดศีลห้าเป็นอาจิณ
ด้วยเป็นนายหญิงที่ชอบจิบสาเก ไม่ก็โซ้ยเบียร์ชนิดที่ชายวัยแรงงานกลัดมันยังต้องขอยอมแพ้
แต่ความที่คุณน้องชอบนอนอาบน้ำร้อนจากไม้ฟืน โชว์หัวไหล่ขาวๆ อันนี้พี่ก็พร้อมจะให้อาภัย
และเอาใจปลงอาบัติให้คุณน้องพ้นผิดจากกรรมที่คุณน้องได้ก่อ ด้วยบทมันพาไป
หาได้มีเจตนาจากชีวิตจริง แต่กระนั้นความน่ารับประทานของอาหารในแต่ละตอน
จากส่งที่คุณน้องได้ก่อ ก็หาได้งดงามเกินกว่าใบหน้างามๆของคุณน้องยามที่ได้โพสต์หน้ากล้องก็หาไม่
เป็นความงามที่ คุณต่อพงษ์ ต้องพรรณนาชนิดเห็นภาพว่า
"เธอยิ้มหวานเสียจนมดวิ่งมากระแทกจอ"
แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าสิ่งบันเทิง จาก "สิ่งที่เรียกว่าอาหาร" หรือ "ตัวน้องยู" ก็ตามที
สิ่งที่เหมือนกันอย่าง ก็คือ "การโลมลิ้มชิมด้วยสายตา หาได้สัมผัสจับต้องซึ่งของจริง"



ป ล. แม้แต่เพลงประจำซีรีย์ก็มาแนวแปลก ซึ่งส่วนตัวรู้สึกว่าซีรีย์ญี่ปุ่นได้ก้าวผ่าน
ขนบนิยมแบบสูตรสำเร็จ สูตรสำเร็จนี้เท่าที่สังเกตนับแต่ช่วงสหัสวรรษแล้วกระมัง
ที่ซีรีย์ประเภทนี้ จำเป็นต้องเลือกใช้เพลงประเภทเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์
อย่างในโอเซน ซีรีย์ที่มีฐานของการอนุรักษ์ศิลปะของการทำอาหารพื้นบ้าน มันก็น่าจะเลือกใช้
เพลงพื้นบ้าน ไม่ก็เอามาประยุกต์กับเครื่องดนตรีสมัยใหม่ หรือเพลงหวานๆซึ้งๆ ให้โหยหาคุณค่าเดิมๆ
แต่ประทานโทษ .........ดันกับเลือก กรุ๊ปปี๊ร็อค อย่างวง Det Tech วงที่นิยามตนเองว่ามีส่วนผสมของ
แนวเร้กเก้ผสมจังหวะโจ๊ะๆแบบฮาวายและดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่น เข้าด้วยกัน
ยังดีที่เพลงจบยังได้ทักกี้กับซึบาสะร่วมร้องแนวป็อปใสๆ ให้พอกลืนน้ำลายส่อๆ กับบะหมี่ที่กำลังอืดได้ทีเลยทีเดียว ........




แหล่งข้อมูลจาก
//wiki.d-addicts.com/Osen
โอเซน อาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ ตอนที่ ๑ โดย ต่อพงษ์
โอเซน สัจธรรมของอาหารจานอร่อย ตอนที่ ๒ โดย ต่อพงษ์
รายการวิทยุ ชวนคิด ชวนคุย ทางคลื่นผู้จัดการ
//forums.popcornfor2.com



Create Date : 29 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 10 ธันวาคม 2552 15:54:09 น. 5 comments
Counter : 2098 Pageviews.

 
นึกว่าอะไรซะอีก เข้ามาอ่านเลยเข้าใจ ฮ่า ๆๆๆๆๆ

คืนนี้ฝันดีนะค่ะ


โดย: น้องข้าวเหนียวกะพี่หมูปิ้ง (MooBamBam ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:48:51 น.  

 
อยากดู ...เคยอ่านการ์ตูนเล่มแรกมั๊ง ...เมื่อนนแสนนานมาแล้ว
และไม่ได้ตามจนจบเรื่อง ไม่รู้ว่าป้านนี้จบไปรึยัง
ท่าทางจะสนุกนะเนี่ย ได้สาระเรื่องอาหารญี่ปุ่นอีกด้วย ...แบบนี้ชอบ

เอาจะหามาดูบ้าง


โดย: นัทธ์ วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:7:27:43 น.  

 
ญี่ปุ่นนี้ยกนิ้วให้เลยเรื่องวัฒนธรรมทางด้านอาหาร ยิ่งโดยส่วนตัวชอบอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว ดูไปก็น้ำลายหกไป โดยเฉพาะสุกี้ที่ โอคามิซังทำอ่ะ น่ากินเนอะ แต่ตอนจบผิดหวังไปนิด ทำไมร้านมันต้านกระแสนิยมไม่ได้น๊า


โดย: MamLHC วันที่: 1 ธันวาคม 2552 เวลา:19:09:17 น.  

 
น่าสน ๆ เผื่อจะดูการทำอาหารสนุกแบบ แดจังกึม


โดย: prysang วันที่: 8 ธันวาคม 2552 เวลา:12:49:07 น.  

 
ส่วนที่ชอบที่สุดของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือฉากบอกกล่าวตอนเปิดเรื่องนี้แหละ
เหมือนตบหน้าคนดูอย่างเราๆฉาดเบ้อเริ่ม
ว่าวิถีชีวิตคนเราทุกวันนี้เอาง่ายเข้าว่าอย่างเดียว
ความปราณีตมันหล่นหายไปจากชีวิตเสียตอนไหนแล้วไม่รู้
อาหารแต่ละอย่างที่ร้านอิชโชอังปรุงขึ้นมาก็สุดแสนจะปราณีต
เห็นแล้วน้ำลายสอ น่าทานจริงๆ
น่าเสียดายที่ต้านกระแสไม่ไหว

อ่านเรื่องนี้แล้วได้ความรู้เรื่องวิธีต้มมาม่าด้วยแหะ ดีจัง


โดย: มะนาวเพคะ IP: 125.24.72.110 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:15:58:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.