A ........ Z
Group Blog
 
All blogs
 

แวมไพร์ ทไวไลท์ กับงานอ่านตลอดสัปดาห์


ช่วงนี้สารภาพว่า ผู้เขียนกำลังติดนวนิยายแปลอย่างหง่อมแหง่ม
ที่ติดด้วยฤทธิ์ของพลังทางวรรณกรรมก็ส่วนหนึ่ง
แต่อีกส่วนหนึ่ง จำเป็นต้องติด ก็เพราะใกล้กับเส้นตายที่จำต้องรีบคืนก่อนวันแรงงาน
อันเป็นหมายกำหนดการคืน เหตุผลง่ายๆ คือ ของๆเขา มิใช่ของๆเรา
ด้วยความที่ราคาหนังสือก็มิใช่น้อยๆ อีกทั้งความเป็น "หนังสือชุด" จึงจำต้อง
เร่งอ่านเท่าที่จะมีพลัง-กำลังความสามารถของกล้ามเนื้อนัยน์ตา กับการเบี่ยงเบน
ภารกิจนัดแนะบางประการ หนังสือที่ผมพอที่จะเคยอธิบายผ่านเรื่องราวเป็นการ์ตูน
บัดนี้จะมาลงลึกที่รายละเอียดชนิดที่ เจ้าของหนังสือที่ให้ยืม ก็ไม่สามารถพรรณนาได้
มิใช่ว่าเขาไม่เก่ง เพียงแต่เขาไม่มีบล็อกส่วนตัวที่พอจะแสดงออกสาธารณะอย่างที่พวกท่าน
กำลังได้กระทำกันนั้นเอง

ใช่แล้วครับ ผมกำลังติดหนังสือชุดที่ชื่อ Twillight Series ของนักเขียนชาวมะกัน นาม สเตฟานี เมเยอร์
( Stephenie Meyer ) ผู้ถูกหยิบยกจาก USA Today's ให้เป็นบุคคลแห่งปี ๒๐๐๘
ผู้สร้างตำนานโดยอิงจากตำนานอีกที แล้วมาคลุกเคล้าผสมกับดัดแปลง ในรูปของ
ความรักระหว่างอสูรกายกับมนุษย์สาวปถุชน ในสกุล Twilight novels
ที่ขายได้มากกว่า ๔๒ ล้านเล่มรอบโลก ถูกแปลเป็นภาษาอี่นอีกกว่า ๓๗ ภาษา
ความโด่งดังของมันสามารถทำยอดขายขึ้นอันดับ ๑ เบียดหนังสือพ่อมดน้อย ตกจากอันดับได้
ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือหนังสือ Twilight ตอนที่ ๔ สามารถขายได้ถึง ๑.๓ ล้านเล่ม ทันทีที่วางขายใน ๒๔ ชั่วโมง
ต้องขอบอก ในฐานะที่เคยทำงานร้านหนังสือมาหลายปี
หนังสือซีรีย์ชุดนี้หาได้รับความนิยมในวงกว้างไม่ นับตั้งที่ยังไม่ได้ถูกแปลพิมพ์เป็นภาษาไทย
ถือเป็นงานเขียนที่ตีวงจำกัดเฉพาะผู้อ่านที่ต้องทำการบ้านมาพอสมควร ไม่อาจเทียบเท่า
The Princess Diaries ของ Meg Cabot หรือ shopaholic ของ sophie kinsella shopaholic



โดยเฉพาะ Twillight อันเป็นงานเขียนปฐมบทของเรื่อง
ด้วยตัวภาพบนตัวปกของเล่ม เป็นรูปอุ้มมือหญิงสาวที่ประคองสองมือ
อันตรงกลางประกอบไปด้วยลูกแอปเปิลสีแดงสด ไม่ได้บ่งบอกเนื้อหาใจความอะไรของเรื่องแต่ประการใด
เวลาที่ลูกค้านักอ่านมาสอบถามเนื้อเรื่องภายในเล่ม ตัวผมก็ได้ปล่อยไก่ไปอยู่หลายตัวพอดู




โดยเนื้อหาอันแท้จริงแล้ว เป็นเรื่องแต่งจินตนาการถึง เด็กสาวแรกแย้มวัยสิบเจ็ด
Isabella "Bella" Swan ได้อพยพย้ายตัวเองจากรัฐ Phoenix, Arizona
ไปยัง Forks, Washington
ด้วยความที่มารดาของหล่อน หลังจากหย่าขาดกับบิดาของเธอแล้วก็ไปพบรักใหม่
จนทำให้เธอต้องกลับมาอาศัยกับบิดา charlie ที่ทำงานเป็นตำรวจท้องที่ อันนำมาสู่การได้
เรียนรู้ในสังคมใหม่ ในโรงเรียนแห่งใหม่ และความรักครั้งยิ่งใหญ่กับเด็กหนุ่ม (อายุแก่โคตร)
ที่ไม่ธรรมดาจะธรรมดาได้งัย ในเมื่อเขาเป็นแวมไพร์ นามว่า Edward Cullen
แต่ใช่ว่าแวมไพร์ตนนี้ จะเหมือนกับต้นฉบับ Dracula นวนิยายสุดคลาสสิกของ Bram Stoker
เพราะเป็นงานที่ถูกตีความใหม่ ให้กลายเป็นเด็กหนุ่มสุดหล่อ ผิวขาวซีดปากแดงและหน้างาม
ไม่กลัวกระเทียม ตลอดจนไม้กางเขน ไม่ยอมหลับ-ยอมนอน
ชอบเล่นดนตรีคลาสสิก หัวดี-อ่านจิตใจใครก็ออก
และที่สำคัญยังเป็นผีดูดเลือดมีคุณธรรม กินแต่เลือดสัตว์ ไม่ทำลายมนุษย์
ครบสูตร อย. อย่างนี้มีเหรอ ที่น้องเบลล่าจะไม่หลงปลื้มลืมหูลืมคนออกปานนี้
น้องเบลล่าก็ดันไปมีเสน่ห์เหนือกว่าสาวในท้องที่ ตรงที่ความคิดของน้อง พี่Edwardfดันอ่านใจออกมาไม่ได้
มากไปกว่านั้น คอหอยของคุณน้องเธอ ดันไปหอมหวานผิดผู้ผิดคนกว่าสาวคนอื่นๆ
จนขนาดที่ผู้อ่านอย่างผมอ่านไปแล้ว ยังรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย



ไม่แปลกที่หนังสือชุดนี้ จะไปได้รับรางวัลอีกรางวัลหนึ่ง
รางวัลที่สำนักพิมพ์ "ปราชญ์เปรียว" ไม่ได้นำมาโฆษณา
(เพราะพี่แกเล่นย้ำทั้งหน้าปกของหนังสือชุดนี้ทั้งซีรีย์ ตลอดจนสื่อวิทยุ
กรุงเทพ ว่า ยอดขายระดับหลายล้านเล่มทั่วโลก)
แต่ที่ไม่ประชาสัมพันธ์ก็ไม่แปลก รางวัลทุกรางวัล ใช่ว่าจะออกมาในทางที่ดี
ลองดูอย่างรางวัล ลาสเบอร์รี่เน่าที่ตรงข้ามสุดกู่กับรางวัลเทพออสการ์ชัดๆ
ตระกูล Twillight จึงไปเผชิญวิบากกรรม
จากรางวัลประเภท "รางวัลแสนจะอึกอัดใจของท่านผู้อ่าน" หรือ
Top Ten Books for Reluctant Readers จากสมาคมห้องสมุดอเมริกา
( American Library Association)
ที่พูดไม่ใช่อะไร มิใช่ต้องการทำลายจิตใจนักอ่านแฟนสเตฟานีที่เคารพ
เพราะในอีกด้าน ทางสมาคมห้องสมุดอเมริกาก็ดันไปประกาศ
ให้สายตระกูล Twillight ได้รางวัล "หนึ่งในสิบสุดยอดขวัญใจวัยโจ๋"
(Top Ten Best Book for Young Adults)
นอกจากนี้ก็ไปกวาดรางวัลมหาชนอีกเพียบ ทั้ง....................

-บรรณาธิการเลือกเฟ้น (Editor's Choice) และขายดีจังหว๋าแห่งปี ( Best Seller )จาก New York Times
-สุโค้ยแห่งปี (Best Book of the Year ) จาก Publishers Weekly
-ขายดีในรอบทศวรรษ และยังวัดยาวไกล (Best Book of the Decade...So Far) จากเว็บก้องโลก Amazon.com
และขายดีอะไรจะขนาดนั้น ปี ๒๐๐๘ (The best selling book of 2008) จากการตามติดของ USA Today




ประมวลขนาดนี้ ไม่ได้หมายความว่าผู้อ่านอย่างผมจะปลื้มอะไรกันมากกันนักกันหนา
แต่ผู้เขียนอย่างเจ๊เมเยอร์ เข้าใจนำองค์ประกอบของแฟนตาซีที่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน นำมาใช้ประโยชน์
พอๆกับ Harry Potter ที่เจ๊โรลลิ่งค์ ไปหยิบเอาพ่อมด-แม่มด
มาใช้ประโยชน์ให้กับสถาบันเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์
เพียงแต่ สายตระกูล Twillight จะเน้นในกลุ่มผู้อ่านที่เป็นวัยซ่าวัยโจ๋แรกแย้ม-หัวนมแตกพาน
มากกว่ากลุ่มเด็กประถมแบบ Harry Potter (เขียนอย่างนี้ ผู้เขียนก็ชอบงานพ่อมดน้อยเหมือนกันนะ)
ทว่า สายตระกูล Twiilight จะเน้นความดิบ-เถื่อน-ลึกลับและดำมืด
โดยให้ภาพของมุมมองทางความคิดและการอธิบาย อันมีตัวยืน คือ
น้อง Isabella "Bella" Swan เป็นตัวหลักของเรื่อง

ดังนั้น บุคคลท่านใดที่แวดล้อมหรือเป็นองค์ประกอบปลีกย่อย นั้นขึ้นอยู่กับว่า
คุณน้องจะให้ความสำคัญ มากน้อยเพียงใด ถ้าอินเลิฟมากก็จะกลายเป็นคู่รู้ใจ
อย่าง Edward Cullen แวร์ไพร์หนุ่มที่รักกันสักหวานหยาดเหยิ่มใน twillight หนังสือชุดเล่มแรก
กระทั่งสังหารสายพันธ์เดียวกันอย่าง James แล้วดูคล้ายจะครองรักกันอย่างมีความสุข
หากคุณน้องสนใจลองลงมา ก็จะเป็นพวก ไมค์ เจสสิก้า ชาลีย์ เบลลีย์ อันนี้ก็ว่ากันไป



พอมาในชุดที่สอง อย่าง New Moon คุณน้อง Bella ก็รักคุดไปสักงั้น
ตามประสารักต่างพันธ์ คงครบกันไม่ได้ คุณพี่ Edward ก็แสนดีเสียสละ เล่นอพยพกันทั้งครอบครัว
น้อง Bella ก็ดันเป็นสาวขี้เหงา ได้คุณน้องเด็กกว่า วัย ๑๔ อย่าง Jacob Black เป็นเพื่อนคู่ใจ
แต่ทั้งสองหาได้รักแบบพี่แบบน้องคิดซื่อ....ไม่ กลายมาเป็นหวานใจดามอก ลดช่องโหว่งกลางใจ
ของกันและกัน แต่ไปๆมาๆสักงั้น น้อง Jacob ของคุณน้อง ก็มีสายพันธุกรรมของทางมนุษย์หมาป่า
ไม่ต้องพึ่งจันทราเต็มดวง เพียงแค่โกรธาก็พร้อมที่จะแปลงกาย
ก็เหมือนปรับใจได้ดี เพราะน้อง Bella คนนี้ชอบของแปลกหรือของแปลกชอบเข้าหา
ไปๆมาๆ สายตระกูลแวมไพร์ Cullens ก็กลับมาเมือง Forks
น้อง Bella ก็กลับมาปิ๊งรักกับ Edward อีกที........(เห้อ เหนื่อยแทน)




เล่มสาม Eclipse น้อง Bella ก็ต้องเลือกแล้วสิ
ว่าจะเลือกสีเสื้ออย่างแวร์ไพร์หรือมนุษย์หมาป่า (ช่างน่าเลือกน้อ)
ขณะเดียวกัน แวมไพร์สาวที่ชื่อ Victoria ก็ตามหลอกล่อไม่เลิก
ยิ่งกว่านังอิจฉาบ้านเรา เพราะหล่อนเป็นคู่ขาของ James แวมไพร์ที่ถูก
พี่ Edward ฆ่า พวกแวมไพร์ก็แปลก ใครไปฆ่าคู่หูเขา จะตามแค้นไปทุกชาติ
แต่น้อง Victoria กลับไปแค้นน้อง Bella แทนคนรักพี่ Edward สักงั้น
จึงได้สร้างกลุ่มกองทัพยอ่มๆ นามว่า "กลุ่มจุติ" (newborn)
งานนี้ศัตรู คือ มิตร ทั้ง แวร์ไพร์กับมนุษย์หมาป่าผนึกกำลังกัน
(หนังสือก็เก่ง พยายามปูเรื่องราวตัวร้ายตนนี้อย่างเงียบๆ ทั้งที่คนอ่านนึกไปว่า
จบจากตัวร้ายอย่างพี่ Jamesแล้ว ก็น่าเป็นปัญหาชีวิตรักหรือไม่ก็ต่อสู้กับบอสใหญ่ต่อไป)
ความหรรษาและหฤหรรษ์จึงบังเกิดขึ้น.........แน่นอน
รักสามเศร้าของคนๆหนึ่ง ตนๆหนึ่ง และอีกตัวหนึ่ง ก็เกิดขึ้น พบพร้อมกันไป....................



เล่มล่าสุด Breaking Dawn กำลังอ่านอยู่ ................
และไม่ขอเล่าให้มาก เดี๋ยวหนังสือขายไม่ออก.....ฮา
โดยรวมแล้ว ก็เป็นการประยุกต์ทรัพยากรแบบไม่ต้องฟ้องร้องผ่านสื่อ
แบบแม่นากเวอร์ชั่นละครเวที มีอารัมภบทมากมาย พรรณนาโวหารอยู่ไม่น้อย
บทตลกก็ไม่ได้แสบสันแบบอารมณ์ขันให้มีรอยยิ้มที่มุมปาก
แต่เนื้อเรื่องชวนติดตาม หงุดหงิดในอารมณ์ของน้องเบลเป็นพักๆ
มีภาวะสตรีนิยมแบบ Feminist ปนอยู่หน่อยๆ เอาใจช่วยระคมปนสงสาร
ถ้าอยากเข้าใจหัวอกและความปรวนแปรของสตรีเพศ
หนังสือชุดนี้น่าจะตอบโจทย์ข้อนี้ได้พอประมาณ
ส่วนอสูรกายตามท้องเรื่องมีพอให้เป็นสีสัน
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคุณน้องเบล "โชคดี" หรือ "โชคร้าย" กันแน่
แต่ที่แน่ๆ คุณน้องจะต้อง "โชคเลือด" ในทุกๆ ร้อยหน้า ที่ได้อ่าน




อีกทั้งวรรณกรรมเล่มนี้ ยังถูกนำไปสร้างหนังที่ประสบความสำเร็จด้วยดี
ในกลุ่มวัยรุ่นเด็กแนว โดยมีการดัดแปลงเนื้อเรื่อง โดยกลุ่มผู้ผลิต Summit Entertainment.
โดยผู้กำกับสาวมีฝีมือ Catherine Hardwicke อดีตนักออกแบบเครื่องแต่งกาย
ที่เคยกำกับหนัง (ที่ผมคิดว่าห่วย) อย่าง Thirteen
(ก่อนหน้านี้เกือบเสร็จค่าย พาราเมาท์พิกเจอร์ส แต่ดัดบทสักไม่เหลือเค้าไป
จนต้องเลิกสัญญา)
โดยได้นักแสดงหนุ่มรับบทแวมไพร์ทที่ดูสาวออฟฟิคของผมจะรอให้ดูคอหอย
อย่าง โรเบิร์ต แพ๊ตทินสัน ผู้เคยรับบท เซดริก ดิกกอรี่ จาก Harry Potter and the Goblet of Fire
และ คริสเทน สจ๊วต เคยผ่านงานแสดงอย่าง Panic Room มาแล้ว
แวมไพร์ ทไวไลท์ มียอดซื้อตั๋ว ๗ ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขายรอบเที่ยงคืนอย่างเดียว
และยังเป็นที่ ๓ ของทั้งหมดจากการขายตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า
เป็นรองเพียง สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด ๓ กับ แบทแมน อัศวินรัตติกาล
โดยทำรายได้รวมในวันเปิดตัวที่ ๓๕.๗ ล้านเหรียญสหรัฐ
ถือเป็นหนังที่ทำรายได้เปิดตัวมากที่สุด สำหรับหนังที่ไม่ใช่ภาคต่อและหนังซัมเมอร์
หนังลงทุน ไปด้วยงบประมาณ ๓๗ ล้าน แต่กลับทำเงินเข้ากระเป๋าไปสักตั้ง ๒๗๙ ล้านในยอดล่าสุด...........................




ขอบคุณ wikipidia ทั้งภาคไทยและภาษาอังกฤษ
//www.hilight.kapook.com
สำนักพิมพ์ปราชญ่เปรี้ยว






 

Create Date : 28 เมษายน 2552    
Last Update : 23 สิงหาคม 2552 22:17:20 น.
Counter : 1872 Pageviews.  

The Curious Case of Benjamin Button ตอนเช้ากลับเริ่มที่สามขา

Benjamin,We're meant to lose the people we love.
How else would we know how important they are to us.
(เบนจามิน, เราถูกลิขิตให้สูญเสียผู้คนที่เรารัก ไม่งั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่า
พวกเขาสำคัญต่อเรามากแค่ไหน)


สุดท้ายก็ยังคงกลับมาเล่าเรื่องหนัง หนังที่มาจากดินแดนของฮอลลีวู้ด
เหตุที่ผมไม่ค่อยอยากจะเล่าหนังของภูมิภาคส่วนนี้ ไม่ได้มีอคติทางการตลาด
หรือทุนนิยมสามานย์ชนใดใด เพียงแต่มูลค่าความมหาศาลของตลาดส่วนหนึ่ง
มันมีเครื่องมือทางการประชาสัมพันธ์และการเข้าถึงการสือ่สารในหลายๆวิธี
นี้ยังไม่รวมถึงกลุ่มคนที่มีความชื่นชอบหลักเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว ที่ถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่
พอสมควร พอที่จะลากตัวผมทั้งๆที่ไม่ไดชื่นชมหรือติดตามอะไรมากมาย
เพียงเพราะเธอกลัวว่าจะไม่คุ้มกับค่าตั๋วที่ได้เสียไป..............แม้จะเป็นเรื่องที่ผม
เองไม่อยากรู้นักก็ตามที่

แต่กับหนังเรื่องนี้ ผมจำเป็นต้องเล่า ที่เล่าก็เพราะเป็นหนังที่ให้แง่คิดภายใต้
แนวคิดเชิงพุทธกระแสหนึ่งว่าด้วยเรื่อง "สังสารวัฏ" อันเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ถึงแม้ไม่อาจจะให้อารมณ์ร่วมประมาณ เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จประพาสสวน
แล้วเหลือบไปเห็นเทวฑูต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต เช่นนั้น
แต่ก็ให้ความรู้สึกว่า คุณค่าของการมีชีวิต อาจอยู่ที่การเข้าใจชีวิตที่เปลี่ยนแปลง
หรืออาจจะเป็นเพราะชีวิตแต่ละช่วงมีข้อจำกัดในการรับประสบการณ์ในแต่ละวัย
เคยมีคนมาตั้งคำถามชวน (ปวด) หัว ไหมครับว่า................อะไรเอ่ย?

"ตอนเช้ามีสี่ขา ..................ตอนเที่ยงเดินขาสอง...............ตอนดึกกลับเดินสามขา?"

ตอนแรกที่ได้ยินคำถามนี้ หมุนหัวคิดไปแปดตะหลบกับอีกสี่สโตร์ก
พยายามนึกว่า มันเป็นสัตว์ประหลาดจากดาวดวงไหนกันหว่า? แต่พอได้รับรู้
คำเฉลยเท่านั้นแหละ..............เป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้มาจากพิภพดวงไหนหรอก
แต่กลับเป็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ ที่เป็นมนุษย์อย่างเราๆ ที่เมื่อแรกเกิดหลานกระดืบสองมือ
กับอีกสองขา โตขึ้นมาหน่อยสามารถเดินตั้งไข่ได้มาหันมาใช้สองขา ยามเมื่อเข้าสู่วัย
ชราภาพ ไม้เท้ากลับกลายเป็นอวัยวะขาที่สามที่จะมาคอยพยุงหลุกเดิน
ที่ใครก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงความผันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติเฉกเช่นนี้ได้
เหมือนกับหนังเรื่องนี้ .......................................
The Curious Case of Benjamin Button ของผู้กำกับ เดวิด ฟิชเชอร์
ที่มักกำกับหนังแนวโหดออกจะมืดมน อย่าง seven และ fight club แต่ทำให้มันต่างออกไป
เพราะพี่แกเล่นเอาช่วงของการเดินสามชามาไว้อยู่ "ตอนเช้า"




ในหนังได้ผูกเค้าโครงต้นเรื่องกับสิ่งประดิษฐ์ที่ประหลาด สิ่งประดิษฐ์หนึ่ง
สิ่งที่ว่านั้น คือ "นาฬิกา"
หลายท่านได้อ่านคงแปลกที่ว่า "การสร้างนาฬิกามันน่าประหลาดตรงไหน?"
หากรอบการเดินของเข็มนาฬิกาเดินไปตามปกติ ก็คงไม่น่าจะใช่เรื่องที่แปลก
แต่มันแปลกตรงที่เดินถอยหลัง
นางเอกของเรื่องเล่าถึง เรื่องเล่าจากความทรงจำ ผิดหรือถูก จริงหรือเท็จอย่างไร
ไม่รู้ รู้อย่างเดียว คือ เธอได้เล่าแล้วว่า
ในปี ๑๙๑๘ มีการฉลองการสร้างสถานีรถไฟแห่งใหม่ในเมือง ที่พ่อแม่ของเธอ
ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ได้นำช่างมีฝีมือทางด้านนาฬิกาจากรัฐทางตอนใต้
ช่างคนนี้ตาบอดตั้งแต่กำเนิด เขามีลูกชายสุดที่รักหัวแก้วหัวแหวนอยู่คนเดียว
ลูกชายที่ปรารถนาจะไปรับใช้ชาติด้วยการร่วมออกรบ และสุดท้ายเขาก็ได้
กลับมาด้วยร่างที่ไร้วิญญาณ สร้างความสูญเสียทางจิตใจให้กับคนที่พ่ออย่างเขามาก
แต่การทำนาฬิกา จำต้องเดินหน้าอยู่ต่อไป............................แล้วก็ถึงในวันพิธีเปิดตัว
ฉลองนาฬิกาเรือนโตอันเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของสถานีรถไฟ
แห่งใหม่ วันที่ประธานาธิบดีรุสเวลท์แห่งสหรัฐก็มาร่วมเปิด ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้คน
ตะโกนด้วยความฉงนในนาฬิกาประดิษฐานชิ้นนี้ของเขา

it,s running backwards! (มันกำลังเดินถอยหลังนิ!) แล้วผู้คนต่างชี้ไปที่นาฬิกาเรือนโต
I made it that way. (ผมตั้งใจทำมันเองแหละ) ชายผู้ทำนาฬิกาขึ้นกล่าว
So that perhaps the boys that we lost in the war might stand and come home again.
(ในบางทีบุตรชายทั้งหลายที่ออกไปร่วมรบ อาจกลับมายืนและหวนกลับมายังบ้านเกิดของพวกเขา)

สงครามไม่เคยสร้างคำว่า "ชัยชนะ" ที่แท้ มีแต่ผู้แพ้กับผู้ที่แพ้มากกว่า เท่านั้น
ความสูญเสียจึงไม่ได้บังเกิดอยู่กับประเทศที่แพ้สงคราม แม้ผู้ชนะต่างก็รู้สึกถึงความสูญเสีย
จากคนที่เขารัก

ทั้งหมดสาบานได้ว่า เพิ่งเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่เรื่องราวของหนังที่แท้จริง
ทั้งหมดหาได้กล่าวเฉพาะแต่เรือ่งของสงคราม แต่เนื้อหาที่แท้จริงของหนังกับปรากฏอยู่ใน
ไดอารีเล่มหนึ่งในกระเป๋าเดินทาง โดยมีลูกสาวเป็นผู้เล่ากับแม่ที่กำลังสิ้นลมจากโรคชรา
ที่มีความรู้สึกหวนรำลึกปนความอัดอั้นในใจ ที่รอการคลี่คลายความลับบางอย่างที่ผู้เป็นลูก
ไม่เคยรู้ .......................................
ไดอารีเล่มนั้น เริ่มต้นบันทึกขึ้นในวันที่สิ้นสุด ๔ เมษายน ค.ศ. ๑๙๘๕ ในนิวออลีนส์

I don't have much to leave few possessions,no money really.
I will go out of this world the same way I came in alone and with nothing. All I have is my story.
(ผมไม่ได้ทิ้งอะไรไว้มากนัก ไม่มีสตางค์สักแดงเดียว ผมจากโลกนี้ไปเท่ากับตอนที่ผมเกิด
ผมมาอย่างเดียวดายและจะไม่มีสิ่งใดตกค้าง ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวในชีวิตของผม)

เพียงแค่หน้าแรกของไดอารีก็จี๊ดใจแล้ว เรามักได้ยินเสียงพำบ่นทั้งจากมหาเศรษฐีและ
กลุ่มพรรคกระยาจก ในสำนวนที่ว่า "เกิดมาก็ไม่มีอะไร ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้"
ส่วนท้ายสิ่งที่เหลือ ก็เพียงแค่คุณงามความดีและการระลึกถึงไว้ของคนในรุ่นหลัง
จึงมีคนกล่าวว่า อนุสาวรีย์ไม่มีวันตาย เพราะมันได้ถูกสร้างไว้ กันมิให้บุคคลรุ่นหลังลืมเลือน
นายเบนจามิน บัทตัน ไร้ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น มีเพียงเศษกระดาษไม่กี่หน้า ที่พอจะบันทึก
และมีเพียงแค่หญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งไม่เคยหลงลืมเขาไปตลอดกาล แม้แต่ลมหายใจครั้งสุดท้าย
ความจริงพี่เบนจามินคนนี้ หาได้เป็นคนยากไร้ตั้งแต่กำเนิด
ออกจะมีชาติกำเนิดจากตระกูลคหบดีเก่า ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมทำกระดุมขนาดใหญ่
ทว่าลักษณะหลังการกำเนิดของเขา ถือว่าเป็นเกิดแบบธรรมชาติทั่วไป ที่ทั้งปกติและไม่ปกติ
ปกติที่ว่า คือ คลอดจากครรภ์มารดา แต่ไม่ปกติตรงที่ เขากลายเป็นเด็กทารกที่มีรูปร่าง
แก่ ผิวหนังเหี่ยวย่น ซึ่งทีมช่างแต่งหน้าก็ทำสภาพเสียจนดูน่าเวทนาและขยักแขยงเป็นอย่างยิ่ง
ซ้ำผู้เป็นพ่อ มารับไม่ได้เนื่องจากเป็นสาเหตุให้ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากการให้กำเนิด
เด็กรูปร่างประหลาดพิลึก จนเกือบจะมีอารมณ์ชั่ววูบ คิดพาไปปล่อยทิ้งแม่น้ำให้รู้แล้วรู้รอดไป
แต่คล้ายจะเหลือความเป็นมนุษย์ในตัวอยู่ เลยเปลี่ยนมาปล่อยทิ้งไว้หน้าสถานดูแลบำบัดคนชรา
และที่น่าตลกกว่านั้น คือ มีสตรีผิวสีอุปการะอย่างรักใคร่ปานจะเป็นลูกคนหนึ่งของเธอเอง
เพราะหญิงท่านนี้ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้




ในตอนแรก แม้แต่หมอผู้เชี่ยวชาญก็ฟันธงไปว่า คงจะมีอายุรอดได้อีกไม่นาน
ด้วยอาการของเด็กทารกแต่มีสภาพร่างกายเหมือนกับคนแก่โรคชราวัยแปดสิบกว่า
ทุกคนทั้งผู้สูงอายุในสถานดูแลและกลุ่มคนดูแล ต่างให้ความรักใคร่และเป็นกันเอง
แก่เขา แม้แต่ตัวเขาเองก็เชื่อว่า คงมีอายุอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน ไม่มีโอกาสได้วิ่งเล่น
เหมือนเด็กคนอื่นๆ ต้องอาศัยรถเข็นขับเคลื่อนและมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด

I Had ten children , there's not a baby I can't care for Let me see him.
(ฉันมีลูกเป็นสิบ บัดนี้พวกเขาก็ต่างโตกันหมดแล้ว มาให้ฉันดูหน่อยสิ)
หญิงชราในศูนย์ดูแล เดินปลี่เพื่อที่จะขอดูหน้าตาเด็กคนนี้ ว่ามันจะยากในการรับมือแค่ไหนกันเชียว!

Oh, God in heaven ,he looks just like my ex-husband.
(โอ้! พระเจ้าทรงโปรด เขาช่างดูละม้ายคล้ายกับสามีคนก่อนของฉันเสียเหลือเกิน)

หญิงชรากล่าวอุทานทันทีที่เห็นใบหน้าของเด็กน้อยเบนจามิน



เด็กน้อยเบนจามิน ค่อยๆเติบโตไปพร้อมๆกับการเรียนรู้ ถึงการจากไปของผู้สูงอายุ
ไปทีละคนๆ เพื่อเข้าใจในชีวิตของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่ไม่ได้มีอะไรที่เครื่องกำหนด
ความจีรังหยังยืนของชีวิต วันนี้คุณได้ยินเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาคนนั้น
วันรุ่งขึ้นเขาอาจตายจากคุณไปทุกเมื่อ เมื่อพญามัจจุราชถามหาอายุขัยของเขาคนนั้น
เบนจามินจึงไม่เกรงกลัวความตายใดใดในศูนย์ดูแลฯ แห่งนี้
ซ้ำ! เขายังมองว่าความตายเป็นเพื่อนสนิทที่นิจนิรันดร์เป็นที่สุด
แต่ยิ่งอายุของเบนจามินเติบโตมากขึ้นเท่าไร สภาพร่างกายของเขาก็ค่อยๆดีขึ้นเท่านั้น
ดูมีเรี่ยวแรงวังชามากขึ้นตามลำดับ จากที่เคยนั่งรถเข็นก็ค่อยๆ เดินพยุงด้วยไม้เท้า
สันหลังดัดตรง จนป้าท่านหนึ่งนึกแปลกใจในพัฒนาการจากเคยได้ติดตามเห็นเขา
ตังแต่แบบเบาะ ถึงเอ่ยทักทายอย่างฉงนในงาน ขอบคุณพระเจ้า ในปี ๑๙๓๐

What elixir have you been drinking? (เธอไปดื่มยาอายุวัฒนะจากที่ไหนมาเนี่ย?)

และที่นั้น เขาก็ได้พบรักแรกเห็นกับเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อ Daisy
อายุของเดซี่ตอนนั้น ถ้าพี่เบนจามินคิดจะพรากผู้เยาว์ ก็คงได้ติดคุกกันหัวโตหลายปี
เพราะคุณน้องเธออายุตอนนั้นยังเด็กเอามากๆ
จนกระทั่ง เมือ่เขาอายุได้สิบเจ็ดปี เติบโตเป็นวัยรุ่นได้เต็มที่ (แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็น
คนแก่ที่อายุประมาณ ๖๐ กว่าก็ตามที) บางทีอายุก็เป็นเรื่องของจิตใจ ที่เรามักมองเงื่อนไข
ของอายุตามปฏิทินปีเกิดเป็นตัววัด ซึ่งมักสร้างกำแพงทางข้อจำกัดในการพัฒนาศักยภาพ
ที่แท้จริง เราจึงมักอ้างว่า "ตัวเองแก่แล้ว ไม่เหมือนกับสมัยหนุ่มๆสาวๆ"
ทั้งๆที่ สองมือกับอีกสองเท้ายังคงใช้การได้ตามปกติ ให้ตบหน้าตัวเองก็ยังรู้สึกถึงอาการเจ็บ
ได้อยู่ และแล้วพี่เบนจามินก็ออกเดินทางร่วมแล่นไปกับกองเรือผจญภัย
ไปมีประสบการณ์การร่วมกับทัพศึกที่อ่าวเพริลฮาเบอร์ เมื่อครั้งฝูงโจมตีรบทางอากาศ
ของญี่ปุ่นใช้ระเบิดหัวพุ่งแบบคามิคาเซ ไปพบรักแบบฉันชู้สาวกับนายกเทศมนตรี
พวกฝรั่งนี้คงมีวิญญาณความเป็นนักผจญภัยฝังอยู่ในสายเลือด ไปที่เล่นเอาหลายปี
จนน้องเดซี่สาวน้อยที่แอบหลงรักชายประหลาดอย่างเบนจามิน ทนรอแต่โปสการ์ดที่ส่งมา
ไม่ไหว เลยออกตามหาความฝันที่จะเป็นนักบัลเลย์ชื่อก้องโลก
สุดท้ายพี่เบนก็เดินทางกลับสู่บ้านเกิด ด้วยสภาพวัยที่ดูเป็นชายวัยกลางคนที่แลอ่อนเยาว์ลง
ผิดตรงที่มีประสบการณ์ชีวิตและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
หนังกลับมานิยายน้ำเน่าชุดเก่า เมื่อผู้เป็นพ่อสารภาพบาปที่ได้ทอดทิ้งเขา
และเตรียมยกมรดกโรงงานกระดุมประจำตระกูลให้บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา
โรงงานกระดุมที่จากเคยผลิตได้ไม่กี่เม็ดพอให้กลัดเสื้อได้ สู่การผลิตเพื่อส่งออกตามลัทธิอุสาหกรรมนิยม
เพราะอีกไม่ช้า เขากำลังจะตายด้วยโรคร้าย คล้ายจะเป็นบาปที่หวนกลับมาตามชำระบาปให้แก่เขา


You could be mad as a mad dog at the way thing went.
You can sweat and curse the fates
but when it comes to the end.You have to let go
(คุณสามารถคลั่งได้ดั่งหมาบ้ายามที่ต้องสูญเสีย คุณสามารถด่าและสาปแช่งในโชคชะตา
แต่เมื่อถึงฉากจบเมือ่ไร คุณก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมัน)


ตอนหลังคุณน้องเดซี่ที่กำลังจะไปได้ดี กับวงการบัลเลย์ทัวร์
ต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนเส้นขาขาดไม่อาจโลดแล่นในวงการได้อีกต่อไป
จึงได้หวนกลับมาพักที่บ้านเกิดอีกครั้ง และได้สานสัมพันธ์รักกับพี่เบนจามินอีกครั้ง
อันเกิดจากการเอื้ออาทรและให้กำลังใจแก่กันและกัน

You might have got a few more years out of it.
You chose to do something so special, unique
that there was only a short window of time you could do it.
So even if nothing ever happened,
you'd still be right here where you're now.
(เธออาจต้องใช้เวลาสัก ๒-๓ ปี กว่าจะทำให้เป็นปกติ เธอควรเลือกบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษและไม่เหมือน
ใคร คงมีเพียงหน้าต่างข้ามมิติเวลาเท่านั้น เธอถึงจะเปลี่ยนมันได้ ถ้าสิ่งที่ว่าไม่มีทางจะเป็นจริง
เธอก็ยังคงมีที่แห่งนี้ ที่ๆเป็นโลกปัจจุบันของเธอ)

ก็กว่าอายุของนักแสดงจะมาบรรจบ แบบไม่ต้องมาตื่นตั้งแต่ตีห้า
มาแต่งหน้า ปะแป้งใช้เทคนิคช่วย ก็มาง่ายเอาตอนเกือบจะท้ายเรื่อง เล่นกันด้วย
ใบหน้าและท่าทางจริงๆ ที่เราเห็นพี่ Brad Pitt กับ Cate Blanchett อย่างที่เคยเป็น
ไม่ต้องมา fake แสดงอากัปกิริยาแบบคนแก่ ขณะที่อีกคนพยายามแอ๊บแบ๋วแนวเด็กสุดๆ

I figure ,You born in 1918, 49 years ago. I am 43,
We are almost the same age. We're meet in the middle.
(ฉันมานึกสงสัย คุณเองก็เกิดในปี ๑๙๑๘ เป็นเวลา ๔๙ ปีที่แล้ว ส่วนฉันตอนนี้ก็ ๔๓ เข้าไปแล้ว
เราต่างก็มีอายุที่ไล่เลี่ยกัน เรามาบรรจบกันในช่วงวัยกลางคนพอดี)




เรื่องทุกอย่างในชีวิตคู่เหมือนทำท่าว่าจะไปได้ดี แต่แล้ว "เจ้าความคิดมาก" ก็มาหลอกหล่อน
ให้พี่เบนจามินหวนคิดถึงอนาคต เมื่อรู้ว่าลูซี่กำลังตั้งครรภ์และได้ให้ทารกน้อยน่ารัก
ที่ไม่ได้มีลักษณะพิเศษเฉกเช่นเดียวกับเขา

She's gonna need someone to grow old with
(ลูกจำต้องการใครบางคนที่เติบโตไปพร้อมกับเขา) ฝ่ายพ่อเริ่มเสร็จอาการกังวลให้เห็น

She'll learn to accept whatever happens. She loves you.
(หล่อนจะต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับกับความเป็นจริง ลูกรักคุณนะ) เมียเองก็พยายามเปลี่ยนความคิดเขา

แต่ประโยคสนทนาสุดท้าย ก็ทำให้ฝ่ายเมียอุบปากเงียบ ในเหตุผลของเขา


Honey,She needs a father, not a playmate (ที่รัก ลูกต้องการพ่อนะ ไม่ใข่เพื่อนเล่น)
You can't raise both of us. (คุณไม่สามารถพอที่จะเลี้ยงเราสองคนได้หรอก)

ท้ายกว่าท้ายที่สุด เรื่องราวของคำสาปแห่งชีวิตก็จบลงด้วยความเศร้า
พี่เบนจามินต้องยอมตัดใจในเช้าของวันหนึ่ง หายตัวไปเหลือไว้เพียงคำลา
มุ่งหน้าออกแสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต ว่าที่แท้แล้วเขาเกิดมา
เพื่ออะไร เกิดมาทำไม และเกิดมาเพื่อให้อะไรกับใคร.................
ไปยังดินแเดนแห่งโลกทางจิตวิญญาณและความศรัทธาทางเชื่อ
โลกที่ว่านั่น คือ ประเทศอินเดีย โลกที่เขาได้ให้นิยามกับมันว่า...............

For what it's worth, it's never to late
.....................To be whoever you want to be
There is no time limit. Start whenever you want
You can change or stay the same
There are no rules to this thing.
(สิ่งใดที่แลดูมีคุณค่า สิ่งนั้นย่อมไม่เคยมีคำว่า "สาย" เสมอ
.......................เป็นใครก็ได้ที่อยากจะให้เป็น ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา
นึกอยากทำอะไรก็ลงมือทำหรือจะเปลี่ยนแปลงหรือคงไว้ให้เหมือนเดิม
ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดใดที่จะมากำหนดในเรื่องนี้)

แล้วสรรพสิ่งที่ได้ไหลเวียนทั้งในส่วนของความคิด ประสบการณ์
การตั้งคำถามและความมุ่งหมายถัดไปที่กลั่นกรองจากคนๆหนึ่ง ที่ชื่อ เบนจามิน บัททัน
ก็ถูกสรุปรวมความ ลงใน "ไดอารี" เล่มที่ว่านี้

ถือเป็นหนังที่ผิดกลิ่น ในการกำกับของ เดวิด ฟิชเชอร์ ไปอย่างมาก
ตอนที่มีชื่อพี่แกติดหล้าบนตัวโปสเตอร์ ผมยังคิดออกไปอีกแนวในงานชิ้นก่อนๆของแก
หลายคนบอกว่า เพราะไปทำหนังให้เลียนแบบ Forrest Gump จึงทำให้มักพลาดในรางวัลใหญ่
แต่ผมมองอีกด้าน ผมมองว่าเป็นการคารวะต่อขนบชนิดหนึ่งที่ Forrest Gump ได้สร้างไว้
จึงได้หยิบนำมาใช้ ซึ่งแน่ละในแง่ความแปลกใหม่ในการนำเสนอ จึงแลดูไม่ตื่นตา
แต่เป็นหนังที่สมควรจะชมไปพร้อมๆกับ การใช้ปัญญาพิจารณาความหมายชีวิตในตัวเรา
ถือเป็นหนังไม่กี่เรื่อง ที่ผมอยากยกให้เป็น "หนังชีวิต" ที่แท้จริง
แม้เราอาจไม่ต้องมีชีวิตที่ประหลาดเทียบเท่ากับตัวละครในหนัง ไม่ต้องไปเผชิญประสบการณ์ในโลก
กว้างอย่างพี่เบนจามิน เพียงแต่เรามั่นพิจารณาสังขารอันไม่เที่ยงแท้ของมนุษย์
ไม่ว่างานนี้ตัวละครจะแก่ก่อนแล้วค่อยหนุ่ม หรือเกิดมาปกติแบบหนุ่มแล้วค่อยๆแก่ แต่ไม่อาจหนี
แก่นแท้ของชีวิต ที่ว่า.....................................................................................

"อะนิจจาวะตะสังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสังวูปะสะโมสุโข
สัพเพสัตตามะรันติ จะ มะริงสุจะ มะริสสะเรตะเถวาหัง มะริสสามิ นัตถิเมเอตถะสังสะโย
อะจิรังวะตะยังกาโย ปะฐะวิงอะธิเสสสะติ ฉุฑโฑอะเปตะวิญญาโน นิรัตถังวะ กะลิงคะลัง"

(สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีการเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความเข้าไประงับแห่งสังขารนี้ ย่อมเป็นสุข
สัตว์ทั้งหลายมีความตายรออยู่ ล้วนต้องตาย ต้องตายอย่างแน่นอน
แม้นตัวเราเองก็จักต้องตายเหมือนกัน อย่าได้กังขาเลยร่างกายนี้ไม่นานหนอ
จักต้องนอนทับถมแผ่นดิน..อย่างปราศจากวิญญาณความรู้สึก
ราวกับท่อนไม้ ไร้ซึ่งประโยชน์...)




ภาพเยอะๆ จาก //www.kapook.com




 

Create Date : 21 มีนาคม 2552    
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 23:36:36 น.
Counter : 944 Pageviews.  

slumdog millionaire หมาจนหาได้จนตรอกไม่?

Jamal Malik is one question away from winning 20 million rupees.
How did he do it?

(จามัล มาลิก เป็นหนึ่งของผู้เข้าร่วมคำถามชิงเงิน ๒๐ ล้านรูปี ถามว่าเขารู้ได้อย่างไร?)

a. He cheated (เขาโกง)
b. He's lucky (เขาโชคดี)
c. He's a genius (เขาอัจฉริยะ)
d. It's written (พรหมลิขิต)


เพียงแค่คำถามเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ก็น่าสนใจแล้ว (ตอบถูกได้เท่ห์ แต่ไร้รางวัล)
แต่จะยิ่งน่าสนใจยิ่งกว่า เมื่อทราบว่าหนังเรื่องขึ้นแท่นชิงเวทีใหญ่
ระดับรางวัลออสการ์ถึง ๑๐ รางวัล ได้มาถึง ๘ รางวัล แทบจะกลบหนังรางวัล
เจ้าอื่นๆ ในสายของตระกูลฮอลีวู้ด ยิ่งกว่านั้น หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับชาวอินเดียให้เซ๊งแซ่ แม้ก่อนหน้าจะได้รับคำด่าทอ-ผรุสวาท ว่าเป็นตัวการ
ที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับชือ่เสียงของภารตประเทศอย่างให้อภัยกันไม่ได้

ที่จริงแล้วดีวีดีที่เพิ่งไรท์กันอุ่นๆ แผ่นนี้ ผมไปได้มาอีกทอดจากเพื่อนนักดูหนังระดับเทพ
แกมักมีหนังที่คนสัมปะชัญญะทั่วไปเข้าไม่ถึง ทุกการไรท์แจกของแก จึงมักมีความชอบธรรม-
แฝงอยู่ เพียงเพราะว่าไม่มีนายทุนเจ้าไหนใจปล้ำพอที่จะซื้อลิขสิทธิ์เพื่อมาสร้างกำไรที่ไม่มีหวัง
อยู่ภายภาคหน้า ได้มาก็ยังงง ไปเปิดดิกฯเพื่อหาคำแปลว่า "slumdog" ก็ไม่มีปรากฎ
ให้ปัญญาญานแตกฉาน ยังคิดอยู่ภายในใจว่า จริงๆแล้วมันเป็นหนังอินเดียหรือหนังจากตะวันตก
เป็นผู้ลงมือทำกันแน่ (ว่าที่จริงแล้วเป็นทุนของอังกฤษอดีตประเทศอาณานิคม)
แต่จะไปสนใจทำไม? เพราะทุกวันนี้แม้แต่ทุนบริษัทจดทะเบียนสัญชาติไทย
ก็ไม่อาจแน่ใจว่ามีนอมินีถือหุ้นใหญ่จากใต้อาณัติของคนต่างชาติรึไม่?
ไปอ่านงานวิจารณ์หนังเรื่องนี้จากเหล่าบล็อกเกอร์ต่างค่าย ต่างก็มีเสียงออกมาในแนวทางเดียวกัน
คือ "ชื่นชม-ยินดี" ไม่เห็นมีใครหน้าไหนจะบอกว่า "มันไม่ดี" มีแต่ว่า "มันไม่ดี ที่ไม่เข้าโรงในบ้านเรา"
แต่อ่านมาก็ไม่ได้ ด้วยมีไม่น้อยที่คุณบล็อกเกอร์ "สปอยด์แอบถ่าย" เหมือนเกือบจะล้อนจ้อน ล่อนจ้อน
แต่ก็เฉลยไม่หมด หนังเรื่องนี้ต้องโม้กว้างๆ อย่าไปแตะในรายละเอียดมาก รู้เข้าจะหมดสนุก
ด้วยเจ้ารายละเอียดปลีกย่อยนี้แหละ คือ ตัวประสานชั้นดีของเนื้อเรื่อง
ไม่แปลกที่หนังเรื่องนี้ จึงไปได้ในรางวัลเกี่ยวกับโครงสร้างทั่วไป ไม่ได้มาจากรางวัลของเหล่านักแสดง
ชั้นเอกหรือชั้นรอง แต่ไมได้หมายความว่า จะแสดงไม่ดี แต่ผมกับรู้สึกถึงความสดใหม่ไม่ไปนึกโยง
หนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่คุณพี่นักแสดงเคยเล่นมาให้คอยเสียอารมณ์ซักงั้น และพระเอกก็ดูโง่ในเรื่องที่ไม่
สมควรโง่จริงๆ ตัวอย่าง รู้แม้กระทั่งว่าใครอยู่ในธนบัตรใบละร้อยของสหรัฐ แต่กับกลับไม่รู้ว่าใคร
อยู่ในธนบัตรรูปีของอินเดีย

? on the paper money involves the rupees.
ไอ้หนุ่มก็ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า "I unknows"

ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดของนักแสดงเท่าไร อาจจะรู้อยู่บ้างในส่วนของผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์
เพราะเคยผ่านตาจากฝีมือของแก อย่างเช่น The Beach, 28 Days Later และ Trainspotting
พอพูดถึงหนังอินเดียทีไร ผมมักจะนึกถึงอดีตนักบล็อกเกอร์ใน Mblog อย่างคุณ Winhid ทุกที
ก็พยายาม search ดูความคิดเห็นของหนังเรื่องนี้จากแก แย่หน่อยที่ อาgoogle ไม่ได้ให้ความเห็น
ในการลิงค์อะไรดีดีจากแกยิ่งนัก และได้ยินมาจากท่าน PAJIKA pijika (แก้ไขแล้วนะ) ตอนที่ชื่อว่า
จาก Q&A ถึง “เกมชีวิตพิชิตพันล้าน” สู่ Slumdog Millionaire เป็นการดัดแปลงมาจาก
หนังสือที่ชื่อ Q & A (2005)
โดยงานเขียนชาวภารตะที่ชื่อ Vikas Swarup. ซึ่งมีแปลไทยและเกือบเจ๊งด้วย!
หนังเริ่มต้นจากเมืองมุมไป ปี ๒๐๐๖ ที่ฉากการสืบสวนหาความจริงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสงสัยว่า
เด็กหนุ่มที่ชื่อ จามัล มาลิก ว่าทำไมถึงรู้และตอบคำตอบได้หมดทุกข้อ
จนกำลังจะไปถึงรางวัลใหญ่ในประวัติศาสตร์
เกมส์โชว์อย่าง A Millionaire คิวส์เกมส์สุดฮิตของอินเดีย ที่มีเงินมากถึง ๒๐ ล้านรูปี
ถ้าบ้านเราโดยฐานคนที่ร่วมเล่นรายการนี้ ก็จะเป็นพวกปัญญาชนระดับปริญญาตรีใบหนึ่งบ้าง
สองใบสามใบจากต่างสถาบัน ปริญญาโทก็ไม่น้อย เด็กนอกก็มี ข้าราชการซีสูงๆก็พอทำเนา
แต่นายจามัลคนนี้ เป็นเด็กที่อยู่และเกิดในสลัมใน Dharavi
และปัจจุบันเป็นเพียงเด็กเซิร์ฟน้ำชงชาเลี้ยงชีพไปวันๆ


จากนั้นหนังก็จะสลับฉากตัดไปตัดมาระหว่างการเข้าแข่งขัน-ชีวิตวัยเด็ก-การสืบสวน
แต่ไม่ว่าจะเสนอในส่วนของฉากไหน ล้วนแล้วแต่มีเรื่องที่น่าติดตามที่ค่อยๆคลี่ปมเงือ่น
ของความจริงที่แอบซ่อนโดยชุดคำถามแรกที่ผมโยนเอาไว้อยู่บนสุดโน่น จะเชื่อรึไม่?
ว่าทั้งสามเหตุการณ์ที่อ้างมา ต่างสนับสนุน เชื่อมโยงและสร้างฐานความเข้าใจตัวละครและ
สถานการณ์ที่ดำเนินตั้งแต่ต้นเรื่อง กลางเรื่องและบั่นปลายในที่สุด
ขณะเดียวกัน ก็ตีแผ่สังคมในมุมมืดของแต่ละมิติที่ผู้กำกับจงใจจะนำเสนอ



การแข่งขัน - ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ทะเยอทะยาน ความซื่อสัตย์ เสแสร้งแกล้งทำของตัวมนุษย์
ชีวิตวัยเด็ก- ความยากจน วรรณะ ช่องว่างทางเศรษฐกิจ อาชญากรรม ความขัดแย้งระหว่างมุสลิมกับฮินดู
การค้ามนุษย์และอวัยวะ แก๊งค์ขอทาน หัวขโมย ปัญหาเยาวชน อาวุธปืน ความเชื่อศรัทธา ลัทธิ
ความงมงาย โสเภณี ยาเสพติด
การสอบสวน - สิทธิมนุษยชน สิทธิของผู้ต้องหา ปัญหากระบวนการยุติธรรม สิทธิและเสรีภาพ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภูมิหลัง การเมือง อภิสิทธิชนสภาพ ความรุนแรง ศาลเตี้ย

..............................


ไม่น่าเชื่อเลยว่า อินเดียจะเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์ในด้วยลัทธิ ความเชื่อและจิตวิญญาณ
อีกด้านก็มีความทับซ้อนของอุตสาหกรรม ไอที เทคโนโลยีและชีววิทยา ขณะเดียวกันก็ยังประสบปัญหาถึง
เรื่องความความยากจน ความเลื่อมล้ำเหลื่อมล้ำทางโอกาสและทุกขภาวะอนามัย ในอาณาธิปไตยเดียวกัน

want to see the indian really isn't it. (อยากเห็นคนอินเดียจริงใช่ไหม เนี่ยไง)
ป.ล, หลังจากเด็กคนนั้นก็ถูกตบตีเพราะคิดว่าร่วมหัวกับพวกหัวขโมย
be we are the american really please a child. pay go on (เราก็เป็นมะกันจริงๆนะหนู เอาเงินไปซะ)
ป.ล. นักท่องเที่ยวเอาเงินฟาดหัวเพราะสงสารเด็ก




หนังเรื่องนี้ถือว่าใช้ดารา นักแสดงได้เปลืองพอดูชม โดยเฉพาพระเอก นางเอกและเพื่อนพระเอก
อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีนักแสดงถึง ๓ วัย ใน ๑ คน คือ เด็ก เด็กโตและวัยรุ่น แต่เขาก็เข้าใจสรรหาให้
หน้าแลดูคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะวัยเด็กว่ากันว่า ใช้นักแสดงเด็กสลัมจริงๆ จนเกิดปัญหาขึ้นหลังจาก
หนังได้รับการฉาย เมื่อเพื่อนบ้านในสลัมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
"แล้วลูกอีฉันไม่ดีตรงไหนหน้าตาก็ดีกว่า ผิวพรรณก็พุดผ่องกว่า"
(อันนี้ฟังจากรายการเวทีความคิด ที่ดร.วรากรณ์ สามโกเศศนำมาพูด)
จากหนังที่ลงทุนไปเพียงแค่งบการถ่ายทำ ๑๕ ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันทำรายได้ไปกว่า ๑๑๘.๕ ล้านดอลล์
( มาจาก web boxofficemojo ประจำสัปดาห์ที่แรกของเดือนมีนาคม เมื่อฉายไป ๑๖ สัปดาห์)
เสน่ห์ของชุดคำถามในรายการ ก็มีความสำคัญในฐานะตัวบีบคั้นให้สถานการณ์พลิกผัน เพื่อให้ตัวละคร
เอกก้าวข้ามอุปสรรคนั้นไปจงได้ ในฐานะที่เคยติดตามเกมส์เศรษฐีของพิธีกรคุณไตรภพมา
แม้จะเคยมีความคิดที่จะโทรขอเข้าร่วมรายการ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเปลี่ยนใจ หลังจากได้ยินคำบริภาษ
สาดเสียเทเสียของวงศาคณาญาติ ที่เห็นผู้ร่วมรายการเรียนมาเสียตั้งสูงแต่ตอบคำถามง่ายๆไม่ได้
หรือแม้จะขอตัวช่วยแล้วก็ตาม ซึ่งพี่จามัลก็เจอเมื่อลุงตำรวจเปิดวีดีโอตอนที่นายจามัลออกอากาศ

My five year daughter has answer this But Mr. can't answer
(บุตรสาวอั๊วยังตอบคำตอบนี้ได้ แต่ลื้อเด่เจือกตอบไมได้ซะเนี่ย)

แล้วถ้าเป็นทีวีสาธารณะทั่วทั้งประเทศละ ได้เงินรางวัลไม่เท่าไร แต่อาจได้คำตอบง่ายๆ
ที่ตอบไม่ได้ ให้กลายเป็นชีวิตที่ทุกข์ยากไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ในตัวเลือกสี่คำตอบ
เท่าที่ผมสังเกตจะมีสองคำตอบที่แลดูสูสีคู่คี่ ขณะที่มีหนึ่งคำตอบเป็นคำตอบ
ที่พอทุเลาแต่ไม่น่าจะใช่ข้อที่ถูกต้อง
และอีกหนึ่งคำตอบมักจะเป็นคำตอบที่ฟังดูตลกขบขัน (หากเลือกข้อนี้ ก็จะเสียผู้เสียคนไปในทันที)
ผู้ชมทางทีวีแรกเริ่มคงไม่คิดว่าเด็กเสริฟน้ำชาคนนี้ มีบุญญาธิการได้อย่างมากก็ไม่เกินข้อสองข้อ
แต่ไปๆมาๆ
ถูกต้อง.........ถูกครับ..........ถูกอีกแล้วครับ ..........เฮ้ย!ยังจะถูกอีกเหรอครับ
และ.......พระเจ้าเขายังไม่ยอมหยุดที่จะตอบได้ถูกอีก (วะ) ครับ

"เป็นคำตอบสุดท้ายครับ" (be last answer)
เสียงอ้ำอึงปนความไม่แน่ใจ ตั้งแต่เริ่มหัวข้อแรก จนปาเข้าไปในคำตอบ
ของ รอบรางวัลใหญ่ที่สูงที่สุด แม้ตัวพิธีกรจะป้อประโลมให้เด็กหนุ่มคนนี้เอ่ยคำที่แสดงถึงการหยุดเล่นเพื่อ รับเงินรางวัลที่เขาชอบใช้ว่า "เป็นค่ารถ" หรือ "ทุนการศึกษา"
แต่ดูเหมือนไม่สามารถที่จะหยุดไฟแห่งความเชื่อมั่นที่เด็กหนุ่มคนนี้มีอยู่อย่างเหลือล้น
เหมือนที่จะรู้ว่า ตัวเขานั้นรู้คำตอบไว้อยู่ก่อนหน้าแล้วในลำดับข้อต่อไป.....คงมีเพียง คำตอบที่เป็นอัตนัย
อย่างที่ผมได้หยิบยกเอาไว้แล้วสี่ข้อข้างต้น ซึ่งคนที่ดูหนังจบเท่านั้นจึงจะทราบได้
แต่สำหรับบางคนแล้วก็ไม่ได้อยากทราบหรอก ขอแค่เพียงได้รู้ว่าจามัลกับสาวคนรักที่ชื่อ ลาติก้า จะสมหวังอย่างที่ตั้งใจไว้รึเปล่า?
หญิงคนที่ว่าก็มิใช่ใคร เป็นเพียงเด็กสลัมที่พบเจอกันตั้งแต่วัยเด็ก............และยังคงตราตรึงประทับ
ออกจะน้ำเน่าปะปนอยู่เล็กน้อยแต่พองาม

I will wait for at 5 station o' clock everyday until she will come to
(ฉันจะรอที่สถานีรถไฟเวลาห้าโมงของทุกวัน จนกว่าเธอจะมา)

แม้แต่ความรักก็ยังรักแบบหมาจนตรอก สถานีก็ผู้คนออกจะพรุกพร่านโดยเฉพาะอินตระเดีย แค่การ
โดยสารรอบพิเศษผู้คนยังอุตส่าห์ป่ายปีนไปอยู่บนหลังคา เป็นที่หวาดเสียวชิงชังยิ่ง แม้ว่าความรู้สึกส่วนตัว
แค่การนั่งรถไฟชั้นสามก็ว่าแย่แล้ว! จามัลจึงเป็นหมาสลัมที่สู้ไม่หยุดทั้งเรื่องชีวิต ความรัก การต่อสู้
และเกมส์การแข่งขัน เขาไม่เคยเอ่ยแม้คำว่า "ยอมแพ้" มีแต่เพียงความมุ่งมั่น ศรัทธาและเชื่อมั่นในสิ่งที่
ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ จามัลจึงกลายเป็นสัญาลักษณ์สัญลักษณ์ในเชิงตัวแทนของความยากไร้ในประเทศอินเดียทั้งหมด
ผู้คนต่างเอาใจช่วยเชียร์ให้เขาสามารถคว้าเงินรางวัลในชุดคำตอบสุดท้ายของวันสุดท้าย
โดยที่เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า คนที่ไร้ราและชายขอบเช่นเขานี้ จะต้องมาแบกรับความหวังของผู้คน
เกือบทั้งประเทศ ประเทศที่มีประชากรราวกว่า สองพันล้านคน มีคนที่ไร้การศึกษา (no formal schooling)
อัตราส่วนชาย ๔๓.๓ หญิง ๗๒.๘ เปอร์เซ็นต์ และได้รับการจ้างงานเพียง ๒๗.๘ ล้านคน
(ข้อมูลจากหนังสือ Time Almanac 2008)

Go son go with my blessing and win it all.
(ไปเลยลูกชาย ไปทำตามคำอธิษฐานของฉันให้เป็นจริง)

เสียงหญิงวณิพกข้างถนน เมื่อเห็นเขาอยู่ในรถและรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ตัดสินชะตาครั้งยิ่งใหญ่ของเขา
แม้เธอจะไม่เคยรู้จักเขามาก่อน แต่ความผูกพันในฐานานุรูปแม้ไม่รู้ว่า จามัลจะนับถือในสาขานิกายใด
เธอก็พร้อมที่จะส่งแรงใจทั้งหมดที่มีให้กับเขา

slamdog millionaire จึงเป็นหนังโคตรดี! (เป็นคำตอบสุดท้าย!)
ที่ร้อยวันพันปีหนังที่มาจากสายตะวันตก
ผมจะหยิบจับมาเล่าสู่กันฟังสักครั้ง ออกจะแปลกใจเสียด้วยซ้ำ เพราะตัวหนังแม้จะจัดสร้างโดยทีมงานชาว
อังกฤษ แต่กลิ่นไอและรูปแบบแทบจะถอดแบบความเป็น Bollywood อย่างครบถ้วนกระบวนความ
ผสมกับความเป็น pop culture ให้มีเทคนิคเฉพาะตนและสีสันที่ดูจัดจานจัดจ้าน มีชั้นเชิงในการนำเสนอ
หนังอาจไม่ได้เต็มด้วยคำคมและการแสดงที่โชว์พาวด์อย่างออกหน้าออกตา
แต่ดำเนินเรื่องไปตามลำดับสลับฉากที่แลดูแล้วไม่เวียนหัว
ไม่สับสนว่า อ้าว! แล้วนี้ไป ไอ้นั้นมาแล้วอั๊วจะรู้เรื่องไหมหว่า เนื้อหนังเข้าใจง่าย
แต่มีสไตล์ที่ไม่ค่อยตามขนบของหนัง hollywood และไม่เข้าข้าง bollywood ไปในตัว
ฉากเต้นร่วมหมู่ที่ใครว่าไม่มี ตกลงดูจนจบแล้ว มันมีนะเพ่!!!!!!
แต่เขาเต้นกันอย่างถูกที่ถูกทางและถูกกาละเทศด้วย ที่สำคัญเต้นจนจบเพลงปิดล้อมสถานีรถไฟ
ชนิดขุดซากเหง้าเหล่านักแสดงให้ได้เผยตัวกันอย่างเต็มที
ตอนนี้เห็นว่ามีใน ลิโด้และสกาล่า ที่เอามาฉายต้อนรับเทศกาลหนังรางวัล แล้วผู้คนก็ต้อนรับอย่าง
อุ่นหนาฝาคั่ง หากใครมีเวลาหาหนังเรื่องนี้มาประเทืองจิตใจ ไม่ต้องมีชาติกำเนิดในสลัม
ก็ดื่มด่ำในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่สู้ไม่ถอย แม้จะจนตรอกก็แถกสีข้างแดดิ้นเอาตัวรอดได้ทุกผู้ทุกคนเอ่ย........


Fully to answer the question? พร้อมที่จะตอบคำถามรึยังครับ?



ป.ล. ในหนังยังมีฉากขบกัด อาชีพcall center ข้ามทวีป ซึ่งถ้าใครได้อ่าน World is Flat
ของ Thomas Fieldman ตรงหัวข้อ Outsourcing คงได้ฮากลิ้งเพราะไม่นึกว่าพี่ดอยล์
แกจะล้ำสมัยไปผูกเรื่องเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันจนได้..................


ภาพจาก //pradt.net


ข้อแถมเปรียบเทียบระหว่างวรรณกรรมต้นฉบับกับตัวหนัง จากแหล่งข้อมูล wiki

Differences from the book Q & A

The Bombay Hindu-Muslim riots played no role in the book, as the ethnic or religious heritage of the main character was uncertain. In the book, the character of Jamal is instead named 'Ram Mohammad Thomas'. He was given a Hindu name, Muslim name and Christian name by the village elders in order to maintain the balance between all the religious communities after his mother abandoned him after birth. Unlike the movie, Ram does not have a biological brother, but Salim is instead his best friend in the novel. He grows up in an orphanage and his only 'brothers' are his fellow orphans. He never knew his mother. Ram is adopted by a Christian priest as a youth, which is where he learns English, and then is nearly molested by a visiting priest. The priest scenes were not included in the script for the movie, and the movie does not explain how Jamal learned fluent English. Latika is not his childhood friend in the book but rather a prostitute named Nita that Ram falls in love with in a brothel when he's 18.











 

Create Date : 11 มีนาคม 2552    
Last Update : 22 มิถุนายน 2552 23:35:22 น.
Counter : 1950 Pageviews.  

ครั้งหนึ่ง ซึ่งเคยติดละคร



ถูกคนอื่นคนไกลทักเกี่ยวกับขอบตาที่ดำคล้ำ
ที่คล้ำก็เนื่องมาจาก สายตาที่ไม่ถูกละเลยอยู่กับหน้าจอทีวี
ทีวีที่ต่อสายพ่วงกับเครื่องเล่นวีดีทัศน์ที่บรรจุแผ่นเรื่อง
"Nodame Cantabile" หนังซีรีย์แดนปลาดิบ
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนที่หลงรักในบทเพลงคลาสสิคในสไตล์ของ
โมซาร์ท บีโธเฟน อะไรเทือกนั้น ในแวดวงนักศึกษาสาขา
ดุริยางค์ศิลป์ นำมาผูกโยงกับเรื่องรักๆใคร่ๆ ที่แสนวุ่นวาย
ตามภาษาการ์ตูนที่ดูไม่จริงจัง ทำเล่น จนหลายคนที่ได้ชมอาจรู้สึกว่า
ทำไมมันช่างดูการ์ตูนจ๋าในร่างนักแสดงที่เป็นคนเป็นๆ (แน่ละก็มาจาก
การ์ตูนนิ โดยฝีมือของ TOMOKO NINOMIYA)
โดยคอนเฟริม (แบบไม่มีท้อง) ว่า มันเป็นหนังไร้รสนิยม

ในตอนแรกตัวผมเองก็แทบจะเชื่อไปในทำนองนั้น
ตามภาษาคนฟังที่ติดตาม "ดนตรีและชีวิต (Music&Life) ทุกวันอาทิตย์
ตั้งแต่สามทุ่ม โดยการจัดรายการของ นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่นำเพลง
คลาสสิคอมตะแบบฆ่าไม่ตาย ผสมกับการบอกเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังในแต่ละบทเพลง
นอกจากนี้ก็อาจจะโผล่ไปฟังนอกคลื่นที่วิทยุจุฬาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ในเวลาที่ไหล่เลี่ยงกันกับคลื่นแรกที่เล่าสู่กันฟัง ในทุกวันจันทร์ถึงศุกร์
ที่นำเสนอรูปแบบรายการที่ไม่ค่อยจะแตกต่างกันนัก
ว่ากันด้วยเพลงบรรเลงเครื่องสายคลาสสิค คนนอกอาจรู้สึกรสนิยมมันสูงดีจัง
แต่ทว่า............ด้วยความที่เล่นดนตรีอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
จะให้ตีฉิ่ง ตีกรับ ก็แทบจะไม่เข้ากับองค์คณะที่เล่นด้วย
หลายคนจึงมองไปว่ามันเป็นดนตรีที่ฟังยากและสุดจะเข้าใจแบบหยั่งญาณทัศนะถึง
แต่สำหรับผมแล้ว ถ้ามันยังคงทำได้แค่บรรเลงและไม่มีเนื้อร้องที่เป็นภาษาอังกฤษ
ก็ถือเป็นคลื่นเสียงบริสุทธิ์ที่พอสะกดให้คนฟังอย่างผมรู้สึกไม่เดี่ยวดาย
ไม่อ้างว้าง อีกทั้งไม่ต้องกลางดิกชันนารีมานั่งแปลคำต่อคำ

"เพราะของอย่างนี้ มันใช้ใจเป็นเครื่องแปลความหมาย เพราะอ้างอิงอัตตาเป็นหลัก"

ดังนั้นเวลาที่ได้ยิน ไอ้ศัพท์เทพ อย่าง อาดาจิโอ หมายเลขสิบ ที่ทำให้ผมนึกไปถึง
โรเบอร์โต้ บักโจ้ อดีตผู้เล่นทีมชาติอิตาลีเบอร์สิบ หรือ บันไดเสียงจีไมเนอร์
ที่ปัจจุบันตัวเองยังไม่ค่อยสันทัดว่า แท้จริงแล้ว อักษรจีหรือเอชที่มันควรมาก่อนกัน
ศัพท์เฉพาะทางในแต่ละวงการ ล้วนแต่รับใช้ในฐานะสัญลักษณ์หรือทดแทนความหมาย
ในสังคมแคบ ตลอดจนกลุ่มคนในเชิงทักษะที่สูงกว่า
หมายความอีกทางว่า จะไม่มีความหมายทางสังคมวงกว้าง
เนื่องจากศัพท์เฉพาะเหล่านี้ เป็นเครื่องกีดกันคนนอกสังคมเฉพาะ
ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือเชื่อมโยงความเป็นกลุ่มคนพวกเดียวกัน
เหมือนกับเพื่อนประเทืองของผมที่ชาติขอร้องให้ละเว้น ด้วยการเป็นทหารกองเกิน
ก็มักหลุดศัพท์เฉพาะกลุ่มที่คนในออฟฟิคส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
พอไม่เข้าใจแล้ว เพื่อนประเทืองของผมก็มักบ่ายเบี่ยง โทษว่าสังคมมักไม่ยอมเข้าใจ
กลุ่มคนอย่างเขา..............................
ทั้งๆที่ พวกอั๊วต่างหากที่อยากจะบอกลื้อว่า ศัพท์แสงบัญญัติของกลุ่มลื้อต่างหาก
ที่มันอยู่นอกพจนานุกรม ที่ทำให้เราๆท่านๆทั้งหลายไม่เข้าใจ
หาใช่อคติในอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มที่หล่อนเดียดฉันท์อย่างง่ายๆ

โดยปกติแล้ว เวลาที่มีเพื่อนฝูงเสนอแผ่นวีดีทัศน์สักเรื่อง
หากให้เลือกระหว่าง "หนังซีรีส์" กับ "หนังภาพยนตร์ปกติจบในตอน"
ผมมักจะชี้นิ้วขออย่างหลังเป็นอันดับแรก โดยหาสนใจไหมกับหนังซีรีส์
ลองคิดดู ถ้าใช้หลักสมมติฐานทางจำนวน (an hypothesis of quantity)
หนังซีรีส์ที่เน้นความเป็นจำนวนมากตอน ยิ่งหากให้ดูกันฟรีๆแล้ว
น่าจะดูคุ้มค่ากว่า ดองนานก็ไม่มีค่าปรับ เพราะไม่ใช่ร้านเช่าวีดีโอ
คำว่าเพื่อนนั่นมีความหมาย..........................
ก่อนหน้านี้กระแสหนังชุดเกาหลีได้รับความนิยม ใครปฎิเสธก็เท่ากับตกเทรนด์
ไม่ต่างจากคนหลังเขา ที่สำคัญเขาที่มีนกเอียงเกาอยู่ด้วย
คำๆนี้...............โดนมากับตัว
กลายเป็นความผิดในฐานะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ที่ไม่จำเป็นต้องเรียกฑูตอีกฝ่ายมาตักเตือน ไม่ต้องยึดพาสปอร์ตเเดง!!
ก่อนหน้ามักมีผู้คนวิจารณ์ว่า หนังละคร เป็นสิ่งบันเทิงที่น้ำเน่า
ไม่มีแก่นสาน มีแต่ฉากความรุนแรงทั้งร่างกายและทางภาษาคำพูด
ดังนั้นละครหลังข่าว แทบจะทุกเรื่องและทุกสถานี
จึงมักมีประโยคก่อนนำเสนอเรื่องที่ว่า มีภาษาและภาพที่ไม่เหมาะสม
ควรให้ผู้ปกครองเป็นผู้แนะนำ............แต่กับคนยุคผม มันยังไม่มีขนาดนี้
กลับมีการ์ตูนตลกสั้นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับละครอะไรเลย จากนั้นละครก็ดำเนินการ
สมัยผม ละครอย่างดาวพระศุกร์ หรืออรุณสวัสดิ์ โค-ตะ-ระนิยมอย่างยิ่ง

ผมเคยมีเพื่อนหญิงคนหนึ่ง ที่แสนจะเป็นนางเอ๊กนางเอก
จะดื่มก็ต้องดื่มน้ำส้ม ดอกไม้ก็ต้องดอกกุหลาบเท่านั้น
กิริยาท่วงท่าก็แทบจะคัดลอกเวทีประกวดนางสาวไทยทรงผมยกกระบัง
และบนกระบังนั้น ก็ต้องมีหนังสือสองสามเล่มเทินบนศีรษะด้วย
แต่อย่าให้แม่ได้ดูละครหลังข่าวเป็นอันขาด
วิญญาณนางอิจฉาแทบสิงสถิตย์ เชิญหมอผีป่าช้าไหนก็ไล่ไม่ออก
ยิ่งตอนแม่ผัว ลูกสะใภ้ฉะกันทีไร แทบจะออกรับหน้าแทนนางเอก
เรียกหากิริยาการตบตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ว่าตัวละครทั้งสองเพียงแค่สบตากัน
ยิ่งเวลาดูละครในตลาดทีไร ก็ยิ่งสนิทกับกลุ่มแม่ค้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว

ผมจึงปฏิเสธละคร ไม่ใช่เพราะอคติในนัยยะของความเป็นละคร
แต่เป็นเพราะมนต์เสน่ห์ของความเป็นละครเป็นตอนหรือที่ซีรีย์ชุดก็สุดแท้แต่จะเรียก
คล้ายกับมีการเสพย์ติดชนิดหนึ่งที่เป็นนามธรรมสอดแทรกอยู่ภายใน
หากดูอย่างตั้งใจและต่อเนื่องแล้ว เหมือนกับเราได้ถูกวางโครงในใจและ
สัมผัสกับกลุ่มตัวละคร ยิ่งมาเจอกับการวางจุดพลิกผันของเนื้อเรื่องในช่วง
หน้าสิ่วหน้าขวางเข้าด้วยแล้ว การถอดตัวและก้นออกจากเก้าอี้
กลายเป็นสิ่งที่ยากพอๆกับ การกดลิฟท์ ที่รู้ว่ากดทีเดียว
ระบบกลไกของลิฟท์มันก็ทำงาน แต่ถ้าหากมันทำงานช้า ก็ไม่วายที่จำ
ต้องกดซ้ำหลายๆที อย่างละครก็รู้ว่ามันสมมติก็ไม่วายก็ยังเทียบเวลาดู
อย่างลุ้นระทึกและเอาใจช่วย แม้สุดท้ายจะรู้ (อีก)ว่า จะจบอย่างแฮปปี้เด็นดิ้ง
เพราะเพิ่งอ่านเรื่องย่อจากหนังสือพิมพ์หัวสี ก็ยังสนุกกับการได้ชมผ่าน
จอทีวีอีกที ความเป็นพรามไทม์จึงไม่เคยห่างหายจากความเป็นละคร
สิ่งก็ดีพอที่จะให้กลุ่มโฆษณาเสี่ยงกับราคาเผยแพร่สินค้าอย่างบ้าเลือด
ชนิดวินาทีต่อวินาที ละครจึงมิใช่สิ่งฟรีเพราะมีเรื่องแพ็กแก๊ตโฆษณาติดพ่วง
ทำเวลาเท่าๆกับละครหนึ่งตอน

ระยะหลังหนังซีรีย์หรือละครเป็นตอนๆ จึงห่างหายกับการมีส่วนรวมของชีวิต
เมื่อเผอิญไปมีหน้าที่การงาน การใกล้ชิดกับสิ่งต่อเนื่องในรูปแบบต่างๆก็น้อยลง
ละครในฐานะสิ่งอุปโลกน์แบบลวงๆ ที่ทรงคุณค่า ก็แทบจะลดน้อยถอยลงไป
อาจเพราะเราไปตีค่าความยิ่งใหญ่อีกสิ่งหนึ่งทดแทน
ในบรรทัดฐานเงื่อนไขเวลาที่มีเท่าเดิม
ยังดีที่ผมมีสิ่งที่พอทดแทน สิ่งที่เป็นละครชุดจากหนังภาพยนตร์จบในตอน
โม้เหมือนกัน .......แต่เวลาต่างกัน
แต่ก็ยังยืมจากมือเพื่อนคนเดียวกัน...........และมักหลงลืมที่จะคืนเช่นกัน (อีก)
เคยมีคนกล่าวว่า ละครเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ในฐานะเครื่องประโลมโลก
และสิ่งจรรโลงทางจิตใจของทุกผู้ทุกนาม
อีกทั้งความเป็นผลิตภัณฑ์ในฐานะเครื่องมือส่งออกทางวัฒนธรรมด้วยแล้ว
หน้าตาของความเป็นตัวแทนในชาตินั้นๆ แม้อาจไม่ตะโกนกรอกหูกันตรงๆก็ตาม
แต่เป็นสิ่งสะท้อนวิธีคิดและผลผลิตทางความคิดภายใต้เอกลักษณ์เฉพาะของชาติ
ที่ยากจะให้คนอีกชาติ หันมาผลิตซ้ำในมาตราฐานที่ใกล้เคียงกัน
(ดูจากหนังremakeหลายเรื่องที่ฮอลลีวู้ดเอาไปทำ แล้วเบ้กทุกราย)
การได้กลับมาดูหนังซีรีย์ที่ต้องแบกต้นทุนในเงื่อนไขของเวลาและความช้ำของ
ขอบตาด้วยแล้ว ด้านหนึ่ง ทำให้เราได้หวนมารำลึก พฤติกรรมเสพย์ติดของวันๆก่อน
ที่ไม่เอื้ออำนวยในสภาพชีวิตแบบปัจจุบัน อีกด้านหนึ่ง ทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลง
ในรูปแบบของการเสพความบันเทิงที่ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
อีกด้าน (อีก) การนำเสนอและวิธีถ่ายทอดเปลี่ยนไปวันเวลา ที่พอจะทำให้ละครที่
เคยเปรี้ยงปร้างในยุคสมัยเรา กลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปบัดดล
มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงและปฏิบัติอย่างชาชิน คือ
ยังคงยืมเพื่อนไม่ยอมลงทุน......................................เหมือนเคย.




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2551    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2552 14:57:22 น.
Counter : 975 Pageviews.  

sand's chronicle รักสี่เศร้าบวกเราอีกคน (ด้วย)




หยุดการเขียนที่ยั่วน้ำลายท่านผู้อ่านให้แสวงหาความบันเทิง
ผ่านทางภาพยนตร์ไปนานหลายสัปดาห์
ตามประสาคนบ้าเห่อ อะไรที่เป็นพักๆ
ดังนั้นวันหยุดสุดสัปดาห์ (แต่นรกในวันพรุ่งนี้) จึงขอแนะนำ
หนังดีสักหนึ่งเรื่อง หนังที่พระเอกไม่หล่อหรอกแต่นางเอกนี้ไปอยู่กลางใจเรียบร้อย
จากแดนปลาดิบอีกคนเสียแล้ว.......................

หนังเรื่องนี้สร้างมาจากการ์ตูน Shoujo ยอดนิยม คว้ารางวัล ในงานประกวดการ์ตูน
โชงะกุกัน มังงะ อวอร์ดส์ (หนึ่งในสถาบันการประกวดการ์ตูน ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น)
ครั้งที่ 50 จนได้รางวัลชนะเลิศด้านการ์ตูนหญิงๆ
หลายท่านอาจงง ไอ้คำว่า shoujo หมายถึงอะไร?
ถ้าคนที่ติดการ์ตูนญี่ปุ่นหงอมแหงมคงดูถูกพวกไม่อ่านในใจว่า
"ก็การ์ตูนประเภทตาโต ขายาว ผมสยาย ในแนวหญิงๆที่ชอบอ่านนักอ่านหนา"
โดยเฉพาะเจ้าตลาดการ์ตูนshoujoในไทยก็ต้อง สำนักพิมพ์บงกช ขาใหญ่วงตูนหญิงๆ
แม้แต่การ์ตูนเล่มนี้ ก็ได้รับการแปลไทย ก่อนเสียที่จะถูกไปทำเป็นละครโทรทัศน์
เมืองปลาดิบ ทางสถานีทีบีเอส(TBS) ความยาว 60 ตอน ฉายนาน 12 สัปดาห์
แต่แล้วสาวกก็ยังไม่จุกใจ นักลงทุนทำหนังจึงเห็นหนทางรวย จึงถูกนำมาสร้างเป็น
ภาพยนตร์ ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน การ์ตูนเรื่องนั่นมีชื่อว่า

Sands Chronicle หรือ ชื่อในไทยบนปกการ์ตูนว่า นาฬิกาทรายรัก
砂時計 แปลว่านาฬิกาทราย (อ่านว่า สึนะโดะเคย์)
ทรายส่วนที่ตกลงมาแล้วคืออดีต คือ ความรัก
ส่วนที่กำลังตกคือปัจจุบัน คือ ความคำนึงถึง
ส่วนที่ยังไม่ตกลงมาคืออนาคต คือ ความหวัง

แค่เกริ่นคำเปรียบเปรยนี้ อาการอ่านหนังสือไปชมภาพยนตร์ไป
ต้องเลือกเอาสักทาง หนังสือที่ว่าช่องทางลัดที่จะทำให้รำรวยท่ามกลางชีวิตของ
ผู้อ่านที่กำลังจนดักดานอยู่ กับความเปรยของหนังที่สะท้อนกับความเป็นจริง
สุดท้ายผมก็ต้องหวนมาพบกับความจริง เป็นความจริงที่สร้างมาจากตัวละคร
ลวงเพื่อสร้างมโนภาพที่ชัดเจนของชีวิต

เริ่มต้นของหนังก็ฉายมาถึงตอนสุดท้ายของเรื่อง ภาพที่ทุกคนต่างเหงยมอง
นาฬิกาทรายที่ใหญ่ยักษ์ในสถานที่ที่คล้ายกับท้องฟ้าจำลอง
หลายคนคงคิดถึงภาพความใหญ่ยักษ์ของมันไม่ออก
เอาเพียงแค่ว่า หากพลิกนาฬิกาที่เต็มฐานมากลับด้าน ก็ต้องรออีกหนึ่งปีเต็ม
ที่ขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องมองอยู่นั่น มีหนุ่มสาวสองคนจากคนละมุมห้อง
จ้องหน้ากันพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ไปเริ่มต้นที่ จ.ชิมะเอะ ในปี๑๙๙๕

เมื่อแม่กับลูกสาววัยสิบสี่ต้นกลับมาตายรังที่บ้านเกิด หลังจากชีวิตรักไม่ประสบกับ
สิ่งที่หวังในเมือง ขณะที่ยาย (แม่ของแม่) ก็จนปัญญาที่จะรับเลี้ยง
เพียงแค่ประโยคนี้ ก็ทำให้คนทั้งหมู่บ้านในชนบทโจษจันกันทั่ว
บ้านนอกนี้ดีน้อ........เพียงใครในหมู่บ้านมีอะไรนิดหน่อย......ต่างก็รู้กันยิ่งกว่าข่าวด่วนจากCNN
แต่กับในเมือง....แค่ห้องตรงข้ามของห้องพักเป็นใคร.....อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้
กลับกลายเป็นว่า คนทั้งหมู่บ้านเข้าใจว่า สองแม่ลูกนี้ถังแตกเพราะไม่มีเงิน
จนไปเดือดร้อน แอน (ที่รับบทวัยเด็กสาวโดย Indou Kaho เกิด๓๐ มิ.ย.๑๙๙๑
ที่กรุงโตเกียว -บอกลึกเพราะพี่ปลื้ม) ที่อยู่ๆมีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งโยนงานทำไม้ฝืน
มาให้ เด็กคนนั้นชื่อ ไดโงะ (รับบทโดย Ikemasu) ซึ่งก็จะเป็นพระเอกของเรื่อง
โดยที่ผมไม่ค่อยใส่ใจมันนัก และสถานที่รับจ้างทำไม้ฟืนนี้ก็เป็นของครอบครัวหนึ่ง
ที่มีสองพี่น้อง ฟุจิผู้สำเหนียงติดเมืองกรุง(รับบทโดยTsukata) และน้องสาวของฟุจิ ชื่อ ชิอิกะ
(รับบทโดยน้องOkamoto-คนนี้ก็ดีพี่ก็ปลื้มอีกคน) จากนั้นก็ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก
มายเกินไปกว่า คำว่า................................

รักสี่เศร้า ของเราสี่คน

ถ้ายุทธเลิศเคยทำหนังเรื่อง รัก/สาม/เศร้า มาแล้ว
โปรดจงรู้ว่ามีคนทำลายสถิติหนังพี่ไปแล้ว อีกทั้งเศร้าของหนังญี่ปุ่นเขา
ไม่ได้เศร้าเล็กน้อย แต่เศร้าตั้งแต่เด็ก..................ไปจนโต

หนังไปมีจุดหักเหใหญ่ทันทีตั้งแต่ต้นเรื่อง เมื่ออยู่ๆกลางดึกแม่ของแอน
ออกจากบ้าน แล้วหายตัวไป มีเพียงคำบอกลาสั้นๆว่า "ไม่ต้องตามมา"
จากนั้นมาพบว่า แม่ของเธอเป็นศพไปเสียแล้ว ด้วยการกรีดข้อมือบนหาดทราย
ในเมือง "ทราย" จึงกลายเป็นตัวแทนความเศร้าทั้งในเรื่องของเวลาและ
สถานที่พลัดพรากแม่ของเธอไป
สุดท้าย แอนจึงรู้สึกว่าเธอเองไม่เหลือใครอีกแล้ว ไดโงะ เด็กหนุ่มในเมือง
จึงมาต่อเติมส่วนที่เหลือของการขาดช่วงนั้น แม้จะไม่ได้เอ่ยปากบอกชอบแอนตรงๆ
แต่การที่พูดเปรยๆว่า
"ต่อไปนี้ ฉันจะเคียงข้างไม่ทอดทิ้งเธอ" ก็ซื้อใจน้องแอนของพี่ได้อยู่เต็มหัวใจ
อย่างน้อยๆ คุณน้องแอนก็ยิ้มรับแบบปลื้มๆ ต่อไอ้คำเชยๆแบบบ้านนอกๆของ
ชาวเมืองชิมาเอะ แต่พอมีเพลงบรรเลงคลอๆกับบรรยากาศบนผาที่เห็นธรรมชาติ
อันเขียวขจีโดยรอบ มันก็ทำให้หนุ่งแมนๆอย่างผม เผลอใจซาบซ่านได้เช่นกัน



หนังทำท่าว่าจะกลายเป็นหนังรักกระหนุ่งกระหนิงของเด็กหนุ่มสาวมัธยม
แต่แล้วพ่อของแอนก็มาปรากฎเพื่อจะนำตัวแอนกลับไปอยู่ด้วยกันที่เมืองโตเกียว
ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กม.ต้น กำลังจะขึ้นม.ปลาย
ความจริงแล้วพอ่ของแอนพยายามที่จะติดต่อลูกสาวโดยการส่งจดหมายมาโดยตลอด
แต่ถูกฝ่ายผู้เป็นยายแอบเก็บจดหมายไว้ ไม่ให้แอนเห็น แต่สุดท้ายมีรึ ที่เด็กสาว
อันแสนฉลาดอย่างแอนของพี่จะไม่ค้นพบ สุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างแอนกับ
ไดโงะกับความหลังของเมืองชนบทที่ทำให้การพูดของเธอกลายเป็นคนท้องถิ่นเกือบจะเต็มร้อย
ก็เปรียบเหมือนนาฬิกาทรายที่กำลังเต็มด้าน
พร้อมที่จะวกกับตั้งต้นใหม่อีกครั้ง โดยแอนเลือกที่จะไปอยู่กับพ่อที่เมืองโตเกียวอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนจะจากกันแอนได้ให้นาฬิกาทรายอันเล็ก ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ของแอนได้มอบให้แอน
ไว้ก่อนที่จะเดินทางกับบ้าน ไว้ให้สำหรับคนรู้ใจอย่างไอ้หนุ่มไดโงะ
สิ่งนี้เป็นของสำคัญที่แม่ให้ และแทนใจของการจะกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง
และสถานที่ๆร่ำลา ก็คือบนพื้นขาวของหาดทรายอีกเช่นกัน

แต่ชีวิตเมืองกรุงไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะคุณพี่ฟูจิ ลูกครอบครัวเจ้าของบ้านไม้ฟืนก็
เลือกเรียนต่อที่โตเกียว จุดประสงค์ก็เพื่อจะเคลีย์ใจกับคนที่คิดว่าเป็น
พ่อของเขา ฟูจิจึงมีชีวิตแตกแยกที่คล้ายกับแอนและที่สำคัญกว่านั่น
ตรงที่แอบชอบแอน แล้วครอบครัวนี้ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะช่วงที่แอนกับ
ไดโงะแยกติดต่อกันนั้นเอง น้องสาวของนายฟูจิก็ดันไปสารภาพรักกับไดโงะ
กันสักงั้น เรื่องราวก็เลยอลวนอลเวงพระคุณเจ้า เพียงแต่เนื้อหาและการนำ
เสนอออกจะเข้มข้นจริงจัง แต่สุดท้ายดูจะอ่อนด้อยไปบ้างในยามที่ทุกคนต่างโตขึ้น

Sand's Chronicle อาจจะกลายเป็นหนังรัก-เศร้า-โรแมนติก แบบหนังญี่ปุ่นทั่วๆไป
ยิ่งพอมารู้ว่าเอาเนื้อเรื่องจากการ์ตูนมาทำเป็นหนัง ความเเก่นสานของเรื่องอาจ
จะดูอ่อนลง แต่กับ Sand's Chronicle หาเป็นเช่นนั้นไม่?
ต้องไม่ลืมว่าผู้กำกับ Shinsuke Sato อดีตเป็นนักเขียนบทหนังมือพระกาฬ
เคยผ่านงานเขียนมาแล้วจากเรื่อง Sunflower (2000) Spring Snow (2005-เรื่องนี้
ทันได้ดู) หนังที่มาจากการ์ตูนชุดแล้วต้องมาให้จบในหนังหนึ่งเรื่อง เนื้อหาที่หยิบยก
จึงไปตกกับดารารุ่นเด็กเสียมาก
เรื่องนี้คิดว่าผู้กำกับคงเข้าใจแล้วพยายามประคองเรื่องโดยใส่ใจกับพัฒนาการ
ของตัวละครของนักแสดงผู้ใหญ่ แต่สุดท้ายอย่างไรเสียก็ไม่อาจปล่อยให้นักแสดง
วัยโตอย่าง Nao Matsushita (เล่นบทแอนตอนโต) Daigo Kitamura (เล่นบทไดโงะ
ตอนโต) แสดงบทบาทและฝีมือได้อย่างเต็มที่
ผู้กำกับจึงต้องสลับฉากวัยเด็กกับวัยโตโดยเกือบตลอดตอนท้ายเรื่อง
เพื่อให้ทราบถึงภูมิหลังและเจตจำนงของการกระทำในตัวละครเอก
อาทิ ทำไมไดโงะจึงพยายามเก็บตังค์โดยแลกกับการลาออกจากชมรมยูโดเพื่อไป
ศาลเจ้าไดซุโงะ
ทำไมแอนจึงขอบอกเลิกกับไดโงะเสียกลางคัน ทั้งๆที่น่าจะไปกันได้ดี

เนื่องจากเป็นหนังที่เล่นกับความทรงจำวัยเด็ก และจุดบกพร่องของตัวละคร
ค่อนข้างเยอะ วาทะเด็ดๆที่เหมือนพูดสนทนาในตอนเด็ก ดันมาจี๊ดกลางใจ
ในช่วงท้ายๆหลายต่อหลายตอน เช่น การถามชื่ออีกฝ่ายว่าชื่ออะไร?
ความเข้มแข็งเกิดจากความอ่อนแอ เป็นต้น
คำเหล่านี้จะไม่มีความหมายต่อความอื่น แต่ถ้าเป็นกับตัวละครมันจะได้ใจ
ไปพร้อมๆกับคนดูที่ส่อดเรื่องรักๆใคร่ๆของตัวละครมาตั้งแต่ต้น
มาอิจฉาตอนกลางๆเรื่อง และพร้อมจะยอมให้อภัยในท้ายที่สุด

ท้ายที่สุดทุกอย่างในชีวิตอีกสิบสี่ปีต่อมาก็นำพาชีวิต บทเรียนและอุปสรรค
นานัปประการพร้อมกับนาฬิกาทรายที่อยู่ในมือ (อันที่ถือคืออันใหม่ อันเก่ามันแตกไป
พร้อมๆกับใจที่สลายของใครบ้างคน)
แอนที่เคยโทษความอ่อนแอของแม่ (แต่แท้จริงแม่เธอเข้มแข็งจนเกินไปเสียยิ่งกว่า.....
อันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม)
โทษความไม่เอาไหนของพ่อที่ไม่มาร่วมงานศพ (ซึ่งที่จริง ถูกยายปิดบังเอาไว้)
จนเมื่อเธอโตขึ้น เธอไม่เหลือใครให้โทษ เธอจึงมาโทษตัวเอง ซึ่งเธอคงหลงลืมไปว่า
ทุกคนพร้อมที่จะยกโทษและให้กำลังใจอยู่เคียงข้างเสมอ......เหมือนคำที่คู่หมั่น
ที่บอกว่า ทุกครั้งที่เธอเจ็บ เธอคงลืมคิดไปว่ามีใครเจ๊บพร้อมกับเธอยิ่งกว่า
คู่หมั่นเธอก็ดี๊ดีน้อ........แต่ดีแบบในการ์ตูน ไม่ยื้อมากเดี๋ยวมันหลายตอน

สิ่งที่เสียดายจากหนังเรื่องนี้
............................เสียดายบทบาทตัวละครฟูจิกับชิอิกะ ที่คิดว่าในการ์ตูน
น่าจะมีมากกว่านี้
............................เสียดายที่นางเอกวัยเด็กกับตอนโตดูจะไม่ค่อยคล้ายคลึงกันเท่าไร
แต่พระเอกกับนายฟูจิ อันนี้คล้ายกับตอนเด็กดี
...........................เสียดายที่หนังเรื่องนี้น่าจะทำให้เราฟูมฟาย แต่ถูกทดแทนด้วย
คำพูดซึ้งใจกับบรรยากาศเขียวๆของท้องทุ่ง
..........................เสียดายน้องแอนตอนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่งั้นจะเอาแม่
มาขอ@@@@@

เอาเป็นว่า เป็นหนังที่ดีที่มีเสน่ห์ของตัวเอง ไม่ได้ทำให้เด็กหญิงวัยแรกแย้ม
ชมเพียงเท่านั้น ผู้ใหญ่แก่ประสบการณ์และไม่เคล็ดในความรักมาดูเรื่องนี้
น่าจะมีแง่คิดอะไรในคิดต่ออีกมากมาย
ว่าแล้วสองคนทั้งสองหลังจากส่งยิ้มให้กัน พวกเขาก็หันไปเหงยจ้องนาฬิกายักษ์
นั้นอีกครั้ง พร้อมกับอายุที่แก่กันไปพร้อมกันอีกหนึ่งปี (เพราะมันจะพลิกกลับ
เฉพาตีหนึ่งของวันที่หนึ่งเท่านั้น)



ข้อมูล จาก//www.siamzone.com/movie/
//kobbit.multiply.com/reviews/
















 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2551 21:39:55 น.
Counter : 1844 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

Mr.Chanpanakrit
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]




Friends' blogs
[Add Mr.Chanpanakrit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.