A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

shiroi haru ดอกไม้ผลิที่รอวันขาว







ถือเป็นซีรีย์ที่ตั้งหน้ารอคอย ที่อยากจะยลโฉมเสียจนกระสัน
ก่อนหน้านี้ที่ได้ชมมา ล้วนแล้วเกิดจากชื่อเสียง การตอบรับและบทวิจารณ์
หาได้ใช้สติปัญญาโดยส่วนตัวเลยทั้งสิ้น จะมีบ้าง
ก็แต่ความหลงใหลในดาราสาวเป็นรายบุคคล แต่ผลที่ติดตามมา
คือ ความรู้สึก Heart อันประปราย ที่ดูคุณน้องจะขายหน้าตามากกว่า
เนื้อหาของบทประพันธ์ ผิดกับเรื่องที่กระผมจะเล่ามานี้
เพราะมันสุขสมอารมณ์หมาย
ประมาณว่าจั๋วไพ่อีกใบก็ "ป้อกเก้าสามเด้ง" กินรวบตลอดงาน




ป้อกหนึ่ง เพราะได้น้อง โอฮาชิ โนซามิ ที่คุณพี่ได้อุทิศหนึ่งหน้าบล็อกแก่คุณน้องเต็มๆ
ป้อกสอง มีท่านคุณพี่ ฮิโรชิ อาเบะ คนที่เล่นเป็นตัวพ่อจี่จ้าในหนังเรื่องช็อกโกแลต
คนที่ผมไม่ปฏิเสธความสามารถทางการแสดง แต่หน้าโหดๆของคุณพี่
เป็นสิ่งที่นรกประทานให้ สมควรจะได้รับบทอย่างยิ่ง
ป้อกสาม ทำให้ความจำได้หมายรู้ ที่พระท่านเรียกว่า "วิญญาณในขันธ์ห้า"
แบบที่เคยรู้สึกในซีรีย์ Flowershop without Roses มันย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง




เป็นซีรีย์ที่เพิ่งฉายจบที่เมืองยุ่นประมาณกลางปีนี้
แต่เมืองไทยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว บนทางเท้า ก็มีซีรีย์มาวางขาย
แทบจะชนโรง เอ้ย! ไม่สิต้องเรียกว่า "ชนจอ" ที่มีระบบการจัดการแปลซับเสร็จสรรพ
ที่สำคัญแปลได้ประทับจิตใจ ไม่เอื้อมระอาใจแบบที่เคยเจอซับผี
เหมือนคนที่ไม่ใช่สัญชาติไทย แต่มีใจอยากช่วย ซึ่งจะช่วยได้มากกว่านี้
ถ้าพี่ช่วยไปให้ไกลๆ อยากได้มาข้องแวะเกี่ยวกับอักขราภิธานศัพท์เทือกนี้อีกเลย





เข้าเรื่องของเราดีกว่า เพราะเพิ่งได้ชมซีรีย์ดีที่ชื่อ Shiroi Haru
ที่มีความหมายแบบโรแมนติกภาษาอังกฤษว่า White Spring ถือเป็นซีรีย์สูตรสำเร็จ
๑๑ ตอน จากค่าย ฟูจิทีวี ซีรีย์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัว เดาเนือ้เรื่องได้ไม่ยาก
เริ่มเรื่องที่ว่า อดีตยากูซ่า "ซากุระ ฮิโรโตะ" (เล่นโดยอาเบะ ฮิโรชิ )
ที่เพิ่งพ้นโทษในเรือนจำ จากคดีฆ่าคนตายโดยเจตนา เป็นเวลาถึง ๙ ปี
วัตถุประสงค์แรกที่ออกจากคุก คือ กลับไปหาคนรักเก่า คือ
ทากามุระ มาริโกะ (เล่นโดย คอนโนะ มาฮิรุ)
แต่ก็มาทราบข่าวจากปากเพื่อนว่า เธอได้ไปมีครอบครัวใหม่ และมีลูกน้อยอยู่หนึ่งคน
ที่ชื่อ มุระกามิ ซาชิ (เล่นโดย โอฮาชิ โนโซมิ เจ้าของเสียงแหง้วๆ ในหนัง Ponyo)
ที่สำคัญ คือ เธอเสียชีวิตไปแล้ว แต่เรื่องกลับโอ้ละพ่อ! ขึ้นไปอีก
เมื่อเบื้องหลังการกระทำที่พระเอกต้องเข้าไปติดคุก ก็เพื่อแลกกับการได้เงิน
ค่าจ้างก็แสนจะยั่วใจตั้ง ๘ ล้านเยน จึงเข้าข่ายเสียสละอิสรภาพเพื่อรักษาชีวิตคนรัก
(ซึ่งเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้) เห็นพระเอกแมนสุดๆแล้ว กลับมีคนที่แมนยิ่งกว่า
เพราะในขณะที่นางเอกเห็นพระเอกอาเบะของเรา ถูกตำรวจหิ้วปีกขึ้นรถตำรวจ
คุณน้องก็วิ่งตามรถแบบไม่คิดชีวิตจนอาการมากำเริบ ก็ได้ชายพลเมืองดีมาช่วยส่งโรงพยาบาล
แต่ส่งอีท่าไหนไม่ทราบ ส่งแล้วไม่ยอมกลับ มาคอยช่วยประคับประหงม
เฝ้าดูแลรักษา จนนางพยาบาลยังหลงคิดว่าเป็นสามีมาดแมน
รู้ชื่ออีกทีว่า ชื่อ มุระกามิ ยาซุชิ (เล่นโดย ดาราเก๋า เอนโด้ เคนอิชิ ที่เล่น
20 Century Boys ไง)
แต่สุดท้ายพระเอกอาเบะของเรา ดันมารู้อีกทีว่า เจ้ายาซุชิคนที่ช่วยดามใจคนรัก
อยู่คบกันได้ไม่นาน ก็เลิกลาแยกทางกันไป แล้วมาเปิดร้านเบเกอรี กิจการก็อู้ฟู่พอสมควร
ปัญหาคาใจของคุณพี่หน้าโจรอาเบะ จึงเกิดคำถามที่ว่า
แล้วแปดล้านเยนที่อั๊วต้องเข้าซังเตไปอยู่ที่ไหน และกล้าดีอย่างไงที่ทิ้งแฟนอั๊วไป
งานนี้จึงเป็นการเอาคืน ทบต้น-ทบดอก...............แม้ปวารณาตัวเองไว้แล้วว่า
จะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี หลังจากที่พ้นโทษมาแล้วก็ตาม




ด้วยความที่โครงเรื่องและองค์ประกอบของซีรีย์ มีความคล้ายคลึงกับ
Flowershop without Rose ยักกะแพะกับแกะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทิ้งปริศนา
ความสัมพันธ์ทางสายเลือด ว่าใครเป็นป๊ะป๊าของหนูและมีปมแห่งความเกลียดชัง
จากการทอดทิ้ง อันเป็นรอยร้าวที่ยากจะประสานให้แนบสนิทใจ
แต่สุดท้ายก็มีกาวใจ คือ ตัวละครเด็กผู้หญิง ที่เป็นยิ่งเสียกว่า แฟนต้ายุวฑูต
ชักนำให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่าง สลายทิฐิและอัตตาของความเป็นผู้ใหญ่
โดยความใสซื่อ บริสุทธิ์และรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา และบางที
ก็สอนปรัชญาดีๆ ที่ผู้ใหญ่ละเลย ด้วยความไม่สมเหตุสมผลจากการกระทำ
ที่ผู้ใหญ่ทำแล้วไม่สมกับความเป็นผู้ใหญ่ ผิดกับเด็กที่ทำแล้ว
อย่างไรเสียก็สมกับความเป็นเด็กอยู่ดี......จนรู้สึก อยากกลับเป็นเด็กโว๊ย!




สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ดีกว่า คือ "ความเหลือเฟือในเรื่องของอารมณ์ขัน"
ซึ่งสิ่งนี้แทบจะไม่มี ใน ซีรีย์เรื่อง FlowerShop without Roses
(การบริหารของต่อมรับรสทางน้ำตาก็ไม่ทำงานนักเท่าด้วยนะ)
ปกติเราคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า "หน้าไม่รับแขก"
แต่กลับสไตล์และบุคคลิกแล้ว ต้องขอบอกว่า "แขกไม่น่ารับ"
แค่ปฐมบทของเรื่องก็ฮาแล้ว ที่พี่อาเบะพ้นโทษจากคุกมาดๆ
ก็ทำท่าจะได้กลับไปเข้าคุกซะงั้น เพราะอยู่ในคุกมันไม่ค่อยมีอาหารดีๆ
ให้ได้รับประทานกัน เสร็จสรรพเช็คราคาในเมนู กับแหงมซองเงินเก็บจนได้ที่
ภารกิจแรกจึงหวังที่จะโซ้ยอย่างไม่บั้นยะบั้นยัง งานนี้ก็สมพร
ยัดทะนานสักงั้น เล่นเอาจนอ้วก เข้าไปห้องน้ำไม่ถึงนาที
กลับมาที่โต๊ะ อาหารเท่าเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือ เงินในซองหายไป!!!
งานนี้.......ถ้าไม่อยากล้างจาน เพียงแค่สบตากับเจ้าของร้าน
แล้วนับสาม...สอง....หนึ่ง วิชานินจาแปลงกายหายตัวได้ก็นำมาใช้ในบัดดลทันที
โดยส่วนตัว ได้ติดตามงานของพี่อาเบะมาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว
ถือว่าเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์ในบุคคลิกและหาตัวจับยาก (เพราะสูงชะลูดตูดปอดซะ)
ไม่ว่าจะเล่นบท อัยการ ใน Hero หรือ นักจัดการเลือกตั้งใน Change ก็ตาม
แต่พรนรก เอ้ย พรสวรรค์ ที่ส่งโครงร่างและหน้าตาดีไปทางร้ายเช่นนี้
มาเมืองไทย พี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว ยังให้พี่เอาดีในบทยากูซ่าจากเรื่องช๊อกโกแลตมาแล้ว
ถ้าพี่มีสัญชาติไทยเต็มตัว อาจมีรีเมกอย่างเรื่อง องคุลีมาล หรือไม่ก็ ตี๋ใหญ่
มาเกยประตูหน้าบ้านก็เป็นได้ (ในเรื่องนี้ต้องขาเป้เสียด้วย เหมือนตี๋ใหญ่เปี๊ยบเลย)
ดังนั้น ตัวละครในเรื่องนี้ อย่าง อดีตยากูซ่ากลับใจ ที่พี่บอกว่า
ในโลกนี้หาได้ง่ายสองสิ่ง คือ ยากูซ่ากับนักการเมือง เพราะข้องแวะกับอำนาจ
จึงเสมือนเป็นบทสัมปทานผูกขาดของพี่ท่าน แม้ในตอนที่หนึ่ง
พี่อาเบะจะเล่นได้โอเวอร์แอ็คติ้งไปหน่อย จนรู้สึกขัดใจหลายๆ
แต่พอลำดับตอนที่สอง ที่สาม เป็นต้นไป ผมรู้สึกสงสารคุณพี่ซะแล้ว
ยิ่งรู้ว่าจุดอ่อนของคุณพี่ คือ "ตำรวจ" เข้าแล้ว ไม่อยากบอกเลยว่าประเทศผมก็เป็น
เพราะไม่ว่าคิ้ว ปาก จมูก ตา ก็ไม่ต่างใบหน้าที่มีศูนย์รวมของอาชญากรรม
ถ้ามีปุโรหิตมาทัก ก็ต้องบอกว่าเป็นฤกษ์ของดาวมหาโจร ยิ่งประวัติในแฟ้มอาชีพ
ก็ระบุว่าสถานวิชาชีพก่อนหน้า คือ คุก ก่อนหน้านั้น ก็เป็น ยากูซ่า
เป็นหลักประกันว่า ถึงแม้คุณพี่อยากจะกลับตัวกลับใจ แต่ทว่า
คนในสังคมก็ตราหน้าว่าคุณพี่เป็นโจร แบบรักไม่ยอมเปลี่ยนใจสักแล้ว
ดังนั้น คุณพี่ๆน้องๆ ก่อนจะทำไม่ดีอะไร จึงคิดไว้อย่างใคร่ครวญนะเออ.............





ส่วนคุณหนู โนโซมิ ถ้าคุณพี่ไม่เอ่ยเสียก็กระไร
แหมก่อนหน้าคุณพี่จะร่ายประวัติ เสียจนทะเบียนราษฏร์ของญี่ปุ่นจะทำได้ไม่เท่า
แหมคุณพี่จะไม่ค่อยรู้ลักษณะนิสัยที่แท้จริงของคุณหนู แต่อิมเมจในเรื่องนี้
ก็สร้างภาพให้หนูโนโซมิเป็นเด็กดีมีเมตตาธรรม เผลอไปเทียบกับคุณหนูอีกคน
ในเรื่อง Flowershop Without Rose ไม่ได้ เพราะในเรื่องนั้น
คุณหนูชิโอมิ (ที่เล่นโดย ยากิ ยุกิ) เล่นได้ "ชิกิริโมโนะ" มาก (ประมาณว่า โตเกินเด็ก)
แต่กับเรือ่งนี้ ผมว่าหนูโนโซมิ เล่นได้เป็นเด็ก ที่เป็นเด็กจริงๆ
สัญญาอะไรไว้ก็ต้องรักษาสัญญา เอ่ยคำปฎิเสธช่วยเหลือใครไม่คอ่ยเป็น
ส่วนหนึ่งคงเพราะในเรื่องนี้ คุณหนูได้อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น
อุ่นอย่างแรก ได้อยู่ใกล้กับเครือ่งอบขนมปัง เพราะที่บ้านทำเป็นอาชีพ
อาชีพที่ทุกบ้านก็สามารถทำเองได้ แต่ไม่ค่อยมีใครตื่นตีสี่เพื่อมาทำ ดังนั้นเขาจึงต้องการเรา
อุ่นที่สอง การได้มีพ่อที่ใจดี ไม่ตีหรือด่าลูกสักแอะ อย่างคุณพ่อยาสุชิ
ซึ่งก็เป็นคุณพ่อสายพิราบ ชอบประนีประนอม ขนาดพอรู้ว่ามีเด็กชอบแกล้งลูกตัวเอง
สิ่งที่ทำได้ คือ ไปขอร้องให้ทางโรงเรียนช่วยตักเตือนเด็กเหล่านั้น ผิดกับนิสัยของ
คุณอาเบะที่ต้องถลึงตาแบบตัวต่อตัว จนเด็กเกเรเหล่านั้นฉี่ราดกันเป็นแถว.........
หนูโนโซมิยังมี คุณแม่จำลอง อย่าง คุณน้าคานาโกะ ทากามุระ ที่แสนใจดีอีกคน
เห็นชื่อต้นทากามุระ อย่าได้แปลกใจ แท้ที่จริงคุณน้าคนนี้
ก็คือ น้องสาวของอดีตคนรักพระเอก ที่ไม่ชอบหน้าอาเบะเอามากๆ
จนถูกอาเบะตอกหน้าใส่กลับไปว่า ไม่เหมือนพี่สาวเลยสักนิด!
แม้ในหนังการ์ตูน Ponyo ของค่ายจิบลี คุณหนูจะโชว์พลังเส้นเสียงแหง๊วๆ
ในเพลง Gake no ue no Ponyo แต่ในเรื่องนี้ คุณหนูโนโซมิ ก็ยังได้โชว์ "เส้น"
แต่เป็น "ลายเส้น" ผ่านสมุดภาพเขียนส่วนตัว ที่เป็นตัวบอกเล่าความรู้สึกภายใน
ทั้งหมดของตัวละครตัวนี้ ในฐานะเป็นศูนย์กลางทั้งหมดของเรื่อง
ซีรีย์เรือ่งนี้ดีอย่าง ที่พอให้เราคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างหนูโนโซมิกับลุงอาเบะ
ว่าคงไม่แคล้วที่จะเป็นพ่อลูกตัวจริง (ผิดกับ Flowersshop without..........
ที่ต้องลุ้นจนเกือบตอนสุดท้าย) ปัญหาที่เหลือ คือ จะจัดการของปมปัญหานี้อย่างไร
เมื่อฝ่ายพ่อเลี้ยงเอง ก็ไม่อยากบอก ส่วนพ่อที่แท้จริง อยากบอกแต่ก็บอกไม่ได้
แต่คุณหนูแกก็คงมีซิกเซนต์ หรือดีเอ็นเอที่สัมผัสได้ว่า ลุงอาเบะคนนี้
มิใช่คนเลวอะไร แม้คนทั้งหมู่บ้านจะหวาดกลัวกับพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลของลุงอาเบะ
แบบไม่ต้องประชุมสภาหมู่บ้านเพื่อโหวตรับ ไม่เชื่อลองเปิดสมุดภาพของหนูโนโซมิดูสิ
ยังวาดลุงอาเบะหน้าโจรนะ แต่ประทานโทษติดปีกแบบนางฟ้าบนสวรรค์
แหม! คุณหนูก็........ทำไปได้




ส่วนตัวละครอื่น ก็มีสีสันอยู่นะ แต่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไรนัก
เพราะตลอดทั้งเรื่อง ล้วนแต่จับจดกับความสัมพันธ์ของสามตัวละคร
ที่ต่างไม่ยอมเผยความลับของแต่ละฝ่าย ให้ได้รับรู้กัน
มันเลยมีแต่เรื่องอคติและความเข้าใจผิดกันมาโดยตลอด (จนรู้สึกเสียสถาบันผู้ใหญ่จัง)
แต่ก็ยังมีตัวละครสอดแทรกอีกสองตัว คือ วัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีปัญหา
(ที่อยากเรียก เด็กแหว๋นและเด็กสก๋อยแดนปลาดิบ ขาดแต่มันไม่ขี่มอเตอร์ไซด์)
วันๆฝันเฟื่องที่จะหาเงิน ด้วยกรรมวิธีที่รวดเร็ว อย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก
ตัวหญิง ชื่อ มิชิดะ ชิโอริ (เล่นโดย โยชิตะกะ ยุริโกะ) และตัวชาย ชื่อ โคจิมะ ยุกิ
(เล่นโดย เอ็นโด ยุยะ) เป็นตัวละครข้างฝ่ายพระเอก ที่หลงไปพบเจอกันที่โรงแรม
ประทานโทษ! ไม่ใช่ฟิลอารมณ์อย่างที่ท่านเข้าใจ แต่เป็นโรงแรมราคาถูก
ที่ตกคืนละ ๔๕๐ เยน สภาพห้องยักกับห้องส้วมตามห้างอยู่แยกกันเป็นคอกๆ
ดีหน่อยตรงที่มีอินเตอร์เน็ตให้เล่นไม่จำกัดชั่วโมง
แต่ตัวละครวัยรุ่นหญิง นานตอนเข้าก็ชักมีเสน่ห์ขึ้นนะ
เพราะไอ้ตอนแรกคิดว่า เป็นเด็กเสียผู้เสียคนอย่างที่เห็นทั่วไป แต่เอาเข้าจริง
ก็เป็นผลพ่วงมาจากเด็กที่มีปัญหา จนต้องหนีออกจากบ้านมาเร่ร่อนหากินด้วยตัวเอง
สามารถสัมผัสจิตใจได้ว่าคนไหนเป็นคนดี -คนไม่ดี ค่อยช่วยเหลือพระเอก
ทั้งที่อยู่ ที่กินและเป็นกาวใจในยามที่พระเอกเรา ไม่อาจเสนอหน้าโหดๆ
ไปหาคุณลูกได้ และที่สำคัญเป็นนักบล็อกเกอร์ ที่เอาเรื่องของพระเอกไปเล่า
ผ่านบล็อกส่วนตัว จนพระเอกซูฮกในฉายาให้ว่า "สาวนักเซิรช์"
ส่วนตัววัยรุ่นชาย......อันนี้ขอข้าม แบบว่ามีแต่เสียกับเสีย หากใครเผลอเล่นบทนี้เข้า




รางวี่รางวัล โดยปกติแล้วไม่คอ่ยอยากให้ยึดนัก
เพราะก่อนหน้านี้ หลงตามกระแส Hero ที่ทาคุยะเล่น เพราะเห็นว่ามันเป็นปรากฎการณ์
แต่เอาเข้าจริงนี้ก็จะสองปีกว่าแล้ว ยังไม่คิดจะดูซีรีย์นี้ให้จบนัก
แต่ครั้งนี้ต้องขอบอก เพราะเป็นเรื่องกระตุ้นให้ผู้คนได้วิริยรัมภะหากันดู
ตัวเด่นๆในเรือ่งนี้ ต่างได้รางวัลทีวีดราม่าครั้งที่ ๖๑ กันพร้อมหน้า เริ่มจาก
พี่อาเบะ ได้รางวัลดารานำยอดเยี่ยม
หนูโอโซมิ ก็ได้รางวัลพิเศษ (เพราะน้องเล่นดี แต่ไม่มีหมวดไหนจะให้ลงแล้วมั้ง)
และมือเขียนบท อย่าง โนโซมิ โอฮาชิ ที่เคยมีผลงานใน Rookies , Kekkon Dekinai Otoko
ก็ได้รางวัลทีวีดราม่าครั้งที่ ๖๑ กับเขาด้วยเช่นกัน



ถ้าจะให้ถามว่าชอบเรื่องไหนมากกว่า ระหว่างสองเรื่องที่คล้ายคลึงกันนี้
ก็คงต้องตอบว่า "ชอบไปคนละแบบ" แม้จุดจบในตอนท้ายเรื่อง
จะกลายเป็นซีรีย์ Feel Good ในแบบเดียวกัน ที่ต่างก็คลี่คลายปมในอดีต
แต่ก็มีอุปสรรคคอยเป็นบทดสอบในแต่ละตอน
ถ้า Folwershop Without Roses............เป็นภาคพ่อพระกลับมาจุติ
ถ้าเช่นนั้น White Spring .......................ก็เป็นภาคพ่อมารกลับใจ
เป็นซีรีย์ที่สะท้อนทั้งในเรื่องปัญหาครอบครัวแล้ว ยังสะท้อนถึงปัญหาสังคม
ระบบคิดและค่านิยมไม่ว่าจะเป็นประเทศเจ้าของซีรีย์หรือสังคมไหนๆ
ตราบใดที่เรายังคงตัดสินคน ผ่านรูปลักษณ์ผ่านนอกหรือเพียงเปลือก
ให้เป็นบทสรุปทั้งหมด และปิดกั้นโอกาสให้คนที่เคยผิดพลาดได้กลับตัว
เป็นคนที่ดีอีกครั้งหนึ่ง นึกๆไป คงมีไม่น้อยที่คนที่ไม่ดี ได้ถูกกระทำ
จากสังคมที่คาดหวังให้คนดี โดยเลือกต้อนเฉพาะแต่คนดีที่มีประวัติอันบริสุทธิ์
เพราะคนไม่ดี...............ไม่ได้มีแต่ในคุกเท่านัน้
แล้วจะเชื่อได้ไงว่าในคุก จะไม่มีคนที่อยากกลับตัวเป็นคนดีเหลืออยู่เลย? ........







ข้อมูลจาก //wiki.d-addicts.com/Shiroi_Haru


ภาพ จาก งานนี้ capture เองเป็นแย้ว....เย้!


อ่านประวัติคร่าวๆของคุณน้่องโนโซมิได้ ทางลิงค์ของ
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=chanpanakrit&date=10-09-2009&group=3&gblog=33 นะขอรับ




 

Create Date : 20 กันยายน 2552    
Last Update : 20 กันยายน 2552 19:52:45 น.
Counter : 1947 Pageviews.  

โนโซมิ เด็กหญิงแห่งฑูตปลาทองPonyo




ท่านผู้มีเกียรติ์โปรดทราบ...................
ต่อไปนี้ กระผมจะได้มีโอกาสแนะนำ นักร้อง (ที่ยังไม่) สาวในดวงใจคนใหม่
เป็นคนที่เท่าไรก็ไม่รู้ แต่รู้แน่ๆว่า เธอกำลังดังที่ญี่ปุ่น
ทั้งงานหนัง ละคร ถ่ายแบบ โฆษณา (ก็ไม่รู้คุณน้องจะรับทรัพย์ไปถึงไหน?)
พี่ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณพ่อคุณแม่เธอชื่ออะไร
เพราะกระจิตกระใจ คงจะทนรอให้คุณน้องโตวันโตคืนไม่ไหว
อีกอย่าง .........คดีพรากผู้เยาว์แดนปลาดิบ โทษใช่เบาๆ กันสักเท่าไร
แต่ทว่า ..........คุณน้องมาได้ใจพี่ จากเสียงร้องแหง๊วๆ ที่ร้องวนไปวนมา
จากเรื่อง Ponyo on the Cliff by the Sea หรือชื่อไทย

"โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย"

คุณน้องที่มีชื่อว่า โนโซมิ โอฮาชิ (Nozomi Ohashi)





เหตุที่อยากเล่าเรื่องของเธอ ให้ท่านผู้มีเกียรติ์ฟังในที่นี้
ก็ให้มันสืบเนือ่งกับ วันที่มีเลขมงคลแบบไทยๆ ในวันที่ ๙ เดือน ๙ ปี ๒๐๐๙
เพราะ คุณน้องเกิด เมื่อวันที่ ๙ ปี ค.ศ. ๑๙๙๙ อะไรมันจะมหัศจรรย์ปานนั้น
ความจริงเล่าได้ไม่หมดหรอก เพราะเดือนที่คุณน้องเกิด คือ เดือน ๕ พฤษภาคม
เลยทำเวอร์ไปงั้น !!!



แต่ความดังมาเยือนคุณน้อง
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเพลงประกอบภาพยนตร์ในเรื่อง Ponyo
ที่ชื่อ Gake no ue no Ponyo (แปลตามชื่อเรื่องของหนังเลย)
อันเป็นซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกสู่สาธารณชนในเดือนธันวาคม ของปี ค.ศ ๒๐๐๗
ด้วยการเรียบเรียงโดย ฟูจิโอกะ ฟูจิมากิ (อันเป็นการเล่นรวมชื่อของศิลปินสองท่าน
คือ ทากาอกิ ฟูจิโอกะ และ นาโอยะ ฟูจิมากิ
เขียนเนือ้ร้องโดย คาทซึยา คอนโด้ และ ฮายาโอะ มิยาซากิ
ภาคดนตรี โดย โจเอะ ฮิซาอิชิ


เนื้อเพลงว่าด้วย เรื่องราวตามภาพยนตร์ทุกประการ
ฟังเพลง อ่านเนื้อออก ไม่เข้าไปดูโรงหนัง ก็เข้าใจในเรื่องราวได้
แต่ไม่ได้อรรถรสจากความเป็นจิบลีอาคาเดมี่.......อันนี้ จะเสียดายแทน



เล่าความดังของเพลงนี้กันดีกว่า....................
หลังจากปล่อยซิงเกิ้ล Gake no ue no Ponyo ไปอาละวาดตามคลื่นหน้าปัด
ก็ทำให้เด็กหญิงอายุแปดขวบเศษ ดังระบือทั่วทั้งเกาะญี่ปุ่น
สามารถเข้าสู่ชาร์ตระดับประเทศ อย่าง โอริคอนชาร์ต ในกลางเดือนกรกฎาคม
เริ่มต้นจากร้อยอันดับแรก แล้วก็ค่อยๆแทรกไปสู่กลางใจผู้ฟัง
ร้นขยับขึ้น จาก อันดับที่ ๒๔ ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ก็ไปหยุดอยู่ที่อันดับ ๖
จนกระทั่งหนังเปิดตัวเข้าฉาย ก็ถีบตัวให้เพลง Gake no ue no Ponyo
ไปค้างในอันดับที่ ๓ เป็นการถาวร อันถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดเท่าที่เพลงนี้จะมีโอกาส
และตามธรรมเนียมในทุกๆปลายปี ก็จะมีการจัดอันดับยอดขายที่เป็นซิงเกิ้ลของแต่ละ
ศิลปิน เพลง Gake no ue no Ponyo นี้จัดอยู่ในอันดับที่ ๑๔
ของซิงเกิ้ลที่ขายดีประจำปี ๒๐๐๘ ไปครอง ด้วยยอดขายกว่าครึ่งล้านก๊อปปี้
บ้านเขามีวัฒนธรรมการฟังเพลง ที่เน้นเป็นเพลงๆไป ผิดกับบ้านเรา
ที่ชอบเหมารวมเป็นแผ่นเอ็มพีสาม ทำให้ความรู้สึกต่อบทเพลงลดน้อยลง





มาว่าความสามารถของคุณน้องโนโซมิกันดีกว่า
ด้วยความน่ารัก สดใส และกล้าแสดงออกของคุณเธอ
ทำให้ได้รับเชิญให้ออกรายการใหญ่ทางทีวีของช่อง NHK ที่ชื่อ
Ohaku Uta Gassen (Red and White Singing Contest )ครั้งที่ ๕๙
โดยได้รับการจัดอันดับ (อีกแล้ว)
ว่าเป็นแขกรับเชิญที่มีอายุน้อยที่สุด นับตั้งแต่เชิญแขกร่วมรายการมา
และเพลงนี้ได้ถูกนำไปแปลเป็นเวอร์ชั่นภาคอังกฤษ เพราะทางดิสนีย์ได้ซื้อ
ลิขสิทธิ์เข้าฉายในอเมริกา ให้เด็กมะกันได้มีโอกาสแย้วๆกัน หลั่นล้าๆ
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะการแสดงครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น
ก็มาพร้อมกับการประกาศยุบวงบนกลางงาน เล่นเอาผู้ชมต่างอึ้งไปตามๆกัน
จนฟูจิมากิหนึ่งในสมาชิกวงถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ซึ่งคุณน้องโนโซมิเอง
ก็ไม่เข้าใจถึงความรู้สึกนั้น ยังเที่ยวสงสัยถามว่าพี่ร้องไห้ทำไมอะ?



อดีต คือ ย่างก้าวที่บุคคลไม่พึงเดินย้อนเช่นใด
น้องโอโซมิก็หาได้หันย้อนมองออกไปเช่นนั้นไม่ ชีวิตต่อมาของคุณน้อง
จึงงานตรึมแบบเกยอยู่หน้าประตูบ้าน โดยเฉพาะงานซีรีย์
ก็เห็นคุณน้องโผล่หน้าจอ เอาเท่าที่รู้จักและได้ติดตามดู ก็มีแล้วสองเรื่อง
คือ เรือ่ง The Quiz Show 2 ของค่าย NTV
และ Shiroi Haru (ที่คุณต่อพงษ์บอกว่า ถ้าใครชอบ Flower Shop Without Rose
ก็ไม่ควรพลาด เพราะมีพี่อาเบะมาดเข้ม ตัวพ่อจ้าจี้ในchocalate เป็นตัวชูโรงด้วยละ)
ถึงแม้คุณน้องจะไม่ได้ฝากเนื้อฝากตัว ให้กับแฟนนักชมชาวไทย
(เพราะแม้เปิดตัวหนังเรื่อง Ponyo ก็ไปไกลได้แค่ไต้หวันสักงั้น
ปล่อยพี่รอที่สุวรรณภูมิก้อเลย) แต่สำหรับมิตรรักชาวไทย
ผมก็ขอฝากใจน้องคนนี้ในอ้อมอกของทุกท่าน
ขอเพียงรักให้ไม่น้อย จะได้รักไม่นาน มันจะพาลไปถึงเจ้าของบล็อกนั่นเอง..................






เนือ้เพลง Gake no ue no Ponyo


Ponyo~Ponyo~Ponyo sakana no ko
(Ponyo Ponyo Ponyo is a fish child)

aoi umi kara yatte kita
(She came from the blue sea)

Ponyo~Ponyo~Ponyo fukuranda
(Ponyo Ponyo Ponyo grew big)

manmaru onaka no onna no ko
(A perfectly round-bellied little girl)

Peeta peeta…Pyoon pyon
(Peeta peeta…Pyoon pyon)

ashitte ii na kakechao!
(Feet sure are nice! Let's run!)

Niigi niigi…Buun bun
(Niigi niigi…Buun bun)

otete wa ii na tsunaijao!
(Hands sure are nice! Let's join them!)

ano ko to haneru to kokoro mo odoru yo
(When I jump with that girl, my heart dances too)

Paaku paku Chuggyuu!…Paaku paku Chuggyuu!
(Paaku paku Chuggyuu!…Paaku paku Chuggyuu!)

ano ko ga daisuki makkakka no
(I love that child. She's bright red)

Ponyo~Ponyo~Ponyo sakana no ko
(Ponyo Ponyo Ponyo is a fish child)

aoi umi kara yatte kita
(She came from the blue sea)

Ponyo~Ponyo~Ponyo fukuranda
(Ponyo Ponyo Ponyo grew big)

manmaru onaka no onna no ko
(A perfectly round-bellied little girl)

Fuuku fuku…ii nioi
(Fuuku fuku…That smells nice)

onaka ga suita tabechao!
(I'm hungry, let's eat!)

Youku yoku mite miyou
(Let's carefully, carefully look)

ano ko mo kitto miteiru
(Surely, that child is watching too)

isshoni warau to HOPPE ga atsui yo
(We laugh together and my cheeks are hot)

Waaku waku Chuggyuu! Waaku waku Chuggyuu!
(Waaku waku Chuggyu!…Waaku waku Chuggyu!)

ano ko ga daisuki makkakka no
(I love that child. She's bright red)

Ponyo~Ponyo~Ponyo sakana no ko
(Ponyo Ponyo Ponyo is a fish child)

gake no ue ni yatte kita
(She came from the top of the cliff)

Ponyo~Ponyo~Ponyo onna no ko
(Ponyo Ponyo Ponyo is a little girl)

manmaru onaka no genki na ko
(A perfectly round-bellied, cheerful kid)


- End - ........






ป.ล. อัพเรื่องนี้มิใช่อะไร แค่ร้องเพลงนี้บ่อยและเปิดyoutube จนเกรงใจเว็บเขานะ








ข้อมูลจาก


wikipedia , japantoday , wiki.d-addicts และ ทุเรียนกวนป่วนรัก ในbloggang
รวมถึงคลิปyoutube ของท่าน kotaronoyama ที่คลั่งกว่าผมสักอีกหงะ




 

Create Date : 10 กันยายน 2552    
Last Update : 13 ตุลาคม 2555 20:41:40 น.
Counter : 1956 Pageviews.  

Ponyo ปลอดภัยแม้แต่เด็กที่มีผิวบอบบาง



และแล้วความฝันเล็กในใจผมก็เป็นจริง
ความฝันง่ายๆ ที่ดูจะเป็นไปได้ยากในตลาดภาพยนตร์ของไทย
ความฝันที่ว่า ครั้งหนึ่งจะได้มีโอกาสได้ชมหนังการ์ตูนของค่ายจิบลิ
ปรากฎในโรงภาพยนตร์ขนาดยักษ์อย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม
หลังจากที่ได้หลบๆซ่อนๆ จากการติดตามหนังการ์ตูนค่ายนี้มาโดยตลอด
ไม่ว่าจะนับตั้งแต่ระบบตลับเทป vhs แบบไม่มีซับไทย อย่าง
สุสานหิ่งห้อย (Grave of the Firefries) หรือ เพื่อนบ้านฉันที่ชื่อโตโร่ ( My Neighbor Totoro)
จนพัฒนามาเป็นระบบเลเซอร์ดิสต์จานใหญ่พอๆกับฝาหม้อร้านข้าวต้ม
อย่าง แม่มดน้อยคิคิ (Kiki's Delivery Service)
จากนั้นด้วยระบบเทคโนโลยีที่ถูกลง ด้วยต้นทุนการผลิตครั้งละมากๆ
ก็มีพ่อค้าหัวใส จับข้อมูลมายัดใส่แผ่นแบบรักษาขนบแบบตลับ vhs
คือ ยังไม่มีซับแปลให้อีก .........จึงอาศัยใจรักและดูเอามันส์เข้าว่า
จนทว่า............เมื่อสุดยอดเทคโนโลยีที่ภาพและเสียงชัดกริบ อย่างดีวีดี
ตีตลาดทั้งขนาดของตัวเครื่องและราคา งานทยอยแบบเรียงตับกันอย่างพร้อมหน้า
แบบคอเลกชั่น อย่าง Only Yesterday , Pom Poko , Princess Mononoke เป็นต้น
ก็ได้สร้างสาวกผู้รักงานแบบจิตวิญญาณศิลปแนวจิบลี ที่อยู่นอกเหนือกระแส
อนิเมทชันแบบคอมพิวเตอร์ซีจีที่ล้ำสมัยกว่า ถึงกระนั้น...... ก็ยังต้องเผชิญกับซับผี
ที่ทำให้งานดีๆของค่ายนี้ต้องปนเปื้อน อย่างไม่น่าให้อภัย (ได้ข่าวว่ามีแบบลิขสิทธิ์พร้อม
นำเข้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะ)
จนปัจจุบัน .........ได้นำไปสู่การเข้ารอบตามโรงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการและมีลิขสิทธิ์ถูกต้อง
ถือเป็นนิมิตใหม่ในการเปิดศักราชของหนังค่ายจิบลีในประเทศไทย และถือครั้งใหญ่ของวงการ
แม้ว่า......จะเข้าฉายเพียงไม่กี่โรง และพอนับหัวผู้เข้าชมที่เป็นเด็กไม่น้อยไปกว่าฐานของผู้ใหญ่



ความบาดเจ็บจากครั้งที่แล้ว จากเรื่อง Tales from Earthsea
งานกำกับของลูกชายตัวดี ที่ไม่ประสบความสำเร็จแง่เสียงวิจารณ์และการสร้างภาพลักษณ์ใหม่
ภาพลักษณ์ที่มุ่งเน้นตลาดของกลุ่มคนที่สูงวัยขึ้น
งานนี้ทำให้ฮายาโตะผู้พ่อ ต้องกลับมาหวนวงการ รักษาหน้าของหนังการ์ตูนค่ายจิบลีอีกครั้ง
หากใครจดจำงานอันน่าประทับใจ อย่างเรื่อง My Neighbor Totoro
เราจะได้สัมผัสมันอีกครั้งใน Ponyo on the Cliff by the Sea ภาพยนตร์การ์ตูนลำดับที่ ๑๗
ของค่าย กวาดเงินเยนที่ตีเป็นดอลลาร์ในเดือนแรกที่ฉาย กว่า ๙๐ ล้านเหรียญ
จนเป็นหนังทำเงินประจำปีที่แล้วของประเทศ ทิ้งห่างที่สองและสามอย่างไม่เห็นคลื่นทะเล


หนังก็เรียบง่ายดี ว่าด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กอนุบาลตัวผู้ (โซสุเกะ) กับปลาทองตัวเมีย
(โปะโก) ดูจะมีอายุที่ไล่เลี่ยกัน แล้วบังเอิญวันหนึ่ง
โซสุเกะได้ไปพบโปะโกะที่เป็นปลาทอง กำลังที่เอาหน้าออกจากขวดโหลที่เข้าไปซุกจากอุบัติเหตุเรืออวน
และตอนที่ได้ช่วยเหลือให้ออกจากขวด ปลาทองตัวนี้ดันได้ไปดื่มเลือดของเด็กชายคนนี้เข้า
เรื่องจึงมาชุลมุนชุลเก เมื่อปลาทองตัวนี้ไม่ธรรมดา มีราชศักดิ์แห่งหนระดับเทพธิดาแห่งท้องทะเล
การดื่มเลือด ก็เท่ากับ ต้องคำสาปให้สามารถกลายเป็นมนุษย์ได้ และที่ทำเช่นนี้ได้
เพราะครั้งหนึ่งบิดาของโปะโกะ (ฟุจิโมโตะ) ก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน
แต่ไม่อาจรับสภาพความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ จนเมื่อมาพบรักกับเทพธิดาแห่งท้องทะเล
จึงได้มาเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทรในบัดนั้นเป็นต้นมา
ความประทับใจระหว่างเด็กตัวน้อยกับปลาทองตัวจ้อย ได้ทำลายพันธสัญญาทางธรรมชาติ
ผู้ที่จะถอนคำสาปนี้ได้ คือ มนุษย์จะต้องประกาศความรักอย่างบริสุทธิ์และจริงใจ
นอกเผ่าพันธ์วงศาของตัวเอง จึงจะช่วยชีวิตเจ้าหญิงปลาทองโปโกะ
มีโอกาสได้เป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิ เป็นเด็กหญิงโปโกะ ที่ยิ้มง่ายไม่ซึมเปื้อน
ตนนี้ เอ้ย! ตัวนี้ เอ้ย! คนนี้ เอ้ย! เอาเป็นว่า ..........อะไรเทือกนี้แหละ



การกลับมาครั้งนี้ ของผู้กำกับและเขียนบทเอง อย่าง ฮายาโตะ มิยาซาว่า
ถือเป็นการเรียกราคาและความศรัทธาให้กับแฟนหนังค่ายจิบลีได้ไม่น้อย
(แต่ความจริง Tales from Earthsea ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร สามารถขึ้นอันดับหนึ่งสัปดาห์แรก
ที่ญี่ปุ่น เตะ Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest ตกอันดับสองในทันที)
เพียงแต่ เจ้าบุตรชาย โกโระ ฮายาโตะ ดันไปทำหนังการ์ตูนที่ฉีกแนวขนบและทอดทิ้ง
กลุ่มสาวกเก่าๆ ที่ยังคงชื่นชอบการ์ตูนแนวใสๆ ปลอดภัยต่อมมลภาวะทางอารมณ์
และมีกลิ่นไอแฟนตาซีแบบที่เคยรู้สึกได้ในงานของผู้พ่อ ได้สร้างไว้ใน
Totoro , Kiki และ Spirited Away (เรื่องที่ไปตบหน้าการ์ตูนซีจีค่ายยักษ์บนเวทีออสการ์ ปี๐๒)
แต่เข้าใจว่า งานชิ้นแรกในฐานะผู้กำกับของโกโระ
เขาปรารถนาที่จะสร้างรูปแบบเฉพาะตน เพื่อฉีกหนีอิทธิพลของผู้เป็นพ่อที่ได้จัดวางไว้
หลายต่อหลายเรื่อง จึงกล้าพอที่จะรวมเอาพ๊อกเก๊ตซีรีสย์ของตระกูล Earthsea
มาเล่าจบด้วยการ์ตูนเพียงไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง ต่างกับบิดาที่มักนำเอาโครงเรื่อง
ผ่านอิทธิพลจากงานเขียนชื่อดัง ไม่เว้น Ponyo ที่ได้รับความประทับใจ ในครั้งที่ได้อ่าน
The Little Mermaid ของ Hans Christian Andersen แล้วมาปรับใช้ให้เหมาะสม
กับตำนานพื้นบ้านและสภาพแวดล้อมอย่างที่ญี่ปุ่นควรจะเป็น



ท่ามกลางการทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ของค่ายดิสนีย์ ที่มีต่องานอนิเมชั่นสองมิติ
โดยหันไปพึ่งโคตรเทคโนโลยี อย่างซีจีสามมิติ จากค่าย Pixar
แต่โปรดิวเซอร์ อย่าง โตชิโอะ ซูซุกิ ยังคงปรารถนาที่จะอนุรักษ์การวาดแบบลายเส้น
ที่ดูเรียบง่ายและจริงใจ เป็นอะไรที่แลดูจะสามัญดีเป็นที่สุด
ผ่านการแต่งแต้มสีด้วยโทนสีที่เด็กประถมก็สามารถระบาย
เองได้ จากตลับแม่สีที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ไม่ต้องตวัดหรือบรรจงอย่างเลิศเลอ
แลดูอลังการ อย่างที่ใครเคยได้ดูแบบ Paprika ของผู้กำกับ ซาโตชิ คอน
หรืออนิเมชั่นผสมที่ทำให้การ์ตูนอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ ใน The Prince of Egypt
ของผู้กำกับ Brenda Chapman และ Steve Hickner
หรือจะเป็นการต่อยอดแฟนพันธ์แท้ แต่ไม่สามารถพัฒนาตัวละครได้ ที่หาชมได้
Doraemon The Movie ในทุกภาค
งานของจิบลีทุกเรื่อง เท่าที่สังเกตุแบบที่ต้องใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องชี้วัด
โดยไร้หลักทางวิชาการใดใดมาประกอบ โดยความรู้สึกส่วนตัวจึงเป็นงานที่
ทนุถนอมประสบการณ์ครั้งวัยเยาว์ เติมเต็มโลกแห่งจินตนาการแห่งความคิดสร้างสรรค์
และอ่อนเยาว์ต่อทุกสรรพสิ่งที่ต้องเผชิญ
อาจไม่ใช่งานการ์ตูนที่เล่นงานจนขากรรไกรค้าง แต่ก็อดอมยิ่มได้ถึงความน่ารักของตัวละคร
น่ารักพอที่ชวนให้ติดตาม แม้เด็กอนุบาลวัยไม่กี่ขวบปี จะปะติดปะต่อเรื่องราวชวนสับสน
หลังจากเดินออกจากโรง เพราะอ่านซับไทยได้ไม่ทันและความชำนาญทางอักษรภาษา
ที่ยังคงไม่แม่นยำ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะขอดูซ้ำ ในยามที่ถูกทำเป็นแผ่นซีดี




ใครจะบังอาจ ไปเอาเรื่องตรรกะเชิงสัญลักษณ์
ไปวิเคราะห์ว่า เหตุที่ผู้พ่อบังเกิดเกล้าใช้อำนาจนิยมเพื่อไม่ให้โปโกะเป็นมนุษย์สมถวิลย์
เด็กชายโซสุเกะออกตามหาแม่เพื่อทดแทนความอ้างว้างของผู้เป็นพ่อ
โปะโกะคือสัญญะบางประการ เพื่อแสดงความเป็นฑูตของสิ่งแวดล้อม ที่เชื่อมสัมพันธ์กับมวลมนุษย์
การพ่นน้ำใส่หน้าคนที่ไม่ชอบ เป็นนัยยะของบุพพาชน
ใครเผลอเพื่อไปค้นหาปรัชญาสัญญะเทือกนี้ ขอบอกว่าจะดูหนังตระกูลจิบลีเทือกนี้ได้ไม่สนุกนัก
การไม่รับรู้อะไรเลย ดูเป็นทางออกที่ดีที่สุด
การปรับสภาพจิตใจให้เป็นเด็กอีกครั้ง กล้าเผชิญกับความฝันที่ครั้งหนึ่ง
เราได้ละเลยจากมันมาแสนไกล
ตื่นตาตื่นใจกับสัตว์ประหลาดตามท้องเรือ่ง ที่อาจดูเหมือนกับสัตว์นำโชคตามงานกีฬาประจำจังหวัด
แล้วอย่าไปแยกแยะว่าทำไม มันถึงเรียกว่า "โปะโกะ" ทุกครั้ง ทั้งๆที่ชื่อหน้าโรง
อ่านไปว่า "โปะเนียว" ทำไมเค้าเรียกว่า "ปลาทอง" ทั้งๆที่ตลอดเรื่อง ตัวมัน "สีแดง"
ฟุจิโมะโตะไปพบรักกับราชินีแห่งท้องทะเลตอนไหน ทำไมจึงมีสภาพเหมือนมนุษย์ดีจัง
ทำไม ทำไม และทำไม ........................ลองไม่ทำไมสักเรื่อง แล้วจะทำไมละ?


การ์ตูนสกุลจิบลี จึงไม่อาจอธิบายใดใดได้มากนัก มากไปกว่าการใช้ความรู้สึก
ยิ่งถ้าเผลอไปเทียบกับพัฒนาการของการ์ตูนฝั่งอเมริกาเข้าแล้ว
จะรู้ถึงการก้าวกระโดดที่เชื่องช้า แต่ทว่ามนต์เสน่ห์ที่ได้กลับเข้าถึงได้ยากกว่า เอ๊!ทำไม


การ์ตูนที่ต้องถอดหัวใจ "ผู้ใหญ่" ไว้นอกโรง แล้วดึงความเป็น "เด็ก" ในใจตน
กลับมาร่างเดิมที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจะรู้ว่า "สุข" จากที่เคยเฝ้ารอศิลปะหลอกเด็ก
ที่เราเคยกระดี้กระดากอย่างสุขล้น มันหาได้ไม่ไกล แม้ว่าคนที่นั่งใกล้
มันจะเรียกว่า "ลุง" ก็ตาม............................. ........
.



ขอบคุณ wikipedia เพียงเจ้าเดียวนะเอิ้งเอิย.....และเด็กๆในโรงที่ไม่ร้องง้อแง๊







 

Create Date : 07 กันยายน 2552    
Last Update : 7 กันยายน 2552 23:07:30 น.
Counter : 1369 Pageviews.  

Rookies มือใหม่ใจเกินร้อย




ย้อนรำลึกอดีตครั้งวัยยังเยาว์ นับตั้งแต่สมัยมัธยมขาสั้น-หัวเกรียน
ความทรงจำเท่าที่พอนึกได้เกี่ยวกับมิตรภาพของเพื่อน คงเป็นเรื่องที่ชัดเจนที่สุด
รองลงมาก็ อารมณ์เอื่อมระอาในวิชาคณิตศาสตร์ และ ความมหาโหดในวิชา รด.
จากนั้นจินตภาพเหล่านี้ก็เวียนซ้ำปนเปไปในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์
ก็จะมาคิดได้อีกที ก็ดันจบปลายภาคการศึกษาสุดท้าย สิ้นสภาพของความเป็นเด็กมัธยม
ก้าวขึ้นสู่ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นไปอีกขั้น โดยไร้องค์ประกอบของกิจกรรม
ในฐานะตัวภาควิชาเลือกเพื่อเป็นเส้นทางอีกทางหนึ่ง อันนำมาซึ่งจุดหมายทางเลือกสูงสุด
ที่น่าจะพอมีความสำคัญในฐานะเป้าหมายในจิตใจ เพื่อกำหนดวิถีอิสระ
ที่เป็นดั่งเครื่องชี้เตือน ชี้แนะและประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราได้ค้นพบตัวตนที่เราอยากจะเป็น
ยามที่เราต้องก้าวเข้าสู่วัยชีวิตการทำงาน เพื่อตอบโจทย์ชีวิตของตัวเองว่า
"เราอยากเป็นอะไร"



เอาเข้าจริงแล้ว กิจกรรมนอกห้องเรียนในฐานะสิ่งส่งเสริมทางเลือก ที่โรงเรียนจัดตั้งขึ้น
ให้พูดก็พูดเถอะ มันมีมาอย่างต่อเนื่องและหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ ตามแต่ละภาคเรียน
แล้วแต่ทางโรงเรียนจะสรรหาหรือจัดงบประมาณ (ที่ภาษาผู้น้อยอย่างเรา เรียกว่า "เจียด")
เสียดายที่ช่วงเวลานั้น กิจกรรมโดยส่วนใหญ่ แทบไม่ได้มีความสำคัญมากเท่ากับ
การต้องรีบวิ่งแจ้นจากเวรทำความสะอาดประจำสัปดาห์ แล้วต้องตีรถเพื่อไปต่างที่
เพื่อหาเก้าอี้ว่างตำแหน่งดีให้ทันกับการเข้ากวดวิชา หรือไม่ก็ล้อมวงเตะบอลพลาสติกกับเพื่อนๆ
ชนิดทีแพ้กินตังค์ เพื่อไปซื้อน้ำเก็กฮวยเลี้ยงทั้งทีม จากนั้นก็ไม่มีอะไรมากมาย
เหตุการณ์ก็ยังคงเวียนซ้ำๆ กันไปมาในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แล้วก็สิ้นสภาพความเป็นเด็ก
มัธยมอีกเช่นเคย



จนได้ดูซีรีย์ที่จะหยิบยกขึ้นมาอีกหนึ่งเรือ่ง เป็นเหตุให้เรามีโอกาสดีๆ
ที่ได้รำลึกถึงช่วงเวลาที่สำคัญในเศษเสี้ยวเล็กๆ ทีแลดูจะยิ่งใหญ่ แต่คงเป็นเรื่องที่
ทำให้ทุกคนจำต้องแสวงหาด้วยความลำบากลำบนกันเอาเอง เพราะได้ข่าวมาว่า
มีสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งในประเทศไทยได้ลิขสิทธิ์ซีรีย์เรือ่งนี้มาเรียบร้อยแล้ว
แต่ถูกตีตกไปโดยบอร์ดผู้บริหาร ด้วยคำตอบที่ว่า
"เต็มไปด้วยฉากความรุนแรง และกลัวเยาวชนจะเอาไปเป็นแบบอย่าง"



ซึ่งในส่วนตัวแล้ว แบบไม่เข้าข้างใคร ก็อดคิดเห็นตามแบบเช่นนั้นเสียด้วยสิ
ทั้งๆที่จริงแล้ว เมื่อก่อนก็ค่อนข้างจะคิดเห็นต่างกันออกไป เพราะไม่เชื่อว่า
เยาวชนของไทยจะไร้วิจารณญาณในการแยกแยะองค์ประกอบของเหตุและผล
ว่าเรื่องใดเป็นเรือ่งจริง หรือเรื่องใดถูกสร้างเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะ
จนเมื่อเห็นพฤติกรรมของหลานสาววัยไม่กี่ขวบเศษ หลังจากเพิ่งดูละครไทยหลังข่าวทางทีวีชอ่งหนึ่ง
จึงพอให้รู้ว่า มันคงมีพลังบางอย่างที่แทรกซึมจิตใต้สำนึกของหลานเราโดยไม่รู้ตัว



หากใครเป็นแฟนการ์ตูนญี่ปุ่นมายาวนาน คงพอที่จะไม่ลืมงานการ์ตูนร่วมสมัย
อย่าง "จอมเกบูล" จากปลายปากกาคอแร้งโดยการวาดของ "มาซาโนริ โมริตะ" เป็นอย่างดี
มาครั้งนี้ดียิ่งกว่า เพราะได้ถูกนำมาสร้างเป็นละครซีรีย์สิบเอ็ดตอนจบ จากหนังสือการ์ตูน
เรือ่งใหม่ที่พี่โมริตะเพิ่งวาดจบได้ไม่นาน ที่ชื่อว่า Rookies
ก่อนหน้านี้ มีการ์ตูนหลายเรือ่งที่นำมาสร้างเป็นซีรีย์แล้วไม่รู้สึกอินเท่ากับในครั้งที่ยังได้อ่านในหนังสือ
ไม่ว่าจะเป็น Nodame Cantabile Bloody Monday และ H2
ถึงแม้ว่าจะเป็นซีรีย์ที่หลายคนให้ดาวตั้งเกือบเต็มกาแล็กซี่ แต่อคติส่วนตัวกลับร่วงหล่นเพราะบารมีของ
การ์ตูนมันข่มให้ดูอย่างเห็นๆ แต่กับ Rookies นี้ไม่ใช่แหะ! มันออกอารมณ์ประเภทที่
"รักพี่ ก็เสียดายน้อง" สองจิตสองใจแบบบอกไม่ถูกเหมือนกัน



เหตุที่บอกว่ามันรุนแรงจริงๆ นะพี่น้อง............................
ก็เพราะชมรมเบสบอลโรงเรียนมัธยมปลายฟุตาโกะ ดันถูกโทษแบนมิให้สังฆกรรมกับการแข่งขันใดใด
เป็นเวลาถึงเก้าเดือน จากกรณีวิวาทกลางการแข่งขันของปีที่แล้ว ก็คนขว้างลูกมันไปขว้างใส่คนที่กำลังตี
จะด้วยเจตนารรึเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าไอ้คนตีมันง้างไม้ฟาดใส่คนขว้างจนเลือดสาด
(ถึงแม้ไม่เห็นภาพ แต่เลือดไหลหยอดเป็นทางลงกับพื้น แค่คิดก็สยองเสียแล้ว)
จนเกิดมหกรรมอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า สหบาทาร่วมหมู่ ชุลมุนตุบตับกันวุ่นวาย
กล่าวง่ายๆ คือ การที่กลุ่มนักกีฬาที่เหลือไม่ว่า ตัวจริง ตัวสำรองและตัวมั่ว ต่างกรุเข้าตะลุมบอล
จนต้องถูกพักชมรมเป็นเวลาเก้าเดือน แล้วชมรมก็มีชื่อเสียในบัดดล
อ.สุวินัยเกริ่นว่า ที่ซีรีย์เปิดตัวด้วยความรุนแรงก็เพื่อกระชากอารมณ์คนดู
ให้เกิดความรู้สึกต่อต้านและไสส่งในพฤติกรรมของเด็กกลุ่มนี้
เด็กเกพวกนี้ อาจทำให้หลายคนที่อินกับเหตุการณ์ช่างกลสองสถาบันที่เข้าห่ำหั่น
เพียงเพื่อรักษาโลกส่วนตัวหรืออัตลักษณ์เฉพาะของวัย เพราะมันเป็นทุกสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันมีความหมาย
สำหรับพวกเขา แต่ก็มันมีราคาที่ต้องแลกกับการถูกตีกรอบทางสังคม
พวกเขาจึงต้องสร้างคุณค่าเฉพาะกลุ่ม แต่ก็ถูกลดค่าจากสังคมนอกกลุ่ม
พวกเขาจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีจุดหมายสำคัญอันเป็นหนทางของชีวิต
เด็กเหล่านั้นก็ผันสภาพตัวเองจากอดีตนักกีฬา
ได้แต่ทำตัวเป็นอันตพาลเกเรไปวันวัน ต่อต้านสังคมที่เป็นอยู่
ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียนก็ตาม มีที่สิงสถิตย์ของหมู่เหล่า
ก็คือ ห้องชมรมเบสบอล (ที่ไม่เหลือสภาพความเป็นห้องกีฬา)
แม้แต่รุ่นพี่ชมรมเบสบอลก่อนหน้า ก็โดนรุ่นน้องจอมเกเรเหล่านี้เล่นซะ
สิ้นสภาพความศรัทธา ทยอยกันลาออกไปทีละคนสองคน
ไม่เว้นรุ่นเพื่อนเดียวกันที่ชื่อ มิโคชิบะ
(เด็กอ่อนแอสุด แต่เอางานเอาการสุดจนตอนหลังได้รับเลือกให้เป็น กัปตันทีมของลูกทีมจอมเกทั้งปวง)
ตอนแรกทำท่าว่าจะยื่นใบลาออกไปอีกคน แต่แล้ว พลังแห่งชีวิตที่มิใช่
หนังสือแจกฟรีเพียงแค่โทรมา แต่เป็นบุคคลที่เรียกว่า "ครู"
ผู้ที่เป็นมากกว่าแค่คนที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่ข้าในกาลปัจจุบัน ครูคนใหม่
ที่มีหัวอกและจิตวิญญาณของความเป็นครู เป็นครูแนวโพสต์โมเดรินท์
ครูคนนั้นที่ชื่อว่า "คาวาโต้ โคอิจิ"




แท้จริงแล้ว นายคาวาโต้ เดิมทีเป็นครูมาแล้วก่อนหน้า
แต่ทว่า....ไปสร้างวีรกรรม เพราะในประวัติการประกอบวิชาชีพครู เจ้าคาวาโต้
มีประวัติในการใช้ความรุนแรง ต่อยเด็กเกในสมัยที่อยู่ประจำในโรงเรียนเก่า จนทะลุกระจกหน้าต่าง
ตกจากชั้นสาม จนเจ้าทุกข์มีสภาพร่อแร่ปางตาย นอนโรงพยาบาลไปร่วมเดือน
โดยพื้นฐานเจ้าคาวาโต้ก็มีพื้นฐานวิชาคาราเต้สายดำ๒ดั้ง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
คาวาโต้จึงแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก จากนั้นก็มาสอบใหม่ เพื่อถูกบรรจุเป็นครูอีกครั้ง
ตามความฝันที่ตัวเองปรารถนา เพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเป็นเด็กเกเร แต่สำนึกปรับตัวได้ทัน



รุ้กกี้ อาจหมายถึง นักกีฬามือใหม่ แต่รุ้กกี้ในเรื่อง กับมีความหมายในสองนัยยะ
นัยยะแรก หมายถึง ความที่เป็นครูใหม่อีกครั้ง ของนายคาวาโต้
นัยยะที่สอง คือ พวกชมรมเบสบอล ที่กลับตัวกลับใจ มาเล่นเบสบอลกันใหม่อีกครั้ง
แต่เรื่องมันซับมันซ้อนขึ้น เพราะเจตนาที่รับนายคาวาโต้ ให้มาประจำเป็นครูของที่นี้
เกิดจากแผนการ "วางหมาก" ของครูใหญ่โรงเรียนมัธยมปลายฟุตาโกะ ที่หาทางกำจัด
พวกนักเรียนเด็กเกของชมรมเบสบอลพวกนี้ไม่ได้ ขืนไล่พวกมันออกก็กลัวทางโรงเรียนจะเสียชื่อ
จึงต้องสร้างสถานการณ์ โดยเจาะจงเลือกนายคาวาโต้ ที่มีประวัติการใช้ความรุนแรง
ชนิดมัดเดียวเอาอยู่ โดยไม่สนว่าหากเป็นไปตามแผนจริง ทั้งครูคาวาโต้และชมรมต้องโดนยุบแน่
ตามความเชื่อในปรัชญาที่ว่า ต้องใช้ความรุนแรงมาปราบปรามความรุนแรง



แต่ที่คาวาโต้ต้องชกเด็กตกหน้าต่าง ก็เพราะเด็กคนนั้นกำลังทำร้ายคนอื่น
เจ้าครูคาวาโต้ก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงเด็กเกคนนี้ แม้จะมีเสียงจากครูที่ใส่เกียร์ว่าง
ไม่ให้ไปหยุดกับเจ้าเด็กเกคนนี้ ในตอนหลัง เด็กคนนี้มารู้ว่า
ครูคาวาโต้ยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เพื่อให้เด็กเกคนนี้ได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อ
โดยที่ทางโรงเรียนไม่เอาความผิดจากเด็กคนนี้ (จนท้ายสุดเด็กคนนี้ก็มีความฝันที่อยากจะเป็นครู
และพร้อมจะตะบันหน้า หากใครมาว่าครูคาวาโต้เสียๆหายๆ)



แต่สถานการณ์กับพลิกผัน เมื่อครูคนใหม่ อย่างนายคาวาโต้
ที่นักเรียนในชมรมต่างก็รู้พิษสงจากแผนการณ์ของครูใหญ่ (เรือ่งสำคัญแค่ไหน เด็กชมรมเบสบอล
มักยืนถูกจุดตลอด) แล้วเตรียมใจพร้อมรับแผนการณ์ของเจ้าครูใหญ่เป็นที่เรียบร้อย แต่กลายเป็นว่า
นายคาวาโต้มาแนวลูกทุ่ง ใช้ความใสซื่อ บริสุทธิ์และความจริงใจ
โดยรับปากที่จะเป็นผู้ดูแลชมรมเบสบอล ทั้งๆ ที่ไม่รู้กติกาเบสบอลสักแอะ
ลงทุนถอนหญ้าทั้งสนามเพื่อแลกกับการเปิดเผยความฝันของลูกศิษย์
แม้ตัวเองจะต้องโดนไล่ออกหากรวมสมาชิกเบสบอลได้ไม่ครบตามสัญญา
ค่อยๆตามไปเปิดใจสมาชิกทีละคน (จนถึงกระทัง่วิ่งไล่กวด เพื่อเปิดใจก็ตามที)
กลายเป็นว่าสมาชิกคนเป็นเด็กที่เคยเกเร ก็ค่อยๆสลัดคราบ หันกลับมาสวมเสื้อนักกีฬา
ทีละคนสองคน คนที่เคยมีอคติยึดมั่น ก็จะค่อยๆรู้สึกโดดเดี่ยวและกลับมาโหยหาสิ่งที่ตนเองเคยรัก
ซึ่งก็คือ "เบสบอล" แต่กว่าจะซื้อใจได้ก็เล่นเอาสักคนดูเหนื่อย
เพราะหลักปฎิบัติของวัยรุ่นญี่ปุ่นแม้ตัวจะใช่ แต่ใจก็ปฏิเสธเอาไว้ก่อน
เสียอะไรก็เสียได้ แต่เสียหน้าในกลุ่ม อันนี้เรืองใหญ่
กว่าจะดูให้เข้าใจ บางทีก็ต้องอาศัยตัวสัญลักษณ์เป็นสิ่งช่วย
เหมือนที่ครูคาวาโต้ต้องสลัดเน็คไททิ้ง เพราะเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจระหว่างครูกับศิษย์
หรือ เจ้าชินโจหน้าฝรั่งลูกครึ่ง ต้องพกสติกเกอร์ภาพหมู่ชมรมเพื่อให้รู้ว่า เป็นคนที่รักเพื่อนมากที่สุด
หรือ เขียนคำว่า One for All เพื่อเตือนสติว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว
หรือ ภาพเล็บฉีก เพื่อให้รู้ว่า ได้ทำเต็มความสามารถแล้ว
หรือ วรรคทองจากงานวรรณกรรม หรือวาทะจากนักปรัชญาที่ฟังดูเห่ย ของครูคาวาโต้



สุดท้าย แม้การฟอร์มทีมครั้งใหม่จะเกิดขึ้น
แต่ก็ไม่พ้นผลแห่งวิบากกรรมที่เคยสร้างขึ้น ทั้งจากอคติจากคนรอบข้างที่เคยมอง ศัตรูเก่าล้างแค้นเอาคืน
วีรกรรมครั้งที่เคยทำในปีที่แล้ว ทุกอย่างกลับมาหลอกหลอน ให้คนที่เคยทำผิด ปรารถนาที่จะกลับตัว
จำต้องชั่งใจให้หนักขึ้นเป็นเท่าตัว อนุสัยเดิมที่ใช้ความรุนแรงเป็นทางออก จิตปฏิฆะที่เน้นโทสะเป็นสำคัญ
แม้แต่สมาชิกเพียงคนเดียวได้ลงมือกระทำ ล้วนแต่มีผลต่อการสั่งปิดชมรมเป็นการถาวรทั้งสิ้น
บุหรี่ที่เคยสูบก็ต้องเลิก ต้องวิ่งหนียามที่เจ้าเก่ามาทวงคืน จึงเป็นสรณะสุดท้าย
เพียงเพราะทุกคนต่างมีเป้าหมาย ในความภูมิใจที่สูงสุดของชมรมเบสบอล นั่นคือ โคชิเอ็ง
ผมรู้เพียงแต่ว่า โคชิเอ็ง คือ สนามแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่หนังสือการ์ตูนแนวเบสบอลวัยใสมักกล่าวถึง
ในฐานะที่จิตใจช่วงมัธยมมุ่งมั่นเพียงแต่เอ็นท์ให้ติดเป็นสรณะ แต่เดาอารมณ์คงพอประมาณ
การแข่งขันฟุตบอลถ้วย FA Cup ของเกาะอังกฤษ ที่แข่งประเภทแพ้คัดออก
ที่เป้าหมายสุดท้าย คือ รอบชิงบนสนามเวลบลีย์
จึงไม่ใช่โคชิเอ็งที่จะเดินซื้อตั๋วผีหน้างานในฐานะผู้ดู แต่เป็นทีมที่ฝ่าฟันเข้ารอบชิงชนะเลิศ
หาได้ด้วยโชคไม่ แต่ด้วยการฝึกซ้อมที่ต้องหวดไม้นับพันครั้ง ซ้อมทั้งก่อนและหลังเลิกเรียน
และเข้มงวดในวินัย อย่างที่ไม่เคยเป็นมากอ่น ที่สำคัญ คือ การได้กำลังใจจากครู คาวาโต้
คนที่สมาชิกทุกคนพร้อมจะเคารพและเชื่อฟัง กว่าทุกคนในโรงเรียน
และที่สำคัญยิ่งกว่านิยาย คือ เมื่อสี่สิบปีก่อน โรงเรียนมัธยมปลายฟุตาโกะเคยสร้างตำนาน
เข้าสู่สนามรอบชิงที่โคชิเอ็งมาแล้ว ตอนนั้นครูใหญ่กับผู้ช่วย ยังกะเปี๊ยกหัวเกรี้ยนอยู่เลย
แต่ที่น่าเศร้าที่สุด คือ การไปแข่งโคชิเอ็งในโลกของความเป็นจริง เป็นเพียงกิจกรรม
ที่จัดแข่งขันโดยไม่มีเงินรางวัลสมความพยายาม
ไม่มีสปอนเซอร์ติดป้ายเรียดราดเต็มกำแพงแลดูยิ่งใหญ่ จะไปทั้งที
ก็ต้องหาค่ารถค่ารากันเอาเอง มีเพียงตำนานระหว่างรุ่นและความทรงจำ
อันน่าประทับใจในช่วงหนึ่งของชีวิตวัยมัธยมปลายเท่านั้นแล





พูดถึงตัวละครหน่อยเถอะ เพราะมีสายรายงานมาว่า
ซีรีย์เรือ่งนี้ นายโมริตะคนวาด มีส่วนรวมในการเคสติ้งนักแสดงให้ใกล้เคียงกับในการ์ตูน
โดยภาพรวมส่วนใหญ่ ถือว่าสอบผ่าน อาจจะมีผิดจากนี้ไปบ้าง แต่ก็สามารถชดเชยได้จากการแสดง
(อย่างเจ้าฮึราสึกะซูเปอร์ซับ ไม่เหมือนในการ์ตูนแต่เล่นได้ฮามาก) เพราะก่อนหน้านี้คนจริงใน H2
ได้ทำร้ายจิตใจนักอ่านการ์ตูนของอาดาจิอย่างผมมาแล้ว ยิ่งดีที่บทซีรีย์ยังคอยดึงไว้อยู่หมัด
แต่ในรุ้กกี้ ผมก็ยังคงมีความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อมกับเจ้าอานิยะ ที่เป็นพระเอกของเรื่อง
ส่วนหนึ่ง อาจเพราะผมยังติดกับงานแสดงเรื่องก่อนๆ ของ เจ้า อิชิฮาร่า ฮายาโตะ ที่รับแต่บทหนุ่มใสๆ
ส่วนหนึ่ง ความไม่สมจริง เพราะได้สร้างพื้นที่ในจินตนาการส่วนตัวสำหรับตัวละคร อานิยะในฉบับ
การ์ตูนไว้เรียบร้อยแล้ว
แม้ความจริงแล้ว น้องฮายาโตะผู้รับบทตัวเองของเรื่อง จะพยายามทำตัวสถุล เลวถ่อย ไม่ว่า
จะถีบโต๊ะเรียนโดยไม่กลัวว่าจะเรียนไม่จำ ถ่อถุยน้ำลายราดพื้น และจบรูปประโยคด้วยคำว่า "บักกะ"
(แปลว่า ไอ้บ้า!) อยู่อย่างสม่ำเสมอยิ่งกว่าจุดฟุลสต๊อบ แต่หน้าน้องหวานออกสักอย่างงั้น
ถ้าผมได้ชมการแสดงของน้องครั้งแรก บางทีพี่อาจมองว่าน้องเป็นคนกักขฬะ
พ่อแม่ไม่สั่งสอนก็เป็นไปได้
ส่วนตัวละครประกอบของเรื่อง ทราบจากพี่ต่อพงษ์ว่า ได้รับรางวัลนักแสดง
ประกอบยอดเยี่ยมเป็นหมู่คณะเชิญยิ้ม ตัวประกอบที่ซึ่งเป็นสมาชิกเด็กเก
ชมรมเบสบอล ล้วนแล้วแต่เป็นการรวมเทพจากละครเรื่องอื่นๆ
อาทิ จาก Nodame Cantabile , Bloody Monday , Battle Royal เป็นต้น
จุดนี้ต้องขอบอกว่า ทำได้ดีกว่าในการ์ตูน นักแสดงทุกคนต่างมีดีไซด์ทรงผม
บุคคลิกและเล่นเป็นตัวตนได้ชัดเจน บางช่วงกลบเจ้าอานิยะตัวเอก ชนิดมิดหายไปเลยก็มี



ส่วนคนที่น่าจะสำคัญ สุดของเรือ่ง คือ ครูคาวาโต้
ก่อนหน้านี้ได้รับแต่งบทรองๆ ไม่เคยโดดเด่นอะไร เท่าที่พอจำได้
เป็นฮอกกี้รุ่นน้องในซีรีย์ Pride ที่มีพี่ทาคุยะเป็นพระเอกข่มตลอดทั้งเรื่อง
พี่ท่านก็ไม่ได้เล่นโชว์พาวอะไรมากมาย
แต่กับในเรือ่งนี้ พี่ท่านได้พูดประโยคซึ่งๆ ชนิดที่ตอ้งเข่นน้ำตาคลอโดยตลอด
บทที่ต้องติดลูกเปิ่นๆตามการ์ตูน ก็แสดงได้ธรรมชาติ ไม่มีลูกเวอร์มาติดพัน
สมแล้วที่คว้ารางวัล นักแสดงชายยอดเยี่ยมซีรีย์ทีวีดราม่าปีที่ ๕๘ ไปครองเป็นครั้งแรก



แต่แปลกน้อ ถ้าละครแนว Bad Boy ถูกนำมาสร้างในบ้านเรา
อย่างที่เคยฉาย มักติดความไม่สมจริงและไม่เกิดความรู้สึกเอาใจช่วยในตัวละคร
ซ้ำร้าย หลายเรือ่งออกลูก idiot ไปก็ไม่น้อย ประมาณว่า ทำไมกลับใจได้เร็วจัง
ไม่สมกับกมลสันดานที่เคยมี แต่อย่างว่าเท่าทีสังเกต ซีรีย์แนว Bad Boy ของญี่ปุ่นมัก
จะผูกกับแนวที่เรียกว่า สปอร์โตะคอนโย มาผสมกันได้อย่างลงตัว
ในฐานะชี้ให้เห็นต้นเหตุของปัญหา ในแง่ของสมุทัย
และในฐานะผู้ชี้ทางแก้ของปัญหา ในแง่ของนิโรธและมรรค
ก่อนหน้านี้ ก็มีซีรีย์ในแนวคล้ายๆกัน อย่าง โอนิซึกะ แต่ในแง่ของความเร้าใจไม่อินเท่า
เพราะในรุ้กกี้ ในแง่ของการแข่งขันเบสบอลอย่างเต็มเกมส์ เอาเข้าจริงมีเพียงแค่สามเกมส์
แต่ทุกเกมส์ต่างก็ต้องลุ้นชนิดโฮมต่อโฮม เบสต่อเบส
ปรากฎว่าทีมไหนทีเคยเป็นทีมเด็กเก หรือเป็นเด็กเกไม่มีสังกัด ตลอดจนถึงผู้หลักผู้ใหญ่
ไม่ว่าจะวงการไหนต่อไหน หากมาเจอทีมเบสบอลมัธยมปลายฟุตุโกะเข้าแล้ว
เสมือนได้ซึ้งในรสพระธรรม ทั้งในแง่ความมุมานะ ความสามัคคี และความฝันในเป้าหมาย
ดังนั้น อย่าได้เอาเบสบอลออกไปจากพวกเขา เพราะพวกเขาจะไม่เหลือความหมายอะไรในชีวิต



แม้แต่เพลง เซทซึกิ ของวง Greeeen เพลงโจ๊ะๆที่เล่าถึงเรื่องปาฏิหารย์
แม้เนื้อเพลงมันจะเล่าถึงความรักแรกรุ่นของชายหนุ่มกับหญิงสาว
แต่เวลาเพลงมันทำหน้าที่ในยามเข้าประกอบฉากเวลาสำคัญ ช่างกินอกกินใจเสียทุกคราวไป
มารู้ว่า เป็นการฟอร์มวงจากกลุ่มเด็กทันตแพทย์ที่ไม่สามารถเผยหน้าตาได้ตามจรรยาบรรณ
ด้วยหลักกฎหมายเรื่องโฆษณายาสีฟัน (ฮา) ก็ยิ่งทำให้ซีรีย์รุ้กกี้ไม่ธรรมดามากขี้นกว่าเดิม
แต่แปลกน้อ เพราะตอนนี้รุ้กกี้ก็ออกฉายเป็นภาพยนตร์ก็แล้ว ซีรีย์ก็แล้ว แต่ทำไมไม่ยัก
ทำออกมาเป็นการ์ตูนอนิเมทชัน ซึ่งมันผิดสเต๊ปธรรมเนียมดั้งเดิมโดยปริยาย
แต่อย่างไรเสีย ก็เป็นซีรีย์ตามหาความฝันที่ประทับใจอีกเรื่อง ที่เชือ่ว่าอย่าได้รอความเมตตา
จากทางฟรีทีวีเสียเลยละท่านเอ้ยย


คำคมโคตรๆประจำซีรีย์ : มือที่กำมัด มันก็จะเป็นอาวุธ แต่ถ้าแบมือออก
มันก็คือจิตใจ สักวันฉันจะทำให้นายแบมือหาฉันให้จงได้........




ข้อมูลจาก.................
รายการชวนคิด ชวนคุย ทางคลื่นผู้จัดการ
//wiki.d-addicts.com/




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2552    
Last Update : 3 ตุลาคม 2553 23:59:52 น.
Counter : 1743 Pageviews.  

Village Album ถ่ายก่อนจะเหลือไว้ในความทรงจำ

ขออนุญาติไม่เป็นตัวของตัวเองสักวัน โดยแปลงร่างเป็น เจ้า "ทากาชิ" พระเอกของเรือ่ง ปิ๊ง!!




ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของพ่อ
พ่อที่ไม่เคยเอ่ยคำทักทวง ยามที่ผมของเลือกทางเดินเพื่อหาอนาคตของตัวเองในกรุงโตเกียว
พ่อที่ไม่เคยสนใจ ซักถามหรือหาคำตอบตลอดจนตั้งคำถามใดใดต่อลูกชายคนนี้
พ่อที่มักมีอารมณ์ฉุนเฉียว กระเฟียดกระหือรือ ยามเมื่อมีเหล้าวางอยู่ตรงหน้า
ด้วยพฤติกรรมชนิดนี้ จึงทำให้พ่อไม่อาจจะเข้าสังคมกับผู้อื่นได้โดยง่าย
นับตั้งแต่แม่จากไป พ่อดูเหมือนจะปิดกั้นตัวเอง พี่สาวของผมก็หนีตามกับเจ้าหนุ่ม
นักข่าวที่ทำข่าวในหมู่บ้าน จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของพี่สาวคนนี้อีกเลย
แน่ละ! เหตุที่ผมเลือกโตเกียวเป็นเส้นทางสุดท้ายของผม เพราะอย่างน้อย
ก็ยังมีน้องสาวที่จะคอยดูแลพ่อยามที่ผมไม่อยู่ ไม่รู้ทำไหม ผมจึงอยากเป็นตากล้องมืออาชีพ
อีกอย่าง ผมจะได้หนีไปให้ไกลจากพ่อ
ครั้งสุดท้าย ผมทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรง พ่อไม่เคยเข้าใจอะไรในตัวผม
และผมก็ไม่อยากเข้าใจอะไรที่เป็นตัวพ่อ ........................
ผมจากบ้านเกิดไปหลายปี อยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ติดต่อมาหาผมโดยตรง
อยากขอแรงให้ผมช่วยไปเป็นลูกมือให้กับพ่อ เขาไม่รู้เหรอ? ว่าผมกับพ่อ
เราไม่ได้พูดคุยกันมาหลายปีแล้ว ทำไมต้องเป็นผม? แน่ละ
ก็คงด้วยนิสัยหัวรั้นของพ่อนะสิ!! ก็สมควรแล้วละ............
แล้วนี้ไม่รู้เหรอ...................ว่าชีวิตเมืองกรุงแห่งนี้ ผมเองยังขับเคลื่อนตัวเองได้ไม่ถึงไหน
แม้แต่ตำแหน่งผู้ช่วยตากล้อง ตำแหน่งนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญ หรือจะเรียกอีกอย่าง
ว่า "ขี้ข้าตากล้อง" ก็ได้ เพราะต้องทำทุกอย่างตั้งไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
ตั้งแต่จัดเซตฉากแต่เช้าตรู่ ไปจนถึงชงกาแฟให้หัวหน้า ผมชักจะเบื่อชีวิตเช่นนี้เต็มทน
แต่ก็ได้!! ในเมือ่คนในหมู่บ้านเจาะจงเพียงแต่ "ผม" เท่านั้น
บอกไว้ก่อนนะ สิ่งที่จะกลับลงไปช่วยนี้ ไม่ได้ทำอะไรเพื่อพ่อนะ
ผมทำเพราะตอนนี้ ผมยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน.........แตถ้ามีงานที่โตเกียวเมื่อไร
ผมพร้อมที่จะทิ้งงานในหมู่บ้านได้ทุกเมื่อ เพราะโอกาสสำหรับงานในเมืองกรุง
มันมีไม่มากนัก และผมเองก็ไม่ได้เก่งอย่างที่ตัวเองเคยคาดหวังก่อนหน้าที่มาด้วย




เมือ่ผมกับที่หมู่บ้านฮานาตานิ ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม
แต่ผู้คนเขาว่า ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะรัฐบาลกำลังจะขอเวนคืนที่ดิน
เพื่อมาสร้างเขือ่นให้กับหมู่บ้าน ได้ข่าวว่าคณะกรรมการของหมู่บ้านถกเถียงกันยกใหญ่
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเป็นสองกลุ่ม มีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยเพราะได้มีงบประมาณเพื่อนำมา
บริหารหมู่บ้านให้ดีขึ้น และมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยเพื่อเชือ่ว่ามันจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง
ที่ไม่เหมือนเดิม แน่ละ! ก็พ่อผมเลือกที่จะอยู๋ในกลุ่มหลัง พ่อผมมันหัวโบราณล้างสมองยากแล้ว
แต่ผมจะไปสนอะไร? เพราะผมก็เป็นคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนได้-ส่วนเสียกับทรัพยากรของ
หมู่บ้านแล้วนิ เเม้แต่เพื่อนผมที่เคยเล่นกันสมัยเด็กๆ ก็ยังเกลียดขี้หน้าผม
ด้วยความเป็นภูมิภาคนิยมหรือจะสำนึกรักบ้านเกิดก็แล้วแต่ โธ่! เพราะแกมันขี้ชลาดไม่กล้าเผชิญ
กับโลกภายนอกมากกว่ามั้ง เชิญอยู่แต่กะลาครอบของนายไปเถอะ
เมื่อผมมาถึงบ้านเกิดวันแรก มันทำให้ผมรำลึกถึงวันเก่าๆ ที่นี้ไม่เปลี่ยนไปเลย
หุบเขายังคงเป็นเกราะล้อมรอบหมู่บ้านเหมือนเช่นเคย ลำธารเชียวยังคงมีเด็กๆไล่จับปลา
แล้วแข่งกันว่าใครได้ปลาตัวใหญ่กว่ากัน ผมลืมภาพนั้นมานาน คงเพราะชินตากับ
ตึกล้อมเมืองและถนนหนทางที่ดูขวักไขว้ ออกจะวุ่นวายเสียด้วยซ้ำ
แต่คนที่นี้ยังดูดำเนินชีวิตที่ราบเรียบ ไม่เร่งรีบการณ์ใดใด บางทีการมีเขื่อนก็มีผลเสีย
บางอย่างที่คนนอกของหมู่บ้านไม่มีวันที่จะเข้าใจ แต่อย่างว่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมแล้วนิ


เมือ่ผมมาถึงบ้าน ได้เห็นบรรยากาศภายในบ้านแล้ว มันทำให้ผมนึกถึงวันเก่าๆ
บ้านหลังนี้เคยอบอุ่นตอนที่ยังมีคุณแม่และพี่สาว แต่ทุกอย่างดูมันไม่เหมือนเดิมแล้ว
น้องสาวของผมดูจะโตเป็นสาวขี้นเป็นกอง ยังคงสดใสร่าเริงตามประสาเด็ก
แต่พ่อผมสิ.......ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ประโยคแรกที่พ่อพูดกับผม
คือ การคารวะภาพถ่ายของแม่
แล้วแกก็เดินจากไปอย่างเย็นชา ให้ตายเถอะ! ผมไม่อยากเจอภาพเช่นนี้เลย
ตกลงว่าผมก็ไม่ได้คุยเรื่องแผนการณ์ที่เราจะไปถ่ายภาพสมาชิกของหมู่บ้าน
ในแต่ละครัวเรือนอย่างไร แต่ดูเหมือนทุกคนในหมู่บ้านต่างจะยกยอและชื่นชมผมมาก
ว่าเป็นช่างภาพมาจากเมืองกรุง โธ่!...ผมไม่กล้าบอกหรอกว่า ผมยังเป็นเด็กแบกของให้กับตากล้อง
มืออาชีพเท่านั้น แม้แต่เรื่องนี้พ่อก็ไม่ถามผม และอีกอ่ยางผมก็ไม่อยากเล่าให้พ่อฟังด้วยสิ
ช่างเถอะ! นึกเสียว่ามาเยี่ยมบ้านเล่นๆ หลังจากที่ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งเนินนาน
เมื่อถึงวันเริ่มต้นที่จะถ่าย พ่อก็ยังคงไม่สนใจในตัวผมเช่นเคย
กลายเป็นว่า ผมต้องรีบกุลีกุจอมาขอช่วยแบกอุปกรณ์ให้กับพ่อเสียเอง
พ่อเลือกที่จะเดินไป แทนที่จะมานั่งรถเพื่อให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว ความหัวรั้นของพ่อยังเหมือนเดิม
ก่อนหน้านี้.....ก็มีผู้เสนอให้เร่งเวลาถ่ายภาพเให้ได้มากกว่า สามครอบครัวต่อวันได้รึไม่?
พ่อก็ปฏิเสธไปอย่างน้ำเสียงไร้เยื่อใย ดูทุกคนก็เอื่อมระอากับนิสัยของพ่อ แต่จะมีทางเลือกไหนอีก
ในเมื่อพ่อ เป็นตากล้องเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน จึงเป็นการบังคับโดยปริยาย



แต่สำหรับครอบครัวที่พ่อจะถ่ายให้ ดูจะสนิทสนมกับพ่อมาก
พ่อทักทายด้วยอรรถยาศัยด้วยมิตรไมตรีที่ดี ดูเหมือนผู้คนในหมู่บ้าน ล้วนแล้วแต่
เคยได้รับบริการจากการถ่ายภาพของพ่อทั้งสิ้น มีแต่ผมเท่านั้น ที่เป็นคนแปลกหน้าไป
ทุกคนดูจะมีความสุขและตื่นเต้นกันอย่างมาก เมื่อรู้ว่าวันนี้จะมีการถ่ายภาพเป็นหมู่คณะ
ในขณะที่ผมอยู่ในเมืองกรุง การถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกที่ทำอย่างดาษดื่น
จนเห็นกันอย่างชินตา ด้วยเทคโนโลยีที่รุดหน้าเร็วมากขึ้น หากใครไม่พอใจก็สามารถลบภาพ
และถ่ายใหม่ โดยไม่ต้องเสียดายฟิลม์กันแต่อย่างใด ยิ่งการถ่ายภาพเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม
หนึ่งในเครือ่งโทรศัพท์ด้วยแล้ว คุณค่าของนักถ่ายภาพดูจะลดน้อย
พ่อผมยังคงใช้กล้องรุ่นเก่ากับเครื่องอุปกรณ์วัดค่าแสง และอุปกรณ์อื่นอีกพะรุงพะรัง
แต่ทุกคนในหมู่บ้านนี้ดูมีชีวิตชีวาอย่างมากกับสิ่งที่พ่อผมได้ทำให้ด้วยหัวใจ
วันแรกๆ เป็นอะไรที่สาหัสากัจกับผมมาก ผมทำได้เเค่เพียงให้ปล่อยให้มันจบๆไป
วันแรกๆ ที่เราพ่อลูกสองคน ไม่ได้สนทนาแมัแต่เสียงใดใดสักแอะ
พ่อไม่ได้สอนเทคนิคการถ่ายภาพใดใดให้กับผมเลย มันน่าเบื่ออย่างมาก
และที่มากกว่านั้น ในวันแรกๆ เรามีปากเสียงชนิดที่ลงมือลงไม้กัน
อยู่ๆพ่อก็คว้าโทรศัพท์ของผมเวี้ยงทิ้งไปเฉยๆ เพียงเพราะพ่อกำลังรับฟังเพลงญี่ปุ่นโบราณ
ที่เขารุ่นผมไม่มีวันเข้าใจจากปากของยายแก่ที่เป็นลูกค้าของพ่อ จากนั้นก็ปลี่เข้ามาชกหน้าผม
ผมโมโหมากจึงโต้ตอบกลับไป จนพ่อต้องเข้าโรงพยาบาล
ผมจึงมาทราบว่า พ่อของผมกำลังป่วยหนักอยู่
แม้แต่เรื่องนี้น้องสาวของผมเองก็ไม่เคยทราบ ถ้าผมรู้ว่าพ่อของผมป่วยหนักขนาดนี้
ผมก็จะรั้งพ่อไม่ให้รับงานนี้ ถึงแม้ผมรู้ดี ว่าผมจะรั้งพ่อไม่ได้นักก็ตาม

แต่วันเวลาก็ค่อยๆกลืนกิน ความรู้สึกเดิมๆที่เคยเชื่อของผม
ผมเริ่มสัมผัสอะไรบางอย่าง ที่คิดว่าพ่อของผมคงรู้ดี
การถ่ายภาพผู้คนในหมู่บ้าน มันไม่ใช่สักแต่กดลงชัตเตอร์เพื่อให้รูปปรากฎลงบนแผ่นฟิลม์
ภาพที่มีรอยยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างมีความสุขของผู้คน มันทำให้ผมชักรู้สึกเสียดาย
หากว่าจะมีการสร้างเขื่อนในหมู่บ้านขึ้นจริง แล้วผู้คนที่นี้จะเป็นอยู่อย่างไร
พวกเขาจะมีโอกาสพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อมาร่วมถ่ายภาพเป็นหมู่คณะอย่างนี้อีกไหม
จะมีรูปที่ทวดอุ้มเหลนไว้ตรงกลาง ลุงกสิกรรมลากวัวตัวโปรด คุณยายผู้โดดเดียวโดยมี
ภาพถ่ายของผู้ลาจากประคองไว้สองมือ สิ่งที่พ่อผมได้ทำ มันไม่ใช่แค่เพื่อตัวท่าน
หรือคนอื่นๆเท่านั้น แต่มันเป็นทุกอย่างที่ประทับไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน
ผมรู้แล้วว่าทำไม พ่อจึงเลือกที่จะเดินเท้า เพราะมันทำให้พ่อได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ
ในหมู่บ้าน เผื่อว่าวันหนึ่งเราจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสเช่นนี้อีกครั้ง พ่อเลือกที่จะแสดงออก
ผ่านการกระทำมากกว่าการบอกเล่าเพียงแค่ลมปาก แม้ตัวผมจะพยายามบอกคนอื่นๆ
ว่าผมเองนั่นไม่เหมือนพ่อ แต่ดูเหมือนทุกคนจะรู้ว่า ผมนั่นแหละที่เหมือนท่านที่สุด
ตอนที่ผมฟาดปากชายคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน
ผมชักจะกลายเป็นพวกเดียวกับพ่อเสียแล้ว มีเพียงผมเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ช่วยของพ่อได้
และผมมารู้ทีหลังว่า พ่อเองนั้นแหละที่เลือกผมแต่แรกให้มาเป็นผู้ช่วยของท่าน
พ่อผู้เป็นครูคนแรกที่สอนการถ่ายภาพให้กับผม ซึ่งผมเองละเลยที่จะขบคิดมาโดยตลอด


ผมพยายามที่จะสานต่องานของพ่อ แต่สุดท้ายผมเพิ่งมารู้ว่ามันยาก
เพราะผมไม่สามารถเข้าถึงจิตใจของเนื้องานได้เท่ากับพ่อ พ่อที่ใช้ชีวิตมาทั้งชีวิต
อุทิศให้กับผืนดินของหมู่บ้านแห่งนี้ พ่อที่เพียงอ่านทิศทางของสายลมก็คาดเดาได้ว่า
ฤดูหนาวปีนี้น่าจะหนักแน่ พ่อที่รู้ว่าต้นซากุระต้นไหนที่เป็นต้นที่คุณแม่ชอบมาก
เวลาที่พอ่ป่วยจะมีคนเอาของมาฝากแล้วเยี่ยมเยียนอยูสม่ำเสมอ
สิ่งของอย่างนี้ มันหาไม่ได้ในเมืองกรุงหรอกครับ สุดท้ายไว้ว่าอย่างไร
งานนี้มันก็เป็นงานของพ่อ แม้จะต้องแบกพ่อที่กำลังล้มป่วยขึ้นไปบนหุบเขา ผมก็จะทำ
ไม่ต้องห่วง ......ผมปฎิเสธงานที่เข้ามาติดต่อที่โตเกียวเรียบร้อย เพื่อผมจะได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่
อย่างเต็มที ให้บรรลุวัตถุประสงค์ เพราะงานชิ้นนี้ คือ Village Album
ที่จะตราตรึงไว้นานเท่านาน เพียงแต่ทว่า....ถ้างานชิ้นนี้เสร็จผมขอเพียงอะไรสักข้อ
ที่ผมไม่เคยขอคุณพ่อมาก่อน..........................................
ว่าพ่อยังเหลืออีกหนึ่งครอบครัวของหมู่บ้าน ที่พ่อยังไม่ได้ลงมือบันทึกในความทรงจำเอาไว้

"ครอบครัวของเรา" ไงละครับ



หนังชื่อ Village Album หรือ Mura no shashinshuu
หนังปี ค.ศ. 2004
ผู้กำกับและเขียนบท : Mitsuhiro Mihara........







 

Create Date : 16 สิงหาคม 2552    
Last Update : 23 สิงหาคม 2552 22:07:32 น.
Counter : 1123 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.