A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

Gokusen ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู



หลังจากที่ในอาทิตย์ที่แล้ว ได้สาธยายเกี่ยวกับความฝันของเด็กมัธยมอันไกลโพ้น
อย่าง Futatsu no Spica กันไปแล้ว ก็เลยไม่อยากวกออกนอกไปไกลนัก
จึงหันมาหาซีรีย์ไล่ล่าหาความฝันแบบสามัญแบกะดินถิ่นเด็กมัธยมปลายกันต่อดีกว่า
จะว่าไปซีรีย์แนวนี้ ถือเป็นสูตรนิยมคลั่งชาติที่ทุกสถานีของเมืองยุ่นเขา
จำต้องจับเป็นภารกิจ ในแบบวาระแห่งชาติของทางสถานี
ที่จะต้องลงทุน-จัดสร้าง เพื่อปลุกขวัญกำลังใจของหมู่เยาวชนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
หรือบางที อาจเพราะเป็นกลุ่มเป้าหมายใหญ่กลุ่มหนึ่ง ที่นิยมจดจ่ออยู่หน้าจอ
มีอำนาจในการซื้อสูง ภายใต้แรงผลักดันของสื่อบันเทิงและรสนิยมการเลียนแบบชาวบ้าน
ซึ่งสวนทางกันกับอำนาจในการไตร่ตรองหรือพิจารณาอรรถประโยชน์ที่แท้จริงอย่างถี่ถ้วน
แต่กระนั้นก็เหอะ อย่างน้อยๆ ก็มีกลุ่มเป้าหมายชาวไทยอย่างผู้เขียน
ที่ยังคงนิยมใฝ่หาต่อซีรีย์ประเภทนี้ แม้จะพอรู้อยู่บ้างว่า
ส่วนใหญ่ที่ทำมา จะเจาะตลาดกลุ่มสตรีมากกว่าพวกบุรุษเพศอย่างพวกผม
เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ซีรีย์วัยฝันมัธยมปลายส่วนใหญ่ จะไปเน้นเอียงไปทาง
โรงเรียนกลุ่มชายล้วนซะเป็นส่วนมาก แม้จะมีรสนิยมดิบ-เถื่อนและสถุลเช่นไร
หัวโจกก็ต้องหน้าตาหล่อ สูง หุ่นเพรียว พอไปวัดไปวาได้สะดวกโยธิน
หล่อแบบไม่ต้องเรียนเก่ง เรียนดีหรือสุภาพบุรษจิจ๊ะอะไรมากมาย
เป็นความหล่อภายใต้ความไม่สมบูรณ์แบบ พอที่จะแสวงหามิติด้านดีภายในจิตใจ
ที่บางครั้งก็ทำให้ผู้เขียนหลงใหล คลั่งไคล้ไปไม่รู้ตัว



แต่ก็ใช่ว่า ความหล่อจะเป็นทางเลือกในระดับแรกเสียทีเดียว
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเด็กกุ๋ยเด็กเกด้วยแล้ว ยิ่งหาได้ที่จะเป็นซีรีย์ที่ใช้ความหล่อสั่งได้
เพราะความหล่อประเภทนี้มักจะไม่จีรัง เป็นความหล่อชั่วระยะ
ทีถ้าปล่อยไปสักพัก ใบหน้าหล่อๆก็จะชีช้ำ แบบฝ่าดงตีนหรือไม่ก็มีพันผ้าก๊อต
ปาดไปเสียครึ่งหน้ากะลาหัว ด้วยปากวอนที่จะสร้างเรื่องหาราว
จึงมิใช่สาระสำคัญจริงจังหากจะเลือกสรร
แต่อยู่ด้วยบทเรียนจากความเจ็บที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ควรน่าที่จะหลาบจำ
ด้วยมีบุคคลที่น่าเคารพ ช่วยชี้นำทิศทางและห่วงใยพวกเขาอย่างจริงจัง
ซึ่งซีรีย์เทือกนี้ ผู้เขียนเคยเจอมาแล้วอย่าง GTO เอย Rookies เอย Dragon Sakura เอย
ก็ล้วนแล้วแต่ ประทับใจในความเศร้าที่หาครูเช่นนี้ในชีวิตจริงได้ยาก
เพราะวีรกรรมของแต่ละคุณครูในเรื่อง ล้วนแล้วแต่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง
และเสี่ยงต่อการยึดบัตรอนุญาตความเป็นครู แม้จะรับรู้ว่าความเป็นครูนี้
มันฝังลึกอยู่ในหัวจิตหัวใจ จนยากที่จะเอามาชำแหละให้เห็นกันจะจะ
เหมือนกับซีรีย์อีกเรื่อง ที่คิดว่าหลายคนคงพอรู้จักกันบ้างแล้ว
เพราะมีโอกาสได้ออกฉากทางช่องเจ็ดสีทีวีเพื่อคุณ ในชื่อ
"ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู"



หรืออีกชื่อตามทับศัพท์ที่ไม่มีในพจานุกรมภาษาญี่ปุ่น ว่า
Gokusen เพราะเป็นการเล่นคำของศัพท์ปกติสองตัว ที่มีคำว่า
Gokudoumono ที่แปลว่า กลุ่มคนไม่ดีกับคำว่า Sensei ที่แปลว่า คุณครู
เมื่อสองคำนี้มาผนวกกัน เลยกลายมาเป็นซีรีย์แนวคอเมดี้สอนใจเยาวชน
ที่ปัจจุบันสร้างไปสามภาคเข้าให้แล้ว ผลิตนักแสดงวัยรุ่นหน้าใหม่ประดับวงการ
ไปก็หลายคน ครั้งนี้ผู้เขียนจึงขอสาธยายเฉพาะในส่วนของภาคแรก
ตามประสาคนไม่อยากแพ็ครวมดารานักเรียนนักเลงชาย เกรงจะเสียดายผลิตภัณฑ์
เพราะทุกวันนี้ แต่ละคนก็ล้วนเป็นชายเทพประจำซีรีย์เมืองยุ่นกันเกือบทั้งสิ้น
แต่แน่นอนว่า ไม่มีนักเรียนนักเลงคนไหนจะมายิ่งใหญ่มากไปกว่า
ความเต็มใจของผู้เขียนที่จะอุทิศเนื้อที่มากเป็นพิเศษให้กับ ครูสาวชุดนักกีฬา
"คูมิโกะ ยามากูชิ" ที่แม้นักเรียนชายในห้องจะหาว่าเจ๊แกเหลาเย-อกซาลาเปาก็ตามเหอะ
แต่นั้นเป็นเพียงแค่บทตามต้นฉบับการ์ตูน เพราะเอาเข้าจริงก็หาได้ปกปิด
ความเเจ่มจรัสระดับเทพีนางงามของยูกิเอะ นากามะ ในสายตาผู้เขียนไปเสียได้นั่นเอง



Gokusen เป็นซีรีย์ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมายนัก แทบจะเป็นไปตามชื่อเรื่อง
ภาษาไทยที่ทางสถานีวิกเจ็ดสีตั้งให้ โดยเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในห้อง 3D
ถ้าให้เปรียบเทียบกับหลักสูตรเตรียมอุดมมัธยมศึกษาบ้านเรา ก็ต้องเป็นห้อง งองู
เป็นงองู ที่นักเรียนหัวเกรียนชาวไทยบางคน อาจจะร้องงอแง
เพราะจะมีคนไทยชอบตีคลุมบางคน มองเอาว่าเป็นห้องของเหล่าบรรดาคนหัวไม่ไบร์ท
แต่สำหรับผู้เขียนหาได้เป็นเช่นนั้นในชีวิตจริง เพราะทางครูใหญ่หัวใสจับนักเรียนจะว่าไบร์ท
หรือไม่ก็ตาม เขียนชื่อใส่ฉลากแล้วเอามาเขย่าคละเคล้า ชื่อห้องจึงแทบจะไร้ความหมาย
กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ และไอ้3D นี้แหละ ก็เป็นห้องที่ขึ้นชื่อ
แต่ดันเป็นชื่อในทางที่เสีย เพราะรวบรวมเหล่าบรรดาเด็กเกเร หัวไม่ไบร์และอ่อนด้อยด้านกีฬา
มาไว้ในที่เดียวกัน แค่เอ่ยถึงชื่อห้องก็เล่นเอาเหล่าบรรดาครูๆต่างเข็ดขยาด
ไม่อยากที่จะเข้าใกล้ ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีคุณครูประจำชั้น หวยรางวัลใหญ่นี้
จึงไปตกกับครูที่เข้ามาใหม่ ที่ชื่อ ยามากูชิ คูมิโกะ ครูสาวที่มีอุดมการณ์แนวแน่
ที่อยากจะเป็นครูที่ดีมาตั้งแต่เด็ก และปฏิญาณอยู่เสมอที่จะดูแลเอาใจใส่นักเรียนตัวเองอย่างดี



Hajimemashite , l am Yamaguchi Kumiko.Just starting today.

(ยินดีที่ได้รู้จัก ดิฉันชื่อยามากูชิ คูมิโกะ เพิ่งเริ่มงานเป็นวันแรก)

l'll be teaching here at Shirokin Gakuin .Becoming a teacher has been my dream
since childhood

(ดิฉันจะมาสอนที่นี้ ณ โรงเรียนชิโรคิน กาคูอิน การที่ได้มาเป็นครูมันเป็นความฝัน
ของดิฉันมาตั้งแต่เด็กๆเลยละคะ)



แต่ภาพแห่งความฝัน กับสถานการณ์แห่งความเป็นจริง มันคนละเรื่องกันเลย
เพราะครูคูมิโกะหารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังจะถูกส่งเข้าไปเผชิญหน้ากับห้องเรียน3D
ที่มีแต่เด็กนักเรียนเหลือขอ แม้แต่พ่อแม่ที่บ้านก็ส่ายหัวพอๆกัน



Yamaguchi sensai will teach math and be in charge of class 3D

(ครูยามากชิ จะมาสอนในวิชาเลขและประจำชั้นยังห้อง3Dนะ)

3D ? Are you serious!

(3D เหรอ? นี้อาจารย์ใหญ่พูดเป็นเล่นใช่ไหมเนี่ย!)

OK , change into your uniform and sneakers.Dressed like that .
You won't be able to run away .In the fact of Danger.

(ตกลงตามนี้ ทางที่ดีคุณควรเปลี่ยนยูนิฟอร์มและสวมรองเท้าผ้าใบ
หากยังแต่งชุดแบบนี้ มีหวังจะหนีหัวซุกหัวซุนแทบไม่ทัน
กับหายนะที่กำลังมาเยือน)



เหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ที่ไม่สู้ดีนัก
สำหรับชะตาชีวิตของครูหน้าใหม่ ที่ต้องมาแต่งชุดพละเพื่อมาสอนวิชาเลข
ไหนจะต้องมาสวมแว่น มัดผมสองข้าง ช่างดูไร้เดียงสาสักนี้กระไร
แทบพฤติกรรมการแสดงออก ก็แสนจะบ้าๆบอๆพอจะเรียกสาวเอ๋อ
จากเหล่าบรรดาลูกศิษย์จอมเพี้ยวก็ไม่เห็นแปลก ซึ่งการเปิดตัวต่อหน้าเหล่า
บรรดาลูกศิษย์ห้อง3D ก็ได้รับการต้อนรับขับไล่เป็นอย่างดี




She is a dolt and she is flat-chested. Go home! Go home! Go home!

(แหมเจ๊แกนี้มันยัยบ๊องชัดๆแถมอกซาลาเปาลูกห้าบาท ไปซะๆๆ!!)



นักเรียนในห้อง 3D ต่างก็ส่งเสียงโห่ไล่ ไม่มีความเกรงใจต่อหน้าอาจารย์ใหญ่
เหล่าบรรดาครูผู้เป็นสักขีพยาน และที่สำคัญครูประจำชั้นคนใหม่ของพวกเขา
ซึ่งถ้าเป็นครูใหม่คนอื่น คงขวัญหนีดีฝ่อ ถอนใจลาจากความเป็นครู
ไปประกอบอาชีพที่ดูเวริกๆ แบบไม่โดนเด็กเมื่อวานซืนมาลูบหัว
แต่กับครูคนใหม่อย่าง ยามากุชิ คูมิโกะ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เพราะเบื้องลึกเบื้องหลัง ที่น้อยคนจะรับรู้ได้ จะมีก็แต่เพียงคนในวงการเท่านั้นที่จะรู้


l lost my parents in an accident at age 7 and l was taken in by my grandfather
the only relative left . A Man who lives in the Yakuza world.Oeda .
Family 3rd generation boss.Kuroda Ryuichiro.
There is no way those highschool delinquents can scare me.

(ฉันสูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุตั้งแต่อายุได้เจ็ดขวบ และฉันก็ถูกอุปการะเลี้ยงดู
จากคุณตาของฉัน เป็นเพียงสายสัมพันธ์เดียวที่ฉันมี คุณตาของฉันตลอดชีวิตอยู่ใน
แวดวงของพวกยากู คุณตาของฉันชื่อคุโรดะ ริวอิชิโระ
เป็นหัวหน้ารุ่นที่สามของยากูซาสำนักโออิดะ
ไม่มีทางเสียละ ที่เจ้าพวกเด็กนักเรียนเกเรเหล่านั้นจะทำให้ฉันกลัว)






ส่วนเวลาลูกสมุน เรียก ครูคุมิโกะ ว่า Ojou ก็มีความหมายไปทาง นายหญิง
อันเป็นสถานะที่รับรู้กัน ตามชาติกำเนิดและมีผลต่อการสืบทอดในสายตระกูล
แต่กระนั้นก็ตามเหอะ ยามที่เจ๊กลับสู่สำนักยากูซา หลังจากที่เลิกสอนเสร็จ
ก็ถอดเเว่น สละมัดจุกผม แต่งกายเป็นสาวเจ้าสำนักธรรมดาในชุดลำลองทั่วไป
โดยมีเหล่าบรรดาสมาชิกในสำนักยากูซาคอยปรนนิบัติ แบบไม่ค่อยเต็มเท่าไร
และการถูกรับเลี้ยงในโลกของยากูซา จึงทำให้เจ๊แกมีฝีไม้ฝีมือในการต่อสู้ป้องกันตัว
ชนิดที่ชายอกสามศอกมาแบบคณะหมาหมู่ ต้องลงนอนไปกองจมพื้นแบบไม่คณามือ
จึงเป็นสองสถานะในร่างเดียว ที่มักจะเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำอยู่เสมอ
ชนิดที่ต้องไม่ให้ทางโรงเรียนรับรู้ อันมีผลต่อการถูกไล่ออกสถานเดียว
ขณะเดียวกันก็ไม่ให้พรรคพวกในสำนักยากูซา มาเดินใกล้โต๋เต๋เพื่อให้เหล่านักเรียน
และคุณครูท่านอื่น ระแคระคายต่อเบื้องหลังที่เก็บซ่อนในฐานะที่เจ๊แกมีดีกรีรับช่วง
เจ้าสำนักรุ่นที่สี่ ต่อจากคุณตาของเธอที่ชราภาพลงทุกวัน




ถือเป็นซีรีย์แรงกระฉูด ของทางค่าย NTV เขา ที่นานๆทีจะมีซีรีย์
ที่ได้รับทั้งโล่ห์และเสียงตอบรับที่ดีในทุกทิศทุกทาง ทั้งๆที่ต้นฉบับมาจากหนังสือการ์ตูน
จากฝีมือการวาดของ โมริโมโตะ โคซูเอะโกะ ก็มีความนิยมประมาณนึง ตีพิมพ์เป็นเล่ม
ได้อย่างมากสุดก็แค่สิบเล่ม แต่พอเข้าฉายในทางทีวี กระแสกับดีดีเสียจน
ต้องทำเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นไล่ตามหลัง แต่ความดังหาได้หยุดเพียงเท่านั้น
เพราะตามสูตรของซีรีย์ที่ทำให้สถานียืดอกยกไหล่ได้ จำต้องสร้างตอนพิเศษให้หาย
แก้คิดถึง แต่ความคิดถึงก็หาได้บรรเทาเบาบางไปจากใจคนดู
เพราะอีกสามปีต่อมา ทางNTV ก็เข็นภาคสองออกสู่สายตาประชาชี
กลับกลุ่มนักแสดงห้อง 3D กับคณะครูชุดใหม่ เพราะมันต่างโรงเรียน
เสียงตอบรับก็ดันยังดีต่อเนื่อง ไล่มาอีกสามปีNTV ก็สมมาคุณท่านผู้ชมด้วยการออก
ภาคใหม่ล่าสุด ด้วยพล็อตเรื่องแบบเดิมๆ ก็ยังกระชากเรตติ้งอย่างไม่เสื่อมคลาย
เชื่อได้เลยว่า มิวายอีกสามปีต่อไปคงได้เห็นภาคสี่ตามมาอีกแน่นอน
ล่าสุด ทางNTV ก็ลงทุนสร้าง Gokusen The Movie ที่เข้าฉายปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่า จะออกมาช้า แต่ก็ยังดีกว่ายังไม่มา
และความที่เป็นภาคแรก ก็เป็นการเปิดตัวนักแสดงหญิงอย่าง นากามะ ยูกิเอะ
ในฐานะนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมรางวัลแรกทางทีวี ของสถาบัน TDAA ครั้งที่ ๓๓
ส่วนใครจะไปเชื่อว่า บทบาทของครูคูมิโกะดูจะติดตัวหล่อนไปจนวันตาย
เพราะไม่ว่าจะรับบทนี้ ทั้งภาคสองและภาคสามอย่างต่อเนื่องก็ตาม ก็ไม่มีครั้งไหน
ทำให้เธอ พลาดในรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมของสถาบัน TDAA ไปได้เลย
แม้จะเป็นบทที่เด่น แต่ก็ลำเค็ญในความอาภัพของเนื้อคู่ ที่ไปแอบรักแอบปิ๊งใครไม่เคยสมหวัง
แถมยังต้องไปแย่งชิงกับครูสาวคู่แข่งท่านอื่นๆอีก อย่างในภาคแรกเจ๊คูมิโกะดันไปปิ๊ง
ตำรวจนอกเครื่องแบบชินโนฮารา โทโมยะ (เล่นโดยซาวามุระ อิกคิ ชอบแกตามได้ใน
Gokusen ภาค Movieต่อนะเออ) ส่วนไอ้ที่เขาแอบมารักมาชอบเจ๊ อย่างลูกน้องยากูซ่าที่ชื่อเท็ตซึ
เป็นคนใกล้ตัวที่เจ๊แกก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาเอาซะเลย





ส่วนบริวารรอบข้างเจ๊แต่ละคน ก็แสดงได้สนุกหรรษาไม่ใช่น้อย
อย่างตัวอาจารย์ใหญ่จอมเฮี้ยบ ซาวาตาริ โกโระ (เล่นโดย นาเมเซะ คัทซึฮิซะ)
ก็ต้องถือว่าเป็นคู่ปราบคู่กัดกับครูคูมิโกะกันตั้งแต่ชาติปางก่อน เพราะพี่ท่านยังตามไปไล่งับ
ทั้งในภาคสอง ภาคสามและหนังใหญ่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้ทัศนะเบื้องต้น
จะเป็นอริกับเหล่าบรรดานักเรียนในห้อง 3D ในทุกยุคทุกสมัยและในทุกภาคก็ตาม
แต่ท้ายที่สุดถ้าไม่ได้แก ครูคูมิโกะซึ่งมีฝีมือก็เหอะ ก็ยากที่จะคลี่คลายเรื่องทุกอย่างไปได้
ดูฝ่ายโรงเรียนกันแล้ว ก็หันมาดูฝ่ายสำนักยากูซากันบ้าง
ตัวเดินเกม ทีทำให้ซีรีย์เรื่องนี้แลมีสีสันแบบขาดเขาไม่ได้ ก็ต้องนึกถึงพ่อหนุ่มหนวดจิ๋ม
เท็ตซึ อาซากุระ (เล่นโดย เคน อุซึอิ มีโผล่ไปเล่นใน Haken no Hinkaku ด้วย)
และเป็นภาคเดียว ที่กล้าลงทุนโกนหนวดหน้าเกลี้ยงเอาใจคุณหนูเขา แต่พอรู้ว่า
คนดูส่วนใหญ่ปลื้มให้แกมีหนวดมาประทับ ภาคที่เหลือต่อมาหนวดก็กลายเป็นสิ่งที่ขาดมิไ้ด้เสีย
และยากูซาเจ้าอ้วนหัวกลม ทาซึคาวา มิโนะรุ (เล่นโดย อุชิยามา ชินจิ ไปเล่นใน Yasuko to Kenji
ก็ยังไม่พ้นบทยากูซาตัวฮาอีกเช่นเคย)
ส่วนอีกคนที่ขอใช้สรรพนามว่า "ท่าน" เพราะเล่นได้น่าเคารพ น่ายำเกรง
เพราะบทก็บ่งบอกอยู่แล้ว ว่าเป็นหัวหน้ารุ่นที่สามของสำนักยากูซา
ที่เล่นโดย อุซึอิ เคน เป็นดารารุ่นเก๋า ที่เล่นซีรีย์ทางโทรทัศน์ตั้งแต่กลางปี ๗๐
นอกจากที่รับเล่นใน Gokusen แล้ว ซีรีย์เรื่องอื่นแทบจะไม่เคยยลตาเลยสักครั้งจริงๆ
อยากจะบอกนิดว่า โลกแห่งความจริงแล้ว ยากูซามิได้น่ารักน่าชังอยากที่เห็นนะ
เพราะผู้เขียนเคยได้ดู Shijuku Accident ที่มีเฉินหลง เล่นเป็นชาวจีนอพยพ
ขอบอกว่า ยากูซาบ้านเขาโหดเอามากๆ ยังจำฉากตัดแขนบนเตาเกาลัดไม่ลืม
ดูซีรีย์เรื่องนี้ ยังเผลอไปคิดว่าบางทีอาจเป็นการฟอกเงินโดยเหล่ายากูซาร่วมลงขันกัน
อันจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ให้แก่สายตาคนภายนอก เดินไปไหนมาไหน
คนเขาจะได้ไม่ต้องส่งสายตารังเกียจเดียจฉันกันเห็นๆ




Who the hell are you ?

(ไอ๊หย๊า! แกเป็นใครวะ)

l am the homeroom teacher of the student you played with
Don't lay a hand on my student.

(ฉันเป็นครูประจำชั้นของนักเรียน คนที่แกกำลังเล่นงานเขาอยู่นี้ไง
จงวางมือออกจากนักเรียนของฉันซะ)


นักเรียนที่ไหนได้ยินประโยคเจ้าเข้าเจ้าของนี้เข้า จะให้นิสัยแย่เพียงไร
ถ้ายังซื้อใจไม่ได้ อันนี้ก็เกินเหยี่ยวยาแล้ว เด็กเขาก็เป็นคน
มีหัวจิตหัวใจ รู้สึกรู้สาแบบสามัญชนคนทั่วไปนี้แหละ
ส่วนเหล่าบรรดานักเรียน 3D จอมเฮ้ว คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมาก
เพราะทุกวันนี้ เขาเหล่านั้นก็เป็นนักแสดงหลักในบรรดาซีรีย์หลายๆเรื่อง
เริ่มจากหัวโจกของห้อง ชิน ซาวาดะ รับบทโดย จุน มัตซึโมโตะ ผลงานอื่นๆ
ก็มากมายหลายเรื่อง Kimi wa Pet , Hana Yori Dango และ Smile
เป็นนักเรียนเพียงคนเดียว ที่เริ่มมีใจคิดไม่ซื่อกับครูคูมิโกะ
เพราะการรับแสดงนี้ เลยทำให้เฮียน้องแก ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชาย
TDAA ครั้งที่ ๓๓ พร้อมกับนางเอกของเรือ่งไปด้วย
ตัวหลักอีกตัว ฮารุอิโกะ อุจิยามา เห็นหน้าก็ร้องอ้อ เจ้า ชุน โองุริ นี้เอง
งานที่ผ่านมาเหรอ คงมีเคยดูกันบ้างแหละ เพราะถ้าปลื้มชุน เจ้าหมอนี้
ก็เล่นซีรีย์ทับซ้อนกับเจ้าชุนหลายเรื่องเหมือนกัน อย่าง
Hana Yori Dango , Smile นี้ก็ใช่ ไหนจะโชว์พาวด์ด้วยตัวของตัวเองใน
Summer Snow และ Tokyo DOGS
ส่วนอีกคนนี้ไม่ร้องอ้อก็ไม่ได้ ทาเคชิ โนะดะ รับบทโดย นาริมิยะ ฮีโรกิ
ทั้งหนังใหญ่อย่าง Nana ส่วนซีรีย์ก็ Bloody Moday ,Be with you และ Orange Day
เอาเด็กมาล่อขนาดนี้ พอใจรึยัง ถ้ายังไม่พอยังมี
ยังจำเจ้า โยอิจิ มินามิ ในเรื่องได้ไหม คนนี้เล่นโดย อิชิกากิ ยูมะ เล่นในซีรีย์ฉายเมืองไทย
อย่าง Water boys และ Engine และตัวป่วนเรียวทาโระในซีรีย์ H2
ความจริงในห้อง 3D ไม่ได้มีแค่สี่คนนี้เท่านั้น ก็ยังเห็นนักเรียนชายคนอื่น
อีกตั้งมาก เพียงแต่ซีรีย์เขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรมากมาย จึงน่าจะเรียกว่า
ตัวประกอบฉาก เอามาแต่งตัวสวมชุดเด็กมัธยมแต่ต้องปล่อยชายเสื้อ พับแขน
หาอัญมณีที่ดูไม่จำเป็น มาแขวนมาห้อย ให้ดูรกตารำคาญใจ และที่สำคัญ
ต้องโกรกผม เล่นสี แต่งไฮไลต์ที่ปลายผม ซึ่งสูตรนี้ซีรีย์อื่นเขาใช้มาตั้งนานแล้ว
ใช้ทีไร ทำให้คนดูเชื่อได้เลยว่า ไม่ต้องแสดงออกถึงพฤติกรรมบิดามารดาที่ไม่ยอมสอนสั่ง
ก็เป็นเด็กดีได้ไม่ง่ายนัก อย่างที่เห็นศีรษะมันฟ้องอยู่ทนโท้ เหลืองมาแต่ไกล
ก็คิดเอาตามที่เห็นไว้ก่อนว่า นักเรียนที่ดีๆเขาไม่ทำกัน
เอ้อ! เกือบลืมเจ้าอ้วนไปอีกคน เพราะเจ้าเด็กนักเรียนคนนี้ เป็นเพียงคนเดียว
ที่ยังคงแวะเวียนให้เห็นทั้งในภาคสองและภาคสาม เป็นเจ้าอ้วนหัวทองลูกเจ้าของ
ร้านบะหมี่ที่เพื่อนๆในกลุ่มเรืยกมันว่า "คุมะ" คนนี้เล่นโดย วากิ โทโมฮีโระ
จนแทบจะเรียกว่า เป็นผลผลิตในความสำเร็จจากการอบรมสั่งสอนให้กลับตัวกลับใจ
ด้วยน้ำมือของคุณครูคูมิโกะ ที่ยังตัวเป็นๆให้เห็นอยู่ เพราะเด็กนักเรียนที่เหลือจากนั้น
ก็อันตธานสาบสูญ ไปตามเจเนเรชั่นใหม่ 3D ที่ยังคงรักษาอาถรรพ์ความเฮี้ยว
ที่ใครก็ไม่อยากเกี่ยวข้อง




เป็นซีรีย์ที่พอจะทำเล่น ก็เล่นซะเลอะเทอะ
แต่บทที่จะเอาจริง ก็จริงซะจนน้ำตาคลอ แบบคนที่ไม่เคยได้ความรัก
ความอบอุ่นจากคุณครูประจำชั้น แต่บางทีก็อาจจะตั้งคำถามถึงวิธีการเล่าเรื่อง
กันอยู่ซะหน่อย ว่าไม่มีเหตุดลใจอื่นใดให้คิดแตกต่างจากสิ่งที่ได้เห็นในครั้งก่อนบ้างเหรอ
ประเภทไปโดนเด็กโรงเรียนอื่นเล่นงาน เพียงเพราะไปกระทบกระทั่งกันโดยบังเอิญ
จากเหตุที่กำลังวิ่งหนีปมชีวิตส่วนตัว จากนั้นนางเอกก็โผล่ไปทันช่วงในช่วงเด็กในชั้น
กำลังสะปักสะปอมได้ที่ สักพักก็ตุ้บๆตับๆ พร้อมกับวาจาเตือนสติประกอบหมัดมวย
ซึ่งสุดท้าย นางเอกเราก็ผูกทางชนะแบบไม่มีริ้วไม่มีรอยไว้ได้เสมอ
อันนี้อยากจะส่งจดหมายเปิดผนึกภาคภาษาไทยไปยังทีมดัดแปลงบท อย่าง
คุณ เอกาชิระ มิชิระ ,โยโกตะ ริเอะ และมัตซึตะ ยูโกะ รวมทั้งถามไปยัง
ท่านโปรดิวเซอร์ คาโตะ มาซาโตชิ
ไม่เว้นแม้แต่ผู้กำกับตัวยืน อย่าง ซาโต้ โทยะ และโอตานิ ทาโระ
เหตุที่ต้องถามพวกเขาเหล่านั้น เพราะทั้งหมดที่ว่านี้ล้วนเป็นตัวยืนในทีมงานสร้าง
Gokusen ทั้งภาคแรก จนมาถึงภาคสาม ขอความแตกต่างนิดได้ไหมเพ่!
หรือเพราะมันเป็นสูตรที่สัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ตั้งแต่ก่อนที่จะวางกล้อง
ด้วยไอ้ตอนแรกๆที่เห็น ก็ตื่นเต้นและลุ้นระทึกใจดี แต่พอมาระยะหลังๆ
กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องลุ้น สามารถปล่อยวางและนึกล่วงหน้าได้
จนพอจะมีเวลาส่วนตัวไปเข้าห้องน้ำห้องท่าได้หลายนาที หรือโทรไปโชว์เบอร์เพื่อนสนิท
เพื่อไถ่ถามดีวีดีที่ยืมไปเนินนานได้ Gokusen จึงเป็นงานเพลินๆ
ที่ดูได้ดูดี แม้จะไม่ค่อยน่าจดจำในระยะหลังๆ เพราะขาดซึ่งความแปลกใหม่
และไร้รสชาติในบางตอน เพราะดันไปละม้ายคล้ายบางสิ่งกับในบางตอน
ของภาคที่แล้ว แต่ถ้าหวังจะดูเด็กปั้นที่รอแจ้งเกิด อันนี้ก็น่าจะสมถวิลเพราะเด็กปั้นที่
มาแต่ละภาค เล่นมัดกันมาทีละสี่ห้าคน เรียกว่าหล่อสมอารมณ์หมาย
และท้ายที่สุด ไม่มีภารกิจใดที่บุตรีสายตระกูลยากูซารุ่นที่สี่ ที่หวังดีจะเป็น
ครู จะทำสิ่งที่เป็นภาระอันหนักอึ้งปานประหนึ่งเข็นครกขึ้นภูเขาไฟฟูจิ


No Matter what happens .l'll make sure everyone of your graduates

(ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะทำให้ทุกๆคน สำเร็จการศึกษาไปพร้อมกัน)





แต่กระนั้น บางทีก็ง่ายกว่าการที่สส.ไม่เข้าประชุมสภา จนล่มไม่เป็นท่ากันอยู่บ่อยๆ ........


อยากรู้ว่า Gokusen ภาคต่อไปเป็นอย่างไร ตามต่อได้ที่

Gokusen2 ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู (คุมิโกะreturn)

Gokusen3 ลูกสาวเจ้าพ่อขอเป็นครู (คุมิโกะReturnอีกแล้ว)


เอื่อข้อมูลอีกครั้งจาก............

//jkdramas.com/jdramas/gokusen.htm
//en.wikipedia.org/wiki/Gokusen
//wiki.d-addicts.com/Gokusen






 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 14 ธันวาคม 2554 22:08:58 น.
Counter : 6139 Pageviews.  

Futatsu no Spica ฝันข้ามวัย ไปให้ถึงนาซ่า


นึกถึงสมัยเด็ก ผู้เขียนคิดว่าทุกคนส่วนใหญ่คงมีความสนใจเรื่องของบนฟ้า
ยิ่งเป็นฟ้าในเวลากลางคืน ยิ่งน่าสนใจเพิ่มขึ้นเป็นกอง
เป็นฟ้าที่ไร้ซึ่งแสงแดดจ้า ไร้เหล่าคลื่นยูวีที่จะมาระคายเคืองผิว
เป็นฟ้ากลางวันที่เหมาะกับการตากผ้า มากกว่าจะมาทำอารมณ์โรแมนติก
และแน่นอนเสน่ห์ของฟ้ากลางคืน คือ เหล่ากองของหมู่ดาว ที่กระจัดกระจาย
ส่องแสงเปล่งประกาย ตามจุดตรงนั้นตรงนี้ รายเรียงจนมีนักจินตนาการอุตริ
ริตั้งชื่อตามแนวของกลุ่มดาว ให้มีชื่อเสียงเรียงนามแบบชนมนุษย์โลก
เพื่อความเข้าใจที่ง่าย และไม่วุ่นวายใจเวลานึกจะเหงยตาไล่หาเหล่ากลุ่มดาวซ้ำนี้นั้น
อย่าว่าแต่ดวงดาวเลย แม้แต่ความเป็นกาแล็กซี่ สนามเวทีที่ให้เหล่าดาวดวงในบริวาร
มีเส้นวงโคจรให้รายรอบ ก็มีคนอธิบายว่าใช้จินตนาการได้ไม่ยาก
เพียงแค่เข้าครัวแล้วหาผ้าสีดำมาคลุมที่โต๊ะทานข้าวประจำบ้าน
ต่อจากนั้นก็โรยเม็ดเกลือให้ทั่วๆ เม็ดเกลือที่กระจายนี้แหละ คือ จักรวาล

ความสนใจของผู้เขียนจึงเริ่มละเลย ต่อค่าอนันตกาลของเหล่าดาวดวง
แต่หันไปให้ความใส่ใจกับสิ่งอยู่ร่วมกับจักรวาลแทน อย่าง ยูเอฟโอ
ปริศนาการดับของดวงอาทิตย์ และแหล่งน้ำบนดวงดาวอังคารขึ้นมาแทน
แม้มันจะยังยากอยู่ ที่จะหารู้ซึ่งความจริงที่มี แต่ก็ยังดีกว่าจะสะเปะสะปะดู
สิ่งที่แลจะคล้ายๆคลาๆ เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งที่ผิดแผกแตกต่างกันออกไป
บางดวงก็ส่องแสงโต๋โต บางดวงก็ส่องแสงกระจ๋อยร๋อย แม้จะเป็นการชมฟรี
ที่ไม่มีราคา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าครั้งหนึ่งจะมีมนุษย์ผู้คลั่งไคล้ อย่าง สาธุคุณ อีแวนส์
ที่ใช้เวลาทั้งชีวิต แบกกล้องดูดาวอย่างทุลักทุเลขึ้นไปบนดาดฟ้าหลังบ้านที่
บลูเมาท์เทนทุกวัน เพื่อไล่ดูซากศพของดวงดาวที่ตายเกลื่อนไปหลายปีแสง




ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่มีแรงปรารถนาที่จะใฝ่ฝัน ว่าโตขึ้นจะทำมาหากิน
กับสิ่งที่เป็นจักรวาลนอกดาวโลกเลยสักครั้ง ขนาดเดียวกันก็ติดตามซีรีย์ญี่ปุ่น
ของเหล่าบรรดาเด็กๆ ที่ไล่ตามหาความฝันมาก็พอสมควร ประทานโทษเถอะ
อย่างน้อยๆ ก็เป็นความฝันเฟื่องตามประสาเด็กๆ ที่อยากจะเป็นครูบ้าง
ตำรวจบ้าง หมอก็เยอะ นักการเมืองก็พอมีให้เห็น แต่ประเภทฝันไปไกล
จนเลยชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียสนี้ เอานี้ไม่เคยแฮะ
แต่สุดท้าย ก็ยังมีซีรีย์ที่ทำให้เห็น ใน Futatsu no Spica
หรือเรียกตามต้นฉบับการ์ตูนก็ได้ว่า Twin Spica เป็นซีรีย์สั้นๆ เพียง ๗ ตอน
ที่สอนใจตามแบบฉบับบูชิโดไว้มากมาย แต่กระนั้นก็เถอะด้วยข้อจำกัดในทุนสร้าง
และเป็นซีรีย์ข้ามเกี่ยวฤดู เลยทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนมุมมองของการนำเสนอ
ไปอีกทาง โดยเลือกมองในมุมของมิตรภาพของมวลหมู่มิตรผู้ฝึกฝนแทน



เป็นเรื่องของเด็กผู้มีความฝันที่จะท้องอวกาศนอกโลกในกลุ่มห้าคน
ซึ่งจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่จะได้รับโอกาสดีที่นานปีทีหนจะมีสักครั้ง
โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเข้าศึกษาต่อหลังจากจบชั้นมัธยมต้น ยังในสถาบันการศึกษาเฉพาะด้าน
ที่เป็นเรื่องของอวกาศล้วนๆ ณ โรงเรียนการบินอวกาศโตเกียว (Tokyo Aerospace School)
ความจริงก็ไม่ได้มีแค่นักเรียนในชั้นเพียงห้าคนหรอกนะ เท่าที่เห็นก็มีด้วยกันอยู่หลาย
เพียงแต่ทางชั้นเรียนจะพยายามเน้นให้นักเรียนได้ทำงานเป็นกลุ่ม และหนึ่งกลุ่มที่
มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ตรงที่ห้าคนดังกล่าวนั้น
มีน้องนางเอก ที่เป็นตัวเดินหลักของเรื่องที่ชื่อ "คาโมกาวา อาซุมิ"
(รับบทโดย ซากุราบะ นานามิ น้องหน้าใสใน Akai ito ทั้งภาคหนังและซีรีย์ รวมถึง
ยกระดับตัวเองใน Ghost Town no Hana) ซึ่งอาซุมิคนนี้ไม่ได้ตั้งใจศึกษาต่อในแขนงนี้
เพื่อความเท่ห์มาประดับวงศ์ตระกูล เพราะเชื้อสายตระกูลของเธอ อย่างคุณพ่อขอเธอ
ก็เคยเป็นนักออกแบบจรวดอวกาศ ที่ชื่อ ไลออนส์ แต่จรวดไลออส์ในครั้งนั้นได้สร้าง
โศกนาฏกรรมทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
เพราะหลังจากที่จรวดถูกปล่อยจากฐานไปได้ไม่กี่นาที ก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่
กลางอากาศ และเศษซากของตัวจรวดก็ไปทำลายอีกหลายชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง
ณ เวลาตอนนั้น รวมทั้งแม่บังเกิดกล้าวของอาซุมิด้วยเช่นกัน



Spica, a binary star system and the brightest star in the constellation
(กลุ่มดาวสปิกา เป็นกลุ่มดาวสองดวงที่ส่องประกายสะท้อนแสง เอื้ออาทรณ์ซึ่งกันและกัน)
My Mother who said that.
(เรื่องนี้ แม่ฉันเคยสอนไว้)

และด้วยเหตุผลตรงจุดนี้ อาซุมิจึงมีความตั้งใจที่อยากจะเป็นนักบินอวกาศ
ส่วนจะด้วยชดเชยความผิดพลาดของผู้เป็นพ่อ หรือทำความปรารถนาของผู้เป็นแม่
ก็ตามทีเหอะ แม้จะด้วยความไม่เต็มใจของตัวผู้เป็นพ่อ
ที่รู้สึกผิดในใจกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นต้นมา และขอโยกย้ายตำแหน่งงานของตนเอง
มาเป็นเจ้าหน้าที่เหยี่ยวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การระเบิดของยานไลออนส์
แต่น้องอาซุมิก็ไม่ได้มาอย่างเดียวดาย อย่างน้อยก็มีเพื่อนสมัยเด็กที่โตด้วยกันมา อย่าง
"ฟุจุยะ ชินโนะสึเกะ" (รับบทโดย ไดโตะ ชุนชุเกะ จากRESCUE และ Love Shuffle )
ไอ้หนุ่มตี๋แว่นผู้ชำนาญเรื่องเครื่องยนต์กลไก และที่รับรู้ปมปัญหาชีวิตในเบื้องหลัง
ของอาซุมิเป็นอย่างดี และแน่ละ จะต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกห้าคนในกลุ่ม
ที่ไปหาเอาดาบหน้าในโรงเรียน ซึ่งก็ล้วนได้มาอีกสามคน ที่ก็ไม่ธรรมดาอีกเช่นกัน
เหตุที่ไม่ธรรมดาก็เพราะอีกสามคนนั้น ประกอบด้วย "ซึสึกิ ชู"
(รับบทโดยนากามุระ ยูอิจิ จาก Kamen Rider Den-O และTaiyo to Umi no Kyoshitsu)
เป็นเด็กหนุ่มเริงร่าหัวสีทอง ที่มีคะแนนสอบเข้าเป็นอันดับหนึ่ง ไหนจะตามมาด้วย
"อุคิตะ มาริกะ" (รับบทโดย อาดาจิ ริกะ จากSensei wa Erai! ) บุตรีของท่านรมต.หญิง
ผู้ขยันวิ่งเต้นโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนให้กับองค์การนาซา เป็นบุตรีรมต.
ที่ทำคะแนนสอบเข้าได้เป็นอันดับที่สอง ผู้มีบุคลิกเข้ากับผู้อื่นได้ยากและมีความสัมพันธ์
ที่แสนจะเปราะบางกับผู้เป็นแม่ และท้ายสุดที่ดูจะธรรมดากว่าคนอื่นหน่อย อย่าง
"อูมิ เคย์" (รับบทโดย ทาคายามะ ยูโกะ จากPapa to Musume no Nanokakan )
สาวใสร่าเริงทีเป็นมิตรได้กับทุกคน แต่ความสามารถพิเศษจะดูอ่อนด้อยกับเพื่อนสมาชิก
ทุกคนในกลุ่ม เป็นตัวละครที่ยัดใส่ให้มีครบห้าคนโดยสมบูรณ์
ซึ่งไม่เน้นเนื้อหามากกว่าการเติมเต็มด้านสายสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกทุกคนในกลุ่ม



แต่การได้มาซึ่งห้าคน ก็ย่อมมีเหตุกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องธรรมดา
ตามประสาโควต้าเก้าอื้ของนักบินอวกาศ ที่มีให้ได้แค่เพียงท่านเดียว
กระนั้นก็ยังไม่หนักเท่า การตามย้ำและตามซ้ำของอาจารย์ที่มองโลกแต่ในแง่ร้าย
อย่าง "อ. ซาโนะ ทาคาฮิโตะ" (รับบทโดย ทานาบะ เซอิจิ เคยเล่นในPsychometrer Eiji และ
Kimi wa Pet ) ที่มักสอนด้วยวิธีคิดแบบตัดรอนอย่างไม่รักษาน้ำจิตน้ำใจของลูกศิษย์ลูกหา
เพื่อให้เปิดโลกรับรู้ความเจ็บปวดที่แท้จริง ที่นอกเหนือจากโลกแห่งความฝัน

Think of the person sitting next to you as the one who has to fail.
(โปรดสังเกตเพื่อนที่นั่งข้างๆของพวกเธอให้ดี สักวันเขาเหล่านั้นจะต้องผิดหวังในที่สุด)



แม้ในอดีตจะเป็นเพื่อนที่แสนสนิทกับพ่อของนางเอกเขา แต่เพื่อนท่านนี้ก็ผู้ได้ที่รับ
กระทบจากการระเบิดของยานไลออนส์ ที่ทำให้คนรักของตน (ที่เป็นเพื่อนสนิทของแม่นางเอกด้วย)
ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราแบบไม่มีวันหวนกลับ แต่ข้อดีในระยะหลังๆก็มีให้เห็น
กันเป็นชุดๆ อีกทั้งยังเป็นตัวตั้งตัวตีที่ค้านหัวชนฝายาน ในการเร่งรีบส่งลูกศิษย์เป็น
นักเรียนแลกเปลี่ยนกับองค์การนาซ่า ทั้งๆที่ยังไม่มีความพร้อม
และผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้วมาสนิทชิดเชื้อกับนางเอกไม่ได้มีแค่อาจารย์คนนี้เท่านั้น
ยังมีรุ่นพี่ "คิริว ฮารุกิ" (รับบทโดย โอซามุ มุไค ที่รับบทพ่อครัวใน Osen)
เป็นเจ้าหน้าที่ในฝ่ายวิศวะยานยนต์ในสถาบันเดียวกันกับนางเอก
ที่สูญเสียครอบครัวจนไม่มีความเชื่อใจในการที่มนุษย์อวกาศ จะต้องไปสุ่มเสี่ยง
ไปพร้อมกับเจ้าจรวดอวกาศ เลยมุ่งมั่นที่จะสร้างหุ่นยนต์ให้เป็นผู้เสี่ยงเคราะห์แทน
มีสถานะเป็นรุ่นพี่ที่อายุมิแอบปลื้ม ที่ภายหลังไปได้ทุนเรียนต่อที่ต่างประเทศ
แล้วแกก็หนีหายเข้ากลีบหลุมดำ มีโผล่หน้าเล็กน้อยตามสายโทรศัพท์
เลยไม่รู้ว่า ตกลงแกเป็นดาราหลักหรือแขกรับเชิญกันแน่ละหว่า?



แต่คนสายโหดสายแข็งในสถาบันศึกษาเรื่องอวกาศ ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้
ยังมีเจ๊ผู้อำนวยการ "ชิโอมิ โทชิโกะ" (รับบทโดย คาโต้ คาซึโกะ จาก Dragon Zakura)
ที่คอยตั้งคำถามแทงใจดำอยู่เป็นระยะๆ และไหนจะครูพละ โอนิชิ โคจิโร่
(รับบทโดย "โกลโก้ มัตสึโมะโตะ" จาก Manten) ที่แสดงออกแก่เหล่าศิษย์อย่างไร้เยือ่ใย
ส่งเสริมมาตราการถีบหัวส่ง เพื่อคัดเอาดาวจรัสแสงให้เป็นตัวแทนสถาบัน
เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ป่านประหนึ่งว่ากำลังแข่งรายการนาซ่าอคาเดมี
แต่ก็ใช่ว่าสถาบันการศึกษาอวกาศแห่งนี้ จะมีแต่คนที่มองโลกในแง่ดีไม่เป็นเอาเสีย
อย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนหลงฝูงกะเขามาตั้งคน แถมมีดีกรีเป็นนักบินอวกาศหญิง
ที่เคยทำงานร่วมกับองค์การนาซ่ามาแล้ว อย่าง น้าสาวฮาจิมะ เคียวโกะ
(รับบทโดย "ฮอนโจ มานามิ" จาก Galileo ตอนท้ายๆ) ที่คอยช่วยคิดช่วยแย้ง
ในความเห็นของเหล่าบรรดาครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ที่คิดเห็นไม่เข้าท่า
แต่อย่างว่าทรรศนะเชิงบุคคลจะมางัดกับทรรศนะเชิงสถาบัน
มันก็ยากเย็นเข็นใจอยู่สักหน่อย ผลแห่งการตกระกำของกฎแห่งการแข่งขัน
เลยต้องมาตกกับเหล่าบรรดาเด็กๆเฟรชชี่ทั้งหลาย ที่มองซ้ายมองขวาก็เห็น
แต่หน้าเพื่อน ที่อยู่ในฐานะของผู้เเข่งขัน เพื่อนเหล่านั้นเลยกลับกลายเป็นศัตรูในบัดดล
ซึ่งเรื่องนี้ นางเอกก็ใช่ว่าจะแสนดีเสียจน ไม่คว้าโอกาสดีๆ ที่เห็นอยู่ตรงหน้า
แม้การทำความฝันให้เป็นจริงนั่น จะต้องแลกมาด้วยการเสียเพื่อนก็ตามที



During ther selection interview,I said some terrible things.
(ในระหว่างที่สอบสัมภาษณ์ ฉันได้ทำสิ่งที่เลวร้ายไป)
When they asked me to tell them whrer l was superior to all of you.
(พวกเขาถามฉันว่า ฉันมีอะไรดีกว่าพวกเธอนะเหรอ)
l told them all of your weakness.So l could defeat you
(ฉันบอกพวกเขาไปว่า พวกเธอนั่นอ่อนแอ และฉันนี้แหละที่เหนือกว่า)

เป็นซีรีย์ที่พอมารู้ประวัติจากแหล่งที่มา ผู้เขียนจำต้องตั้งการ์ดไว้เสียสูง
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ตั้งความคาดหวังอะไรไว้มากมาย ก็ด้วยฐานะที่หาแหล่ง
พรีวิวของซีรีย์เรื่องนี้ค่อนข้างยาก จุดที่น่ากลัวเบื้องต้นตามข้อสันนิษฐานแบบเชิง
ตั้งคำถามที่เต็มประดาหัว ไม่ว่า ความเป็นซีรีย์ของค่าย NHK ที่มักออกในเชิง
อนุรักษ์นิยม กลายลดจำนวนตอนลงอย่างฮวบฮาบเหลือเพียงแค่ ๗ ตอน
ทั้งๆที่ในฉบับหนังสือการ์ตูน โดยผู้วาดโยจินามะ โค ลากยาวไปตั้ง ๑๖ เล่ม
พอลงฉบับอนิเมชั่นทางช่อง NHK ก็ไปได้ไกลอีกตั้ง ๒๐ ตอน
อีกทั้งปัญหาของความไม่ใช่แนว ในซีรีย์สายอวกาศของประเทศเมืองยุ่นเขา
ซึ่งตรงจุดนี้ ผู้เขียนแค่ยลหน้าปกก็พอเดาทางได้ว่า การเอานักแสดงวัยรุ่น
ห้าคนมายืนเรียงร่าย โดยไม่ได้ข้องแวะอะไรกับฉากของอวกาศ มันคงจะเน้น
เรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพของมิตรสหายเป็นแน่ และก็เป็นจริงตามนั้นด้วยสิ
เอานี้ไม่รวมเรตติ้ง ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่ต้องคาดหวังว่าจะมีภาคสองตามติด
กลับกลายเป็นว่า ผู้เขียนรู้สึกสนุกในช่วงครึ่งแรกเป็นอย่างมาก
เพราะซีรีย์ปรับเปลี่ยนทิศทางนิยม โดยเอาแบ็คกราวด์ความเป็นอวกาศ
ไปไว้ในเบื้องหลัง แล้วหยิบยกประเด็นของเส้นทางสู่ความเป็นนักอวกาศ
อันเป็นสายถนัดของการทำซีรีย์เมืองยุ่นเขา มาไว้เป็นเบือ้งหน้า
เป็นเบื้องหน้าที่นางเอกมีสถานะเป็นม้าตีนปลาย แถมยังมีชะงักของวีรกรรม
ของผู้เป็นพ่อติดหลังเสียด้วยแล้ว และความจริงถ้าตัดเรื่องของจำพวก
องค์การนาซ่าและพวกอวกาศออกไปเสีย เผลอๆอาจนึกว่าเป็นซีรีย์เกี่ยวกับ
"การวิ่งมาราธอน" ที่ความจริงแล้วเป็นเพียงกิจกรรมส่วนหนึ่งที่ชี้วัดสถานภาพ
ร่างกายของผู้เข้ารับการทดสอบ แต่กับในซีรีย์ดันเอาเรื่องนี้มาไว้เป็นประเด็นหลัก
และไอ้ประเด็นหลักนี้แหละ ก็เข้าทางนางเอกอายูมิเขา เพราะเจ้าหล่อนมี
ดีกรีของอดีตนักวิ่งประจำโรงเรียนอยู่ก่อนแล้ว ฝีเกือกชายๆอย่างเรายังต้องชิดซ้ายไปเลย



แต่ด้วยบททดสอบที่รวบรัด และผู้เขียนไม่เคยได้อ่านฉบับการ์ตูนหรืออนิเมชั่นมาก่อน
ก็พอเชื่อได้ว่า บททดสอบที่ชี้วัดความสามารถทั้งในส่วนของไวพริบ ปฎิภาณและ
ภาวะความเป็นผู้นำ กลายเป็นสิ่งที่พอเชื่อได้และไม่รู้สึกขัดเขิน ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก
ว่ากำลังดูซีรีย์เกี่ยวกับอวกาศอยู่ คงด้วยการปูพื้นเรื่องที่เน้นวิถีอย่างต่อเนื่อง
ของผู้กำกับยามาโมโต้ ทาเกโยชิ และ ทซึกาฮารา อายูโกะ ที่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง
ยิ่งถ้าเอาป้ายไปปิดชื่อโรงเรียน ประจวบกับผู้กำกับไม่บอกเป้าหมายหลักในปลายเรื่อง
ก็บอกได้เลยว่า นี้มันก็ไม่ต่างจากโรงเรียนสอนพละศึกษาทั่วๆไป ที่จำต้องออกเอ็กเซอร์ไซด์
ไปพร้อมๆกับนั่งโต๊ะจดแล็กเชอร์อย่างสัปหงก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนแลดูเรื่องนี้อย่างสนุกหรรษา
คงด้วยมือดัดแปลงบทสองท่าน คือ อาราอิ ชูโกะ และ มัตซึ ไดโกะ
ที่ฉลาดล้ำเลิศในการใช้ตำแหน่งของดวงดาว กับวิถีการโคจรจรของกฎฟิสิกส์อวกาศ
มาใช้เปรียบเปรยกับหลักการในการใช้ชีวิตในประจำวัน ณ ปัจจุบันอย่างง่ายๆ
ซึ่งถ้ามาใช้กับเมืองไทยให้เข้าแล้ว ก็จะเอาลักขณาดวงดาวนั้นมาจับยามสามตา
ทำนายอุบัติทวเหตุเภทภัย ทั้งเรื่องการเมือง ตลาดหุ้นและชู้สาววงการบันเทิง
หนักเข้าก็ไปในทางโหรพยากรณ์ในแม็ทช์ฟุตบอล หรือหวยสองตัวสามตัวไปโน้นเลย
และส่วนใหญ่จะออกไปทางทายอนาคตไม่ค่อยจะถูกสักด้วยสิ หลักฐานนี้คามือ
เพราะอยู่ในรูปของ SMS ข่าวทันเหตุการณ์ โชว์ไว้แต่ไม่ลบ เป็นการช่วยจำ
ว่าครั้งหน้าฟ้าใหม่ หากเขาคนนั้นฟันธง-คอนเฟริม จะได้บอกให้ลูกให้หลาน
ดูอุทาหรณ์สอนใจกันเอาไว้ มิให้แตกตื่น



There's no need to rush. The one who went to space at 77.
(อย่าเพิ่งรีบร้อนนักเลย รู้ไหม? มีใครคนหนึ่งเพิ่งได้ไปอวกาศเมื่ออายุตั้ง ๗๗ ปี)
John Glenn,Huh
(เขาชื่อว่า จอห์น เกลนน์)

ดังนั้นทำอะไรแล้วไม่สำเร็จในตอนนี้ ก็อย่าเพิ่งด้วยสรุปว่าสิ่งนั้นจะเป็นไปไม่ได้
ตราบใดที่ชีวิตยังหายใจได้อยู่ ดูอย่างพระพุทธเจ้าสิ ต้องกลับชาติมาเกิดตั้งกี่รอบ
กว่าจะได้ขึ้นชื่อว่าปรินิพพาน จะเสียดายซีรีย์เรื่องนี้ในตอนท้าย
ที่เรื่องราวเริ่มจะมีแผ่วออกเป๋ไปในบางช่วง ซึ่งกรอบจำกัดในความที่เป็นซีรีย์เพียง
๗ ตอน ก็ช่วยผยุงไว้ไม่ให้เป๋มากไปกว่านี้
เลยกลายเป็นซีรีย์ที่จดจำในทางที่ดีได้ไม่ยากนัก ไม่เหมือนกับหลายเรื่อง
ที่ภาวนาให้มันจบๆ แต่มันดันไม่ยอมจะจบสักกะที คงกะใช้โควต้าเฉลี่ย ๑๑ ตอน
ให้คุ้มค่า ไหนๆก็รับเงินเยนเขามาแล้ว ก็ใช้มันให้จบๆ จะได้ปิดงบไม่ต้องมานั่งชี้แจ้ง
ผู้อำนวยการเสียให้ยุ่งยาก ซึ่งอันนี้ไม่ควรจะให้เป็น อันเป็นการผลาญงบโดยใช่เหตุ
ความจริงก็มาตั้งคำถามอยู่พอสมควร ถึงความเป็นซีรีย์ระยะสั้นและข้ามฤดูกาล
ไหนจะเป็นในสายอวกาศ ซึ่งไม่น่าจะอุตริคิดจะสร้าง เพียงแค่เกริ่นกับช่างกล้อง ผู้ช่วย
คนแบกไมค์และเด็กเสริฟน้ำให้สแตนบายพร้อม พอมาดูวัตถุประสงค์จากทาง wikipedia
จึงมาหายโง่ขึ้นมาทันทีว่า เป็นความร่วมมือกันระหว่างค่ายสถานี NHK และ
ตัวแทน
สถาบันอวกาศนานาชาติของประเทศญีปุ่น (Japan's national aerospace agency)
เรียกสั้นๆซ่าๆว่า JAXA เพื่อเฉลิมฉลองการสถาปนาปีแห่งการศึกษาอวกาศนานาชาติ
(International Year of Astronomy) ถึงขั้นที่ว่าต้องเลื่อนฉายออกไปหนึ่งสัปดาห์เพื่อ
เข้าหน้าเทศกาล เลยกลายเป็นซีรีย์ข้ามฤดูกาลที่ดูจะผิดธรรมเนียมการออกฉายประจำปี
แม้เป็นซีรีย์ที่ออกฉายกลางปีที่แล้ว และดันขึ้นชื่อว่า "นานาชาติ" เสียด้วยซ้ำ
แต่กับเมืองไทย ไงบรรยากาศมันเงียบยังกับเป่าสาก ไม่เห็นมีการส่งเสริมเทศกาลอวกาศ
อะไรเทือกนั้น ก็เห็นมีแต่สีเสื้อนั้นฮึ่มกับสีเสื้อนี้ และบรรยากาศมิดไนท์มิดเยียร์เซลล์
แม้แต่อาจารย์อาจอง ที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ที่เคยไปร่วมงานกับองค์การนาซ่า
ก็กลับเมืองไทยมาเอาดีในทางสายวิปัสสนานั่งทางใน ซึ่งใช่ว่าจะไม่ดี
เพียงแต่สายนี้ เขามีศึกษากันเยอะแล้ว อวกาศเมืองไทยเลยไม่พ้นสมัยสิบกว่าปีก่อน
ทีเอะอะไปไหนไม่ถูก ก็เข้าท้องฟ้าจำลองอยู่ร่ำไปนี้เอง



ส่วนเพลง Hitomi no Sakini ของทีม ORANGE RANGE ผู้เขียนคิดว่าเป็นเพลง
ที่ผู้เขียนปลื้มกว่าตอนที่ได้ฟังในทีมนี้ร้องประกอบใน ซีรีย์ Rookies,Hana Kimi
และหนังใหญ่ Be with You เสียอีก เพราะมันให้จุดมุ่งหมายในการไขว้คว้าหาความฝัน
ที่ผู้เขียนหาไม่เจอเอื้อมไม่ถึง อะไรกันใครเขาสักทีเช่นเคย ........



เอื้อข้อมูลจาก
//forums2.popcornfor2.com
//wiki.d-addicts.com/Futatsu_no_Spica
//en.wikipedia.org/wiki/Twin_Spica




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2553 23:37:31 น.
Counter : 1916 Pageviews.  

Gravity Clown ในสภาวะแรงดึงดูดของคนโง่


ความจริงแล้วเพิ่งได้รู้หนังฉลองศรัทธาวาเลนไทน์ไปเมื่อวานนี้
แต่ทว่า ก็ไม่หลงลืมความพิเศษของเทศกาลตรุษจีนที่ดันสอดคล้องอย่างบังเอิญ
จึงสรรหาสิ่งประโลมโลก ทั้งๆที่ได้รับผลจากความเจ็บปวดในผลลัพธ์ทั้งสองลักษณะ
กล่าวคือ หนามกุหลาบสักก้านพอให้เสี้ยนมือ นอกจะไม่ได้เหมือนชาวบ้านแล้ว
ไหนจะอั่งเปาที่ตัวเองดันอายุอานามเกินโควต้า แต่ต้องวิ่งหลบเหล่าบรรดาหลานๆ
อย่างหัวซุกหัวซุน จึงดีใจที่ยังพอมีสิ่งทำให้อารมณ์ดี ด้วยการหาหนังสักเรื่อง
ตามประสาถ้าให้ตบเท้าเล่าซีรีย์ อาจจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
จะมีอะไรดีเท่าหนังญีปุ่นสักเรื่องละ ส่วนจะได้เรื่องรึไม่นั้น?
อันนี้ก็แล้วแต่บุญญาที่ได้สร้างสม แต่ผู้เขียนได้พยายามที่จะหาข้อมูลก่อนซื้อ
แต่ทว่า ไม่ยักจะมีใครให้คำอธิบาย หรือเชียร์ออกนอกหน้าสักกระทู้หนึ่ง
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แม้แต่เว็บสถาบันอย่าง IMDB ก็ยังไม่บรรจุเป็นวาระเเห่งชาติให้พออุ่นใจ



ผู้เขียนไปได้หนังญี่ปุ่นแปลกๆมาเรื่องหนึ่ง ดูโครงเรื่องแบบหยาบสุดๆแล้ว
ก็ยังนึกเห็นว่าเป็นสิ่งน่าสนใจ ดูแล้วคงเจาะตลาดพวกปัญญาชน
เพราะมีการคัดเอาสำบัดสำนวนของเหล่าอดีตวีรชนผู้เปลี่ยนโลก
อย่าง มหาตะมะ คานธี หรือวีรกรรมของไมเคิล จอร์แดน
เออ!เอาเข้าสิ หนังแนวแปลกๆอย่างนี้ อย่านึกว่าผู้เขียนจะรับเอาสัมปะชัญญะ
เสพรับเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคนดูหนังเป็น กับเขาคนหนึ่ง
เพราะโดยผู้เขียนเองบาดเจ็บกับปัญหาชีวิตในปัจจุบันมาพอสมควรแล้ว
จึงไม่มีเกราะกำบังพอ ที่จะรับอาการบาดเจ็บจากการดูภาพยนตร์เข้าไปซ้ำอีก
อย่างน้อยๆ ก็พลิกๆหงายๆ จนได้เห็นนักแสดงนางเอกที่มี น้อง ยูริโกะ โยชิทากะ
ฮั่นน๊า! นักแสดงสาวจากซีรีย์ Shiroi Haru กับ Taiyo To Umi No Kyoshitsu นี้เอง
โห! เล่นหนังใหญ่ไม่เห็นบอกกล่าวกันเลย แถมผู้เขียนยังบอกเจ้าของแผงไปอีกว่า
"โธ่! น้องยูริโกะนี้เหรอ แหมซี้กันจะตาย"



แถมชื่อหนังยังคงระดับปัญญาชนไม่เปลี่ยนแปลง Gravity Clown
มีแรงโน้มถ่วงหนึ่งแล้วละ แถมยังมีClown ที่มีความหมายเชิงลบ
ประมาณ เจ้าโง่ หรือ เจ้าเซ่อ อีก ความจริงแค่คำว่า Gravity ก็ออกไปเชิง
ศัพท์ที่แฝงความฉลาดจะตาย ไงสองคำที่ขัดแย้งกัน จึงเข้าพวกกันได้
จึงต้องขอลองพิสูจน์กันหน่อย


พอได้ลองไปสักครึ่งชั่วโมง เอ๊! ไม่เห็นเป็นหนังดูยากเอาเลย
ออกเป็นหนังชีวิตดราม่ากับตัวละครหลักที่มีความคิด "เด็กแนว"
เป็นหนังที่มีปมขัดแย้งผสมกับสืบสวนสอบสวน ไล่ลาหาคนร้ายผู้กอ่ความไม่สงบ
โดยใช้สองนักแสดงชายวัยรุ่นเป็นตัวนำ ซึ่งทั้งสองก็มีสถานภาพเป็นพี่เป็นน้อง
ที่มีบุคลิกลักษณะกันไปคนละทาง พี่ชายคนโตที่ชื่อ อิซุมิ (แสดงโดย เรียว คาเซะ
ไม่เจอกันนาน ตอนนั้นยังเด็กกะเปี๊ยกใน Nobody Know และซีรีย์เรื่อง Friends)
เป็นพี่ชายที่เป็นเด็กเรียนสมรูป ไม่เก่งในเรื่องท้าตีท้าต่อย แถมความมีเสน่ห์
ก็เกิดมาแบบไม่ได้พกติดตัว แต่กระนั้นก็เป็นเด็กมหาลัยหัวไปร์ทสายวิทย์ฟิสิกส์
ที่มีความชำนาญในการแยกโมเลกุลของดีเอ็นเอ แต่ผู้เขียนจะรู้สึกเอาว่า
เอ๊!เฮียท่านนี้ ก็รู้เอง เออเอง เข้าใจเอง แบบไม่เผื่อแผ่คนดูเลยนะเฮีย



1953 It was drawn by Kricks . He found Double-Strand of DNA Structure
and This Sketch by his friend ,Watson .And Those Time .Kricks is 37
and Watson 25.
(มันถูกวาดชึ้นในปี ๑๙๕๓ โดยชายที่ชื่อ คริกซ์ ผู้ค้นพบเกลียวคู่โครงสร้างของดีเอ็นเอ
และนี้ก็เป็นภาพสเก็ตซ์ของเพื่อนร่วมงานเขา วัตสัน ตอนนั้นคริกซ์อายุ ๓๗ ส่วนวัตสัน
อายุ ๒๕)

เปิดเรื่อง ก็ยัดทะนานความรู้หนักๆใส่ท่านผู้ชมเสียแล้ว แต่ประทานโทษ
เป็นความหนักที่มีความจำเป็นต้องให้ท่านผู้ชมได้แบก เพราะองค์ความรู้ทั้งหมด
และในทุกๆการกระทำของตัวละคร มีผลต่อการเฉลยในท้ายตอนจบ
น่าปมที่ชวนสงสัยทั้งหลายในทุกเหตุการณ์ มันมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง
แม้วันเวลาจะล่วงผ่านเลยไป แต่อย่างไรเสียความแค้นก็ไม่เคยจางหาย
แหม! ฟังไปใครจะไม่มีกำลังใจวัยหนุ่ม เพราะหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงความคิดของโลก
ก็ล้วนเกิดจากเยาวชนวัยหนุ่มสาว ด้วยกันอยู่ไม่น้อย




อืม! ยังไม่ได้กล่าวถึงน้องชายเลยใช่ไหม? เออ!บ้านนี้นอกจากพี่ชายแล้ว
เขายังมีน้องชายอีกคน ที่ชื่อ ฮารุ (เล่นโดย มาสากิ โอกาดะ ไอ้คนนี้คงตามก้นน้อง
ยูริโกะของผู้เขียนมาแน่ๆ เพราะเพิ่งเล่นซีรีย์ร่วมกันใน Taiyu to Umi no Kyoshitsu
ในก๊วนเดียวกันอยู่หยกๆ)
หน้าตานี้ต้องบอกว่าหล่อขั้นเทพเลย เรื่องตีรันฟันแทงนี้สายถนัดนัก
แถมทางด้านความสามารถพิเศษแล้วไม่ได้
ไปทางวิชาการเหมือนพี่มันหรอก แต่ไอ้หมอนี้ถนัดทางด้านศิลป์
ยังเคยได้รับรางวัลริบบิ้นทอง เป็นเครื่องการันตีอัจฉริยะและพรสวรรค์
แบบชนิดว่า ไม่ว่าด้านไหนๆ พี่ชายของมันต้องชวนให้น่าอิจฉาไปสักทุกอย่าง
แต่เห็นต่างกันถึงปานนี้ พี่น้องบ้านนี้เขาก็รักใคร่กันดี มีอะไรก็ปรึกษากันทุกอย่าง
ยกเว้น............ไอ้ที่ยกเว้นนี้บอกเล่ากันไม่ได้ เพราะมันมีผลต่อคำเฉลยท้ายรายการ
แต่ที่พอจะเฉลยได้บางส่วน ก็ในเรื่องสายเลือด ที่ชวนให้สนเท่ห์ว่าพี่น้องอะไร
ไม่เห็นเหมือนกันสักอย่าง และไอ้ที่มันไม่เหมือนก็เพราะว่ามันมีคำตอบอยู่ภายใน
เพราะจริงๆแล้ว ฮารุมิใช่น้องแท้ๆ ของอิซุมิมาแต่อ้อนแต่ออก แต่เกิดจาก
คุณแม่ของอิซุมิถูกข่มขืนกลางบ้านในตอนกลางวันแสกๆ ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน
คดีข่มขืนอนาจารต่อเนื่อง ถือเป็นเรื่องสะเทือนขวัญอย่างมากของคนในหมู่บ้าน
แต่สุดท้ายก็ตามจับได้ และคนร้ายก็ถูกจำคุกแต่โทษไม่สูงนัก เพราะยังเป็นผู้เยาว์
ซึ่งตรงจุดนี้ คนดูจะรับทราบก่อนตัวละครอย่างคุณพี่อิซุมิ แต่สำหรับคุณน้องฮานะเอง
เขารู้ว่าเนิ่นนานแล้วละ รวมไปถึงคนที่บ้านทั้งตัวฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่
โดยเฉพาะฝ่ายพ่อเสียด้วยซ้ำ ที่ขอให้เลี้ยงเด็กคนนี้ต่อไป แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตัวเอง




Perserve him .We'll take care by ourselves
(เก็บเขาไว้ เราจะดูแลเขาให้เหมือนลูกของเรา)
I think his name already. Haru that meant to Sping Season.
(ฉันคิดชื่อได้แล้วละ เขาจะชื่อว่าฮารุ ที่หมายถึงฤดูดอกไม้ผลิ)
Izumi and Haru What meaning is similarity
(ทั้งชื่ออิซุมิและฮารุ ต่างก็มีความหมายเหมือนกัน)

คนเลือกนักแสดงตัวพ่อกับตัวแม่นี้ เขาก็เลือกเก่งใช่ได้เลยนะ
เพราะเขาเลือกนักแสดงที่มีปฏิกิริยาทางเคมี ชนิดที่เข้าล็อกกันดีเหลือเกิน
บิ่งได้นักแสดงมากฝีมือ ฟุมิโยะ โคฮินาตะ (มาอีกแล้ว จาก Taiyo ฯตามมาอีกคน
สงสัยจะมากันท่าเจ้ามาซากิ ไม่ให้มาหลีน้องยูริโกะถนัดถนี่) และเจ๊
โยชิโนริ โอกาดะ (คนนี้ขอบอกว่าเปลี่ยนแนวสุดขั้ว จากนังร้ายทำตระกูลไฮโซ
ร้าวฉานของป๋ายะใน The Grand Family มาเรื่องนี้เจ๊แกแสนดี๊ดีชะมัดเลย)
แถมความรักก็เป็นไปตามแบบฉบับบุพเพสันนิวาส ด้วยความต่างทางชนชั้นอาชีพ
ตัวแม่เป็นถึงนางแบบ ส่วนตัวพ่อก็เป็นคนขับรถต๊อกต๋อยไปเรื่อย
แต่ด้วยอุปสรรคจากเหตุรถติดหล่มหิมะอย่างหนัก สุดท้ายทั้งสองก็ได้แชร์ความรู้สึก
ต่อกันและกัน จากนั้นก็สาานสายสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ ดูไปแล้ว การตั้งชื่อลูกทั้งสอง
ที่มีความหมายว่า ดอกไม้ผลิ ดูจะไม่ค่อยกับสถานการณ์แวดล้อมที่ลูกแต่ละคน
ได้ถือกำเนิดมา อาจจะด้วยฝากความหวังที่เหลืออยู่ ให้กับฤดูกาลสุดท้าย
ตามประสาคนให้โอกาสตัวเองอยู่เสมอ
ซึ่งเข้าจริง ก็เป็นฤดูที่คลี่คลายเรื่องราวปัญหาทุกสิ่ง ก่อนที่ฤดูกาลผ่านพ้น
ใหม่จะเข้ามาถึง ดูหนังเรื่องนี้แสนจะคุ้มค่า ไม่ต้องมารอทาในทุกฤดู



หนังไม่ได้แค่ฝากเรื่องไว้กับ ปัญหาครอบครัวและการสะสางอดีตของหมู่บ้านเพียงเท่านั้น
หนังควบคู่ไปกับประเด็น ที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบันของคนในหมู่บ้าน ที่มีการลอบวาง
เพลิงอย่างต่อเนื่อง โดยคนร้ายได้ทิ้งการพ่นสเปรย์สัญลักษณ์แบบเด็กฮิปฮอปตามจุดต่าง
ที่เกิดเพลิงไหม้ ซึงจุดที่วางเพลิงก็เป็นจุดเดียวที่เคยเกิดเหตุการณ์คดีขมขื่น
เมื่อหลายสิบปีก่อน การพุ่งเป้าไปยังตัวคนร้ายในเบื้องต้น จึงหนีไม่พ้น
นักโทษที่พ้นโทษจากคดีข่มขืนสาวชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ที่ยังคงวนเวียน
เดินไปมาภายในหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ และนักโทษที่พ้นโทษคนนี้ก็มีสถานะเป็นพ่อแท้ๆ
ของฮารุนั้นเอง


กลายเป็นว่า คำพูดเท่ห์ๆของเหล่าบุคคลสำคัญ ที่ผู้เขียนคาดหวังไว้ในเบื้องต้น
เป็นเพียงแค่ส่วนเติมเต็มใหเเรื่องราวสามารถดำเนินไป ไม่ได้มีผลกระทบต่อจุดเปลี่ยนอะไร
ในเรื่องเท่าไรนัก แต่ยอมรับว่า พอใส่เข้าไปมันก็ทำให้หนังดูเท่ห์ขึ้นมาเป็นกอง
และหากคิดมากสักหน่อย บางทีคีย์เวริ์ดเหล่านั้นก็เป็นคำสอนที่ช่วยเตือนใจผู้ชม
ในการใช้ชีวิตประจำวัน ที่เราอาจจะยังไม่รู้หรือรู้แต่หลงลืมไปนานมากแล้ว
ซึ่งครอบครัวนี้ เขาก็หยิบยกวิธีคิดเชิงบวก ที่ดูสูงส่งแต่คงความเข้าใจได้ไม่ยาก


Why I can draw picture only one?
(ทำไมผมวาดรูปเป็นอยู่คนเดียวฮะครับ)
Maybe you are rebirth of Piguszo.
(บางที ลูกอาจเป็นปีกัสโซกลับชาติมาเกิดก็ได้นะ)
He is Genius of Drawing and favour new creation.
(เขาอัจฉริยะในการวาดภาพและชอบทดลองสิ่งใหม่ๆเสมอ)
He died a day when you were birth.
(ที่สำคัญ เขาตายวันเดียวกับวันที่ลูกเกิด)



เห็นประโยคนี้ว่าเด็ดจากปากผู้เป็นพ่อแล้ว มาเจอจากปากผู้เป็นลูกบ้าง

Khanhi said The Great of Weapon is non-violent
(คานธีเคยบอกว่า อาวุธที่ดีที่สุด คือ การปราศจากซึ่งความรุนแรง)

แต่นั้นก็พูดไป ประโยคเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ให้พูดเก๋ๆ แต่ต้องเอาไปปฏิบัติได้จริงด้วย
ไม่งั้น! สู้ทำเป็นไม่รู้เสียยังดีกว่า เดี๋ยวจะถูกหาว่าเหม็นขี้ปากเสียเปล่าๆ



อย่างที่บอก ทุกช็อคของหนังเรือ่งนี้ ทุกการกระทำของตัวละคร
มีผลต่อจุดเฉลยของเรื่องราวทั้งหมด ที่ทยอยไล่มาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจะปลายเรื่อง
เขาไม่ได้เอามาใส่ไว้อย่างเรื่อยเปื่อย หรือใส่ทบให้เวลาสมกับนาทีเฉลี่ยของหนัง
ก็ไม่ได้อาร์ทอย่างที่คิด ไม่ติสท์นิยมจนเกินขนาด เป็นหนังตลาดแบบบ้านๆ
ที่มีวิธีการเล่าเรื่องที่เป็นสไตล์ ผู้ชมต่างอยากจะรับรู้ไปจนจบ
แม้จะมีสิ่งบอกเหตุหรือเหล่าบรรดาผู้ต้องสงสัยดาหน้ามาเป็นระยะ
เพราะมีปมปริศนาทิ้งให้คิดมากมายเหลือเกิน ไมว่าจะเป็นอดีตชาติ บุคคลปริศนา
ปริศนาสัญลักษณ์ ตัวผู้ก่อการ วาระสุดท้ายของผู้เป็นพ่อ ปริศนาการตายของแม่
การพิสูจน์และปรับตัวเมื่อรู้ว่าไม่ใช่น้องจริงๆของตน และไม่รู้จะเอ่ยได้เต็มปากได้ไหม
ว่าหนังถูกเฉลยปริศนาด้วยหลักชีววิทยาแบบแยกแยะโมเลกุลของดีเอ็นเอ
แต่มิใช่แยกแบบหา ผ่าเหล่าผ่ากออะไรเทือกนั้นหรอกครับ แต่ว่ากันด้วยสูตร
สูตรที่เด็กสายวิทย์อาจดูแล้วต้องเกาหัวหยิกๆ ว่าพล็อกอย่างงี้
ผู้กำกับกับคนเขียนบทเขาก็คิดได้น้อ กล่าวคือ ไม่ได้เอาประโยชน์ของสูตร
ในแง่ของผลวิจัยเพื่อหาคำตอบ แต่เกิดจากการหลอกเลียนสูตรเพื่อกระทำการบางอย่าง
กล่าวมากจะหาว่าโป๊หนัง อันนี้ต้องลองไปถามผู้กำกับเขา ที่ชื่อ "จูนิชิ โมริ"
เป็นคนเดียวกันกับที่กำกับหนังเรือ่ง laundry ของค่าย NHK ที่มี คูโบซุกะ โยสุเกะ เล่น
นานๆแกจะกำกับหนังสักที ล่าสุดหันไปจับทำซีรีย์ เรื่อง Hebi No Hito
ที่จะฉายในปีนี้ หวังว่าคงจะรักษาระดับการกำกับไม่ให้อาร์ทเกินแกงมากไปกว่านี้
ส่วนต้นฉบับบทเป็นของ "โคตาโระ อิซากะ" งานเขียนเรื่องอื่นของแกมีถูกแปล
เป็นภาษาไทยแล้ว ในชื่อ ไม้บรรทัดของยมฑูต ซึ่งก็ไม่รู้จะรักษามาตราฐานแนว
สนทนาแบบปัญญาชนอีกรึเปล่า แต่ตัวบทจากหนังเรื่องนี้ ถือเป็นงานทดลอง
ที่น่าสนใจดี แต่ผู้เขียนเผอิญได้ดูไม้บรรทัดของยมฑูตฉบับหนัง
ในชื่อ Sweet Rain ของผู้กำกับ มาซายะ คาเคอิ
ที่มีกระทาชายนายทาเคชิ ทาเกชิโร่ เล่นเป็นยมฑูตผู้ส่วนถุงมือขาว
ย้อนเวลาไปนั้นไปนี้ ยอมรับว่าอีกว่าฉบับเป็นหนังสือ น่าจะสนุกว่า
เพราะฉบับหนัง เล่นเอาหาวไปหลายช่วงนาทีกาล (หรือเพราะนางเอก มานามิ
โคนิชิมีดึงดูดเสริมไม่พอ คงประมาณเดียวกับอารมณ์ในซีรีย์ Fireboys ที่ผู้เขียน
พร่ำพรรณนาเมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่าเจ๊ช่างขาด sex appear เหลือใจ)



If you enjoy with your life .You don't care about a world of gravity.
(ถ้าลูกสนุกหรรษากับชีวิต แรงดึงดูดของโลกก็ไม่สำคัญแล้ว)

ไม่รู้เป็นไง หลังๆ ตอนจบของหนังญี่ปุ่น มักตัดสลับมายังฉากที่ดูไม่เกี่ยวกับ
เนื้อเรื่องตอนท้าย แต่เหมือนกับจะทิ้งประเด็น แล้วประเด็นนั้นก็ดันกินใจความ
เป็นคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด คล้ายกับTokyo Sonata เคยกระทำ
ซึ่งถ้าใส่ไม่ดี มีสิทธิ์หนังล่มไม่เป็นท่า แต่ทว่า
กับเรื่อง Gravity Clown ถือว่ามาดีเเหะ แม้ว่าถึงจะะไม่มีส่วนตรงนี้
หนังก็จบลงได้อย่างอวสานบริบูรณ์ ในเมื่อทุกอย่างคลี่คลายไปในทุกเปราะแล้ว
เป็นหนังที่ชอบอีกเรื่อง ในบรรดาไม่กี่เรื่องที่เคยดูแล้วมึนเพราะความติสท์ของผู้กำกับ
ดูแล้วหาวเพราะความยืดยาวที่ผู้กำกับปล่อยผ่านเลยไป ดูแล้วเซ็งเพราะความเอา
แต่ใจของผู้กำกับ แต่กับเรื่องนี้แสนจะพอดีๆ เพราะผู้กำกับเขายังนึกถึงหัวอกของคนดู
แม้จะกระชากแขนให้น้องยูริโกะโผล่มาน้อย ตามประสาตัวประกอบจ้างมา
เพือตีโจทย์ให้แตกกลางตอนท้าย แม้ความสมเหตุสมผลของการโผล่มา
ดูจะลั่นหล๊าตามเทคนิคนิยม ที่จับเปลี่ยนแปลงโฉมชนิดเสร็จเร็วทันใจ
เอาเป็นว่า ให้น้องหนูเอ็นจอยแบบชิมลางวงการหนังไปทีละนิด
เพราะครั้งนี้ผู้เขียนเทใจให้กับบทของหนัง ที่ไฉลยิ่งกว่า



เออ! ตกลงคำว่า Gravity Clown อาจหมายถึง การแสดงกายกรรมที่ไต่บันไดใส่เกลียว
ที่ชอบแสดงตามงานสวนสัตว์รึเปล่า? อันนี้ก็ไม่แน่ใจนัก ซึ่งในฉากสุดท้ายแล้วผู้เขียนเพิ่งมาคิดเอาได้
จึงอยากจะรบกวนผู้รู้ ให้ช่วยชี้แจงแถลงไขด้วยก็จะเป็นการดี กลายเป็นว่างานนี้
ได้ดูหนังรักสไตล์ตรุษจีน ที่เน้นรักเครือวานมากกว่ารักแบบอิงหนุ่มสาว รักอุ่นๆ ที่กินใจไ้ด้เสมอมา
และเสมอไป


ข้อมูลประกอบจาก IMDB ประเภทเลาะ และ eiga.wikia.com ที่ตรงประเด็นเรื่องที่สุด







 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2553 23:00:16 น.
Counter : 1744 Pageviews.  

Concerto รักเราชาวสถาปนิก


มีงานเก่าเอามาเล่าขานได้อีกเรื่อง
คราวนี้เลือกเอางานที่พอมีชื่อเสียงกันสักนิด ผสมกับดารานำชายสุดเทพอีกสักหน่อย
โดยปกติแล้วผู้เขียน ไม่ค่อยที่จะเลือกโดยเอาตัวเลือก "นักแสดงชาย" เป็นตัวตัดสิน
สักเท่าไรนัก เพียงทว่าถ้าไม่สุดวิสัยแบบที่ไม่รู้จะหยิบอะไรมาดูจริงๆ
ตัวเลือกหนึ่งที่ยังพอน่าสนใจ ตามกระแสเกจิซีรีย์เขาลงความเห็นกันว่า
ถ้าหากไม่รู้จะหยิบจับวางซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่องไหนดี งานนี้ป๋ายะท่านช่วยได้
อีกทั้งระยะหลังๆ เริ่มปรากฎร่องรอยความชราภาพแบบพอตั้งเค้าตามลำดับวัย
เลยคิดอุตริ ยอ้นเวลากลับไปหาวันวานหน้าใสปิ๊ง ของป๋าทาคุยะดูบ้าง
ถึงอย่างไรซะ ความโบราณของระยะห่างจากเวลาปัจจุบัน ก็หาใช่ปัญหาของผู้เขียน
ที่หมู่นี้มีแต่ความอิ่มเอิมใจ จากการย้อนเวลาไปกับความฝัน ตามประสาที่สิ่งปัจจุบัน
ยังไม่น่าพึ่งใจพอ และจากอนาคตที่ยังคงไม่เห็นชะตากรรมว่าจะไปในทิศทางที่ดี
ดูซีรีย์อดีตชาติสักที ก็ดีเหมือนกัน ตกผลึกทั้งคำวิจารณ์ ความสำราญก็ไม่ใช่น้อย
เห็นแตกต่างได้ชัดว่า มันไม่เหมือนกับรูปแบบการนำเสนอในซีรีย์ฉบับปัจจุบัน
ยิ่งความละเมียดแล้ว ต้องถือว่าเป็นครูที่ควรบูชา ที่น่าเสียดาย ณ ปัจจุบัน
รูปแบบสไตล์เช่นนี้นับวันห่างหายไปไกล เพราะมุ่งใช้เทคนิคพิเศษไปผสมผสานเสียเหลือเกิน


แต่ครั้งนี้คงย้อนเวลาไม่ไกลกว่าครั้งก่อน เพราะไม่อยากเห็นเจ้าทาคุยะ
ที่มือถืออมยิ้มยืนน้ำมูกไหลอยู่ไม่กี่ขวบเศษ แต่เจาะจงเอาในวัยที่เฮียแกเพิ่งจะยี่สิบเศษๆ
กำลังเป็นวัยที่เจนโลกและพร้อมเผชิญโชคทุกรูปแบบ พ้นจากการคิดอ่านแบบเด็กสก๋อย
และไม่ทำตัวถ่อยแบบจิกโก๋สิบแปดฝน มันจึงน่าเป็นช่วงเวลาที่ดี ที่จะได้เห็นจังหวะจักโคน
ไอ้ประเภทที่ใครบางคนเขาตั้งฉายาให้กับเฮียว่า "เจ้าชายแห่งซีรีย์ยุ่นๆ"
ถ้าเป็นจริงขึ้นมา จะได้พึ่งศึกษาไว้ เกิดชาติหน้าฟ้าใหม่แล้วมีบุญญาเข้าวงการบันเทิงกับเขา
จะได้เป็นทรัพยากรทางภูมิธรรม ตามประสาตายไปแล้วเอาทรัพย์สินศฤงคารร่วมไปไม่ได้
อย่างน้อยๆ ก็หวังจะพอเหลืออะไรให้ติดกะลาหัว ไปนึกจบภพชาติเอาดาบหน้าได้บ้าง



ผู้เขียนเลยเลือกชม ซีรีย์ในปี ๑๙๙๖ ของค่าย TBS ที่ชื่อ Concerto
เป็น Concerto ที่ผู้เขียนนึกไปว่า จะเป็นซีรีย์ทางด้านดนตรีประมาณเดียวกับ
Nodame อะไรเทือกนั้น แต่พอได้อ่านรายละเอียดสรรพคุณของเรื่องนี้เข้า
กับเป็นคนละเรื่องกันเลย แม้แต่ Sakkyoku ที่เป็นชื่อเรียกในบ้านเขา ก็ยังเป็นศัพท์ที่มีความหมายว่า
"นักประพันธ์เพลง"
แต่มันดันกลับเป็นเรื่องราวของแวดวง "สถาปนิก" (architect)
ที่ผู้เขียนไม่ค่อยคร่ำหวอดสักเท่าไรนัก ตามประสาคนดูพิมพ์เขียวของแปลนบ้าน
ไม่ถนัดเท่ากับแผนการจัดผู้เล่นของทีมฟุตบอล หรือไม่ก็กระดานแปลนของน้ำเต้าปูปลา
แต่เคยได้ยินชือ่เสียงเรื่องนี้แบบคราวๆ ก่อนหน้า จากอ.สุวินัย ที่เคยเล่าผ่านรายการ
ว่ามีรูปแบบสไตล์เดียวกับ Hero ที่ทาคุยะเคยเล่นไว้ในอีกสิบปีต่อมา
เป็นเรือ่งเกี่ยวกับคนหนุ่มที่ไม่ได้ผ่านลำดับการของโครงสร้างทางการศึกษาและ
เนื้อหาทางตลาดวิชาอาชีพเป็นหลัก กล่าวง่ายๆ คือ ถ้าในฮีโร่ป๋ายะแกสำเร็จความเป็นอัยการ
ด้วยการที่จบเพียงชั้นมัธยม และที่เหลือจากนั้นก็ไปศึกษาค้นคว้ากันเอาเองฉันใด
ในคอนเซอร์โตก็เป็นเยี่ยงนั้น เมื่อป๋ายะของเรา ต้องรับบทเป็น "ทากาคุระ คาเครุ"
คนหนุ่มช่างฝันที่อยากจะเป็นสถาปนิกชั้นนำของโลก มีแรงบันดาลใจในเบื้องต้น
ที่จะออกแบบโบสถ์ในจินตนาการ โดยได้รับอิทธิพลทางความคิดมากจากสถาปนิกเลื่องชื่อ
อิบิซาวา โคสุเกะ คนที่เขาเปรียบดั่งแม่แบบของความฝันและการใช้ชีวิต
โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้จักหน้าคาตาของกันและกันเลยมาก่อน แล้วอยู่ๆเช้าวันหนึ่ง
ป๋ายะที่รับบทเป็นเจ้าคาเครุ กำลังขีดๆเขียนๆแบบแปลนอยู่กลางพื้นทราย
หันมองไปท้องทะเล ก็มีชายในชุดทักซิโด้เดินจากท้องทะเลขึ้นมาบนชายหาด

Where is there?
(ที่นี้ที่ไหนเนี๊ย)
Japan
(ญี่ปุ่นไง เพ่)
Yes,I Knew.What's beach?
(เออ!รู้แหละน๊า ว่าแต่ทะเลแถวไหนละ?)
kamamura beach . Where are you from?)
(คามามุระอะ ว่าแล้วพี่จากการไหนเหรอ?)
Land of the Angle
(ดินแดนแห่งสวรรค์วะ)

มาแบบประหลาดยังไม่พอ ยังสะเออะตอบแบบกวนๆได้อีก
คุยกันสักพัก ป๋ายะที่กำลังขีดพื้นทรายยิกๆ หันกลับขึ้นมาดู
พี่ชายคนแปลกหน้า ก็นอนสลบเมือกทับแบบแปลนของป๋ายะอย่างสงบ
เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ ทำไงได้ ดันโผล่จากน้ำแล้วพูดภาษาญี่ปุ่นชาวเรากันได้
เลยต้องรับไว้เป็นอุปการะตามประสาเพื่อนร่วมชาติ พอพี่คนแปลกหน้าตื่นขึ้นมาอีกที
ชักเอะ! กลับมานอนโผล่ในอีกที ซึ่งคราวนี้เป็นห้องเช่าของป๋ายะของเรานี้แหละ
แต่ทว่า คนที่อยู่ในห้องมิใช่ป๋ายะคาเครุ แต่เป็นแฟนสาวที่กำลังต้มถั่วปุยๆอยู่
ถึงสลบสไลแค่ไหน แต่ความทรงจำของเฮียท่านยังดี เลยถามว่าถึงผู้มีพระคุณโดยทันที



What is your darling doing out there?
(แฟนเธอที่ช่วยชีวิตฉัน ไปไหนแล้วเหรอ)
Beyond there is an old church
(เลยไปที่โบสถ์เก่าแล้วละ)
There is talk of rebuilding .He is drawing of blueprint
(เห็นบอกว่าจะไปออกแบบพิมพ์เขียวขึ้นใหม่)


พอพี่ท่านคนแปลกหน้าได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มอุบและพยายามที่จะบอกอะไรสักอย่าง
แต่แฟนเจ้าคาเครุ ซากากิ ฮานา ซึ่งก็คือนางเอกของเรื่อง
(เล่นโดย มิยาซาวา ริเอะ) ก็ไม่ยอมเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้บอกอะไรมากมาย
เจ๊แกก็สาธยายไปเรื่อย ทั้งเรื่องแฟนของเธอมั้ง ถั่วต้มที่หุงจนไหม้บางละ
ชีวิตอันลำบากลำบน ที่ต้องโดนเจ้าพวกยากูซ่าทวงหนี้เป็นระยะๆ
แต่สิ่งที่เธอย้ำนักย้ำหนาอยู่เสมอ คือ อิบิซาวา โคซุเกะ เป็นแม่แบบที่สำคัญ
ให้คาเครุแฟนเธอ ไม่เคยละทิ้งความฝันที่จะเป็นสถาปิกอย่างที่ตั้งใจ
แม้ว่าเจ้าตัวจะใช้ชีวิตไปวันๆ มีเงินทองระดับอัตคัดและไม่มีโอกาสเรียนมหาลัย
ในสาขาวิชาที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดทั้งชีวิต แม้ว่าระดับฝีมือเข้าขั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ก็ตาม
(เสียดายที่ประเทศญีปุ่นเขา ไม่มีโครงการช้างเผือกเหมือนกับบ้านเรา ไม่งั้นเรื่องนี้คงไม่ได้เกิด)
ดูแค่นี้ คงพอเดาออกนะครับว่า คนแปลกหน้าที่ป๋ายะได้ช่วยชีวิตไว้นี้ คือ ใคร
เพราะหลังจากที่คุณพี่กลับไป คุณพี่ก็ไม่ได้ไปอาบน้ำอาบท่าอะไร
ขึ้นไปเปิดตัวงานนิทรรศการของตัวเองโดยทันที มีแขกเหรื่อเพื่อนฝูงและสื่อมวลชน
เข้ารุมห้อมล้อมอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เหล่าบรรดาเศรษฐีต่างก็ยื้อแย่งให้เขา
ช่วยไปออกแบบอาคารสำนักงานอย่างไม่ขาดสาย
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังปลีกตัวเพื่อไปตอบแทนพระคุณผู้ช่วยชีวิตเขา
แต่นั้นอาจจะเป็นพรหมลิขิตของสถาปนิกชื่อดัง อิบิซาวา โคซุเกะ ได้ประสบโชคถึงสองชั้น
(ถ้าลุงแกมามาก อาจยิ่งมีสิทธิ์มาก)


โชคชั้นที่หนึ่ง ได้เจอะกับสถาปนิกหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ แต่เรียนจบแค่ชั้นมัธยม
อย่างคาเครุ (ป๋ายะเรานี้แหละ) ซึ่งนอกจากมีความสามารถแล้ว ยังเข้าถึงหัวจิตหัวใจ
ของสถาปนิกเทพ อย่าง โคซุเกะ ในฐานะที่ได้ศึกษาผลงานและชีวประวัติมาเป็นอย่างดี

Where did you study this?
(ไปเรียนจากที่ไหนมาละตั๋ว)
In High School and I read books,Study on my own.l also look
at other people's design. Ebisawa Kosuke ,Never met him but
I am influenced by him
(แค่ชั้นมัธยมนะเพ่ และอ่านจากพวกหนังสือหนังหา ส่วนใหญ่ก็
เรียนด้วยตัวเองอะ และครูพักลักจำจากบรรดานักออกแบบเจ้าอื่นๆ
อย่างอิบิซาวา โคซุเกะ นี้ใช่เลย! ไม่เคยเจอตัวเป็นๆหรอก แต่ได้รับ
อิทธิพลของผลงานเขาเต็มๆเลยละ)



โชคชั้นที่สอง ได้พบกับสาวที่ใช่ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแฟนสาวของคาเครุ
ที่เป็นนางเอกของเรื่องนี้เอง เพราะไม่ว่าสิ่งไหนที่เจ๊แกปรารถนา
ลุงโคซุเกะแกตอบสนองความต้องการนั้นได้ทันใจและทันเหตุการณ์
ตามประสาสถาปนิกที่สร้างอภิมหาโครงการ กินส่วนต่างค่าออกแบบจนล่ำซำ
น้องหนูอยากจะโปยบิน ลุงแกก็หิ้วเอาเครื่องบินส่วนตัวพร้อมออกให้บริการ
ไม่ทันไรน้องหนูก็ช่างฝันอยากมีชุดกิโมโนสวยๆใส่
ลุงแกก็ใช้เส้นสายคนในวงการรีบรุดจัดหามาให้ ยังเสริมออปชั่นพิเศษเกินฝัน
โดยพาไปดูงานออกแบบแฟชั่นโชว์แบนด์นอก จิบไวน์ในงานเปิดตัวตามที่ต่างๆ
ปรนเปรอกันสักเพียงนี้ รักใหม่ของลุงท่านก็บังเกิดเพื่อไปชดเชยรักครั้งเก่า
ที่เพิ่งเลิกราไปหมาดๆ

She stayed with him 20 years and left .l wonder why? Maybe he was not
her dream any longer.
(หล่อนยืนหยัดอยู่กับเขามากว่ายี่สิบปีจนต้องเลิกลากันไป เล่นเอาประหลาดใจ
ไม่ใช่น้อย อาจเป็นเพราะเขาไม่ใช่ชายในฝันมาเนินนาน)


ประกอบกับสถานภาพการประคองรักระหว่าง ฮานากับคาเครุ
ก็ไม่ค่อยจะราบรื่นเหมือนเมื่อครั้งในอดีต เพราะทั้งคู่เริ่มมีปากมีเสียง
อุปสรรคปัญหาและความยากจนเข้ามาประทังอย่างต่อเนื่อง
คาเครุก็ให้เวลากับการออกแบบเสียจนลืมให้เวลากับแฟน อีกทาง
ฮานาก็รู้สึกว่าไม่อาจจะทนความแร้งแค้นแบบไม่เห็นอนาคต หากยังจะอยู่กิน
กับคาเครุได้อีกต่อไป ความยากไร้เป็นสถานะที่อันตราย นอกจากจะทำลาย
กระเพาะอันหิวโซแล้ว ยังจะไปทำร้ายความสัมพันธ์รักที่มีมาแต่ปางก่อน

Please pray that l'll never leave Kakeru's side.
(ได้โปรดช่วยอธิษฐานให้ฉันกับคาเครุอยู่เคียงข้างกันด้วยเถอะ)

อธิษฐานใครไม่อธิษฐาน ดันไปอธิษฐานกับลุงโคซุเกะ
ที่กำลังหมายปองคุณน้องผู้กำลังขอคำอธิษฐานอยู่ งานนี้จึงเข้าทาง
ลุงเสียเต็มประดา กลายเป็นว่าลุงแกก็ยิ่งมั่นเที่ยวรับเที่ยวส่งน้องฮานามากขึ้น
กว่าแต่กอ่น ขณะเดียวกันก็เหมือนชดเชยความปรารถนาดีที่ประสงค์ร้าย
โดยเอ่ยปากชักชวนให้คาเครุ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมออกแบบ
ที่ปัจจุบันลูกน้องหลายคนของแก ทนความเป็นเจ้าระเบียบจนต้องยื่นใบลาออก
ไปตั้งหลายคน

Would you please reconsiders? Working for me .lt 'll make your life easier.
(เฮ้ย ลื้อน่าจะลองไปพิจารณานะ ทำงานกับอั๊ว มันจะทำให้ชีวิตลื้อง่ายขี้นเยอะ)
They said no matter how cruelly you treat it a cat will forgot 3 steps later.
(มีคนเคยกล่าวว่า ความเจ็บป่วดสักพักก็จางหาย ไม่ต่างจากแมวที่เดินเกิน
ไปสามก้าว สักพักมันก็จะลืมก้าวย่างของตัวมันเอง)

แต่เจ้าคาเครุก็ใช่ย่อย พอรู้ว่าคนที่แกช่วยชีวิตไว้
เป็นไอดอลในดวงใจ ก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนตัวตลก อีกทั้งยังไปแอบเห็น
แฟนตัวเองกับลุงไอดอลจุจุ๊บกันในรถแบบสองต่อสอง เลยต้องมีการเล่นแง่กันสักหน่อย
แต่สุดท้ายก็ยอมรับสภาพของตัวเอง ส่วนหนึ่งก็เพื่อความฝัน อีกส่วนหนึ่ง
ก็เพื่อให้สาวเจ้าที่เรารักมีความสุขกับสิ่งที่เป็น แม้สิ่งนั้นจะทุกข์ระทม
เพราะคนที่รักไปมักจี่ถึงขั้นแต่งงงแต่งงานกับลุงโคซุเกะไอดอลในดวงใจ
โดยที่ตัวเองก็ต้องมาเป็นลูกน้องของลุงโคซุเกะ ว่าที่สามีของอดีตคนรักตัวเอง
อย่างที่ต้องตักกระโหลกชะโงกดูเงาของตัวเอง

She were wearing that beatiful kimono .Drank wine and a famous architect
was driving her home.lt 'll never happen with me.
(หล่อนได้สวมกิโนโมสวยๆ ดื่มไวน์และยังมีสถาปนิกชื่อดังเป็นสารัตถีขับรถ
ไปส่งถึงบ้าน สิ่งเหล่านี้ถ้าเธอยังอยู่กับฉัน คงไม่มีทาง)
I can draw blueprints but l can not plan my own life
(ออกแบบพิมพ์เขียวมาก็หลายชิ้น แต่ออกแบบชีวิตตัวเองสักชิ้นยังทำไม่ได้เลย)

โหย! เจอฉากนี้เข้าไป เล่นเอาซึ้งสะกิดติ่งใจให้แป้วตาม
ไม่ต้องเป็นนักออกแบบสถาปนิกก็เหอะ คนธรรมดาอย่างผมๆ ก็ทำไม่สำเร็จ
สักชิ้นเหมือนกัน ไอ้ข้อสถานะ บางทีเห็นผู้คนบอกว่ามันต้องหัวจิตหัวใจเป็นหลัก
เออ!ไอ้นั้นไม่เถียง แต่ไอ้สถานะมันก็เป็นตัวประกอบแวดล้อม ที่ครอบคลุม
ไปทุกภาคส่วนของชีวิต จะแตะจะกินหรือจะใช้ไม้สอยอะไร
ก็ให้ดูสถานะปัจจุบันเป็นหลัก การตลาดยังเจาะกลุ่มลูกค้าตั้งหลายจำพวก
มีทั้งตลาดบน ตลาดกลางและตลาดล่าง และนอกจากนี้ยังมีแยกย่อยไปอีกเพียบ
คาเครุเลือกที่จะยอมรับความเป็นจริง เป็นความจริงที่ประกอบไปด้วยความสุข
เป็นสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของคนรัก และสุขจากหน้าที่การงานที่ชอบ
แต่ลึกๆแล้ว ก็รู้สึกโหยหาความสัมพันธ์แบบเก่ากอ่น อยากให้เราได้มาอยู๋ด้วยกัน
อันนี้ดูจากเจ้าคาเครุ แม้จะมีหญิงอื่นแต่ก็ดูจะไม่จริงจัง หลักจากที่ได้เลิกลากับฮานา
เหมือนจะรอคอยโอกาส แม้ว่าคนทั้งสองจะทำนิติสัญญารักในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่เรียบร้อย แต่นั้นเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะเอาเข้าจริงบทที่คนจะเลิกลา
เขาไม่แสวงหาเวลาที่มงคลอะไรอื่นแล้ว มีแต่จะรีบเลิกไปให้พ้นๆ
แล้วมีแบ่งสินสมรส โดยไม่ยอมให้ใครได้มากกว่าหรือน้อยไปกว่ากัน



เป็นซีรีย์สิบตอน ที่ถ้านับเอาจากตัวบทจริงๆแล้ว
ก็เหมือนเป็นชีวิตของคู่รักคนเหงา ที่ตัวละครทั้งสามฝ่าย
ต่างก็มีส่วนขาด และส่วนดีที่จะเติมเต็มความสัมพันธ์ของตัวละครสามฝ่าย
ให้สมบูรณ์ คนหนึ่งซึ่งมีบาดแผลจากความที่เป็นคนธรรมดาจนๆ
ขณะที่อีกคนมีรักแต่ขาดซึ่งความสุขสบายที่จะเติมเต็ม
อีกคนมีสุขจากชื่อเสียงและเงินทองที่พรั่งพร้อม แต่ไม่เข้าใจอดีตคนรัก
ว่าทำไมถึงกล้าที่จะเลิกลา และแสวงสิ่งที่ใช่จากสถานะที่สมบูรณ์ในปัจจุบัน
ถ้าเป็นจิ๊กซอ ก็ต้องถือต่างคนต่างก็มาอุดรอยโหว๋จากช่องที่ไม่สมบูรณ์
ให้เป็นผืนภาพที่เต็มส่วน ป๋ายะในบทคาเครุก็มาช่วยเสริมงานในฐานะ
ผู้ช่วยมือดี ที่เข้าใจถึงแนวสไตล์ของอิบิซาวะ โคซุเกะได้เป็นอย่างดี
ชนิดที่ไม่เคยมีลูกน้องคนไหน ที่จะตอบสนองให้ได้ ซึ่งโคซุเกะเองก็ช่วย
สนับสนุนคาเครุให้แจ้งเกิดในแวงวงสถาปนิกแห่งญีปุ่นอย่างเต็มที่

My Hitosuyanagi House or This Church.l through about submitting my paper blank.
(รู้ไหม ตอนที่คณะกรรมการให้กระดาษเปล่า เพื่อลงคะแนนสถาปัตยกรรมแห่งปี
ระหว่างเรือนฮิโตสุยานากิ
ของอั๊วกับโบสถ์ของลื้อ)
Waited until the last minute and wrote down this church
(อั๊วรอจนวินาทีสุดท้าย และดันเสือกลงคะแนนให้โบสถ์ของลื้อ
In just year ,l raised my Enemy
(เพียงแค่ปีเดียว นี้อั๊วได้สร้างศัตรูขึ้นมาอีกคนแล้วเหรอเนี๊ย)

แต่ส่วนหนึ่งคาเครุก็ต้องพร้อมที่จะสูญเสียคนรัก แม้ว่าจริงๆแล้ว
ไม่ว่าเขาจะเลือกที่จะเป็นทีมงานส่วนหนึ่งของโคซุเกะรึไม่
ฮานะอดีตคนรักก็ต้องจากไปจากเส้นใยบางๆ ที่พร้อมจะขาดสะบั้นลง
แต่คาเครุเลือกที่จะประนีประนอมกับตัวเอง คือ ได้ทำงานกับคนที่เขาเคารพ
มาทั้งชีวิตและได้เห็นหน้าอดีตรักอยู่เนื่องๆ แม้โคซุเกะจะรู้ว่านั้นมิใช่สิ่งดี
ต่อสถานะสมรสคู่ หากยังมีอดีตแฟนตัวเองอย่างโคซุเกะ วนเวียนอยู๋ใกล้ๆ
แต่ซีรีย์เรื่องนี้ ดีหน่อยที่จะให้ตัวละครนางเอกอย่าง "ฮานะ" เป็นผู้ตัดสินความเป็นไป
ของตัวละครเอกทั้งสองฝ่าย ที่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมารูปแบบไหน
ล้วนแล้วแต่เกิดจากการเลือกตัดสินใจ ในฐานะตัวกลางที่เชื่อมโยงจุดหลักของเรื่อง
ไม่่ไปขาดสะบั้นทางสายสัมพันธ์เดิม แต่ยังคงสายสัมพันธ์เดิมไว้เพียงแต่แปรเปลี่ยนไปอีกรูปแบบ
ดังนั้น ในทุกๆการเทปันใจของน้องเขา ย่อมมีผู้สมหวังและอโสมนัสขึ้นมาพร้อมกันทันที
ซึ่งมันยากสำหรับการชั่งใจของผู้ชม เพราะความที่ไม่มีบท "ผู้ร้าย" ในซีรีย์
ทั้งคาเครุและโคซุเกะ จึงเป็นตัวละครที่คนดูอยากจะให้ผลของมัน
ออกมาเสมอในรูปของสมานฉันท์ ซึ่งซีรีย์เรื่องนี้ก็มีทางออกของมันในตัว
และเสน่ห์โคตรๆของซีรีย์เรื่องนี้ คือ ทิ้งปมจบในแต่ละตอนให้คนดูต้องสุดถวิล ชนิดเข้าใจหัวอก
ถึงคนดูสมัยก่อนเลยว่า การรอคอยตอนต่อไปในวันศุกร์ของสัปดาห์หน้า มันช่างทรมานเพียงใด


เอาเข้าจริง สูตรของซีรีย์ประเภทนี้ที่เป็นรักสามเศร้าของเราสามคน
เป็นที่ฮิตกันมากในกลางปี ๙๐ เพราะก่อนหน้านี้ผู้เขียนก็ได้ชม
Love Generation ที่ป๋ายะลงมือเล่นอีกเช่นกัน ก็มีระดับโครงสร้างที่ไม่ต่างกัน
แต่คราวนั้น เป็นคนรักเก่าของป๋ายะแก ไปเป็นแฟนของพี่ชายตัวเอง
ยังคงเข้ากรอบของ "บุคคลที่ตนเคารพ" กับ "หญิงที่เคยรัก"
แต่ใน Love Generation เขามีทางออกที่ดีกว่า โดยสร้างตัวละครหญิง
อย่าง น้องมัตซู เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำรอง ที่ตอนหลังกลายเป็นทางเลือกหลัก
ส่วนเรื่องของพัฒนาการตัวละคร อันนี้ไม่ต้องห่วง แต่ที่น่าห่วงคงจะเป็นการหวนความสัมพันธ์รัก
แบบคงเดิมระหว่างฮานะกับคาเครุ ที่จะกลับมารีเทรินรักกันเเบบเก่า หรือจะดำรงไว้ซึ่ง
สถานภาพรักสมรสแบบปัจจุบัน อันนี้ดูจนมาเกือบจะจบก็ยังเดาทางแทบไม่ออก
ซึ่งความสัมพันธ์ตรงจุดนี้จะคู่ขนานไปกับ masterpieace project เพื่อให้สมกับเป็นงานชิ้นเอก
ที่คาเครุได้ปลุกปั้นตั้งแต่ตอนแรก ในนาม Church of Heaven
อันมีความหมายถึง องค์สถาปัตย์แห่งสรวงสวรรค์ ที่รับรองว่า
เด็กถาปัตถ์จะต้องออกอาการกรี๊ดกร๊าดกะตู้ฮู้เป็นแน่แท้ ใยถึงวิจิตรได้ถึงเพียงนี้
งานนี้ยังได้ผู้กำกับประจำสถานี TBS คิโยฮิโระ มาโกโตะ มาพิถีพิถัน
ในเรื่องงานกำกับ (เป็นผู้กำกับคนเดียวกับ Otousan และ Nada So So ภาคซีรีย์ )
และพิถีพิถันยิ่งขึ้นกับเพลงบรรเลง ที่ได้ฝรั่งตาน้ำข้าว อย่าง Burt Bacharach
ที่เคยทำสกอร์เพลงใน Austin Powers มาแล้ว


กลายเป็นว่า กับซีรีย์เรื่องนี้ ผู้เขียนกับเฉยๆในการแสดงของทาคุยะ
ในวัยยี่สิบหมาดๆ อาจจะด้วยบทหรือด้วยรัศมีบารมีที่ยังไม่พร้อมจะเปล่งประกาย
ก็ไม่ทราบได้ แม้พี่แกจะไว้ผมสลวย แต่งตัวฮิบๆ ทำตัวกร่างแบบเด็กอาร์ท
ที่ไม่สำเร็จการศึกษาระดับมหาลัย ที่รัฐธรรมนูญบ้านเราชี้ช่องให้เป็นพอเป็นสส.ได้
แต่กับนักแสดงประชันฝ่ายชายอีกคน ที่รับเป็น สถาปนิกโคซุเกะ
คือตัวลุง "ทามุระ มาซาคาซุ" ผู้เขียนว่า เป็นนักแสดงที่มีลูกล่อลูกชนแพรวพราว
จนไม่แปลกใจว่าทำไมน้องฮานะ จึงต้องนอกใจมารับการอุปถัมภ์จากลุงท่านนี้
ลุงแกทำให้ผู้พอเชื่อได้ว่า น่าจะเป็นนักสถาปนิกจริงได้
ไม่ได้ด้วยแบบแปลนที่ลุงวาดหรอกนะ แต่ด้วยอารมณ์ติสท์แบบสถาปนิกเขาชอบเป็น
ประเภทเอามือลูบคาง จูนหัวสมอง ขณะที่ในมือคีบบุหรี่ปุยๆ โห!มันใช่เลย
ลีลาการพูดของแก เต็มไปด้ยความเชื่อมั่น พร้อมที่จะให้คนอื่นฟังแก
ขณะเดียวกัน แกก็ไม่พร้อมที่จะไม่ยอมให้ใครพูดขึ้นสวนในขณะที่แกกำลังคุย
ดูงานซีรีย์จากที่แกเล่นก็ไม่บ่อยนัก เพราะนานๆแกจะรับเล่นซีรีย์สักเรื่อง
แต่เท่าที่ผ่านตา ก็ในบทปะป๋าชินโด ชิโร่ ของลูกสาวสี่คนใน Otousan
ของผู้กำกับคนเดียวกันกับซีรีย์เรื่องนี้ เป็นความเท่ห์แบบคนมีกะตังค์
ที่ดับรัศมีให้ทาคุยะยังไม่พร้อมแจ้งเกิด จึงมิแปลกใจหากแฟนทะคุงคลับ
จะไม่ค่อยรู้จักมักคุ้นกับซีรีย์เรื่องนักก็ตาม
ส่วนนางเอ๊ก นางเอกนี้ มิยาซาวา ริเอะ ความจริงเจ๊แกก็เป็นคนดังในประเทศ
แต่กับประเทศไทย แทบไม่เคยมีผลงานในชาวประชาได้ยลตา
ประวัติชีวิตเจ๊ก่อนจะเล่นซีรีย์เรื่องนี้ ก็ต้องบอกว่าโชกโชน มิได้แสนดี
เหมือนกับในซีรีย์ ทั้งการเลิกรากับแฟนหนุ่มนักมวยปล้ำ การฆ่าตัวตาย
ปัญหาทางบ้าน และภาวะโรคไม่อยากอาหาร (Anorexia)
แต่เสริมข้อดีข้อหนี่ง เพราะในเรื่องนี้มีเจ๊โย คิริโกะ มาีร่วมเล่นในบท
อดีตศรีภรรยาสถาปิกอิบิซาวา ใครเห็นเจ๊ท่านนี้คงร้อง อ้อ!
เพราะเจ๊เพิ่งจะขายโรงศพจนผู้เขียนต้องหลั่งน้ำตา
ใน Departures มาอีกทีสมัยเจ๊สาวๆ ก็สาวไม่หยอกเหมือนกันนะเออ



That is her choice,It is her house .Not yours.
(นั้นเป็นสิ่งที่ลูกค้าเธอเลือก มันเป็นที่ของลูกค้า มิใช่ของลื้อ)
But I am building the house .It is my masterpiece too.
(แต่ ผมก็ออกแบบมันมากับมือ นี้มันเป็นงานชิ้นเอกของผมนะ)

พูดไปงานสถาปนิกก็มิใช่เรื่องง่าย ตราบใดพื้นฐานความเป็นจริง
จำต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานของลูกค้า ซึ่งเป็นทั้งผู้ใช้สอย
ผู้อยู่อาศัยและไหนจะออกเงินลงทุนทั้งค่าสร้างงาน ค่าออกแบบอีก
อาชีพสถาปนิกจึงเป็นหน่วยงานๆหนึ่ง ที่มีสถานะเป็นผู้รับจ้าง
ที่ต้องสนองความต้องการตามชุดคำสั่ง ด้วยจากประสบการณ์และวิชาชีพที่ตนร่ำเรียนมา
สถาปนิกขึ้นชื่ออาจเป็นได้เพียงแค่กึ่งๆศิลปิน ที่ไม่ได้เป็นนักจิตศิลปะเต็มตัว
ที่อยากจะวาดอะไรตามนึกคิดทั้งหมด แล้วสะบัดปลายปากพู่กันลงบนผืนผ้าใบ
แต่สถาปนิกจำต้องประนีประนอมรอมชอมกับฝ่ายวิศวกรผู้สร้าง ทั้งเรื่องข้อจำกัดการสร้าง
การหาวัสดุอุปกรณ์ โครงสร้างรองรับของพื้นที่ และตอบสนองเจตจำนงของผู้ออกแบบ
เพื่อให้ตรงในองค์ประกอบพร้อมในการก่อสร้างเคหสถาน ซึ่งถ้าสถาปนิกอยากจะเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว
นอกจากไม่ได้ค่าออกแบบเองแล้ว อาจจะต้องควักทุนเข้าเนื้อทั้งกองเพื่อเป็นที่ซุกหัวนอนของผู้ออกแบบเอง
แต่กระนั้นก็ตาม สถาปนิกก็เหนือชั้นกว่าไปกว่าเหล่าบรรดาศิลปินและจิตกร ที่

Architecture is imagination and reality.
(สถาปนิก คือ ผู้สร้างความฝันและทำให้มันเป็นจริงได้)........


ข้อมูลจาก //wiki.d-addicts.com/Kyosokyoku




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 12:46:34 น.
Counter : 1457 Pageviews.  

Fire Boys เจ้าหนูสิงห์ผจญเพลิง



ผู้เขียนเชื่อในดวงชะตาของตนเองตั้งแต่เล็กๆ
ว่าอย่างไรเสีย ก็หาใช่คนใน "ธาตุไฟ" อันเป็นหนึ่งในสี่ธาตุแห่งรูปธรรม
เหตุที่เชื่อเอาเช่นนั้น โดยนึกอุตริเอาเองว่า ด้วยความที่ไปตั้งหลักแห่งตำบลไหน
มักจะหนีไปพ้นเหตุที่มี "สถานีดับเพลิง" อยู่ข้างเคียงทั้งสิ้น ไม่ว่าบ้านเกิดที่อยู่ท้ายซอย
ไปเรียนต่างจังหวัด หรือ มาทำงานในเมืองหลวง
ก็มักจะมีสถานีดับเพลิงตั้งอยู่บนถนนหลัก จึงเป็นทางยากที่เชื้อไฟจะปะทุคุกกรุ่น
ด้วยความที่มีธาตุน้ำ ห้อมล้อมอยู่เคียงข้างในทุกเส้นทาง
เป็นอารมณ์ประมาณ พระจันทร์อยู่เคียงข้าง ที่มักวิ่งไหลตามทุกหนแห่ง
แม้เราจะพยายามทำตัวเหินห่างกับมันก็ตามที
เป็นความอุ่นใจในความปลอดภัย ที่แม้จะได้รับการเคี่ยวเข็นมาแต่เล็ก
เกี่ยวกับบรรดาเรือ่งไม้ขีด-ธูปและฟืนไฟ ก็โปรดได้สบายใจเถอะท่านแม่
ขอแค่ยกหูโทรศัพท์กรี๊งเดียว สถานีดับเพลิงใกล้บ้าน ก็เร่งรุดมาโดยพลัน
ว่าแต่................ไอ้สถานีดับเพลิงปากซอย มันเบอร์อะไรกันละหว่า


ไม่ต้องคิดอะไรมาก แม้แต่ซีรีย์ ก็ยังหนีไม่พ้นที่จะต้องมีโยงไปถึงวิชาชีพอย่าง
"นักดับเพลิง" ขึ้นเป็นองค์หลัก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก
อาชีพออกจะฮีโร่แมนอยู่ไม่น้อย ยังเสริมไปด้วยเหตุการณ์ที่ลุ้นระทึกแบบร้อนแรง
เป็นร้อนชนิดที่ ถ้าได้ฟอร์แมตไฟล์ที่ไม่ละเอียดดีพอ รับรองได้ว่าหน้าจอ
ของท่าน จะมีรอยแตกของภาพตามแนวประกายเพลิง เป็นสะเก็ดๆ
เป็นซีรีย์ที่ถ้าคุณ prysang ไม่หยิบยกว่าชื่อไปคล้ายกับเรื่องในบล็อกที่แล้ว
เผลอๆอาจจะมีลืม ว่าประเทศเมืองชาเขียว เขาเคยมีการสร้างกันมาแล้ว
แล้วทำไม ผู้เขียนถึงรู้สึกว่ามันไม่น่าจดจำ อันนี้จะสาธยายเป็นข้อๆ
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ควรดู เพียงแต่ว่าถ้าไม่ได้ดู ก็ไม่รู้สึกรู้ส่าว่าได้ละเลย
ต่อคุณูปาการทางจรรยาบรรณของนักผจญเพลิง แต่อย่างใด




Fire Boys ถึงจะไม่ใช่ซีรีย์ที่ต้องเร่งขวนขวาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่าดู
เพียงแต่ผู้เขียนดันไปชิมลาง จากองค์ประกอบของสิ่งหนึ่ง
สิ่งนั้น คือ ทางภาพยนตร์แนวดับเพลิง แต่ดันเป็นหนังฝั่งโลกตะวันตก
ที่ออกฉายในปีเดียวกันกับซีรีย์ คิอ ๑๙๙๔ ที่ชื่อ Ladder 49 ของผู้กำกับ
Jay Russell ที่มีพระเอกหน้าหล่อ Joaquin Phoenix มาปะทะกับยอดฝีมือ
John Travolta กับสเกลโปรดักชั่นร้อนตับแตกแบบอลังการตามสไตล์ฮอลีวู้ด
ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกอยู่เช่นกัน ที่ซีรีย์ฝั่งตะวันออกจะถูกฉายไปพร้อมกันกับ
หนังของฝั่งตะวันตก ชนิดที่โครงสร้างหลักในเฉพาะส่วนนิสัยของตัวละคร
แทบจะถอดจากเครื่องถ่ายเอกสารเดียวกัน อันนี้ถ้าฝั่งหนึ่งฝั่งใดฉายช้าไปสักปี
งานนี้อาจจะมีฟ้องร้อง ข้อหาอินไซเดอร์ข้อมูลบทละครของอีกฝ่าย
แต่ในเมื่อจุติในฤกษ์ของหนังอวมงคลเคหสถานใกล้เคียงกัน
ก็ต้องคิดเห็นตามไปว่า มาตราฐานทางโครงสร้างอาชีพส่วนนี้คงจะใกล้เคียงกัน
อันนี้ก็ไม่จำเป็นที่องค์กรดับเพลิงประเทศไหน จะเบิกงบพิเศษเพื่อไปดูงานยังต่างประเทศ
เพราะขืนขึ้นเครื่องบินไปก็เสียเที่ยวเปล่า เผลอๆจะตกกะใจนึกว่ามาดูปัญหาเดิมๆ
ในประเทศตัวเองเสียอีก



ผู้เขียนไม่รู้หรอกว่า สำนักงานดับเพลิงเขาอิงอยู่กับกระทรวงหรือหน่วยงานใด
จะกลาโหม เทศบาล มหาดไทยหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็แล้วแต่
แต่ความเข้าใจจากข่าวสารบ้านเมือง ก็ทำให้อดีตผู้ว่ากรุงเทพฯคนก่อน
ต้องแสดงสปิริตลาออก ด้วยการเซ็นส่งมอบรถดับเพลิงฉาวทำพิษ
เลยเป็นบทจบในชีวิตจริงที่น่าเศร้าใจ แต่กลับซีรีย์ Fire Boys นี้คนละเรื่อง
ไม่มีตอนไหนที่จะจบอย่างไม่ประทับใจ ตามสไตล์พระเอกฮีโร่สัมมาอาชีวะ
ที่เจาะตลาดกลุ่มเยาวชนคนดู เมื่อกระทาชายนายหนุ่ม อาซาฮินะ ไดโกะ
(เล่นโดย ยามาดะ ทากายุกิ คุ้นหน้าอยู่แล้วเพราะเล่นเรื่องไหนก็พระเอก
ไม่ว่า H2, Taiyo no Uta และ Densha Otoko แต่พอไอ้หมอนี้ไว้ผมยาว ไว้เครา
ก็เปลี่ยนลุคการแสดงไปอีกแนวเลย ไม่เชื่อไปดูCrows ZERO และรับเชิญ Boss ละกัน)
เป็นนักเรียนชายที่คล้ายๆจะจบ ม.ปลาย แล้วไปสอบนายร้อยเหมือนบ้านเรา
เพียงแต่ไอ้หมอนี้ เลือกที่จะเข้าเรียนต่อในโรงเรียนดับเพลิง
จนได้มาประจำฝึกงานที่สถานีดับเพลิงย่อยเมดาคากาโอกะ (Medakagaoka Fire Brigade)
แต่เรียกให้ง่ายกว่านั้นก็ได้ ว่า เมกูมิ (ไม่รู้เป็นการเล่นคำอะป่าว เพราะ
เมกูมิ คำนี้แปลว่า การบรรเทาเบาบางลงอะ แล้วชื่อไดโกะ ก็หมายถึงพุทธิปัญญา)



และดูเหมือนพระเอกเรา คงจะหวังในอาชีพนี้ไว้เยอะ
เพราะหลังจากที่สำเร็จการศึกษา ณ โรงเรียนการดับเพลิงเสร็จ
พี่แกก็วิ่งแจ้นไปแจ้งความสำเร็จนี้ให้แก่ครูประจำชั้นคนโปรด คือ ครูโอชิอากิ ชิซูกะ
ซึ่งไม่ว่าเรื่องอะไร พี่แกก็จะไปโมทะนาสักทุกอย่าง แม้แต่เรื่องในสมัยเด็กๆ
ที่ฝันอยากจะเป็นนักดับเพลิง เพราะดูมีพลังเหนือมนุษย์บางอย่างปานซูเปอร์เแมน
(ครูคนนี้เล่นโดยเจ๊ โคนิชิ มานามิ เคยเล่นใน Orange Days และรับเชิญใน BOSS ตอนท้ายๆ )
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นปลื้มกับมาม่า คุณน้องสาวและเหล่าบริวารเพื่อนฝูงเก่าๆ
ดูทุกอย่างจะไปได้สวยในตอนต้น แต่ความจริงหาใช่อย่างนั้น เพราะภาพความฝัน
กับภาพปฏิบัติในชีวิตจริง อันนี้มันคนละเรื่องกันเลย
ในสถานีดับเพลิงย่อยเมกูอิ มีความหลากหลายทางชีววัยและชีวคติสูง
นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่หลากหลายวัยแล้ว ยังหลากหลายกิจกรรมยามว่าง
เป็นยามว่างที่ดูเหมือนจะเป็นยามหลัก อันเป็นลักษณะพิเศษของสำนักงานดับเพลิงเเห่งนี้
ว่างแค่ไหนเหรอ? จะขอยกตัวอย่างเป็นรายคนกันไปเลยละกัน โดยเรียงจาก
ความอาวุโสสูงสุดไปสูงรุ่นน้อย


รองหัวหน้าหรือกัปตัน วัย ๓๘ ไทอิระ ชิเกรุ (เล่นโดย อิชิกุโระ เคน
ปกติเขาให้ดับเพลิงแต่ยามว่างพี่ท่านจะเล่น ฟิตเนส ยกดัมเบล เบ่งกล้ามหน้ากระจก
ชอบเขาตามดูในซีรีย์ Tokyo Tower , Change และ Samurai High School )
ชอบทำตัวเป็นลูกพี่ใหญ่คนรอง โผ้ผาง วางกล้าม สร้างบารมี สมาชิกให้การยอมรับกลายๆ

ส่วนเจ้าหน้าที่วัย ๓๒ อากาโบชิ มิทซึรุ (เล่นโดย คัตซึรายามา ชินโงะ ปกติเขาให้ดับเพลิง
แต่ยามว่างพี่ท่านจะ อ่านนั้น อ่านโน้น และอ่านนี้ แต่ตัวเสริมลูกพี่ใหญ่
คิดเห็นไม่ต่างไปจากลูกพี่ในก๊วน ชอบเขาก็ตามดูใน Densha Otoko และ RESCUE)

ส่วนเจ้าหน้าที่วัยเท่าไรไม่รู้ แต่เห็นหน้าก็รู้ว่าแก่ มันโช ฮากาเซะ (เล่นโดย นุกุมิซุ โยอุอิชิ
ชอบลุง ก็ตามไปเจอในซีรีย์ Slow Dance , Densha Otoko และ Boss)
ปกติเขาให้ดับเพลิง แต่ยามว่างลุงท่านจะเล่นตัวต่อลับสมอง มองโลกในแง่ดี
แต่ไม่ค่อยชอบแบกปัญหา ปรึกษาอะไรไม่ค่อยได้ หลีกเลี่ยงความคิดเห็น
ถึงสมาชิกทุกท่านจะดูเหลาเย่เช่นนี้ในยามว่าง แต่เมื่อได้ยินสัญญาณเข้าประจำฐาน
เมื่อไร ก็พร้อมสลัดนิสัยเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว



เหตุที่ผู้เขียนคิดว่าซีรีย์เรื่องนี้ ดูธรรมดาไปอย่างยิ่ง
ก็เพราะอดไปเผลอเปรียบเทียบกับฉบับหนังปีเดียวกันของฮอลีวู้ด อย่าง
Ladder 49 ไม่ได้ เพราะบทที่ Joaquin Phoenix เล่น กับสิ่งที่ ทากายุกิแสดง
แทบจะเป็นเนื้อบทเดียวกันก็ว่าได้ ตามสไตล์พระเอกคนหนุ่มเลือดร้อน
ที่ตอบสนองความใฝ่ฝันทางอาชีพ เนื่องด้วยมีฮีโร่ในดวงใจในสมัยที่ครั้งหนึ่ง
ตอนวัยเด็ก ได้รับความช่วยเหลือแบบเฉียดตายจากพ่อหนุ่มนักผจญเพลิง
เลยเป็นความประทับในคนเสื้อเเดง (ที่ไม่อิงสีแดงแบบบ้านเรา)
แต่พอได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง กับพยายามที่จะไม่ยอมรับวัฒนธรรมเดิมๆ
โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันเป็นทีม เพราะอาศัยความมีทิฐิส่วนตัวและ
มองบุคคลอื่นเพียงเปลือกนอก แต่มองด้านดีอีกอย่าง ก็เท่ากับ
เป็นการกระตุ้นเชื้อไฟที่กำลังมอดลงของผู้ร่วมงาน และทุกๆการดื้อดึง
มักนำมาซึ่งทางออกหรือผู้รอดชีวิตอยู่เสมอๆ แต่นั้นเเหละความดึงดัน มุทะลุ
และมีมานะส่วนตัว ก็มักมีผลให้ผู้ร่วมงานรู้สึกแหนงหน่าย กลายเป็นตัวประหลาด
ในสำนักงานดับเพลิง พอนี้ละมั้งจึงต้องไปเป็นตัวมัสคอร์ตเรียกแขกเด็กๆ
ตามประสาคุณพี่เชื้อไฟสูง แต่คุณพี่เองอาจไม่ปลื้ม แต่เพื่อนๆที่ทำงานปลื้ม
ที่คุณพี่เป็น เพราะจะได้สงบโดยไม่ต้องมาตอบคำถามเรื่องอุดมการณ์นักผจญเพลิง
จนต้องมาเสียกิจกรรมอดิเรก


และเพราะความที่ต้องเป็น Junoir ของพระเอก ที่ดันแบกความมีทิฐิส่วนตัว
ไหนจะต้องมาเจออดีตเพื่อนร่วมชั้น ที่ปัจจุบันมีสถานะเป็น Senior ของ
อามากาซุ ชิโระ (เล่นโดย ทซึกาโมโตะ ทากาชิ คนนี้คงคุ้นหน้าเพราะเล่น
เป็นพระเอกใน Midnight Sun ภาคหนัง และซีรีย์อย่าง Kekkon Dekinai Otoko
และ Tiger & Dragon) ที่คอยเป็นคู่กัดและเบ่งตลอดทุกตอน
แต่นั้นก็ยังไม่เท่ากับ วาจาแบบมะนาวไม่มีน้ำของหัวหน้าสูงสุดประจำสถานี
วัย ๔๘ อย่าง โกมิ ฮาจิเมะ (เล่นโดย คากะ ทาเกชิ ปะป๋าไลท์ใน Death Note)
นักผจญภัยชั่วโมงบินสูง มีแผลไฟลวกโดยไม่กะพึ่งโทนาฟเพื่อบรรเทาเป็นการันตี
แม้จะมีบทให้พูดน้อย แต่ทุกคำพูดนี้ทรงพลัง เอ่ยปากครั้งใด
เหล่าบรรดาลูกน้อง เพื่อนสมาชิกหรือคนนอกวงการ ต้องตั้งใจฟังกันเป็นแถว
ชนิดที่ ถ้าผู้เขียนเจอะวาจาแดกดันแต่แฝงกำลังภายในแบบนี้เข้า
รับรองว่า พรุ่งนี้เช้ามีใบลาออกอย่างเป็นทางการแบบไม่ส่งแสตมป์บนโต๊ะหัวหน้าแน่ๆ


You're waiting fires to happen.If So Then you don't quality.
(ถ้าลื้อยังเสลอรอให้เพลิงที่กำลังไหม้ที่นั้นที่นี้อยู่ ลื้อก็ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นนักดับเพลิงนะเฟ้ย)
คนรอไฟ แล้วได้ไฟ เขาไม่เรียกว่านักดับไฟ เออ! เข้าข่ายคุณสมบัตินักวางเพลิงนี้หว่า
ขนาดที่พระเอกยังไม่หายมึนในชุดเมื่อกี้ เวรก็มาบรรลัยกับเทศนาชุดใหม่เข้า
ถึงแม้ว่า พระเอกไดโกะจะสามารถช่วยชีวิตอดีตครูในโรงเรียนเก่าๆได้
จนศิษย์เก่าล้อมวงกล่าวคำชื่นชมเป็นทิวแถว แต่พณฯท่านหัวหน้าก็ลากตัว
จากในวงล้อม จิกหัวพระเอกจุ่มเข้าแอ่งน้ำแบบไม่ปราณีตปราศัย
You are trying to be a hero? You rescue no one at all.
You became the one who had to rescued.
(ลื้ออยากจะเป็นฮีโร่นักเหรอ? อย่างลื้อจะช่วยใครได้
นอกเสียจากลื้อนั่นแหละ ที่สมควรถูกให้เขาช่วย (ไอ้ตัวถ่วง))



แต่ผู้เขียนมิใช่พระเอก และพระเอกก็ไม่ชอบขีดเขียน
แม้จะเจอะสถานการณ์ที่ไม่ปลื้มในกองภายใน ถึงจะสำเร็จได้ใจยามที่ออกภาคสนาม
จนสร้างวีรกรรมปลื้มๆเสียหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังเป็นไอ้หนูไดโกะที่อาจท้อใจ แต่ไม่เคยท้อถอย
(ถอยได้ไง ไอ้หมอนี้ความฝันทรงสูง แถมลูกบ้ายังเยอะอีก
แต่บางอย่างไอ้น้องไดโงะก็น่าจะมีหัวคิดเองได้บ้าง แต่ก็ไม่รู้จักคิดแยกแยะ เก็บความรู้สึกไว้มั้งก็ดีนะน้อง)
ยังคงเป็นสิงห์ผจญเพลิง ที่ขอลุยซึ่งๆหน้ากันไปก่อน แล้วค่อยไปตามแก้สถานการณ์
กันที่หลัง และทุกครั้งจะเป็นภารกิจที่ทุกๆหน่วยงานหมดหวัง แต่ไอ้หมอนี้
ก็ทำให้ความหวังยังคงบังเกิด เกิดได้แบบไม่คิดถึงชีวิตตัวเองเอาซะเลย
เป็นจิตวิญญาณทางวิชาชีพ ที่พอได้สิงร่างแล้ว ก็ไม่ยอมออกเอาง่ายๆ
จนต้องมาเผชิญการ "ละลายพฤติกรรม" จากเพื่อนสมาชิกในหน่วย เจอกันเป็นรายคน
โดยเฉลี่ยให้กันคนละตอน ขณะเดียวกันต่างก็ร่วมกันแชร์ความรู้สึกให้แก่กันและกัน
แม้จะให้แจกโปรชัวร์ตามจับคนลอบวางแผน พี่แกก็ยังคิดที่จะทำ
แต่อย่าได้เข้าไปสัมผัสชิดใกล้กับพระเอกคนนี้มาก เพราะดูเหมือนใครเผลอ
ไปข้องเกี่ยว ต้องมีอันเป็นไปต่อเหตุการณ์ในผลพวงที่จะตามมาทุกที
บ้านพี่อาจจะเรียกว่า "พ่อตัวดี" เพราะทำความดีช่วยเหลือชีวิตผู้คน
แต่มาแถวบ้านผู้เขียน คงต้องมาปัดรังควานความเป็น "พ่อตัวซวย"
แม้แต่ผู้เป็นครู อยู่ใกล้ก็อาจเป็นเหตุให้โรงเรียนเกิดไฟไหม้ โทษใครไม่ได้
ต้องโทษความประมาท และการขาดเซฟตีคัตไว้ประจำกำแพง



แต่ความร้อนของเปลวเพลิง ก็หาได้โชติช่วงเท่ากับ
สายตาของผู้เขียน ที่อิจฉาตาร้อนกับหน่วยงานกระจิบกระจ๊อยท้ายซอย
ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ช้างเผือกสาวแสนสวย วัยใกล้เคียงกันกับพระเอกเขาถึงสองนาง
แถมเป็นสองนางที่มีบุคลิกไปคนละด้าน พอให้ได้เปลี่ยนรสชาติ
แต่คงยากหากจะสับราง เพราะปลายทางดันไปลงสถานีดับเพลิงย่อยเมกุมินะสิ
นางแรก เป็นสาวห้าวมาดทอมบอย โซนาดะ มาฮิรุ (เล่นโดย อุชิยามะ รินา
อันนี้ผู้เขียนปลื้มของตามเองละกันใน Strawberry on the Shortcake ,Good Luck!!)
แม้บทในชีวิตประจำวัน นอกจากไปช่วยดับเพลิงและซิ่งตีนผีอันเป็นหนทางถนัด
แต่พอมาอยู่ประจำสถานี ก็รับอาสาเป็นแม่ครัวคอยหุงหาอาหารให้เหล่าเพื่อนสมาชิก
ซึ่งดูไม่สมกับคาแรกเตอร์มาดทอมเอาสักเลย แต่ความลึกลับของเจ๊ก็ค่อยๆเผยไต๋
ในตอนท้ายๆ ที่ไม่อึ้งแต่ก็ซึ้งใจดี
ส่วนนางที่สอง เป็นสาวหวานในแผนกพยาบาลฉุกเฉิน EMT คอนโดะ จุน
(เล่นโดย น้องมิมุระ ที่เพิ่งเข้าวงการไม่นาน แต่ระยะหลังก็ได้เกิดในซีรีย์ฮิบๆ
Call Center no Koibito , Samurai High School ) แต่เห็นหน้าหวานเช่นนี้
แต่พอได้ลงภาคสนามจริง เจ๊ก็เข้มแข็งผิดหูผิดตา แสดงเจตนาที่มุ่งมั่นตั้งใจ
ตามประสาคนมีปม ที่ไม่ต่างไปจากพระเอกเท่าไรนัก
ทำให้พระเอกได้เข้าใจความหมายถึงหน่วยงานเล็กๆ อย่างบุรุษพยาบาล
ที่แม้จะไม่ท้าลุยเหมือนกับวิถีนักผจญเพลิง แต่ก็เหาะเหินผจญภัย
คอยช่วยส่งคนเจ็บให้ถึงที่หมายอย่างทันท่วงที
ซึ่งรถพยาบาลเมืองนี้ เข้าจัดสรรกันดี เที่ยวนี้ใครมาเที่ยวนี้ใครไป
แต่ต้องไปแย่งคนเจ็บในที่เกิดเหตุ ให้เป็นที่สังเวชใจเหมือนในบางเมือง



The firemen's signal of a fire safely extinguished.It is ous victory song.
(สัญญาณของนักผจญภัยที่ขับขานยามเพลิงสงบ ดั่งบทเพลงแห่งชัยชนะ)
แต่สัญญาณนั้นเป็นเพียงฉากนอก ไม่เท่ากับความอิ่มเอมในภารกิจที่สำเร็จ
อันรู้เชนเห็นชาติอยู่ในใจ เป็นภารกิจที่ต้องสร้างไว้อย่างหลากหลาย
หากปล่อยให้มีแต่เพลิงไหม้ไปทั่ว ซีรีย์เรื่องนี้ก็จะตีบตันและเปลื้องผลาญงบประมาณไปมาก
อีกทั้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ใช่จะรับผิดชอบแต่ตามชื่อหน่วยงานเพียงเท่านั้น
ยังมีงานขันอาสานอกหน้าที่ ตั้งอีกหลายงานบานเปรอะ
ที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับรู้ ทั้งงานราษฎร์ที่ต้องให้ความรู้ในการป้องกันภัย
ไหนจะเป็นวิทยากรสอนแก่เหล่าเด็กๆ ประกอบกับงานหลวงประเภท
การช่วยลูกแมวบนที่สูง ไล่งูในที่สาธารณะ การบรรเทาสาธารณภัย
และบริการในยามฉุกเฉินต่างๆ เป็นวีรกรรมที่ต่อให้ทำกันทั้งชีวิต ก็ไม่มีวันหมดสิ้น
ทำมากก็ใช่ว่าได้ค่าคอมมิชชั่นหรืออินเซนทีฟเป็นยอดขายเเบบรายหัว
เหมือนกับพวกเซลล์กันซะทีไหน อย่างมากสุดก็แค่คำขอบอกขอบใจ
It is our job to insure that this chime plays,The Citizens can sleep
with peace of mind.
(งานของเรา เป็นหลักประกันว่า เสียงสัญญาณที่ได้ยิน
จะทำให้ประชาชนนอนหลับอย่างเป็นสุข)
เป็นคำขอบใจที่ไม่ต้องขานตอบ แต่รับรู้ได้ถึงความอุ่นใจที่มอบให้
ไม่ยิ่งใหญ่แต่ก็น้ำตาคลอ เพราะเพลงประกอบแนวบรรเลงของเรือ่งนี้
มันมาถูกที่ถูกเวลา เขาได้มือฉมังแห่งวงการอย่าง ซาโตะ นาโอกิ
ที่เคยทำให้กับ H2 กับ Code Blue จนนน้ำตาท่วมจอกันทั้งประเทศ


แต่จะติก็ตรงผู้เขียนบท "โยชิดะ โทโมโกะ" ที่ใส่ความเป็นสูตรแห่งความเป็นซีรีย์
ที่แข็งเกินไปหน่อย (เหมือนกับที่เจ๊เขียนให้กับ Ns' Aoi เลย)
เลยทำให้ซีรีย์เรื่องนี้ไม่มีความโดดเด่นในแง่ลักษณะเฉพาะ
ขณะที่การเดาทางในช่วงต่อไปของเนื้อหาและวิธีคิดของตัวละคร
แม้จะสอดรับกับบุคคลิกนิสัย แต่ในแง่การพัฒนาของตัวละครก็ค่อนข้างเชื่องช้า
ทั้งๆ ที่ตัวละครแต่ละตัว ต่างก็เจอะกับสถานการณ์หลากหลายรูปแบบ
และปฎิสัมพันธ์กับวิธีคิดจากตัวละครรับเชิญหลายด้าน พอตัวละครไม่โต
แล้วมาซ้ำกับทิฐิเดิมๆในต้นเรื่อง เลยเป็นการดึงให้ซีรีย์แต่ละตอน
เป็นไปในทิศทางเดียวกับในตอนครึ่งแรก แต่กว่าจะเรียกศรัทธาจากเรตติ้ง
เอาในช่วงสุดท้าย ก็ถือว่าสายเกินไป เพราะเส้นตายของซีรีย์ประเทศนี้
สถานีเขาให้สุดได้แค่ ๑๑ ตอนนะเธอ



ส่วนผู้กำกับ ที่ต้องเน้นการถ่ายทำนอกสถานที่
กับทัศนวิสัยที่ค่อนข้างเลวร้ายแบบสุดๆ ชนิดที่กรมตำรวจกับกรมอุตุฯ
ต้องขอบังคับให้หลีกเลี่ยงเส้นทาง การรับหน้าเสื่อในจุดนี้ ทั้งๆที่เป็นแค่ซีรีย์
ผู้เขียนต้องถือว่าให้ผ่าน เพราะไม่ได้กำกับกันง่ายๆ ซึ่งอันนี้ต้องบอกว่า
หายห่วง เพราะได้ผู้กำกับฝีมือพัฒนาการสูง อย่าง "ทาเกอุชิ ฮิเดกิ"
ที่ได้กำกับ Densha Otoko และ Nodame Cantabile
และยังได้ผู้กำกับร่วม ที่เพิ่งได้รางวัลการทำดราม่าซึ้งๆ ใน Kaze no Garden
จากสถาบันจับแจกรางวัลเจ้าใหม่ อย่าง Tokyo Drama Awards ครั้งที่ ๒
แต่กับ fire boys ผู้เขียนว่าฝีมือยังห่างชั้นกว่าเยอะ หรือเพราะบทไม่อำนวยกันหว่า!


Firemen need heart and stinct .Need to be calm in blazing infenos.
(นักผจญเพลิงต้องมีหัวใจที่มุ่งมั่นและสัญชาติญาณที่เต็มเปี่ยม
ขณะเดียวกันก็ต้องสยบเปลวเพลิงที่ลุกโชติให้สงบ)
จึงเป็นซีรีย์ที่ไม่กล้ายืนยันว่า ดูแล้วจะช๊อบชอบหรืออิดเอือนกับความเป็นสูตรกันแน่
เป็นอาการคล้ายๆ ได้ยินเสียงแบรกยาวๆ กลางสี่แยก แล้วไม่เห็นรถล้ม
แต่ผู้คนแถวนั้น ได้แต่วิพากย์วิจารณ์ถึงอุบัติเหตุภาพรวม บนท้องถนน
เพราะเอาเข้าจริง "ความเป็นสูตร" ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด
เพราะ "สูตร" ก็คือแนววิธีที่ตลาดวงกว้างยอมรับได้โดยง่าย ด้วยกลวิธีแบบเดิมๆ
ที่ทำทีไร ก็ปลอดภัยเพราะเชื่อใจได้ว่า จะมีกลุ่มผู้ชมส่วนหนึ่งรับได้กับวิธีนี้
เพียงแต่จะขาดซึ่งความคิดสร้างสรรค์และวิธีการนำเสนอใหม่ๆ
เพื่อพัฒนาสติปัญญาผู้ชมและสร้าขนบแนวใหม่ให้สอดรับกับยุคสมัย
แต่ข้อจำกัดของซีรีย์ที่ต้องใช้ทุนสร้าง และทุนก็ต้องการซึ่งผลตอบรับที่ดี
ในฐานะที่เป็นหน่วยลงทุน ที่อิงต่อระบบตลาดและเรตติ้งคนดู
ดังนั้นกลุ่มผู้ดูซีรีย์มาพักใหญ่ อาจรู้สึกไม่ตื่นตาตื่นใจ เมื่อเทียบกับ
กลุ่มคนดูที่เพิ่งหันมาชมซีรีย์ญี่ปุ่น แล้วจะได้ความสนุกหรรษาปนสาระแห่งชีวิต
ยังดีหน่อย ที่ยังมีนักแสดงสาวมาล่อ จนผู้เขียนติดกับ ไหนจะวาทะคำคม
ที่จดแทบไม่ทัน และยังได้นักแสดงรุ่นเดอะคากะ ทาเคชิ ที่นานๆจะรับเล่นซีรีย์
ที่ช่วยมาปลุกด้วยสายตาโหดๆ เหมือนหวงลูกสาวตัวเองเป็นระยะๆ
อาจไม่ถึงกับต้องถวิลชมชนิดตอนต่อตอน แต่ทุกตอนก็มีแง่คิดสะกิดสอนใจตามสไตล์
บูชิโด ที่เจ็บก่อนถึงจะจำ ต้องให้ได้เลือดถึงจะซึมเข้าสมอง
สิ่งที่พอจะแนะนำได้ คือ ดูซีรีย์ Fire Boys ให้จบก่อนไปเอื้อมดูหนังฝรั่ง
Ladder 49 เพราะถ้าเผลอไปแตะหนังก่อนดูซีรีย์ ก็จะมีอารมณ์แบบละเมอ
ของผู้เขียนแกมโรคจิตนิดๆว่า

"ไม่เห็นตึกถล่ม ไม่เห็นคนตาย ไม่ส่าแก่ใจเลย" ........




ข้อมูลจาก wikidrama เจ้าประจำ
ภาพ จาก อินเตอร์เน็ต







 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 18:12:14 น.
Counter : 2006 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.