Buzzer Beat:Love Make Me Strong
ต้องมาสาราภาพบาป ผ่านบล็อกอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งหนึ่งที่เคยปรามาสซีรีย์ญี่ปุ่นอีกหนึ่งเรื่อง ด้วยใช้ส่วนของหางตาเป็นเครื่องตัดสินใจ เพราะเคยให้ความเห็นในช่องคอมเมนต์ของท่าน prysang@bloggang เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ปีนี้ ในหัวข้อบล็อกที่ชื่อว่า "Buzzer Beat เรื่องรักโรแมนติกแห่งปี" ไว้ว่า "ด้วยอิทธิพลของ slumdunk รึเปล่า? ทำให้หนังติดโครงสร้างนี้เสียเกือบหมด แต่ดูทว่า เรื่องนี้คงไม่เสียแล้ว รึกแต่ไม่ลึก ซีรีย์แบบนี้ค่อยหามาดูดีกว่า" เป็นการวางความคิดเห็นแบบสั่วๆ เนื่องจากไม่เคยได้ยลซีรีย์เรื่องดังกล่าว ก็เลยคิดเป็นตุเป็นตะ ด้วยเห็นภาพตัวละครชาย-หญิงทีไร แล้วมีลูกบาสมาเคาะอยู่ข้างๆ ก็จะโปยใส่ว่ารับอิทธิพลกระแสการ์ตูนไปสักหมด ยิ่งมาเจอมาเมตตาธรรม ด้วยเพื่อนบ้านเจ้าประจำอย่างท่าน ManLHC@bloggang ช่วยเตือนสติ ในช่องคอมเมนต์ของหัวข้อเรื่อง "Slow Dance ปล่อยชีวิตตามจังหวะสโลว์" เป็นท่านแรกแบบไก่โห่ ไว้ว่า.............. "ช่วงนี้ยังคงเน้นเรื่องเก่าอยู่เช่นเคย" เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ภายในปีนี้เช่นกัน จึงบังเกิดอาการร้อนตัวแบบเจ้าเข้า เกรงว่าพี่ๆน้องๆจะคิดเดาว่าบล็อกนี้มาจากกรุพิพิธภัณฑ์ บังเกิดมาเพื่อรณรงค์อนุรักษ์ของซึ่งเก่าเอามาเก็บกิน เลยสำแดงลูกมั่วตามตอบกระทู้เพื่อนบ้าน อย่างไม่ค่อยตรงประเด็นเนือ้หาสาระนัก เพราะลงติดอยู่กับห้วงเวลาสักสิบถึงสิบห้าปีก่อน เป็นตาเฒ่าที่ไร้เดียงสา กับเนื้อหาสาระในปัจจุบันของโลกซีรีย์ญี่ปุ่น ที่อ้างดารามาแต่ละคน คงมีไม่น้อยที่ต้องออกอาการเสียยี้ ประมาณว่า "หยิบใครมาแต่ละที ช่วยรบกวนให้พวกหนูได้ลิงค์จูนติดกันหน่อยนะเฮ้อ" ครั้งนี้จึงถอยห่างจากกรอบกาลเวลาส่วนตัว มาร่วมแชร์กับสิ่งที่ได้ยลล่าสุด รับรองได้ว่า นำเทรนด์แบบโหนกระแส ไม่ให้เป็นที่อับอายประชาชีญี่ปุ่นซีรีย์ก็แล้วกัน แม้อาจจะช้ากว่าใครหลายคน ก็ถือโอกาสเอาข้อมูลทรรศนะของเขาเหล่านั้นมากล่าวอ้าง เพื่อเสริมความน่าเชือ่ถือให้กับบล็อกตัวเองเพิ่มขึ้น (และก็ยกบาปให้กับข้อมูลที่กล่าวอ้างไปในตัว) กับซีรีย์เรือ่งล่าสุดปีนี้ ของค่าย ฟูจิทีวี นามว่า Buzzer Beat เป็นซีรีย์ที่เริ่มฉายแดนฮอนด้า เมื่อกลางเดือนกราฎาคมมาจบเอาในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ศิริครบสิบเอ็ดตอนแบบเต็มอิ่ม ที่อยากจะแนะนำให้แฟนๆยามะพี ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เหตุที่บอกให้ไม่สมควรพลาด เพราะด้วยมากลับมาครั้งนี้ ยามะพีหรือชื่อที่เป็นทางการว่า "ยามาชิตะ โทโมฮิสะ" นอกจากต้องแสดงบทบาทในการแสดงแล้ว ยังต้องแสดงความสามารถในกีฬาลูกยางป้องเป้งสุดเลิฟของเขา นั่นก็คือ บาสเกตบอล ถึงแม้ที่จริงแล้ว สัดส่วนความสูงของพ่อหนุ่มคนนี้ ก็ถือว่าตามระดับมาตราฐานวงการบันเทิง ซึ่งสูง ๑๗๕ เซนติเมตร แต่เมื่อต้องมาเล่นร่วมกับนักกีฬาบาสท่านอื่นๆแล้ว การรับบทพอร์ยการ์ดตัวเล็ก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะถ้าพี่อยากร่วมในทีมบาส ในระดับความสูงที่ต่ำกว่านี้ ก็คงต้องเป็นเด็กเก็บลูกไม่ก็เด็กเสริฟน้ำ เพื่อให้ได้ชื่อว่า ยังได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในทีม แต่ทีมครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นทีมกระโหลกกะลา ที่จัดเล่นตามงานกุศล โดยใช้กระแสความเป็นดารา ที่ต้องนัดผ่านเอเจนซี่ในสังกัด ให้สื่อบันเทิงได้กรี๊ดกร๊าด หรือมุ่งไปสู่ความฝันของเด็กม.ปลาย ตามฉบับเป้าหมายสูงสุด คือ สนามกีฬาโคชิเอ็ง เพราะยามที่นั่นก็จะสวนกลับมาว่า "ไอ้หนู นี้มันสนามแข่งเบสบอลนะเฟ้ย" แต่เป็นเรื่องการเล่นเทริน์โปร เอาจริงเอาจังถึงขั้นเป็นอาชีพเพื่อหาเลี้ยงชีวิต มีระบบสังกัดทีม ต่อสัญญากันปีต่อปีเสร็จสรรพ เรียกร้องค่าจ้างเพดานเงินเดือน มีหน่วยงานบริหารจัดการแบบครบวงจร ทั้งการออกแบบเสื้อทีม สัญลักษณ์ ของที่ระลึก การสร้างแฟนคลับ ออกแบบเว็บไซด์ ติดต่อโฆษณา และอีกร้อยแปดพันประการ ถึงกระนั้น วงการบาสเกตบอลในบ้านเขา ก็ยังไม่เป็นที่นิยมอยู่ดี เหมือนที่เพื่อนพระเอกในตอนที่ร่วมมาเลี้ยงสรรค์สรร แม้จะเคยร่วมเล่นบาสกันมาในตอนเรียน แต่ก็รับรู้ว่า เป็นกีฬาที่ไม่อาจฝากชีวิตด้วยการแข่งขันเหย้าและเยือน ตราบใดที่จำนวนคนเล่น ประมาณสามแสนคน แต่มีคนเอาจริงเท่ากับช่องว่างระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง แล้วยังต้องใช้ระดับ สายตาหรี่มองลงไป การทำงานบริษัทกินเงินเดือน จึงเป็นทางออกที่ดีสักกว่า แม้จะไม่มั่นใจที่เลือกในตอนแรก แต่ก็มั่นคงในระยะยาว ถึงกระนั้นก็มีพระเอกยามะพีของเรา ที่กล้าเลือกหนทางในกีฬาที่รัก โดยรับบทเป็น "คามิยะ นาโอกิ" นักบาสดาวรุ่งอาชีพสังกัดในทีมที่อ่านออกเสียงยาก ทีมหนึ่งในโลกว่า JC ARCS เผอิญว่าได้เข้ามาเล่น ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ทั่วโลก ทั่วโลกแค่ไหน ก็วัดเอาจากการที่พรรคที่เคยเป็นรัฐบาลเสือนอนกิน ยังต้องกระเด้นหล่น ไปเป็นพรรคฝ่ายค้านได้เลย ค่าตัวที่น่าจะได้สูงขึ้นในการเซ็นสัญญาปีต่อปี กลับกลายมาเป็นการลดเพดานเงินเดือนต่ำเตี้ยเรียดิน ถ้าเท่าเดิมพี่แกจะไม่บ่นเลย และทางต้นสังกัด ก็จะไม่รั้งตัวผู้เล่นไว้ หากคิดจะย้ายทีมเพื่อไปเล่นให้ทีมอื่น หรือรีไทร์ตัวเองเพื่อไปประกอบสัมมาอาชีพอื่น เจอเม็ดนี้ก็ต้องถือว่า......งานเข้า! ที่งานเข้าก็เพราะว่า พี่ยามะพีมีแผนที่จะขอแต่งงานกับหัวหน้าเชียร์ลีดเดอร์ นาโอมิ นัตซึกิ ที่เล่นโดย อาอิบุ ซากิ (เคยเล่น Attention Please และ รับเชิญใน MR.Brain) ความจริงแล้ว จะเรียกว่าเป็นเชียร์ลีดเดอร์ก็ไม่ถูก ต้องเรียกว่า ทำงานบริษัทกินเงินเดือนเหมือนกันนี้แหละ เพราะต้องดูแลหน้าเว็บไซด์ การติดต่อธุรกิจ การดูแลผู้เล่นในทีม การจัดรอบให้แฟนคลับของสโมสร ถือเป็นงานจิปาถะที่น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย จึงไม่แปลก ที่ภายนอกจะดูเป็นสาวเก่ง ฉลาด มีบุคลิกที่มั่นใจ ไปมาลาไหว้ เยี่ยมบ้านพระเอกทีไร มีของฝากติดไม้ติดมือเสมอ แต่พอหลังฉากนี้สิ ล้วงกระเป๋าเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดปุยๆ อีกทั้งไม่มีความพึงพอใจกับความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบัน กับพ่อพระเอกแสนดีอย่างยะมะพีของเรา ที่ยังหลักลอย เรื่อยเปื่อย มีชีวิตที่ไม่วือหวา ไอ้ตรงนี้ ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำแนะนำของมิตรสหาย ที่ว่า "ผู้ชายที่จะมัดใจสาวได้ ไม่ควรจะฉายความเป็นพ่อพระเพียงด้านเดียว ควรจะมี ด้านมืดแบบนายมาร เพื่อจะได้ครบมิติสมชายแบบจรดปลายเท้า" ซึ่งตรงจุดนี้ ออกจะก้ำกึ้งระหว่างดีสุดขั้วหรือดีผสมเลว เพราะในซีรีย์ชี้นำไปในทิศทาง ประมาณว่า ดีอย่างพระโพธิสัตว์อย่างไรเสียย่อมไม่หนีห่างจากการนิยมบูชาฉันใด บุรุษที่ดีไซร้ ย่อมไม่อาจห่างหนีจากอิสตรีที่ประสงค์ความเป็นชายาฉันนั้น ถือเป็นบทที่ท้าทายน้องอาอิบุไม่น้อย เพราะเคยเห็นเล่นแต่บทคนดี มาครั้งนี้ ต้องมารับบทสองบุคคลิก เป็นคนสองรัก เบือ้งหน้าดูเป็นคู่รักแสนดี แต่เบื้องหลังแอบไปเผลอใจเป็นชู้กับผู้เล่นที่เข้าใหม่ ที่นิสัยไม่ถูกโฉลกกับพระเอก และมีนิสัยประมาณว่า ข้ามาฉายเดียวไม่สนทีมเวริค อย่าง "โยโยกิ เรน" ที่เล่นโดย คาเนโกะ โนบุอากิ (คุ้นสุดก็น่าจะเป็น Crows Zreo ภาคสอง) รูปร่างหน้าตา ออกไปทางอาร์ทติสอีโก้แรง จึงดูเป็นคนที่น่ารับบทคนไม่ดี ที่ได้ดีอย่างไม่น่าสงสัย ถึงความสูงไอ้หมอนี้จะตั้ง ๑๗๘ ซม. แต่เมื่อร่วมเล่น กับนักบาสตัวเป็น ๆ ก็กลายเป็นคนแคระได้ไปในบัดดล แต่บทที่สร้างให้แจ้งเกิดอย่างสุดๆ สำหรับซีรีย์เรื่องนี้ ฟังมาหลายเสียงแล้ว คงหนีไม่พ้น "คิตะงาวะ เคอิโกะ" ที่รับบทเป็น ชิราวาวะ ริโกะ ยอมรับว่า ไม่คุ้นชินกับน้องคนนี้มาก่อนเลย แต่ดูตามสายจากเจริญเติบโตแล้ว เห็นจะมาทางสายภาพยนตร์และโฆษณาเสียมากกว่า งานที่สร้างชื่อสุดๆ คงเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ คุณหนูรุ่นผมอาจร้องอ้อใน Pretty Guardian Sailor Moon และงานที่คนไทยอาจคุ้นเพราะ ได้เข้าฉายในโรงไทยใน The Fast and The Furious 3: Tokyo Drift ที่รับบทเป็น เรอิโกะ (ทุกวันนี้ก็ยังนึกหน้าไม่ออก เดี๋ยวจะตามซ้ำตามร้านเช่าทั่วไปละกัน) ในซีรีย์รับบทเป็นนางเอกตัวจริงเลยละ แม้จะต้องมีรักที่หลบๆซ่อนๆ แต่ก็เป็นการหลบๆซ่อนๆ อย่างถูกครรลองตามศีลธรรม ต่างจากคนรักก่อนหน้าของพี่ยามะพี ที่อาจจะรักแบบหลบๆซ่อนๆ ก็จริง แต่ผิดหลักกามเมสุมิฉาฯ ข้อสามเต็มๆ วัดได้จากจิตที่มีเจตนา ที่มีความจำยอมพร้อมใจเป็นหลัก ผิดกับหนูริโกะ ที่เป็นความรักแบบมุ่งที่จะเอาข้างเดียว จากตัวโค้ชของพระเอกยะมะพีของเรา เมื่อน้องริโกะจะพยายามสะกดประโยคบอกรักหลายสิบเที่ยว ก็ไม่อาจหลอกตัวเอง ให้ไปหลงรักโค้ชทีมJC ARCSไปได้ โค้ชแกก็ช่างกล้าน้อ! ตอนไปดูงานที่Bostan ยังมีหน้าฝากสาวคนรัก (ข้างเดียว) โดยทิ้งประโยคว่า "เราไว้ใจนาย" พูดอย่างนี้ก็เข้าทางปากตะเข้ เพราะสองคนนั้นเขาเจอกันก่อนหน้า เป็นบุพเพสันนิวาส ที่ครั้งหนึ่งพ่อยะมะพีแกไปลืมโทรศัพท์บนรถประจำทางสายเดียวกัน ก็มีน้องริโกะที่เป็นคนเก็บไว้ให้ แต่ตอนที่จะเจอกันเพื่อมอบส่งคืน กลายเป็นโค้ชนี้แหละที่อาสาเป็นคนกลาง แล้วก็เกิดไปปิ๊งปังกันเมื่อแรกเห็น อีกบทหนึ่งที่ส่งเสริมให้น้องเคอิโกะแจ้งเกิด ก็ด้วยการรับบทเป็นนักไวโอลินมือสมัครเล่น ที่ปรารถนาจะเล่นเป็นอาชีพ แต่ทว่าอุปสรรคชีวิตนานาประการ ตอนเล่นคัดตัว ก็เล่นเมามันเสียจนสายขาด จนไปต่อไม่ได้ มาเจอครูที่เคารพชักชวน ออกลูกลามกสักงั้น กลายเป็นว่า ไวโอลินในมือต้องมาเป็นเครือ่งมือประคองชีพ แทนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการรว่มวง กับเหล่าวงออลเคสต้า ดันต้องมาเล่นตามห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และการเปิดงานตามที่ต่างๆ รวมถึงสถานที่ซ้อมวันละสามชั่วโมงในแต่ละวัน ถ้าไม่เป็นในห้องนอน ก็จะเป็นสนามบาสข้างอพาร์ตแมนเช่า ซึ่งก็จะไปทับที่ซ้อมบาสวันละพันลูกของยามะพี เขาอยู่ดี และเป็นโอกาสที่ทำให้น้องเคอิโกะค้นพบว่า ผู้ชายก็สวยได้ จากการชู๊ตบาสให้โค้งลงห่วงดังซวบ! ดังนั้นอย่าได้ประมาณรสโสตแห่งเสียงเป็นอันขาด เพราะกระดูกรูปฆ้อนในหูคุณน้อง สามารถรับรู้คลื่นเสียงได้ดี ดีชนิดที่แยกแยะ จังหวะก้าวเดิน เสียงเข็มนาฬิกา หรือแม้แต่เสียงสะอื้นเคล้าน้ำตาของพระเอก แต่จะแพ้พระเอกอยู่สองอย่าง คือ เรื่องการทำอาหารและการจัดทำความสะอาด เพราะสายนี้พระเอกของเรา เขาเป็นเต้ยในกิจกรรมที่ไม่น่าจะดูแมน ได้สมแมนจนผู้เขียนยังรู้สึกละอาย เหมือนอย่างที่อ.สุวินัย เล่าไว้ทางวิทยุเมื่อวันศุกร์ ว่า Buzzer Beat เป็นซีรีย์ที่ปูเรื่องบาสเกตบอลอาชีพไว้เพียงเบื้องหลัง แต่เล่นประเด็นเรื่องความรักสาม-สี่-ห้าเส้า (ตามแต่จะนับกันกี่คู่) ซึ่งเป็นจริงอย่างที่ ท่าน Prysang ว่า "นานๆจะมีซีรีย์ที่ยกเอาความรักเป็นประเด็นหลักอย่างจริงๆจังๆกันสักที" ถึงแม้จะมีเรื่องของการทำความฝันที่เคยวาดหวังไว้ให้เป็นจริง ก็ถูกเร่งความสำคัญไว้ ในตอนท้ายๆ หลังจากที่ให้เวลากับการปรับความเข้าใจในเรือ่งของหัวใจ ไปสักหลายตอนในช่วงต้น ส่วนภาพของการแข่งขันกีฬา ส่วนใหญ่หมดไปกับการซ้อม และห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า (ได้เห็นกล้ามอกยามะพีด้วย กรี๊ดๆ) ส่วนภาพของการแข่งขันกันระหว่างทีมต่อทีม น่าจะมีไม่เกินสามถึงสี่ครั้งเห็นจะได้ (ซึ่งจะต่างจะ Pride ที่ทาคูยะเล่น ที่มีให้เห็นกันเกือบทุกตอน) ดังนั้น ถ้าจะหวังช่วงเวลาตื่นเต้น แบบที่ต้องลุ้นแบบวินาทีสุดท้ายอย่างที่เคยเห็น ในซีรีย์แนวกีฬา ต้องบอกว่าผู้ชมคงไม่สาแก่ใจเป็นแน่ อย่างที่ไม่สมกับชื่อเรื่อ่งว่า Buzzer Beat ที่จะต้องลุ้นกันถึงวินาทีสุดท้าย แม้แต่คู่แข่งที่จะต้องหยิบยก ไว้เพื่อเป็นแรงกระตุ้นและพัฒนาประสบการณ์ งานนี้ก็เลือกใช้ "คนใน" มากกว่า ที่จะเลือกใช้ "คนนอก" ที่เป็นทีมคู่แข่งร่วมสาย ซึ่งค่อนข้างผิดหลักนิยมพอสมควร แต่ท้ายสุดแล้ว ก็ไม่มี "ศัตรู" จริงๆจังๆ ในซีรีย์ญี่ปุ่นอีกเช่นเคย เหมือนอย่างที่ อ.ประเวศ วสี ว่าไว้ "มนุษย์ต่างมีเมล็ดพันธ์แห่งความดี ในจิตใจด้วยกันทั้งสิ้น" จะมีศัตรู ก็เพียงความอ่อนแอในจิตใจ ชนิดที่พระเอกของเรายังต้องพยายามสะกดเอา ไว้เกือบทุกตอน ว่า "ฉันจะต้องเข้มแข็งๆ" เป็นงานที่ผู้เขียนเดาได้ไม่ยากว่า คนเขียนบทจะต้องเป็นสตรีเพศโดยแน่แท้ เพราะสามารถให้รายละเอียดกระจุกกระจิก ชนิดที่นักเขียนแอ๊บแมนก็ยากที่จะทำได้ ไม่ว่าเรื่อง เครื่องสำองค์สำอางค์ อาการเม้าท์พวกผู้ชาย หรือการเลือกว่าที่เจ้าบ่าว (คิดดูอย่างสำนวนที่ว่า คนในศตวรรษที่ ๒๐ นิยมแต่งงานเมือ่อายุ ๒๔ แต่มาพ.ศ.นี้ การแต่งงานเมื่ออายุ ๒๔ กลับเป็นรองอันดับสอง เพราะมีสิ่งที่น่าทำยิ่งกว่า คนเขียนบทชายๆอย่างเรา คงคิดไม่ถึงเป็นแน่) ขณะเดียวกัน มุมมองการแสดงความรู้สึกภายในของผู้ชาย ก็ดูรู้ว่าเป็นการมองด้วยสายตา ของโลกที่ผู้หญิงอยากจะให้เป็น กระนั้นก็ทำให้ซีรีย์เรือ่งนี้มีความต่างจากซีรีย์เรื่องอื่นๆ หลุดกรอบจากอิทธิพลแนวเลิฟๆแบบโนจิมา ชินจิ ที่ครอบจักรวาลซีรีย์ไปพักใหญ่ มาดูประวัติ ถึงได้รู้ว่าเป็นนักเขียนบทในสายตลกที่ชื่อ โอโมริ มิกะ (ได้รางวัลปีนี้ด้วย) เขียนงานก๊ากๆ ที่คนไทยน่ารู้อยู่หลายเรื่อง อาทิ My Boss My Hero หรือ Detroit Metal City ส่วนผู้กำกับก็เลือกใช้เพียงสองท่าน มี "นางายามะ โคโซะ" ผลงานคนนี้เคยเขียนถึงใน หัวข้อ Love Generation แล้ว การกำกับใน Buzzer Beat ดูเหมือนเฮียจะรับทำในส่วนของ ฉากแอ็คชั่นที่ต้องถ่ายในช่วงที่มีการแข่งขัน ส่วนกำกับบทชีวิตจะยกให้กับ นิชิอุระ มาซากิ คนนี้ยามะพีเขาอาจมักคุ้นหน่อย เพราะได้กำกับ Code Blue ที่ยามะพีแกเป็นพระเอกทั้งเรื่อง (แน่สิ! ก็เขาจ้างให้เป็นพระเอกนิ) โดยส่วนตัว เป็นการแยกการกำกับที่ดูออก เพราะไม่ค่อยเป็นเอกภาพเหมือนกับซีรีย์แนวกีฬาเรือ่งอื่นๆ โดยวัดจากการกระชับในเนือ้หา และองค์ประกอบปลีกย่อย คงด้วยสไตล์ที่แตกต่างกัน พยายามที่จะดูอย่างไม่คิด แต่อย่างไรเสียผู้เขียนว่า มันก็มีกลิ่นโชยมาแบบแปลกๆกว่าตอนที่แล้วอยู่ดี เกือบทุกเรื่องในระยะหลังที่พระเอกยามะพีเลือกเล่น มักจะได้ดาราแสดงตัวรอง ที่มีภาพลักษณ์แสนจะโดดเด่น ชนิดที่ขาดเขา เราก็ตาย อยู่เสมอๆ ทั้งใน Operation Love และ Code Blue จึงกลายเป็นซีรีย์ที่ชวนน่าจดจำ แม้แต่คนที่อาจจะไม่ปลื้มการแสดงของยามะพีก็ตาม แต่ก็สนุกสนานกับตัวละครรองได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเพื่อนนางเอกที่เล่นเป็น "เอบีนา ไม" (เล่นโดยคันจิยา ชิโฮริ มักเล่นในแนว เลิฟคอมเมดี้ อย่าง Love Suffle และ H2) เป็นตัวเสริมที่มีชีวิต-ชีวา อย่างมาก เป็นขาเมาส์สำหรับนางเอก เป็นคู่ใจสำหรับสมาชิกในทีมบาสอย่างน้อยก็สองคน เป็นนักเป่าฟลุตสมัครเล่นและพนักงานชั่วคราวในร้านหนังสือ ร้านเดียวกับที่นางเอกริโกะ ต้องทำเพื่อยังชีพ เพราะการอยู่กับความฝันด้วยการรับงานอีเวนท์เป็นช่วงๆ มันไม่อาจพอยาไส้ไปได้ในตลอดรอดฝั่ง คงอย่างงี้กระมัง ถึงเข้าใจหัวอกคนยัตถากรรมเดียวกันกับพระะเอกของเรา ถามยังทนความไม่อยุติธรรม มักจี๊ดขึ้นหัวสมอง หากเห็นการกระทำอันใดที่ไม่เหมาะไม่ควร เจ๊ก็จะหวีดไม่เลิกรา ไม่ต่างจากพระเอกของเรา ที่เปิดตัวก็เป็นพ่อคนดีตั้งแต่เริ่ม ที่สุดท้ายก็ขอเลือกพิสูจน์ฝีมือ เพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริงกับโยโยกิ แม้ในตอนแรกจะแข่งแบบวันออลวันแบบแพ้หลุดลุ่ย แถมหญิงคนรักก็ถูกมันกระชากพรากไปจากมือ แข่งแพ้ยังพอทน แต่โดนแย่งหญิงที่กำลังมีแผนจะแต่งงานด้วย อันนี้มันเรื่องของศักดิ์ศรี เป็นศักดิ์ศรีรชนิดที ต่อให้หวนกลับมาเป็นแค่ "เพื่อน" ก็ยากจะยอมรับสถานะเช่นนั้นได้ แม้น้องหนูนัตซึกิ จะมาซึ้งรสพระธรรมในภายหลังที่ว่า "คบคนพาลๆไปหาผิด คบบัณฑิตๆพาไปหาผล" สุดท้ายเจ้าโยโยกิคนไม่ดี ก็แอบไปคบกับรุ่นน้องในสำนักงานงานนัตสึกิ แถมรุ่นน้องคนนั้น ยังตะโกนตอกหน้าใส่กลับว่า "ทีพี่ยังทำได้ ทำไมหนูจะทำมั้งไม่ได้ละ(ยะ)" แน่นอนว่า การมีกิ๊ก ไม่ใช่มีโทษเท่ากับฆ่าคนตาย แต่จะน่าไม่อาย ถ้าไม่รู้สึกผิดในใจ ดีที่นัตสึกิคิดได้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อความห่วงใยที่มีให้ระหว่างนาโอกิกับริโกะ มันถลำลึก เกินกว่าความสัมพันธ์ในสัญญาเบื้องต้น ที่ริโกะประกาศว่า จะขอเป็นแฟนคลับคนแรกของนาโอกิ และขอให้ได้เห็นหน้านาโอกิแม้จะต้องยืนห่าง ๕ เมตร ก็ตาม เป็นคนห่วงหาอาทร ที่ผู้เขียนยื่นหน้าไม่ละสายตาจากน้องเคอิโกะบนหน้าจอ ไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด ก็ยังไม่ได้รับโอกาสดีๆเช่นนี้เลย ถึงแม้เรื่องนี้จะได้ Best Drama จากการประกาศรางวัลของ TDAA ครั้งที่ ๖๒ และจาก Nikkan Sporits Drama Grand Prix ในสาขาเดียวกัน (ซึ่งรางวัลนี้ ผู้เขียนไม่ค่อย กล่าวถึงสักเท่าไร ประมาณว่าขอเป็นซีรีย์เกี่ยวกับกีฬ่าเถอะ มักติดอันดับอยู่เสมอๆ) แต่ก็ใช่ว่า จะไม่มีข้อติเอาสักเลย อย่างน้อยๆ ก็ความรวบรัดในตอนท้ายๆ ตอนที่พระเอกขาเจ็บแบบจำต้องผ่านตัดด่วน เพื่อให้ทันการแข่งขันรอบมหาลัย ดูจะเป็นการบาดเจ็บที่ไม่แสนทรมานใจกับการรอคอยเท่าไรนัก พอผ่านไปสักแป้บ ก็เข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศสักแหละ คอบาสที่หวังจะดูเพื่อศึกษาแผนการเล่น ว่าควรใช้ man to man หรือ press zone ดี ทำไมจังหวะการทำ buzzer beat จึงไม่มีการขอ เวลานอก เพื่อได้สิทธิ์การครองบอล จะได้วางแผนการสกรีนตำแหน่ง ให้ผู้ชู้ตลูกชี้ขาด มีพื้นที่วางในการทำแต้ม ซึ่งซีรีย์ก็ละเลยในจุดนี้ไป ปล่อยให้ไหลไปตามเกมส์ไปทำคะแนนเอาดาบหน้า ซึ่งมืออาชีพ (หรือหรือบาสถ้วย ข ก็เหอะ) เขาไม่ทำกัน ถ้าต้องการในจุดนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงซีรีย์ไปได้เลย ถ้าไม่หวังรับอรรถรสในเรื่องรักๆใคร่ๆ ไม่แค่พระเอกเท่านั้น แม้แต่นางเอกของเรื่องอย่างริโกะ บทจะมีโอกาสได้ร่วมเล่นกับวงออเคสต้าแบบเต็มโรง ถือว่าสัมหล่น เพียงครั้งหนึ่ง ได้มีลูกค้าประจำภัตตาคารที่เป็น Director วงออเคสต้า ตำหนิการเล่นไวโอลินที่ไม่ได้เรื่อง ประมาณว่าไม่สงสารเครื่องดนตรีและคนฟังรึไง จนต้องถูกเฒ่าแก่ภัตตาคารไล่ออก เมื่อ Director คนนั้นรับเรื่องและรู้สึกผิด จนต้องเทียบเชิญให้ลองมาฝึกฝนแบบเร่งรัด ซึ่งก็เร่งรัดจริงๆ แป้บๆเก่งขึ้นมาสักงั้น เล่นเอาคนดูอย่างผม ที่ถูกให้ดูแบบค่อยๆปูเรื่อง มาตั้งแต่ตอนที่หนึ่งถึงตอนที่เก้า ต้องวกกลับมาดูตอนที่สิบถึงสองรอบ ประมาณว่าตอนก้มเก็บขนมกินในตอนที่หล่นลงพื้น บวกกับตอนที่เข้าห้องน้ำห้องท่า อาจจะทำให้เราพลาดจุดเชื่อมโยงอะไรดีๆ ที่ทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก ซึ่งพอได้หวนกลับมาดูซ้ำ เออ!มันก็รวบรัดกันจริงๆนั่นแหละ ส่วนจุดแย่ ในสายตาอย่างมีอคติสำหรับผู้เขียน ก็คือ การโรมรันพันตู ชนิดเนื้อแนบเนื้อแบบอิงออดกอดกันเห็นๆ ระหว่างเจ้ายามะพีกับ น้องคิตางาวะ อันนี้พี่ว่าเกินไปนะนอ้ง จะพูดด้วยความหวังดีหรืออิจฉากันก็เหอะ เพราะดูจะเล่นได้เป็นจริงเป็นจังเหลือเกิน ตามประสาคนดูซีรีย์มา ก็เห็นคู่รักคนอื่นๆเวลาแสดงฉากรัก ก็แค่เอาจงอยปากยื่นเข้ามาประกบ แล้วทำเป็นปิดตา ต่อด้วยท่าค้างฝืนธรรมชาติไว้สักสิบวินาทีโดยประมาณ พี่เข้าใจอยู่นะว่า น้องคิตางาวะคงอยากแจ้งเกิดเร็วๆ แต่ไม่น่าบดไถ่กันสักขนาดนั้น คุณพี่เห็นแล้วรู้สึกเสียของเป็นอันมาก เพราะโดยปกติแล้วนางเอกที่สามารถเล่นให้ คนดูรักและมีลูกเปิ้นๆแบบตลกหน้าตาย หาได้ไม่บ่อยนักในวงการ ถามยังงามแบบไม่ต้องแต่งหน้า ก็ยังรักษาสถานะการรับรู้ ว่าฉันนี้แหละ "นางเอก" ยิ่งคิดไม่ออกเลย ถ้าไม่นับหนูโนโซมิที่ร้องเพลงแย้วๆ ใน Ponyo บทจะรักแรกพบแบบซีรีย์โรแมนติกให้พระเอกประทับใจ น้องคิตางาวะดันมาแนวโหด ตะโกนด่าพระเอกบนสนามขณะที่กำลังแข่งขันแบบเป็นทางการอยู่ เพราะการด่านี้มั้ง ตั้งแต่นั้นมาพระเอกของเราก็ฟอร์มดีผิดหูผิดตา ชู้ตเป็นซวบมาโดยตลอด เป็น Love make me strong เหมือนกับป้ายบนสนามซ้อม แต่รักใหม่เช่นไรก็มีจุดพลาด ไม่เหมือนรักเก่าอย่างนัตสึกิ ที่รับรู้พยาธิสภาพพระเอกเป็นอย่างดี ตามประสาคนเคยเยี่ยวยากันมานาน นานพอที่จะรู้ว่าพระเอกมีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ขณะที่ริโกะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย Buzzer Beat จึงเป็นซีรีย์ที่วัดใจในเรือ่งความรักระหว่างคนสองคน เป็นรักที่ต้องหลบๆซ่อนๆในตอนแรก เพราะมีสิ่งพัวพันระหว่างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น จึงเป็นไปเพื่อการเสียสละ รักษาไว้ซึ่งมิตรภาพที่ดีต่อกัน เป็นซีรีย์ที่ไล่ล่าไปพร้อมกันระหว่างความรักกับความฝัน และในสุดท้ายปลายทางก็จำที่ต้องเลือก ว่าจะให้ความสำคัญสิ่งไหนมากไปว่ากัน เลือกรักโดยละทิ้งความฝันหรือเลือกฝันเพื่อละทิ้งความรัก เพราะหากเรื่องเลือกที่จะรักก็จะสมปรารถนากับคนที่ใช่ แต่เลือกในความฝันก็จะทดสอบว่ารักนั้นมั่นคงเพียงใด ทีมงานเรื่องนี้ต้องถือว่าเก่ง ในด้านการระดมพลให้เต็มสนาม ทั้งในส่วนของ ฮอลล์ในการแสดงออเคสต้า ไหนจะฮอลล์ในสนามบาสที่ต้องจุเป็นพันคน (ซึ่งก็ไม่รู้จะเป็นพวกเดียวกันรึเปล่า) ซีรีย์จะฉลาดกว่านี้มาก หากรู้จักใช้ประโยชน์จากโฆษณาแฝง โดยเฉพาะ จากการขายพวกโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็การบริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแบบรับส่งอีเมลล์ โดยแทรกโปรโมชั่นสุดคุ้มเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เพราะซีรีย์ใช้กันอย่างพร่ำเพรือ ตามประสาความรักที่ไม่อาจเอ่ยปากโต้งๆ ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงเป็นความรักในรอยนิ้ว ที่ต้องใช้การสัมผัสกดจิ้ม แต่รักเช่นนี้ใช่ว่าไม่มีอุปสรรค เพราะอย่างน้อยในเรื่อง ก็ยังมีประเภทโทรหาพร้อมกันจนไม่มีช่องสัญญาณ โทรไม่มีคลื่นบ้างละ อีกฝ่ายปิดเครื่องหนี ไม่ก็แบตหมดบ้างละ ขาดอย่างเดียวคือ โทรศัพท์หายเท่านั้น เพราะถ้าเกิดหายไปคงยุ่งไม่น้อย ซึ่งไม่ได้ยุ่งจากการไม่มีโทรศัพท์ แต่เพราะอีเมลล์ที่อยู่ในเครื่องโทรศัพท์ต่างหาก ราคาที่โน่นแสนกระโหลกะลาจะตาย กว่าจะขออีเมลล์ของนางเอกมาได้ ก็แทบจะบินร่อนเหาะลงมาสองสามช่วงตึก อะไรมันจะขนาดนั้น! เป็น Buzzer Beat ในเกมส์รักมากกว่าเกมส์บนสนาม เป็นซีรีย์ที่นอกเหนือความหมายของเกมส์กีฬา ที่ให้มุ่งมองความหมายอีกด้าน แม้มีเรื่องกีฬาเป็นเรื่องปูพื้นแบบกว้างๆ (และลงลึกในบางช่วง) ไม่จำเจเหมือนอย่างกับที่ได้ดูใน Rookies , Pride หรือ H2 ที่ถือเป็นวิธีการเล่าเรือ่งแบบใหม่ในแนวกีฬาด้วยกัน แม้จะมีอารมณ์หญิงๆปะปนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รำคาญตะขิดตะข่วนใจแต่อย่างใด กลับถือเป็นลูกสนุก-ลูกฮาที่แทรกมาเสียมากกว่า เป็นซีรีย์ที่เหมาะแก่การทดสอบระบบเครือ่งเสียงภายในบ้าน เพราะมีเสียงเล็กเสียงน้อย อย่างเคาะลูกบาส ไปจนถึงเสียงกระหึ่มแบบ Vivadi ในเพลง Four Season ให้กระหน่ำทรวง บทจะเศร้าก็ไม่โศกาแบบต้องใช้ผ้าเช็ดหน้ามาเซาะขอบ ดาราชาย-หญิงก็อุดมสมบูรณ์พูลเลือก มากหน้าหลายตา จึงเป็นซีรีย์พาเพลิน ที่คนชอบมากกว่าคนเกลียดหากได้ชม แม้ดูแล้ว อาจจะไม่อยากรู้สึกถลำลึกที่จะลงเล่นบาสหรือสีไวโอลินโดยทันที แต่รับรอบว่าได้ชมแล้ว จะเกิดอาการไม่อยากพลาดที่จะชมต่อเนื่องในตอนถัดๆไป กลายเป็นรักที่เป็นเหมือนดั่งยาใจ เป็น Love make me strong สมอ้างจริงๆ ........ ขอบคุณจาก................. //wiki.d-addicts.com Prysang@bloggang ใน Buzzer Beat เรื่องรักโรแมนติกแห่งปี รายการวิทยุ ชวนคิดชวนคุย ทางคลื่นผู้จัดการ ป.ล. เพลงเปิดตัวของเรื่อง ก็ได้รับรางวี่รางวัล มีความหมายนัยยะถึง เศษเสี้ยวหนึ่ง ที่คุณรู้จักตัวตนของผม แม้ช่างตรงใจในความหมายคนไม่รู้จัก ตัวเองอย่างผู้เขียนเสียเหลือเกิน
Create Date : 20 ธันวาคม 2552
Last Update : 23 ธันวาคม 2552 1:08:47 น.
9 comments
Counter : 2404 Pageviews.
โดย: prysang วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:22:29:10 น.
โดย: MamLHC วันที่: 28 ธันวาคม 2552 เวลา:14:41:31 น.
โดย: มะนาวเพคะ IP: 125.24.77.251 วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:13:40:59 น.
โดย: Dew IP: 118.172.71.226 วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:14:15:42 น.
โดย: prysang วันที่: 6 มิถุนายน 2554 เวลา:12:32:49 น.
โดย: Mulberry Outlet UK Sale IP: 94.23.252.21 วันที่: 2 สิงหาคม 2557 เวลา:17:49:41 น.
ถ้าเพลงเปิดเรือ่ง จะมีโฆษณาแฝง
เพราะผู้เขียน หาเพลงเปิดตัวแบบเต็มๆเพลง
ไม่เจอละ