|
จากบล็อกสู่พ็อกเก็ตบุ๊ก
คลิกอ่าน : เรื่อง Blogger นักเขียนในโลกไร้พรมแดน
จากบล็อกสู่พ็อกเกตบุ๊ก เส้นทางกำเนิดวรรณกรรมยุคใหม่
จากหนังสมือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ โดย สุรีย์รัตน์ พิทักษ์
-----------------------------------------------------------------------
เนื่องจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาทางโพสต์ทูเดย์ได้ตีพิมพ์เรื่อง
จากบล็อกสู่พ็อกเกตบุ๊ก
จุดประกายวรรณกรรมวันอาทิตย์ก็รายงานพิเศษขึ้นปกเรื่อง
"Blogger นักเขียนในโลกไร้พรมแดน"
แสดงว่าเรื่องบล็อกกำลังอยู่ในกระแสของการเขียนโดยไม่ต้องปั่น
ในฐานะผมเป็นคนเขียนบล็อกคนหนึ่งที่ถูกถามความคิดเห็นในเรื่องนี้
และในเรื่องนี้ก็มีความคิดเห็นของคนอื่นๆด้วย เลยอยากเอามาให้อ่านกัน
เมื่อวันก่อนลิงค์ไว้แต่ปรากฏว่าเข้าอ่านไม่ได้ จึงเอามาให้อ่านกันอีกครั้ง
เผื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจบ้าง ไม่มากก็น้อย
ผมขอยกเรื่องของคุณสุรีย์รัตน์ พิทักษ์
ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์มาให้อ่านกัน โดยไม่ตัดทอนใดๆ
(หากใครอ่านแล้วก็คลิกผ่านหน้านี้ไปได้เลยครับ )
จากบล็อกสู่พ็อกเกตบุ๊ก ... เส้นทางกำเนิดวรรณกรรมยุคใหม่
โดย สุรีย์รัตน์ พิทักษ์
เว็บล็อก (weblog) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ บล็อก (blog) ถือเป็นรูปแบบของเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง ที่ตอนนี้ถือได้ว่าเป็นของเล่นชิ้นใหม่ของใครหลายคน เพื่อเอาไว้บันทึกอารมณ์ ความรู้สึก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการเขียนแสดงทัศนะต่อเรื่องราวต่างๆ ที่พบเจอ และเกิดขึ้นรอบๆ ตัวให้กับคนใกล้ชิด และคนทั่วไปได้เข้ามาอ่านกัน
จากพื้นที่บนไซเบอร์สเปซซึ่งใครๆ สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ทั้งแบบฟรีและต้องจ่ายสตางค์ ก่อร่างเป็นบล็อกส่วนตัว ที่เจ้าของบางคนก็ตั้งใจเพียงแค่อยากจะสร้างขึ้นมาเพื่อบันทึกเรื่องราว ความคิดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หรือไดอะรี รวมทั้งเอาไว้เป็นที่พบปะ ทักทายเพื่อนฝูงในกลุ่ม หรือเพียงแค่อยากจะหาที่ระบายความรู้สึกที่มีออกไปเท่านั้น
แต่จู่ๆ เรื่องราวที่เขียนอยู่ในบล็อกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับได้รับความนิยมชมชอบจากผู้อ่านที่บอกต่อๆ กันไป จนสุดท้ายก็ได้รับการทาบทามจากสำนักพิมพ์ให้นำมาพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊ก จากบันทึกเรื่องราวส่วนตัวก็เลยกลายเป็นวรรณกรรม
บล็อก ส่งผ่านเรื่องราว ความคิด ทัศนะ
โดม วุฒิชัย นักเขียนดังเจ้าของบล็อก //porpayia.bloggang.com เล่าว่า เขาเริ่มต้นเล่นเว็บล็อกครั้งแรกจากการตามไปอ่านบล็อกที่ลูกสาวเขียนอยู่ จึงเกิดความคิดที่จะสร้างบล็อกของตัวเองขึ้นมาบ้าง โดยในตอนแรกคิดเพียงว่าจะใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับลูกสาวในช่วงที่เขาต้องไปทำงานต่างจังหวัดเท่านั้น โดยเขียนออกมาในรูปแบบของจดหมายจากพ่อที่เขียนไปถึงลูกเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงความรู้สึก ข้อคิด และคำสอนถึงเรื่องราวที่ไปพบเจอมาส่งผ่านตัวอักษรไปถึงลูกเท่านั้น
แต่ด้วยความที่เป็นบล็อกซึ่งคนอื่นสามารถเข้าไปอ่านได้ด้วยนั้น เวลาที่เขาเขียนเขาจึงเจตนาให้คนที่เข้ามาอ่านสามารถนำข้อคิด และคำสอนที่เขาบอกลูกไปประยุกต์ใช้ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกเหนือไปจากการเขียนเรื่องราวส่งผ่านไปถึงลูกแล้ว บล็อกก็ยังเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เขาใช้แสดงทัศนะ และความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ ที่พบเจอมาในแต่ละวัน
1 ปีผ่านไป จดหมายที่โดมเขียนถึงลูกก็ได้นำเรื่องราวที่เขาเขียนขึ้นมาไปนำเสนอกับทางสำนักพิมพ์เพื่อรวมเล่มจนได้เป็นหนังสือชื่อ ห่างไกล ไม่ห่างกัน ออกมา ซึ่งรูปแบบของหนังสือก็จะเป็นรูปแบบของจดหมายที่เขาเขียนถึงลูกในบล็อกนั่นเอง โดยมีการมาคัดสรร เรียบเรียง และตัดต่อจดหมายบางฉบับเสียใหม่ เพื่อให้น่าอ่านมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงรักษาความจริงตามเนื้อหาที่เคยเขียนในบล็อกอยู่
ตอนนั้นที่เขียนลงในบล็อกก็ยังไม่ได้คิดถึงช่องทางการนำมาทำเป็นหนังสือ เพราะตอนนั้นเป็นความอยากเล่าเรื่องต่างๆ มากกว่า เราสนุกกับการคิดการเขียนของเรา สนุกกับการที่เราจะเล่าเรื่องที่เราคิด ซึ่งการที่เราเขียนบล็อกอย่างน้อยก็ทำให้เราอยากเขียนงาน กระตือรือร้นที่จะเขียน แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดว่าเขียนแทนการเขียนหนังสือเลยทีเดียว
แต่การเขียนบล็อกเป็นการเก็บบันทึก เก็บความคิดที่เราลงไปก่อน เพราะผมเชื่ออย่างที่ท่านพุทธทาสบอกว่า ความคิดดีๆ บางอย่างที่เรานึกออกหรือได้มา เราเขียนบันทึกไว้ก่อนเลยก็ได้ เพราะไม่อย่างนั้นบางทีมันก็ไม่หวนกลับมาอีก ซึ่งสิ่งที่ผมเขียนก็ยังไม่เป็นนิยาย หรือเรื่องสั้น แต่เป็นแค่ความเรียง บทความเท่านั้น และตอนที่เขียนก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะให้เป็นหนังสือด้วย เป็นแค่การแสดงทัศนะเท่านั้น และผมก็ไม่ได้เขียนบล็อกทุกวัน ถ้ามีเรื่องให้เขียนก็จะเขียน ซึ่งเขียนได้อาทิตย์ละชิ้นนี่ถือว่าเยอะแล้ว แต่เปิดเข้าไปดูทุกวันนะ เพราะผมถือว่าบล็อกเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง
ในขณะที่ แทนไท ประเสริฐกุล เจ้าของบล็อก//www.storythai.com/user/yeebud/ ที่เนื้อหาส่วนหนึ่งจากบล็อกนี้กลายมาเป็นหนังสือชื่อว่า โลกนี้มันช่างยีสต์ บอกถึงจุดเริ่มต้นของการเขียนบล็อกว่า เขาเริ่มสนใจในการเขียนไดอะรีออนไลน์มาก่อนอยู่แล้ว โดยเขียนเรื่องราวของตัวเองลงไปในนั้น แต่เมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา เขาได้มีโอกาสเข้าไปเป็นอาจารย์สอนนักเรียนมัธยมในโรงเรียนแห่งหนึ่ง และเห็นเด็กนักเรียนเขียนสร้างบล็อกขึ้นมาเพื่อพูดคุยกัน เขาจึงคิดที่จะทำบล็อกของตัวเองขึ้นมาบ้าง
ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าเราทำบล็อกขึ้นมาก็คงจะตลกดี เพราะเด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะทำบล็อกน่ารักๆ แต่ถ้าเราจะทำมั่งคงกวนๆ ดี แทนที่จะคิกขุ เราก็ทำบ้าๆ บอๆ ไปเลย ซึ่งตอนแรกที่ทำบล็อกขึ้นมาก็เพราะว่าอยากจะคุยเล่นสนุกๆ กับนักเรียนมากกว่า เขียนให้นักเรียนคอมเมนต์ดูว่าจะขำไหม สนุกไหม ก็ใส่ความตลกบ้าบอลงไป เรื่องงี่เง่าในชีวิตประจำวันก็เล่าลงไป
และเขาก็ไม่ได้ตั้งใจเลยว่างานเขียนของเขาจะต้องกลายมาเป็นพ็อกเกตบุ๊ก แต่เมื่อเขียนบล็อกผ่านไปได้สักประมาณครึ่งปี พอมีคนเข้ามาอ่านบล็อกของเขาแพร่หลายมากขึ้นก็ถึงมีสำนักพิมพ์ติดต่อมา
ช่วงหลังๆ นี้ผมเริ่มรู้สึกว่าหน้าไดอะรีนี่มีอิสระเสรีในการเขียนมาก คือเริ่มจากการเขียนอะไรตลกๆ ให้คนอื่นอ่านก่อน แต่พอเรารู้สึกซีเรียส หรืออยากจะระบายความในใจอะไรสักอย่าง ก็สามารถเขียนลงไปได้ด้วย ซึ่งผมก็พยายามจะถ่ายทอดเรื่องราวให้น่าอ่าน ผูกโยงอะไรต่างๆ ให้เป็นเรื่องเป็นราว และก็พยายามถ่ายทอดออกมาให้ได้อารมณ์
จากบล็อกสู่พ็อกเกตบุ๊ก
สำหรับ โดม แล้วเขามองว่า บล็อกก็เป็นเหมือนเครื่องมือสื่อสาร เครื่องมือการทำงาน เป็นอุปกรณ์ในการทำงานที่ทำให้คนอยากเขียนหนังสือเท่านั้น แต่บล็อกไม่ใช่ความหวังของคนที่อยากจะมีพ็อกเกตบุ๊กแต่อย่างใด
ผมมองว่าบล็อกอาจจะเป็นช่องทางให้คนอยากเขียนหนังสือมากกว่า เพราะการเขียนบล็อกจะมีการตอบรับเลย มีการสื่อสาร 2 ทาง แต่ถ้าเขียนหนังสือส่งไปสำนักพิมพ์ บก.ก็อาจจะไม่ตอบกลับมาเลย แต่เขียนบล็อกพอมีคนมาคุยมาอ่าน มันก็เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ติดต่อกันได้ทั้งผู้อ่าน ผู้เขียน ทำให้คนอยากจะเขียนมากขึ้น แต่ก็อย่าหวังว่าจะมีคนมาเห็นง่ายๆ เพราะปัจจุบันมีบล็อกเกิดขึ้นมากมาย
แต่ถ้าเราคิดว่าทำงานดี ก็สามารถเอาไปเสนอได้ เพียงแต่อาศัยบล็อกในการทำงานก็แล้วกัน แต่อย่าเอาบล็อกเป็นความหวังว่าเป็นสถานที่ที่จะทำให้พบกับความสำเร็จ อยากให้เอาเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำงาน ให้เกิดความกระตือรือร้นอยากจะทำงานเขียน เขียนแล้วให้คนอื่นได้มีโอกาสเข้ามาอ่านบ้าง และไปอ่านของคนอื่นบ้าง ส่วนถ้าเราคิดว่างานที่เขียนออกมามันดีพอจะเป็นพ็อกเกตบุ๊กได้ เรานั่นแหละที่จะเป็นคนจัดการมันไปนำเสนอสำนักพิมพ์ก็ได้โดยที่ไม่ต้องมีราชรถมาเกย
ส่วนแทนไท บอกว่า จากเรื่องราวในบล็อกของเขาที่ได้ออกมาเป็นพ็อกเกตบุ๊กนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสำนักพิมพ์ถึงเลือกเขา เพราะตอนที่เขียนเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะเขียนเพื่อให้ออกมาเป็นหนังสือ และก็ไม่ได้คิดว่าจะมีใครเข้ามาอ่านเยอะแยะขนาดนั้น แต่จากการวิเคราะห์ของเขาเองก็คิดว่า
งานเขียนที่ทางสำนักพิมพ์สนใจน่าจะต้องมีน้ำเสียงที่โดนใจ ต้องเล่าอะไรที่ไปโดนใจคนอ่านสักอย่าง และด้วยความที่เป็นบล็อกก็จะดีที่ไม่มีการเซ็นเซอร์ใดๆ ทั้งสิ้น เขียนได้อย่างอิสระ และระยะทางที่กั้นระหว่างคนอ่านกับคนเขียนก็แค่วิ่งผ่านสายอินเทอร์เน็ตเท่านั้นเอง ไม่ต้องมี บก.ตรวจก่อน คนเขียนกดเอ็นเตอร์ปุ๊บก็ไปโผล่ที่หน้าจอแล้ว
เป็นความสด มีอิสระในการเขียนความคิดของเรามากกว่าสื่อกระแสหลัก ซึ่งคนที่เลือกใช้อิสระตรงนี้อย่างมีลีลา เข้มข้น โดดเด่นออกมาก็จะดึงดูดความสนใจได้เยอะ แต่ผมว่าบทความในบล็อกที่พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือนี่ยังใหม่มากสำหรับเมืองไทย ที่ผมจะพูดอะไรได้มาก เพราะเพิ่งมีออกมาไม่กี่เล่มเอง
นอกจากนั้น การที่มีคนเข้าไปอ่านบล็อกของเขามากขึ้น นอกจากจะทำให้เขาได้มีพ็อกเกตบุ๊กของตัวเองเป็นเล่มแรกแล้ว เขาก็ยังต้องพบเจอกับความยากลำบากในการเขียนด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่หนังสือ โลกนี้มันช่างยีสต์ ของเขาถูกตีพิมพ์ออกไปก็กลายเป็นความกดดัน
แทนที่เราจะเขียนไปก่อนแล้วค่อยมาคิดทีหลังว่าดีนะที่มีคนมาอ่าน แต่ตอนนี้ต้องมานั่งคิดว่าเดี๋ยวจะมีคนมาอ่านนะ ต้องตั้งใจเขียนให้ดี และพอตั้งใจมากเกินก็เขียนไม่ออก บางทีก็ใช้เวลานานเกินไปในการเขียน จนกลายเป็นความเหนื่อย
บางทีก็รู้สึกว่าเราไม่ใช่ดาราสักหน่อย ทำไมต้องมานั่งเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นอ่านด้วย บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าจะเขียนทำไม แต่บางทีก็มีอารมณ์หลากหลายกระตุ้นให้เราอยากเขียนเหมือนกัน ซึ่งการเขียนบล็อกให้ดีก็เหมือนกับไม่ว่าคุณจะเขียนอะไรให้ดี ก็ต้องเริ่มมีใจให้กับมัน ซึ่งมันไม่มีสูตรสำเร็จ แล้วแต่แนวทางของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร
และในเร็ววันนี้แทนไท บอกว่า เขากำลังเตรียมจะทำบล็อกเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ออกมา เพื่อเป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ข่าวในแวดวงวิทยาศาสตร์ เพราะในเมืองไทยยังไม่มีตรงนี้ แต่ก็ยังจะเขียนบล็อกควบคู่กันไป แต่อาจจะไม่จริงจังเท่าเดิม
เขียนอย่างไรให้เป็นพ็อกเกตบุ๊ก
รังสรรค์ อักษร บรรณาธิการสำนักพิมพ์ยาหยียาใจ บอกว่า ช่วงแรกที่เปิดสำนักพิมพ์ก็มีการเข้าไปอ่านในเว็บล็อกเพื่อดูงานเขียนที่น่าสนใจ และก็มีการติดต่อมาตีพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊กบ้าง แต่ตอนนี้งานเขียนส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเปิดรับให้ผู้ที่สนใจจะเป็นนักเขียนส่งเรื่องเข้ามาให้ทางสำนักพิมพ์พิจารณาเท่านั้น
ปัจจัยที่ทางสำนักพิมพ์ให้ความสำคัญในการคัดเลือกงานเขียนจากเว็บล็อกมาพิมพ์รวมเล่มนั้น รวมถึงการพิจารณาภาษา สำนวน เรื่องราวว่ามีแววพอจะเป็นพ็อกเกตบุ๊กได้หรือไม่ เรื่องที่เลือกมาจากบล็อกส่วนใหญ่นั้นเมื่อจะมาทำเป็นหนังสือก็ต้องมีการพัฒนาเนื้อหาให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่คนโพสต์นั้นจะเขียนไปเท่าที่คิดได้ในตอนนั้น ซึ่งอาจจะยังไม่สมบูรณ์มากพอ
ในขณะที่ ศศกร วัฒนาสุทธิวงศ์ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจสิ่งพิมพ์ สำนักพิมพ์แจ่มใส บอกว่า ทุกวันนี้มีคนส่งต้นฉบับเข้ามาให้พิจารณามากมายอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยได้เข้าไปหางานเขียนในบล็อกมากนัก แต่ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปดูบ้างตามบล็อกดังๆ ที่รวบรวมงานเขียนเอาไว้หลากหลาย ต้นฉบับบางเรื่องที่ส่งเข้ามาให้ทางสำนักพิมพ์พิจารณานั้นบางครั้งก็มาจากบล็อกซึ่งเจ้าของบล็อกได้รวบรวมเอามาเสนอทางสำนักพิมพ์ด้วยเหมือนกัน
โดยในเว็บไซต์ของทางสำนักพิมพ์แจ่มใสก็ได้เปิดพื้นที่ให้คนที่สนใจงานเขียนเข้ามาโพสต์งานเขียนของตัวเองเอาไว้ ถ้าเรื่องไหนที่มีผู้สนใจเข้ามาอ่านมากๆ และผลงานเข้าตาก็อาจจะได้รับการพิจารณาให้ตีพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊กได้เช่นกัน การคัดเลือกเรื่องจากบล็อกมาตีพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊กนั้น ศศกร บอกว่า ต้องดูโทนเรื่อง พล็อตเรื่อง ที่จะต้องมีความแปลกใหม่ ไม่เหมือนเรื่องในตลาดทั่วไป
และที่สำคัญคนที่อยากจะเขียนพ็อกเกตบุ๊กก็ต้องหาแนวของตัวเองให้เจอ เพื่อที่งานเขียนจะได้ออกมาอย่างมีเสน่ห์ นอกจากนั้น ก็ต้องมีการฝึกฝนการเขียนบ่อยๆ เพราะบล็อกก็เสมือนเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการพัฒนาฝีมืองานเขียนได้ เพราะเมื่อเขียนออกไปแล้วคนเขียนก็จะได้รับฟีดแบ็กกลับมาในทันที เพื่อที่จะได้พัฒนางานเขียนให้ดีขึ้นได้ต่อไป
และไม่ว่างานเขียนในบล็อกจะถูกแมวมองสนใจนำไปพัฒนาจนกลายเป็นพ็อกเกตบุ๊กอย่างใจใครบางคนหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่หนึ่งที่ได้จากบล็อกก็คือ การเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ และช่วยให้เจ้าของบล็อกได้ฝึกฝนฝีมือในการเขียนได้ดียิ่งขึ้น
---------------------------------------------------
Create Date : 20 กันยายน 2550 |
|
52 comments |
Last Update : 20 กันยายน 2550 9:12:44 น. |
Counter : 1550 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 20 กันยายน 2550 9:18:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมูกระทะ IP: 58.8.119.181 20 กันยายน 2550 9:47:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: เงาศิลป์ IP: 203.146.63.183 20 กันยายน 2550 11:05:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 20 กันยายน 2550 13:14:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชจ IP: 202.29.77.2 20 กันยายน 2550 13:20:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 20 กันยายน 2550 18:44:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบญจวรรณ IP: 61.7.231.130 20 กันยายน 2550 18:48:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: jajijaa 20 กันยายน 2550 18:58:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ใบไม้ IP: 203.147.52.177 20 กันยายน 2550 19:44:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: filmgus 20 กันยายน 2550 20:47:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตะเบบูญ่า IP: 58.8.61.199 20 กันยายน 2550 21:35:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชจ IP: 203.146.63.182 20 กันยายน 2550 22:45:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าชุ IP: 86.128.102.242 21 กันยายน 2550 0:53:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าซ่าส์ 21 กันยายน 2550 5:00:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 21 กันยายน 2550 8:46:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 21 กันยายน 2550 11:27:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง IP: 203.113.17.148 21 กันยายน 2550 14:32:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตะเบบูญ่า IP: 58.8.64.215 21 กันยายน 2550 20:32:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย IP: 124.121.23.101 21 กันยายน 2550 22:44:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าซ่าส์ 22 กันยายน 2550 5:57:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: ศิลป์ IP: 202.91.18.194 22 กันยายน 2550 18:16:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่น้องนิก IP: 4.232.144.70 23 กันยายน 2550 5:43:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 23 กันยายน 2550 9:59:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อ (be-oct4 ) 23 กันยายน 2550 9:59:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: filmgus 23 กันยายน 2550 16:47:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าซ่าส์ 23 กันยายน 2550 21:06:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: shin chan (alei ) 24 กันยายน 2550 1:18:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าซ่าส์ 24 กันยายน 2550 5:21:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้าซ่าส์ 24 กันยายน 2550 5:23:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) 24 กันยายน 2550 7:34:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: จุ๊ IP: 58.8.84.178 24 กันยายน 2550 7:41:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 24 กันยายน 2550 9:05:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 24 กันยายน 2550 9:13:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชมจันทร์ 24 กันยายน 2550 13:19:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อบู (be-oct4 ) 24 กันยายน 2550 14:39:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: mojigirl 24 กันยายน 2550 19:29:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: 9A 29 กันยายน 2550 23:24:55 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
นนทบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]
|
ด้วยความยินดี... หากมีผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่าย,บทความ หรือข้อเขียนต่างๆ ใน Blog นี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด สามารถทำได้เลยทันที โดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
เว้นเสียแต่ว่า
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย
|
|
|
|
|
|
|
ว่างๆแล้วคุยกันนะครับ
สวัสดีค่ะ อาโดม
ช่วงนี้งานยุ่งค่ะ ไม่ได้ซุ่มทำอะไรเป็นพิเศษเลย ก็ลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนไงคะ ตอนนี้เลยทำงานตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต ไปหมดแล้วค่ะ
เพิ่งอัพบล็อกใหม่เมื่อวาน จากเพลงที่ร้องเหมือนเดิม ชื่อเพลง คนกลางคืน ของแอม เสาวลักษณ์ค่ะ เป็นเพลงที่ชอบอีกเพลงหนึ่ง พี่สาวบ้านนอกฯเข้าไปเยี่ยม เลยช่วยเอาเพลงต้นฉบับมาวางไว้ให้ อาโดมลองไปฟังดูสิคะ ว่าระหว่างนกร้องกับเจ้าของเพลง(แอม) ใครร้องไพเราะกว่ากัน อิอิ (นกก็โม้ไปเรื่อย บังอาจเอาเสียงไปเทียบกับแอมได้ไงเนอะ)
ฝากความระลึกถึงพี่ยานาด้วยค่ะ เห็นพี่ยานาลงชื่อใน Comment แล้ว คิดถึงนะคะ รวมไปถึงพี่ๆ ที่เคยคุย เคยทักทายในที่นี้ด้วยค่ะ พี่หนอนเมืองกรุง พี่ติ๋ม พี่ยาย พี่ตะเบบูญ่า พี่หนอนบ้านนอก พี่ยิปซีสีน้ำเงิน พี่ปลายแปรง พี่ฟิล์มกัส พี่บุญสิตา คุณแจม แม่น้องนิก ฯ เยอะจนเอ่ยถึงไม่หมดเลย
บุญรักษาอาโดม ครอบครัวของอาโดม และมวลมิตรชาวบล็อกทุกคนค่ะ
โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:19:44:25 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 54
สวัสดีครับพี่โดม
รู้ข่าวจากน้องที่ออฟฟิศตั้งแต่เมื่อวาน
ว่าพี่ได้รับหนังสือแล้ว :)
อ่านผ่านตาแล้วไม่ต้องออกอากาศก็ได้นะครับ
จี๊ดไปที่: boonchoak@yahoo.com ก็ได้ครับ
แบบขำๆ ก็พอ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
โดย: ใบไม้ IP: 203.147.52.177 วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:21:07:40 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 55
สวัสดีจ้ะ คุณโดมและทุกๆ คน
ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียชีวิตและญาติ ของผู้เสียชีวิต ใน อุบัติเหตุ เครื่องบิน ชนกำแพงดินขอบสนามบินเพราะว่าตอนเกิดอุบัติเหตุ เราอยู่ที่ภูเก็ตพอดี บ่ายหลังจากเกิดเหตุ 1วันเป็นวันที่ จะต้องกลับ แต่ก็ไม่สามารถกลับได้ เนื่องจากสนามบินปิด เลยต้องเลื่อนการเดินทาง จาก 17เป็น 18 เลยต้องอยู่ ภูเก็ต5วัน เป็นการเที่ยวที่นาน นะค่ะ สำหรับ คนอยู่ดอย ที่ไม่ค่อยจะไปไหนๆ นานๆ ไม่เหมือนคุณโดม
จะว่าไปแล้ว ภูเก็ต ไปกี่ครั้ง กี่ครั้ง ก็ ชอบ ทะเลสวย ที่ภูเก็ตต่างจากเชียงใหม่ ตรงที่ เวลาจะไปไหน จากโรงแรม จะต้องเดินทาง ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง แหล่งท่องเที่ยว แต่ละที่ ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย แต่เสียดายเที่ยวนี้ไม่ได้ ไป พีพี เพราะว่า ฝนตกและลมแรง ไม่มีใครกล้าพาพวกเราไปกันเลย ก็ยัง งง ตัวเองอยู่เลยว่า ไปเที่ยวหน้าฝน ทำไม แต่ก็ช่างมันหนะ ไหนๆ ก็ไปมาแล้ว ดีตรงที่ได้เห็น ต้นไม้ใบไม้ เขียวชอุ่มตลอดรายทาง ที่จริงเที่ยวหน้าฝนก็ดี นะค่ะ ไม่ร้อนด้วย ฝนก็ไม่ได้ตกตลอดเวลานี้นา จริงมะ
โดย: p tim IP: 124.157.201.120 วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:21:18:09 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 56
อาโดมคะ
นกแก้ไขบล็อกใหม่ค่ะ อาโดมไปฟังเสียงนกได้แล้วนะคะ
คงต้องไป Stop เพลงแอม เสาวลักษณ์ร้อง ที่ Comment ของพี่สาวบ้านนอกฯก่อน แล้วค่อย Play เพลงที่นกร้องค่ะ
มาราตรีสวัสดิ์ก่อนไปนอนค่ะ
โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:22:08:33 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 57
สวัสดีค่ะพี่โดม..
มารายงานตัวว่ายังมีชีวิต..แหะ แหะ แบบว่าหายไปนานแรงงง..
เห็นภาพพี่กนกพงศ์ เลยนึกขึ้นได้ว่า วันก่อนแจมก็ไปนะ..ที่งานของพี่หนก ..น้องข้างบ้านเขารู้จักกันเป็นการส่วนตัว และชวนให้นั่งรถไปเป็นเพื่อน กลัวจะกลับมาถึงดึก แล้วเขาเป็นเด็กขอนแก่นที่มาอยู่กระบี่ ยังไม่ค่อยรู้ถนน-หนทาง
อ้ายแจมก็ใช่จะรู้หรอก แต่เป็นห่วงน้อง กลัวหลง ก็เลยไปเป็นเพื่อน(ช่วยกันหลงน่ะซี)
สำหรับของพี่กนกพงศ์ แทบไม่ได้อ่านงานเขาเลยล่ะ รู้แต่ว่า นี่คือซีไรต์.. เพิ่งได้อ่านเอาตอนหลังที่พี่เขาเสียชีวิตไปแล้วนี่เอง
ชอบป่าน้ำค้าง..
มาอ่านบล็อกพี่โดมวันนี้..ออกจะทึ่ง เด็กสิบสองขวบ เขียนได้ 197 หน้าจากเวลาสองอาทิตย์..โอ้..จินตนาการบรรเจิดจริงๆ ค่ะ
โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.164.208 วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:23:43:41 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 58
อุ้ย..ไม่ใช่
เมื่อกี้คอมเม้นท์ยังดุกดิกไม่ได้เลย.. คลิกตัวที่ทำตาโตอ่ะค่ะ
พอส่งข้อความไหงเป็นงั้นล่ะ
อะจื๋ย!!!
แก้ไขนะ..เมื่อกี้ทิ้งท้ายด้วยรูปนี้
โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.164.208 วันที่: 19 กันยายน 2550 เวลา:23:48:42 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 59
สวัสดีค่ะพี่โดม ติดตามอ่านเช่นเคยค่ะ
เพียงไม่ค่อยได้เขียนเท่านั้น
ด้วยระลึกถึงเสมอ
โดย: นกแสงตะวัน วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:4:25:07 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 60
สวัสดีครับพี่โดม
ผมรู้สึกแบบพี่เลยครับ
ครั้งแรกตอนที่เข้าไปดูรูปถ่ายจิ่วจ้ายโกว
ที่พันทิพ...
โอ้โห...ขอบคุณเขาเสียมากมาย
เพราะรูปสวยๆของเขานั่นแหละครับ
ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเดินทางไปที่นั่น
แต่รูปประกอบจากตอนที่พี่โดมเขียนเรื่องแม่น้ำสะแกกรัง
สวยหลายรูปครับ
โดยเฉพาะรูปที่ใช้เงาสีดำเป็น Forground
มติชนผมอาจหาอ่านได้ครับ
เพราะที่ร้านเช่าหนังสือซึ่งช้าประมาณ 2 อาทิตย์พอดี
เดี๋ยวผมจะลองหาอ่านดูครับ
ขอบคุณครับพี่
โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 20 กันยายน 2550 เวลา:7:56:21 น.