
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
 |
 |
|
|
พระสงฆ์เกี่ยวข้องอะไรกับงานศพของฆราวาส
...
ผมเคยได้รับการถ่ายทอดทางความรับรู้ ทั้งด้วยข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ ถึงเรื่องการส่งดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตไปสู่สุคติ
ที่ดูเป็นรูปธรรมหน่อยก็คือประดาภาพยนตร์ ละคร หนังสือการ์ตูน และเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีๆสางๆทั้งหลาย อันว่าถึงวิญญาณที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยและต้องเร่ร่อนอยู่ในละแวกใกล้เคียงของบริเวณที่ตนเสียชีวิตเรื่อยไป จนกระทั่งมีผู้คนโดนวิญญาณรังควานหนักเข้าจึงไปนิมนต์พระมาสวด มาส่งวิญญาณไปสู่สุคติ
รับรู้เช่นนั้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งเติบโตเป็นเยาวชนของชาติ  ได้อ่านหนังสือธรรมะหลายๆเล่มจนรับรู้ได้ในระดับหนึ่งว่า ความรับรู้เดิมของตัวเองไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง แต่หากจะให้อธิบายก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยยังตอบคำถามอีกข้อไม่ได้กระจ่างชัดว่า "ถ้าพระสงฆ์ไม่ได้มาร่วมงานศพเพื่อส่งวิญญาณไปสู่สุคติ แล้วจะมาร่วมเพื่ออะไร?" คือจะว่ามาสวดมนต์เตือนใจผู้มาร่วมงานมันก็ฟังดูกระไรๆอยู่ เพราะผู้ร่วมงานคงฟังไม่รู้เรื่อง
กระทั่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "สบตากับความตาย" โดยท่าน ว.วชิรเมธี จึงถึงบางอ้อ 
    
...เวลาเราไปร่วมงานศพ ก็จะพบว่ามีพระเข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นบุคคลสำคัญหลักซึ่งจะขาดไม่ได้ ที่พระมาร่วมงานศพก็เพราะต้องมาพิจารณาศพ พิจารณาผ้าบังสุกุล แต่เมื่อว่าโดยสาระสำคัญคือ มาพิจารณาความตาย
ประเพณีการพิจารณาความตาย เข้ามาพร้อมๆกับพระพุทธศาสนา ผ่านกิจกรรม 2 อย่าง คือ หนึ่ง- กิจกรรมการชักหรือทอดผ้าบังสุกุล สอง- การเผาศพกลางแจ้ง คนไทยทุกวันนี้เผาศพที่เมรุกันหมดแล้ว
ถ้ารู้ว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็จะไปหาพระ ขอให้พระชักบังสุกุลเป็นบังสุกุลตาย เพื่อจะได้รอดตาย หมดไข้หายโศก ก็ทำตามๆกันไป เป็น สีลัพพตปรามาส (ความยึดมั่นในศีลพรต ยึดมั่นในพิธีการที่ทำตามๆกันมาอย่างงมงาย) คือทำไปโดยไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ว่าสิ่งที่ตนทำมีสาระสำคัญที่แท้จริงอยู่ตรงไหน หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้พระไปงานศพ ไปดูศพ ไปสวดศพ แท้จริงแล้วเขาเอาศพไปเผาที่วัดเพื่อให้พระได้เรียนจากศพจนเกิดปัญญาหรือปรีชาญาณ
ในสมัยพุทธกาลนั้น เมื่อมีคนตาย สัปเหร่อจะไปนิมนต์พระให้มาดูศพ พระก็ไปดู แล้วก็เกิดการสังเวช สังเวชไม่ใช่ความสงสาร หากแต่หมายถึงการตระหนักถึงความตายอย่างมีสติ แล้วตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คนไทยถ้าเกิดความสังเวชก็คือเกิดความรู้สึกเวทนาสงสาร นี่คือการใช้ภาษาไม่ตรงตามความหมายที่แท้จริง สังเวชก็คือการมีสติ และใช้ในทางบวกในทางที่ส่งเสริม กระตุ้น ปลุกเร้าจิตใจไม่ให้ประมาท
ในสมัยพุทธกาล เมื่อมีคนตายเขาก็จะนิมนต์พระไปพิจารณาศพ ไปดูศพ ในการพิจารณาพระก็จะกล่าวว่า
อนิจจา วะตะ สังขารา รูปร่างสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเช่นนี้เอง อุปปาทาวะยะธัมมิโน มีความเกิดความแตกดับเป็นธรรมดา อุปปัชชิตะวา นิรุชฌันติ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป เตสัง อุปะสะโม สุขโข ดับการเกิดการตายของสังขารเหล่านั้นเสียได้ นับเป็นความสุข
บทกวี 4 บรรทัดที่พระใช้บริกรรมยามพิจารณาศพหรือการพิจารณาผ้าบังสุกุล กล่าวคือเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนาตั้งแต่เรื่องสามัญจนถึงเรื่องสูงสุดอันเป็นอุดมคติของชีวิต คือพระนิพพาน หรืออีกนัยหนึ่งเป็นหัวใจของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สอนเรื่องการเกิดดับหรือไตรลักษณ์ จนถึงพระนิพพาน
แต่คนไทยหรือแม้แต่พระสงฆ์ทุกวันนี้ เมื่อได้ยินพระทอดผ้าบังสุกุลหรือพิจารณาผ้าบังสุกุล ก็แทบไม่มีใครเข้าใจตามจุดประสงค์เดิม เชิญผู้หลักผู้ใหญ่ไปทอดผ้ามหาบังสุกุล เชิญพระผู้ใหญ่ไปพิจารณาผ้ามหาบังสุกุล พระ(บาง)ท่านก็บริกรรมในใจว่า โอ้โห นี่ผ้าไตรไหมแท้จากสวิส ได้มาแล้วหนีบรักแร้แน่นเลย ผ้าของฉัน ไตรจีวรของฉัน อย่างนี้เรียกว่าไปพิจารณาผ้าบังสุกุลได้มาแต่ผ้า ไม่เห็นเลยว่าวันหนึ่งตัวเองก็จะต้องตาย ไม่เข้าใจความแตกดับอันเป็นธรรมดาของสังขารซึ่งแสดงตนอย่างเปิดเผยอยู่ตรงหน้า ไม่ได้รับความรู้ที่แทรกอยู่ในพิธีกรรมอันทรงคุณค่าที่สืบทอดมาแต่บรรพกาลแม้แต่น้อย
พุทธบริษัททั่วไปก็เช่นกัน ไปวัดเพื่อให้พระสะเดาะเคราะห์ให้ด้วยการซื้อผ้าบังสุกุลไปให้พระท่านพิจารณา การทำเช่นนี้จะช่วยให้สร่างทุกข์ สร่างโศก สร่างโรค สร่างภัยได้อย่างไรกัน ช่วยได้เพียงนิดหน่อยให้พอจิตใจดีขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น คนที่ป่วยด้วยโรคหนึ่ง แต่รักษาด้วยยาคนละขนานจะหายป่วยได้อย่างไร
คนที่นึกว่าตนมีเคราะห์นั้น แท้ที่จริงตัวเคราะห์ร้ายที่ว่าไม่ได้มาจากข้างนอกเลย แต่มาจากข้างในต่างหาก ความรู้ไม่เท่าทันโรคและชีวิตนั่นเอง เมื่อคนเราโง่ ชีวิตก็แย่ลง เมื่อแย่มากๆเราก็นึกโทษเคราะห์กรรม โทษดินฟ้าเทวดาอารักษ์ พระเสื้อเมืองทรงเมือง เจ้ากรรมนายเวร รวมทั้งโทษสิ่งที่มองไม่เห็นอีกสารพัด โดยหารู้ไม่ว่าเคราะห์กรรมนั้นอยู่ที่จิตใจอันมืดบอดของตนนั้นเอง
    
พิธีศพแต่ดั้งเดิมนอกจากการนิมนต์พระมาพิจารณาศพแล้ว ก็คือการเผาศพกลางแจ้ง โดยหมู่บ้านใดที่มีคนตาย ก็จะมีธรรมเนียมปฏิบัติว่าสมาชิกในหมู่บ้านนั้นๆจะต้องนำฟืนมาคนละท่อนมาใช้เป็นเชื้อไฟเผาศพ อันเป็นการแสดงการเกื้อกูลและก่อเกิดความสามัคคีอย่างหนึ่ง
นอกจากนั้น ผู้มาร่วมงานจะได้เห็นศพ เห็นรูปกาย สังขาร และเส้นเอ็นต่างๆ ค่อยๆถูกเปลวไฟเผาไหม้ แล้วได้นำภาพนั้นกลับไปพินิจพิจารณาเพื่อสอนตัวเองเพื่อการลดความยึดมั่นถือมั่น เพื่อลดความประมาทในการดำเนินชีวิต
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป การเผาศพกลางแจ้งแปรมาเป็นการเผาที่เมรุ ข้อคิดอันพึงมีพึงได้จากงานศพก็ค่อยๆเลือนหายไปเรื่อยๆ 
ขอบคุณที่แวะมาครับ 
Create Date : 16 มิถุนายน 2549 |
Last Update : 16 มิถุนายน 2549 15:05:02 น. |
|
44 comments
|
Counter : 1167 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 16 มิถุนายน 2549 เวลา:15:42:59 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 16 มิถุนายน 2549 เวลา:18:23:53 น. |
|
โดย: rebel วันที่: 16 มิถุนายน 2549 เวลา:21:48:48 น. |
|
โดย: keyzer วันที่: 16 มิถุนายน 2549 เวลา:22:00:31 น. |
|
โดย: hunjang วันที่: 17 มิถุนายน 2549 เวลา:18:17:39 น. |
|
โดย: มาริอา วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:13:02:33 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:17:05:02 น. |
|
โดย: rebel วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:19:12:20 น. |
|
โดย: HTK (HTK ) วันที่: 20 มิถุนายน 2549 เวลา:0:07:59 น. |
|
โดย: Qooma วันที่: 22 มิถุนายน 2549 เวลา:9:05:40 น. |
|
โดย: นายเบียร์ วันที่: 23 มิถุนายน 2549 เวลา:1:28:06 น. |
|
โดย: มาริอา วันที่: 23 มิถุนายน 2549 เวลา:19:49:06 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 25 มิถุนายน 2549 เวลา:0:03:15 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 26 มิถุนายน 2549 เวลา:16:09:55 น. |
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 26 มิถุนายน 2549 เวลา:22:45:43 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน IP: 203.170.231.230 วันที่: 29 มิถุนายน 2549 เวลา:16:59:16 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน IP: 203.170.231.230 วันที่: 29 มิถุนายน 2549 เวลา:17:19:01 น. |
|
โดย: Qooma วันที่: 29 มิถุนายน 2549 เวลา:20:02:18 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 29 มิถุนายน 2549 เวลา:23:08:34 น. |
|
โดย: แร้ไฟ วันที่: 29 มิถุนายน 2549 เวลา:23:42:58 น. |
|
โดย: Kitsunegari วันที่: 30 มิถุนายน 2549 เวลา:11:32:06 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 1 กรกฎาคม 2549 เวลา:1:02:16 น. |
|
โดย: keyzer วันที่: 1 กรกฎาคม 2549 เวลา:1:19:03 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน IP: 203.170.231.230 วันที่: 1 กรกฎาคม 2549 เวลา:14:27:53 น. |
|
โดย: หวัน (หวันยิหวา ) วันที่: 1 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:57:01 น. |
|
โดย: Kitsunegari วันที่: 3 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:29:53 น. |
|
โดย: keyzer วันที่: 3 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:37:45 น. |
|
โดย: ทูน่าค่ะ วันที่: 3 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:50:04 น. |
|
โดย: ตุ๊กตาไขลาน วันที่: 3 กรกฎาคม 2549 เวลา:18:05:16 น. |
|
โดย: hunjang วันที่: 4 กรกฎาคม 2549 เวลา:7:51:14 น. |
|
โดย: Kitsunegari วันที่: 4 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:21:31 น. |
|
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 5 กรกฎาคม 2549 เวลา:4:49:59 น. |
|
โดย: hunjang วันที่: 5 กรกฎาคม 2549 เวลา:7:47:48 น. |
|
| |
|
The Legendary Midfielder |
 |
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
... " เพราะเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี, เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด, เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ " หากปรารถนาผลอันดี พึงสร้างเหตุสร้างปัจจัยอันดี "
... " ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ "
... " ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจจะพบฟากฝั่ง "
... "หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น "ทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว"
... "...กฎแห่งกรรมไม่เคยผิดพลาดมาก่อน "ไม่ว่าเราจะประสบพบกับคราวเคราะห์หนักหนาสาหัสแค่ไหน "ให้ระลึกไว้ว่านั่นเป็นสิ่งที่สมควรและสาสมแก่เราแล้ว "เป็นเพราะเราได้สร้างเหตุนั้นๆมาก่อน "ผลเช่นนี้จึงตามมา..."
|
|
 |
|