|
Ponyo ปลอดภัยแม้แต่เด็กที่มีผิวบอบบาง
และแล้วความฝันเล็กในใจผมก็เป็นจริง ความฝันง่ายๆ ที่ดูจะเป็นไปได้ยากในตลาดภาพยนตร์ของไทย ความฝันที่ว่า ครั้งหนึ่งจะได้มีโอกาสได้ชมหนังการ์ตูนของค่ายจิบลิ ปรากฎในโรงภาพยนตร์ขนาดยักษ์อย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม หลังจากที่ได้หลบๆซ่อนๆ จากการติดตามหนังการ์ตูนค่ายนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะนับตั้งแต่ระบบตลับเทป vhs แบบไม่มีซับไทย อย่าง สุสานหิ่งห้อย (Grave of the Firefries) หรือ เพื่อนบ้านฉันที่ชื่อโตโร่ ( My Neighbor Totoro) จนพัฒนามาเป็นระบบเลเซอร์ดิสต์จานใหญ่พอๆกับฝาหม้อร้านข้าวต้ม อย่าง แม่มดน้อยคิคิ (Kiki's Delivery Service) จากนั้นด้วยระบบเทคโนโลยีที่ถูกลง ด้วยต้นทุนการผลิตครั้งละมากๆ ก็มีพ่อค้าหัวใส จับข้อมูลมายัดใส่แผ่นแบบรักษาขนบแบบตลับ vhs คือ ยังไม่มีซับแปลให้อีก .........จึงอาศัยใจรักและดูเอามันส์เข้าว่า จนทว่า............เมื่อสุดยอดเทคโนโลยีที่ภาพและเสียงชัดกริบ อย่างดีวีดี ตีตลาดทั้งขนาดของตัวเครื่องและราคา งานทยอยแบบเรียงตับกันอย่างพร้อมหน้า แบบคอเลกชั่น อย่าง Only Yesterday , Pom Poko , Princess Mononoke เป็นต้น ก็ได้สร้างสาวกผู้รักงานแบบจิตวิญญาณศิลปแนวจิบลี ที่อยู่นอกเหนือกระแส อนิเมทชันแบบคอมพิวเตอร์ซีจีที่ล้ำสมัยกว่า ถึงกระนั้น...... ก็ยังต้องเผชิญกับซับผี ที่ทำให้งานดีๆของค่ายนี้ต้องปนเปื้อน อย่างไม่น่าให้อภัย (ได้ข่าวว่ามีแบบลิขสิทธิ์พร้อม นำเข้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะ) จนปัจจุบัน .........ได้นำไปสู่การเข้ารอบตามโรงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการและมีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ถือเป็นนิมิตใหม่ในการเปิดศักราชของหนังค่ายจิบลีในประเทศไทย และถือครั้งใหญ่ของวงการ แม้ว่า......จะเข้าฉายเพียงไม่กี่โรง และพอนับหัวผู้เข้าชมที่เป็นเด็กไม่น้อยไปกว่าฐานของผู้ใหญ่
ความบาดเจ็บจากครั้งที่แล้ว จากเรื่อง Tales from Earthsea งานกำกับของลูกชายตัวดี ที่ไม่ประสบความสำเร็จแง่เสียงวิจารณ์และการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ภาพลักษณ์ที่มุ่งเน้นตลาดของกลุ่มคนที่สูงวัยขึ้น งานนี้ทำให้ฮายาโตะผู้พ่อ ต้องกลับมาหวนวงการ รักษาหน้าของหนังการ์ตูนค่ายจิบลีอีกครั้ง หากใครจดจำงานอันน่าประทับใจ อย่างเรื่อง My Neighbor Totoro เราจะได้สัมผัสมันอีกครั้งใน Ponyo on the Cliff by the Sea ภาพยนตร์การ์ตูนลำดับที่ ๑๗ ของค่าย กวาดเงินเยนที่ตีเป็นดอลลาร์ในเดือนแรกที่ฉาย กว่า ๙๐ ล้านเหรียญ จนเป็นหนังทำเงินประจำปีที่แล้วของประเทศ ทิ้งห่างที่สองและสามอย่างไม่เห็นคลื่นทะเล
หนังก็เรียบง่ายดี ว่าด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กอนุบาลตัวผู้ (โซสุเกะ) กับปลาทองตัวเมีย (โปะโก) ดูจะมีอายุที่ไล่เลี่ยกัน แล้วบังเอิญวันหนึ่ง โซสุเกะได้ไปพบโปะโกะที่เป็นปลาทอง กำลังที่เอาหน้าออกจากขวดโหลที่เข้าไปซุกจากอุบัติเหตุเรืออวน และตอนที่ได้ช่วยเหลือให้ออกจากขวด ปลาทองตัวนี้ดันได้ไปดื่มเลือดของเด็กชายคนนี้เข้า เรื่องจึงมาชุลมุนชุลเก เมื่อปลาทองตัวนี้ไม่ธรรมดา มีราชศักดิ์แห่งหนระดับเทพธิดาแห่งท้องทะเล การดื่มเลือด ก็เท่ากับ ต้องคำสาปให้สามารถกลายเป็นมนุษย์ได้ และที่ทำเช่นนี้ได้ เพราะครั้งหนึ่งบิดาของโปะโกะ (ฟุจิโมโตะ) ก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่ไม่อาจรับสภาพความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ จนเมื่อมาพบรักกับเทพธิดาแห่งท้องทะเล จึงได้มาเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทรในบัดนั้นเป็นต้นมา ความประทับใจระหว่างเด็กตัวน้อยกับปลาทองตัวจ้อย ได้ทำลายพันธสัญญาทางธรรมชาติ ผู้ที่จะถอนคำสาปนี้ได้ คือ มนุษย์จะต้องประกาศความรักอย่างบริสุทธิ์และจริงใจ นอกเผ่าพันธ์วงศาของตัวเอง จึงจะช่วยชีวิตเจ้าหญิงปลาทองโปโกะ มีโอกาสได้เป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิ เป็นเด็กหญิงโปโกะ ที่ยิ้มง่ายไม่ซึมเปื้อน ตนนี้ เอ้ย! ตัวนี้ เอ้ย! คนนี้ เอ้ย! เอาเป็นว่า ..........อะไรเทือกนี้แหละ
การกลับมาครั้งนี้ ของผู้กำกับและเขียนบทเอง อย่าง ฮายาโตะ มิยาซาว่า ถือเป็นการเรียกราคาและความศรัทธาให้กับแฟนหนังค่ายจิบลีได้ไม่น้อย (แต่ความจริง Tales from Earthsea ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร สามารถขึ้นอันดับหนึ่งสัปดาห์แรก ที่ญี่ปุ่น เตะ Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest ตกอันดับสองในทันที) เพียงแต่ เจ้าบุตรชาย โกโระ ฮายาโตะ ดันไปทำหนังการ์ตูนที่ฉีกแนวขนบและทอดทิ้ง กลุ่มสาวกเก่าๆ ที่ยังคงชื่นชอบการ์ตูนแนวใสๆ ปลอดภัยต่อมมลภาวะทางอารมณ์ และมีกลิ่นไอแฟนตาซีแบบที่เคยรู้สึกได้ในงานของผู้พ่อ ได้สร้างไว้ใน Totoro , Kiki และ Spirited Away (เรื่องที่ไปตบหน้าการ์ตูนซีจีค่ายยักษ์บนเวทีออสการ์ ปี๐๒) แต่เข้าใจว่า งานชิ้นแรกในฐานะผู้กำกับของโกโระ เขาปรารถนาที่จะสร้างรูปแบบเฉพาะตน เพื่อฉีกหนีอิทธิพลของผู้เป็นพ่อที่ได้จัดวางไว้ หลายต่อหลายเรื่อง จึงกล้าพอที่จะรวมเอาพ๊อกเก๊ตซีรีสย์ของตระกูล Earthsea มาเล่าจบด้วยการ์ตูนเพียงไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง ต่างกับบิดาที่มักนำเอาโครงเรื่อง ผ่านอิทธิพลจากงานเขียนชื่อดัง ไม่เว้น Ponyo ที่ได้รับความประทับใจ ในครั้งที่ได้อ่าน The Little Mermaid ของ Hans Christian Andersen แล้วมาปรับใช้ให้เหมาะสม กับตำนานพื้นบ้านและสภาพแวดล้อมอย่างที่ญี่ปุ่นควรจะเป็น
ท่ามกลางการทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ของค่ายดิสนีย์ ที่มีต่องานอนิเมชั่นสองมิติ โดยหันไปพึ่งโคตรเทคโนโลยี อย่างซีจีสามมิติ จากค่าย Pixar แต่โปรดิวเซอร์ อย่าง โตชิโอะ ซูซุกิ ยังคงปรารถนาที่จะอนุรักษ์การวาดแบบลายเส้น ที่ดูเรียบง่ายและจริงใจ เป็นอะไรที่แลดูจะสามัญดีเป็นที่สุด ผ่านการแต่งแต้มสีด้วยโทนสีที่เด็กประถมก็สามารถระบาย เองได้ จากตลับแม่สีที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ไม่ต้องตวัดหรือบรรจงอย่างเลิศเลอ แลดูอลังการ อย่างที่ใครเคยได้ดูแบบ Paprika ของผู้กำกับ ซาโตชิ คอน หรืออนิเมชั่นผสมที่ทำให้การ์ตูนอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ ใน The Prince of Egypt ของผู้กำกับ Brenda Chapman และ Steve Hickner หรือจะเป็นการต่อยอดแฟนพันธ์แท้ แต่ไม่สามารถพัฒนาตัวละครได้ ที่หาชมได้ Doraemon The Movie ในทุกภาค งานของจิบลีทุกเรื่อง เท่าที่สังเกตุแบบที่ต้องใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องชี้วัด โดยไร้หลักทางวิชาการใดใดมาประกอบ โดยความรู้สึกส่วนตัวจึงเป็นงานที่ ทนุถนอมประสบการณ์ครั้งวัยเยาว์ เติมเต็มโลกแห่งจินตนาการแห่งความคิดสร้างสรรค์ และอ่อนเยาว์ต่อทุกสรรพสิ่งที่ต้องเผชิญ อาจไม่ใช่งานการ์ตูนที่เล่นงานจนขากรรไกรค้าง แต่ก็อดอมยิ่มได้ถึงความน่ารักของตัวละคร น่ารักพอที่ชวนให้ติดตาม แม้เด็กอนุบาลวัยไม่กี่ขวบปี จะปะติดปะต่อเรื่องราวชวนสับสน หลังจากเดินออกจากโรง เพราะอ่านซับไทยได้ไม่ทันและความชำนาญทางอักษรภาษา ที่ยังคงไม่แม่นยำ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะขอดูซ้ำ ในยามที่ถูกทำเป็นแผ่นซีดี
ใครจะบังอาจ ไปเอาเรื่องตรรกะเชิงสัญลักษณ์ ไปวิเคราะห์ว่า เหตุที่ผู้พ่อบังเกิดเกล้าใช้อำนาจนิยมเพื่อไม่ให้โปโกะเป็นมนุษย์สมถวิลย์ เด็กชายโซสุเกะออกตามหาแม่เพื่อทดแทนความอ้างว้างของผู้เป็นพ่อ โปะโกะคือสัญญะบางประการ เพื่อแสดงความเป็นฑูตของสิ่งแวดล้อม ที่เชื่อมสัมพันธ์กับมวลมนุษย์ การพ่นน้ำใส่หน้าคนที่ไม่ชอบ เป็นนัยยะของบุพพาชน ใครเผลอเพื่อไปค้นหาปรัชญาสัญญะเทือกนี้ ขอบอกว่าจะดูหนังตระกูลจิบลีเทือกนี้ได้ไม่สนุกนัก การไม่รับรู้อะไรเลย ดูเป็นทางออกที่ดีที่สุด การปรับสภาพจิตใจให้เป็นเด็กอีกครั้ง กล้าเผชิญกับความฝันที่ครั้งหนึ่ง เราได้ละเลยจากมันมาแสนไกล ตื่นตาตื่นใจกับสัตว์ประหลาดตามท้องเรือ่ง ที่อาจดูเหมือนกับสัตว์นำโชคตามงานกีฬาประจำจังหวัด แล้วอย่าไปแยกแยะว่าทำไม มันถึงเรียกว่า "โปะโกะ" ทุกครั้ง ทั้งๆที่ชื่อหน้าโรง อ่านไปว่า "โปะเนียว" ทำไมเค้าเรียกว่า "ปลาทอง" ทั้งๆที่ตลอดเรื่อง ตัวมัน "สีแดง" ฟุจิโมะโตะไปพบรักกับราชินีแห่งท้องทะเลตอนไหน ทำไมจึงมีสภาพเหมือนมนุษย์ดีจัง ทำไม ทำไม และทำไม ........................ลองไม่ทำไมสักเรื่อง แล้วจะทำไมละ?
การ์ตูนสกุลจิบลี จึงไม่อาจอธิบายใดใดได้มากนัก มากไปกว่าการใช้ความรู้สึก ยิ่งถ้าเผลอไปเทียบกับพัฒนาการของการ์ตูนฝั่งอเมริกาเข้าแล้ว จะรู้ถึงการก้าวกระโดดที่เชื่องช้า แต่ทว่ามนต์เสน่ห์ที่ได้กลับเข้าถึงได้ยากกว่า เอ๊!ทำไม
การ์ตูนที่ต้องถอดหัวใจ "ผู้ใหญ่" ไว้นอกโรง แล้วดึงความเป็น "เด็ก" ในใจตน กลับมาร่างเดิมที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจะรู้ว่า "สุข" จากที่เคยเฝ้ารอศิลปะหลอกเด็ก ที่เราเคยกระดี้กระดากอย่างสุขล้น มันหาได้ไม่ไกล แม้ว่าคนที่นั่งใกล้ มันจะเรียกว่า "ลุง" ก็ตาม............................. ........ .
ขอบคุณ wikipedia เพียงเจ้าเดียวนะเอิ้งเอิย.....และเด็กๆในโรงที่ไม่ร้องง้อแง๊
Create Date : 07 กันยายน 2552 | | |
Last Update : 7 กันยายน 2552 23:07:30 น. |
Counter : 1369 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Village Album ถ่ายก่อนจะเหลือไว้ในความทรงจำ
ขออนุญาติไม่เป็นตัวของตัวเองสักวัน โดยแปลงร่างเป็น เจ้า "ทากาชิ" พระเอกของเรือ่ง ปิ๊ง!!
ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของพ่อ พ่อที่ไม่เคยเอ่ยคำทักทวง ยามที่ผมของเลือกทางเดินเพื่อหาอนาคตของตัวเองในกรุงโตเกียว พ่อที่ไม่เคยสนใจ ซักถามหรือหาคำตอบตลอดจนตั้งคำถามใดใดต่อลูกชายคนนี้ พ่อที่มักมีอารมณ์ฉุนเฉียว กระเฟียดกระหือรือ ยามเมื่อมีเหล้าวางอยู่ตรงหน้า ด้วยพฤติกรรมชนิดนี้ จึงทำให้พ่อไม่อาจจะเข้าสังคมกับผู้อื่นได้โดยง่าย นับตั้งแต่แม่จากไป พ่อดูเหมือนจะปิดกั้นตัวเอง พี่สาวของผมก็หนีตามกับเจ้าหนุ่ม นักข่าวที่ทำข่าวในหมู่บ้าน จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของพี่สาวคนนี้อีกเลย แน่ละ! เหตุที่ผมเลือกโตเกียวเป็นเส้นทางสุดท้ายของผม เพราะอย่างน้อย ก็ยังมีน้องสาวที่จะคอยดูแลพ่อยามที่ผมไม่อยู่ ไม่รู้ทำไหม ผมจึงอยากเป็นตากล้องมืออาชีพ อีกอย่าง ผมจะได้หนีไปให้ไกลจากพ่อ ครั้งสุดท้าย ผมทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรง พ่อไม่เคยเข้าใจอะไรในตัวผม และผมก็ไม่อยากเข้าใจอะไรที่เป็นตัวพ่อ ........................ ผมจากบ้านเกิดไปหลายปี อยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อมาหาผมโดยตรง อยากขอแรงให้ผมช่วยไปเป็นลูกมือให้กับพ่อ เขาไม่รู้เหรอ? ว่าผมกับพ่อ เราไม่ได้พูดคุยกันมาหลายปีแล้ว ทำไมต้องเป็นผม? แน่ละ ก็คงด้วยนิสัยหัวรั้นของพ่อนะสิ!! ก็สมควรแล้วละ............ แล้วนี้ไม่รู้เหรอ...................ว่าชีวิตเมืองกรุงแห่งนี้ ผมเองยังขับเคลื่อนตัวเองได้ไม่ถึงไหน แม้แต่ตำแหน่งผู้ช่วยตากล้อง ตำแหน่งนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญ หรือจะเรียกอีกอย่าง ว่า "ขี้ข้าตากล้อง" ก็ได้ เพราะต้องทำทุกอย่างตั้งไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ตั้งแต่จัดเซตฉากแต่เช้าตรู่ ไปจนถึงชงกาแฟให้หัวหน้า ผมชักจะเบื่อชีวิตเช่นนี้เต็มทน แต่ก็ได้!! ในเมือ่คนในหมู่บ้านเจาะจงเพียงแต่ "ผม" เท่านั้น บอกไว้ก่อนนะ สิ่งที่จะกลับลงไปช่วยนี้ ไม่ได้ทำอะไรเพื่อพ่อนะ ผมทำเพราะตอนนี้ ผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน.........แตถ้ามีงานที่โตเกียวเมื่อไร ผมพร้อมที่จะทิ้งงานในหมู่บ้านได้ทุกเมื่อ เพราะโอกาสสำหรับงานในเมืองกรุง มันมีไม่มากนัก และผมเองก็ไม่ได้เก่งอย่างที่ตัวเองเคยคาดหวังก่อนหน้าที่มาด้วย
เมือ่ผมกับที่หมู่บ้านฮานาตานิ ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ผู้คนเขาว่า ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะรัฐบาลกำลังจะขอเวนคืนที่ดิน เพื่อมาสร้างเขือ่นให้กับหมู่บ้าน ได้ข่าวว่าคณะกรรมการของหมู่บ้านถกเถียงกันยกใหญ่ แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเป็นสองกลุ่ม มีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยเพราะได้มีงบประมาณเพื่อนำมา บริหารหมู่บ้านให้ดีขึ้น และมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยเพื่อเชือ่ว่ามันจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ที่ไม่เหมือนเดิม แน่ละ! ก็พ่อผมเลือกที่จะอยู๋ในกลุ่มหลัง พ่อผมมันหัวโบราณล้างสมองยากแล้ว แต่ผมจะไปสนอะไร? เพราะผมก็เป็นคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้-ส่วนเสียกับทรัพยากรของ หมู่บ้านแล้วนิ เเม้แต่เพื่อนผมที่เคยเล่นกันสมัยเด็กๆ ก็ยังเกลียดขี้หน้าผม ด้วยความเป็นภูมิภาคนิยมหรือจะสำนึกรักบ้านเกิดก็แล้วแต่ โธ่! เพราะแกมันขี้ชลาดไม่กล้าเผชิญ กับโลกภายนอกมากกว่ามั้ง เชิญอยู่แต่กะลาครอบของนายไปเถอะ เมื่อผมมาถึงบ้านเกิดวันแรก มันทำให้ผมรำลึกถึงวันเก่าๆ ที่นี้ไม่เปลี่ยนไปเลย หุบเขายังคงเป็นเกราะล้อมรอบหมู่บ้านเหมือนเช่นเคย ลำธารเชียวยังคงมีเด็กๆไล่จับปลา แล้วแข่งกันว่าใครได้ปลาตัวใหญ่กว่ากัน ผมลืมภาพนั้นมานาน คงเพราะชินตากับ ตึกล้อมเมืองและถนนหนทางที่ดูขวักไขว้ ออกจะวุ่นวายเสียด้วยซ้ำ แต่คนที่นี้ยังดูดำเนินชีวิตที่ราบเรียบ ไม่เร่งรีบการณ์ใดใด บางทีการมีเขื่อนก็มีผลเสีย บางอย่างที่คนนอกของหมู่บ้านไม่มีวันที่จะเข้าใจ แต่อย่างว่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมแล้วนิ
เมือ่ผมมาถึงบ้าน ได้เห็นบรรยากาศภายในบ้านแล้ว มันทำให้ผมนึกถึงวันเก่าๆ บ้านหลังนี้เคยอบอุ่นตอนที่ยังมีคุณแม่และพี่สาว แต่ทุกอย่างดูมันไม่เหมือนเดิมแล้ว น้องสาวของผมดูจะโตเป็นสาวขี้นเป็นกอง ยังคงสดใสร่าเริงตามประสาเด็ก แต่พ่อผมสิ.......ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ประโยคแรกที่พ่อพูดกับผม คือ การคารวะภาพถ่ายของแม่ แล้วแกก็เดินจากไปอย่างเย็นชา ให้ตายเถอะ! ผมไม่อยากเจอภาพเช่นนี้เลย ตกลงว่าผมก็ไม่ได้คุยเรื่องแผนการณ์ที่เราจะไปถ่ายภาพสมาชิกของหมู่บ้าน ในแต่ละครัวเรือนอย่างไร แต่ดูเหมือนทุกคนในหมู่บ้านต่างจะยกยอและชื่นชมผมมาก ว่าเป็นช่างภาพมาจากเมืองกรุง โธ่!...ผมไม่กล้าบอกหรอกว่า ผมยังเป็นเด็กแบกของให้กับตากล้อง มืออาชีพเท่านั้น แม้แต่เรื่องนี้พ่อก็ไม่ถามผม และอีกอ่ยางผมก็ไม่อยากเล่าให้พ่อฟังด้วยสิ ช่างเถอะ! นึกเสียว่ามาเยี่ยมบ้านเล่นๆ หลังจากที่ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งเนินนาน เมื่อถึงวันเริ่มต้นที่จะถ่าย พ่อก็ยังคงไม่สนใจในตัวผมเช่นเคย กลายเป็นว่า ผมต้องรีบกุลีกุจอมาขอช่วยแบกอุปกรณ์ให้กับพ่อเสียเอง พ่อเลือกที่จะเดินไป แทนที่จะมานั่งรถเพื่อให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว ความหัวรั้นของพ่อยังเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้.....ก็มีผู้เสนอให้เร่งเวลาถ่ายภาพเให้ได้มากกว่า สามครอบครัวต่อวันได้รึไม่? พ่อก็ปฏิเสธไปอย่างน้ำเสียงไร้เยื่อใย ดูทุกคนก็เอื่อมระอากับนิสัยของพ่อ แต่จะมีทางเลือกไหนอีก ในเมื่อพ่อ เป็นตากล้องเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน จึงเป็นการบังคับโดยปริยาย
แต่สำหรับครอบครัวที่พ่อจะถ่ายให้ ดูจะสนิทสนมกับพ่อมาก พ่อทักทายด้วยอรรถยาศัยด้วยมิตรไมตรีที่ดี ดูเหมือนผู้คนในหมู่บ้าน ล้วนแล้วแต่ เคยได้รับบริการจากการถ่ายภาพของพ่อทั้งสิ้น มีแต่ผมเท่านั้น ที่เป็นคนแปลกหน้าไป ทุกคนดูจะมีความสุขและตื่นเต้นกันอย่างมาก เมื่อรู้ว่าวันนี้จะมีการถ่ายภาพเป็นหมู่คณะ ในขณะที่ผมอยู่ในเมืองกรุง การถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกที่ทำอย่างดาษดื่น จนเห็นกันอย่างชินตา ด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าเร็วมากขึ้น หากใครไม่พอใจก็สามารถลบภาพ และถ่ายใหม่ โดยไม่ต้องเสียดายฟิลม์กันแต่อย่างใด ยิ่งการถ่ายภาพเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม หนึ่งในเครือ่งโทรศัพท์ด้วยแล้ว คุณค่าของนักถ่ายภาพดูจะลดน้อย พ่อผมยังคงใช้กล้องรุ่นเก่ากับเครื่องอุปกรณ์วัดค่าแสง และอุปกรณ์อื่นอีกพะรุงพะรัง แต่ทุกคนในหมู่บ้านนี้ดูมีชีวิตชีวาอย่างมากกับสิ่งที่พ่อผมได้ทำให้ด้วยหัวใจ วันแรกๆ เป็นอะไรที่สาหัสากัจกับผมมาก ผมทำได้เเค่เพียงให้ปล่อยให้มันจบๆไป วันแรกๆ ที่เราพ่อลูกสองคน ไม่ได้สนทนาแมัแต่เสียงใดใดสักแอะ พ่อไม่ได้สอนเทคนิคการถ่ายภาพใดใดให้กับผมเลย มันน่าเบื่ออย่างมาก และที่มากกว่านั้น ในวันแรกๆ เรามีปากเสียงชนิดที่ลงมือลงไม้กัน อยู่ๆพ่อก็คว้าโทรศัพท์ของผมเวี้ยงทิ้งไปเฉยๆ เพียงเพราะพ่อกำลังรับฟังเพลงญี่ปุ่นโบราณ ที่เขารุ่นผมไม่มีวันเข้าใจจากปากของยายแก่ที่เป็นลูกค้าของพ่อ จากนั้นก็ปลี่เข้ามาชกหน้าผม ผมโมโหมากจึงโต้ตอบกลับไป จนพ่อต้องเข้าโรงพยาบาล ผมจึงมาทราบว่า พ่อของผมกำลังป่วยหนักอยู่ แม้แต่เรื่องนี้น้องสาวของผมเองก็ไม่เคยทราบ ถ้าผมรู้ว่าพ่อของผมป่วยหนักขนาดนี้ ผมก็จะรั้งพ่อไม่ให้รับงานนี้ ถึงแม้ผมรู้ดี ว่าผมจะรั้งพ่อไม่ได้นักก็ตาม
แต่วันเวลาก็ค่อยๆกลืนกิน ความรู้สึกเดิมๆที่เคยเชื่อของผม ผมเริ่มสัมผัสอะไรบางอย่าง ที่คิดว่าพ่อของผมคงรู้ดี การถ่ายภาพผู้คนในหมู่บ้าน มันไม่ใช่สักแต่กดลงชัตเตอร์เพื่อให้รูปปรากฎลงบนแผ่นฟิลม์ ภาพที่มีรอยยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีความสุขของผู้คน มันทำให้ผมชักรู้สึกเสียดาย หากว่าจะมีการสร้างเขื่อนในหมู่บ้านขึ้นจริง แล้วผู้คนที่นี้จะเป็นอยู่อย่างไร พวกเขาจะมีโอกาสพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อมาร่วมถ่ายภาพเป็นหมู่คณะอย่างนี้อีกไหม จะมีรูปที่ทวดอุ้มเหลนไว้ตรงกลาง ลุงกสิกรรมลากวัวตัวโปรด คุณยายผู้โดดเดียวโดยมี ภาพถ่ายของผู้ลาจากประคองไว้สองมือ สิ่งที่พ่อผมได้ทำ มันไม่ใช่แค่เพื่อตัวท่าน หรือคนอื่นๆเท่านั้น แต่มันเป็นทุกอย่างที่ประทับไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน ผมรู้แล้วว่าทำไม พ่อจึงเลือกที่จะเดินเท้า เพราะมันทำให้พ่อได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ในหมู่บ้าน เผื่อว่าวันหนึ่งเราจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสเช่นนี้อีกครั้ง พ่อเลือกที่จะแสดงออก ผ่านการกระทำมากกว่าการบอกเล่าเพียงแค่ลมปาก แม้ตัวผมจะพยายามบอกคนอื่นๆ ว่าผมเองนั่นไม่เหมือนพ่อ แต่ดูเหมือนทุกคนจะรู้ว่า ผมนั่นแหละที่เหมือนท่านที่สุด ตอนที่ผมฟาดปากชายคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน ผมชักจะกลายเป็นพวกเดียวกับพ่อเสียแล้ว มีเพียงผมเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ช่วยของพ่อได้ และผมมารู้ทีหลังว่า พ่อเองนั้นแหละที่เลือกผมแต่แรกให้มาเป็นผู้ช่วยของท่าน พ่อผู้เป็นครูคนแรกที่สอนการถ่ายภาพให้กับผม ซึ่งผมเองละเลยที่จะขบคิดมาโดยตลอด
ผมพยายามที่จะสานต่องานของพ่อ แต่สุดท้ายผมเพิ่งมารู้ว่ามันยาก เพราะผมไม่สามารถเข้าถึงจิตใจของเนื้องานได้เท่ากับพ่อ พ่อที่ใช้ชีวิตมาทั้งชีวิต อุทิศให้กับผืนดินของหมู่บ้านแห่งนี้ พ่อที่เพียงอ่านทิศทางของสายลมก็คาดเดาได้ว่า ฤดูหนาวปีนี้น่าจะหนักแน่ พ่อที่รู้ว่าต้นซากุระต้นไหนที่เป็นต้นที่คุณแม่ชอบมาก เวลาที่พอ่ป่วยจะมีคนเอาของมาฝากแล้วเยี่ยมเยียนอยูสม่ำเสมอ สิ่งของอย่างนี้ มันหาไม่ได้ในเมืองกรุงหรอกครับ สุดท้ายไว้ว่าอย่างไร งานนี้มันก็เป็นงานของพ่อ แม้จะต้องแบกพ่อที่กำลังล้มป่วยขึ้นไปบนหุบเขา ผมก็จะทำ ไม่ต้องห่วง ......ผมปฎิเสธงานที่เข้ามาติดต่อที่โตเกียวเรียบร้อย เพื่อผมจะได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ อย่างเต็มที ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เพราะงานชิ้นนี้ คือ Village Album ที่จะตราตรึงไว้นานเท่านาน เพียงแต่ทว่า....ถ้างานชิ้นนี้เสร็จผมขอเพียงอะไรสักข้อ ที่ผมไม่เคยขอคุณพ่อมาก่อน.......................................... ว่าพ่อยังเหลืออีกหนึ่งครอบครัวของหมู่บ้าน ที่พ่อยังไม่ได้ลงมือบันทึกในความทรงจำเอาไว้
"ครอบครัวของเรา" ไงละครับ
หนังชื่อ Village Album หรือ Mura no shashinshuu หนังปี ค.ศ. 2004 ผู้กำกับและเขียนบท : Mitsuhiro Mihara........
Create Date : 16 สิงหาคม 2552 | | |
Last Update : 23 สิงหาคม 2552 22:07:32 น. |
Counter : 1123 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|