A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 
sand's chronicle รักสี่เศร้าบวกเราอีกคน (ด้วย)




หยุดการเขียนที่ยั่วน้ำลายท่านผู้อ่านให้แสวงหาความบันเทิง
ผ่านทางภาพยนตร์ไปนานหลายสัปดาห์
ตามประสาคนบ้าเห่อ อะไรที่เป็นพักๆ
ดังนั้นวันหยุดสุดสัปดาห์ (แต่นรกในวันพรุ่งนี้) จึงขอแนะนำ
หนังดีสักหนึ่งเรื่อง หนังที่พระเอกไม่หล่อหรอกแต่นางเอกนี้ไปอยู่กลางใจเรียบร้อย
จากแดนปลาดิบอีกคนเสียแล้ว.......................

หนังเรื่องนี้สร้างมาจากการ์ตูน Shoujo ยอดนิยม คว้ารางวัล ในงานประกวดการ์ตูน
โชงะกุกัน มังงะ อวอร์ดส์ (หนึ่งในสถาบันการประกวดการ์ตูน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น)
ครั้งที่ 50 จนได้รางวัลชนะเลิศด้านการ์ตูนหญิงๆ
หลายท่านอาจงง ไอ้คำว่า shoujo หมายถึงอะไร?
ถ้าคนที่ติดการ์ตูนญี่ปุ่นหงอมแหงมคงดูถูกพวกไม่อ่านในใจว่า
"ก็การ์ตูนประเภทตาโต ขายาว ผมสยาย ในแนวหญิงๆที่ชอบอ่านนักอ่านหนา"
โดยเฉพาะเจ้าตลาดการ์ตูนshoujoในไทยก็ต้อง สำนักพิมพ์บงกช ขาใหญ่วงตูนหญิงๆ
แม้แต่การ์ตูนเล่มนี้ ก็ได้รับการแปลไทย ก่อนเสียที่จะถูกไปทำเป็นละครโทรทัศน์
เมืองปลาดิบ ทางสถานีทีบีเอส(TBS) ความยาว 60 ตอน ฉายนาน 12 สัปดาห์
แต่แล้วสาวกก็ยังไม่จุกใจ นักลงทุนทำหนังจึงเห็นหนทางรวย จึงถูกนำมาสร้างเป็น
ภาพยนตร์ ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน การ์ตูนเรื่องนั่นมีชื่อว่า

Sands Chronicle หรือ ชื่อในไทยบนปกการ์ตูนว่า นาฬิกาทรายรัก
砂時計 แปลว่านาฬิกาทราย (อ่านว่า สึนะโดะเคย์)
ทรายส่วนที่ตกลงมาแล้วคืออดีต คือ ความรัก
ส่วนที่กำลังตกคือปัจจุบัน คือ ความคำนึงถึง
ส่วนที่ยังไม่ตกลงมาคืออนาคต คือ ความหวัง

แค่เกริ่นคำเปรียบเปรยนี้ อาการอ่านหนังสือไปชมภาพยนตร์ไป
ต้องเลือกเอาสักทาง หนังสือที่ว่าช่องทางลัดที่จะทำให้รำรวยท่ามกลางชีวิตของ
ผู้อ่านที่กำลังจนดักดานอยู่ กับความเปรยของหนังที่สะท้อนกับความเป็นจริง
สุดท้ายผมก็ต้องหวนมาพบกับความจริง เป็นความจริงที่สร้างมาจากตัวละคร
ลวงเพื่อสร้างมโนภาพที่ชัดเจนของชีวิต

เริ่มต้นของหนังก็ฉายมาถึงตอนสุดท้ายของเรื่อง ภาพที่ทุกคนต่างเหงยมอง
นาฬิกาทรายที่ใหญ่ยักษ์ในสถานที่ที่คล้ายกับท้องฟ้าจำลอง
หลายคนคงคิดถึงภาพความใหญ่ยักษ์ของมันไม่ออก
เอาเพียงแค่ว่า หากพลิกนาฬิกาที่เต็มฐานมากลับด้าน ก็ต้องรออีกหนึ่งปีเต็ม
ที่ขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องมองอยู่นั่น มีหนุ่มสาวสองคนจากคนละมุมห้อง
จ้องหน้ากันพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ไปเริ่มต้นที่ จ.ชิมะเอะ ในปี๑๙๙๕

เมื่อแม่กับลูกสาววัยสิบสี่ต้นกลับมาตายรังที่บ้านเกิด หลังจากชีวิตรักไม่ประสบกับ
สิ่งที่หวังในเมือง ขณะที่ยาย (แม่ของแม่) ก็จนปัญญาที่จะรับเลี้ยง
เพียงแค่ประโยคนี้ ก็ทำให้คนทั้งหมู่บ้านในชนบทโจษจันกันทั่ว
บ้านนอกนี้ดีน้อ........เพียงใครในหมู่บ้านมีอะไรนิดหน่อย......ต่างก็รู้กันยิ่งกว่าข่าวด่วนจากCNN
แต่กับในเมือง....แค่ห้องตรงข้ามของห้องพักเป็นใคร.....อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้
กลับกลายเป็นว่า คนทั้งหมู่บ้านเข้าใจว่า สองแม่ลูกนี้ถังแตกเพราะไม่มีเงิน
จนไปเดือดร้อน แอน (ที่รับบทวัยเด็กสาวโดย Indou Kaho เกิด๓๐ มิ.ย.๑๙๙๑
ที่กรุงโตเกียว -บอกลึกเพราะพี่ปลื้ม) ที่อยู่ๆมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งโยนงานทำไม้ฝืน
มาให้ เด็กคนนั้นชื่อ ไดโงะ (รับบทโดย Ikemasu) ซึ่งก็จะเป็นพระเอกของเรื่อง
โดยที่ผมไม่ค่อยใส่ใจมันนัก และสถานที่รับจ้างทำไม้ฟืนนี้ก็เป็นของครอบครัวหนึ่ง
ที่มีสองพี่น้อง ฟุจิผู้สำเหนียงติดเมืองกรุง(รับบทโดยTsukata) และน้องสาวของฟุจิ ชื่อ ชิอิกะ
(รับบทโดยน้องOkamoto-คนนี้ก็ดีพี่ก็ปลื้มอีกคน) จากนั้นก็ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก
มายเกินไปกว่า คำว่า................................

รักสี่เศร้า ของเราสี่คน

ถ้ายุทธเลิศเคยทำหนังเรื่อง รัก/สาม/เศร้า มาแล้ว
โปรดจงรู้ว่ามีคนทำลายสถิติหนังพี่ไปแล้ว อีกทั้งเศร้าของหนังญี่ปุ่นเขา
ไม่ได้เศร้าเล็กน้อย แต่เศร้าตั้งแต่เด็ก..................ไปจนโต

หนังไปมีจุดหักเหใหญ่ทันทีตั้งแต่ต้นเรื่อง เมื่ออยู่ๆกลางดึกแม่ของแอน
ออกจากบ้าน แล้วหายตัวไป มีเพียงคำบอกลาสั้นๆว่า "ไม่ต้องตามมา"
จากนั้นมาพบว่า แม่ของเธอเป็นศพไปเสียแล้ว ด้วยการกรีดข้อมือบนหาดทราย
ในเมือง "ทราย" จึงกลายเป็นตัวแทนความเศร้าทั้งในเรื่องของเวลาและ
สถานที่พลัดพรากแม่ของเธอไป
สุดท้าย แอนจึงรู้สึกว่าเธอเองไม่เหลือใครอีกแล้ว ไดโงะ เด็กหนุ่มในเมือง
จึงมาต่อเติมส่วนที่เหลือของการขาดช่วงนั้น แม้จะไม่ได้เอ่ยปากบอกชอบแอนตรงๆ
แต่การที่พูดเปรยๆว่า
"ต่อไปนี้ ฉันจะเคียงข้างไม่ทอดทิ้งเธอ" ก็ซื้อใจน้องแอนของพี่ได้อยู่เต็มหัวใจ
อย่างน้อยๆ คุณน้องแอนก็ยิ้มรับแบบปลื้มๆ ต่อไอ้คำเชยๆแบบบ้านนอกๆของ
ชาวเมืองชิมาเอะ แต่พอมีเพลงบรรเลงคลอๆกับบรรยากาศบนผาที่เห็นธรรมชาติ
อันเขียวขจีโดยรอบ มันก็ทำให้หนุ่งแมนๆอย่างผม เผลอใจซาบซ่านได้เช่นกัน



หนังทำท่าว่าจะกลายเป็นหนังรักกระหนุ่งกระหนิงของเด็กหนุ่มสาวมัธยม
แต่แล้วพ่อของแอนก็มาปรากฎเพื่อจะนำตัวแอนกลับไปอยู่ด้วยกันที่เมืองโตเกียว
ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กม.ต้น กำลังจะขึ้นม.ปลาย
ความจริงแล้วพอ่ของแอนพยายามที่จะติดต่อลูกสาวโดยการส่งจดหมายมาโดยตลอด
แต่ถูกฝ่ายผู้เป็นยายแอบเก็บจดหมายไว้ ไม่ให้แอนเห็น แต่สุดท้ายมีรึ ที่เด็กสาว
อันแสนฉลาดอย่างแอนของพี่จะไม่ค้นพบ สุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างแอนกับ
ไดโงะกับความหลังของเมืองชนบทที่ทำให้การพูดของเธอกลายเป็นคนท้องถิ่นเกือบจะเต็มร้อย
ก็เปรียบเหมือนนาฬิกาทรายที่กำลังเต็มด้าน
พร้อมที่จะวกกับตั้งต้นใหม่อีกครั้ง โดยแอนเลือกที่จะไปอยู่กับพ่อที่เมืองโตเกียวอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนจะจากกันแอนได้ให้นาฬิกาทรายอันเล็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ของแอนได้มอบให้แอน
ไว้ก่อนที่จะเดินทางกับบ้าน ไว้ให้สำหรับคนรู้ใจอย่างไอ้หนุ่มไดโงะ
สิ่งนี้เป็นของสำคัญที่แม่ให้ และแทนใจของการจะกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง
และสถานที่ๆร่ำลา ก็คือบนพื้นขาวของหาดทรายอีกเช่นกัน

แต่ชีวิตเมืองกรุงไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะคุณพี่ฟูจิ ลูกครอบครัวเจ้าของบ้านไม้ฟืนก็
เลือกเรียนต่อที่โตเกียว จุดประสงค์ก็เพื่อจะเคลีย์ใจกับคนที่คิดว่าเป็น
พ่อของเขา ฟูจิจึงมีชีวิตแตกแยกที่คล้ายกับแอนและที่สำคัญกว่านั่น
ตรงที่แอบชอบแอน แล้วครอบครัวนี้ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะช่วงที่แอนกับ
ไดโงะแยกติดต่อกันนั้นเอง น้องสาวของนายฟูจิก็ดันไปสารภาพรักกับไดโงะ
กันสักงั้น เรื่องราวก็เลยอลวนอลเวงพระคุณเจ้า เพียงแต่เนื้อหาและการนำ
เสนอออกจะเข้มข้นจริงจัง แต่สุดท้ายดูจะอ่อนด้อยไปบ้างในยามที่ทุกคนต่างโตขึ้น

Sand's Chronicle อาจจะกลายเป็นหนังรัก-เศร้า-โรแมนติก แบบหนังญี่ปุ่นทั่วๆไป
ยิ่งพอมารู้ว่าเอาเนื้อเรื่องจากการ์ตูนมาทำเป็นหนัง ความเเก่นสานของเรื่องอาจ
จะดูอ่อนลง แต่กับ Sand's Chronicle หาเป็นเช่นนั้นไม่?
ต้องไม่ลืมว่าผู้กำกับ Shinsuke Sato อดีตเป็นนักเขียนบทหนังมือพระกาฬ
เคยผ่านงานเขียนมาแล้วจากเรื่อง Sunflower (2000) Spring Snow (2005-เรื่องนี้
ทันได้ดู) หนังที่มาจากการ์ตูนชุดแล้วต้องมาให้จบในหนังหนึ่งเรื่อง เนื้อหาที่หยิบยก
จึงไปตกกับดารารุ่นเด็กเสียมาก
เรื่องนี้คิดว่าผู้กำกับคงเข้าใจแล้วพยายามประคองเรื่องโดยใส่ใจกับพัฒนาการ
ของตัวละครของนักแสดงผู้ใหญ่ แต่สุดท้ายอย่างไรเสียก็ไม่อาจปล่อยให้นักแสดง
วัยโตอย่าง Nao Matsushita (เล่นบทแอนตอนโต) Daigo Kitamura (เล่นบทไดโงะ
ตอนโต) แสดงบทบาทและฝีมือได้อย่างเต็มที่
ผู้กำกับจึงต้องสลับฉากวัยเด็กกับวัยโตโดยเกือบตลอดตอนท้ายเรื่อง
เพื่อให้ทราบถึงภูมิหลังและเจตจำนงของการกระทำในตัวละครเอก
อาทิ ทำไมไดโงะจึงพยายามเก็บตังค์โดยแลกกับการลาออกจากชมรมยูโดเพื่อไป
ศาลเจ้าไดซุโงะ
ทำไมแอนจึงขอบอกเลิกกับไดโงะเสียกลางคัน ทั้งๆที่น่าจะไปกันได้ดี

เนื่องจากเป็นหนังที่เล่นกับความทรงจำวัยเด็ก และจุดบกพร่องของตัวละคร
ค่อนข้างเยอะ วาทะเด็ดๆที่เหมือนพูดสนทนาในตอนเด็ก ดันมาจี๊ดกลางใจ
ในช่วงท้ายๆหลายต่อหลายตอน เช่น การถามชื่ออีกฝ่ายว่าชื่ออะไร?
ความเข้มแข็งเกิดจากความอ่อนแอ เป็นต้น
คำเหล่านี้จะไม่มีความหมายต่อความอื่น แต่ถ้าเป็นกับตัวละครมันจะได้ใจ
ไปพร้อมๆกับคนดูที่ส่อดเรื่องรักๆใคร่ๆของตัวละครมาตั้งแต่ต้น
มาอิจฉาตอนกลางๆเรื่อง และพร้อมจะยอมให้อภัยในท้ายที่สุด

ท้ายที่สุดทุกอย่างในชีวิตอีกสิบสี่ปีต่อมาก็นำพาชีวิต บทเรียนและอุปสรรค
นานัปประการพร้อมกับนาฬิกาทรายที่อยู่ในมือ (อันที่ถือคืออันใหม่ อันเก่ามันแตกไป
พร้อมๆกับใจที่สลายของใครบ้างคน)
แอนที่เคยโทษความอ่อนแอของแม่ (แต่แท้จริงแม่เธอเข้มแข็งจนเกินไปเสียยิ่งกว่า.....
อันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม)
โทษความไม่เอาไหนของพ่อที่ไม่มาร่วมงานศพ (ซึ่งที่จริง ถูกยายปิดบังเอาไว้)
จนเมื่อเธอโตขึ้น เธอไม่เหลือใครให้โทษ เธอจึงมาโทษตัวเอง ซึ่งเธอคงหลงลืมไปว่า
ทุกคนพร้อมที่จะยกโทษและให้กำลังใจอยู่เคียงข้างเสมอ......เหมือนคำที่คู่หมั่น
ที่บอกว่า ทุกครั้งที่เธอเจ็บ เธอคงลืมคิดไปว่ามีใครเจ๊บพร้อมกับเธอยิ่งกว่า
คู่หมั่นเธอก็ดี๊ดีน้อ........แต่ดีแบบในการ์ตูน ไม่ยื้อมากเดี๋ยวมันหลายตอน

สิ่งที่เสียดายจากหนังเรื่องนี้
............................เสียดายบทบาทตัวละครฟูจิกับชิอิกะ ที่คิดว่าในการ์ตูน
น่าจะมีมากกว่านี้
............................เสียดายที่นางเอกวัยเด็กกับตอนโตดูจะไม่ค่อยคล้ายคลึงกันเท่าไร
แต่พระเอกกับนายฟูจิ อันนี้คล้ายกับตอนเด็กดี
...........................เสียดายที่หนังเรื่องนี้น่าจะทำให้เราฟูมฟาย แต่ถูกทดแทนด้วย
คำพูดซึ้งใจกับบรรยากาศเขียวๆของท้องทุ่ง
..........................เสียดายน้องแอนตอนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่งั้นจะเอาแม่
มาขอ@@@@@

เอาเป็นว่า เป็นหนังที่ดีที่มีเสน่ห์ของตัวเอง ไม่ได้ทำให้เด็กหญิงวัยแรกแย้ม
ชมเพียงเท่านั้น ผู้ใหญ่แก่ประสบการณ์และไม่เคล็ดในความรักมาดูเรื่องนี้
น่าจะมีแง่คิดอะไรในคิดต่ออีกมากมาย
ว่าแล้วสองคนทั้งสองหลังจากส่งยิ้มให้กัน พวกเขาก็หันไปเหงยจ้องนาฬิกายักษ์
นั้นอีกครั้ง พร้อมกับอายุที่แก่กันไปพร้อมกันอีกหนึ่งปี (เพราะมันจะพลิกกลับ
เฉพาตีหนึ่งของวันที่หนึ่งเท่านั้น)



ข้อมูล จาก//www.siamzone.com/movie/
//kobbit.multiply.com/reviews/
















Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2551 21:39:55 น. 2 comments
Counter : 1852 Pageviews.

 
นึกไม่ถึงเลยนะว่าคุณจะดูหนังประเภทนี้ด้้วย...
เรื่องเศร้าขนาดนี้ เห็นทีต้องขอผ่านล่ะ


โดย: นัทธ์ วันที่: 9 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:30:50 น.  

 

ยังไม่มีเวลาไปดูหนังเลยยยยย


โดย: จันทร์ไพลิน วันที่: 10 พฤศจิกายน 2551 เวลา:5:27:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.