|
จดหมายเปิดผนึกถึงท่านว.วชิรเมธี
ว. วชิรเมธี พระเมธีหนุ่มแห่งยุคสมัย
(ภาพจากนิตยสาร GM)
เพลงพุทธคุณ
ขับร้องโดย โยธิน พรหมดี
ประพันธ์โดย ศรันย์ ไมตรีเวช (ดังตฤณ)
งามรุ่งเรืองบรรเจิดจับตาลึกซึ้งแปลก เพียงแรกแลบันดาลปีติเอ่อพ้นพรรณนา เห็นลีลาพาใจให้เย็นระงับนิ่ง ทุกทุกสิ่งรอบรายกลับกลายภิรมย์สิ้น ความไร้มลทินอันยากเปรียบปาน ความสราญวิมลแห่งผู้รู้ สุดแห่งยอดครู องค์สัพพัญญูเอก
ความซับซ้อนโอฬารที่มีที่เป็นอยู่ ครวญคิดดูเหมือนไร้ผู้อาจหยั่งรู้สิ้นแล้ว แม้พบปราชญ์ผู้แพรวปัญญาแสนเรืองรอง ได้เรียนลองไตร่ตรองนานช้ารู้จำพ่าย เพียงผู้ได้เป็นนายแห่งปัญญา จึงกาจกล้าท่วงทันสัจจะนั้น เลิศยิ่งสามัญ ปัญญาพระพุทธส่อง
กลางหนทางวิบากยังมีศาลาร่ม ให้ชื่นชมธาราแห่งความการุณย์อันแท้ ซาบซึมแผ่ผ่านใจอันร้อนด้วยไฟใหญ่ ดับเชื้อไฟให้สิ้นสุดลงสิ้นทางต่อ แบกรับกรรมเพียงพอแค่ชาตินี้ ได้จบทีเพราะมีเส้นทางไว้ ให้ได้โพล่งพลันสู่การรับรู้ใหม่ พระผู้จอมธรรมตถาคตพระองค์นั้น
------------------------
ผมได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกขณะที่อยู่เพียงลำพังที่ต่างจังหวัด ได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกว่าไพเราะจับใจ ทั้งที่ฟังไม่ค่อยค่อยออกว่ามีถ้อยคำและเนื้อหาอะไรบ้าง แต่เสียงผู้ร้องและเสียงดนตรีร่มรื่นสงบเย็น ผมมารู้ทีหลังว่าคุณดังตฤณเป็นผู้ประพันธ์เพลงนี้ นานกว่าจะได้รู้เนื้อเพลงทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง และถึงวันนี้ผมก็ยังร้องเพลงนี้ไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ได้ฟังก็ยังรู้สึกไพเราะจับใจทุกครั้งไป
-------------------------------
ระหว่างวันที่ 9 - 16 กันยายน นี้Double A Book Tower จะจัดงานครบรอบ 1 ปี "Double A Book Tower 1st Anniversary Celebration" ขึ้น ในงานมีการลดราคาหนังสืออย่างมโหฬาร และมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย
คลิกดูรายละเอียดได้ที่ //www.doubleabooktower.com
(สำหรับ วันที่ 14 ก.ย. เวลา 16.30 18.00)
พบปะพูดคุยกับ ขุนเขา ริมน้ำ นักเขียนอิสระ เจ้าของสำนักพิมพ์อิราโต้ พับลิชชิ่ง กับผลงานเขียนเรื่อง ตราบโลกนี้ยังหมุนรอบตัว, มุมมองชีวิต และอุ่นรัก อุ่นเหงา
พร้อมแขกรับเชิญ โดม วุฒิชัย ในหัวข้อ เรียนรู้รัก..เข้าใจชีวิต
ร่วมเจาะลึก โดย คุณวริศวรรณ บุญวงษ์ (นุช ตี 10)
---------------------------
เรื่องนี้เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร ขวัญเรือนฉบับ 858 ปักษ์หลัง สิงหาคม 2550) ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอาเรื่องนี้มาลงบล็อกแล้ว แต่มาคิดอีกทีและตัดสินใจอีกทีเลยเอามาอัพบล็อกดีกว่า อย่างน้อยก็เผื่อสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน และบางทีอาจได้เห็นความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง
หากใครอ่านเรื่องนี้แล้วก็กรุณาคลิกข้ามไปได้เลยนะครับ !
(โปรดอ่านด้วยวิจารณญาณ)
จดหมายจากยุคสมัยอันเศร้าหมอง
ที่นนทบุรี พุทธศักราช ๒๕๕๐
นมัสการ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่เคารพอย่างสูง
ในฐานะที่ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดตามอ่านงานเขียนของท่านอยู่เป็นประจำ ผมมีความศรัทธาและมั่นใจว่าท่านเป็นผู้มีปัญญาสามารถสอนและแนะนำความรู้ที่ถูกต้องให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือ อะไรได้ ท่านเป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพุทธศาสนาในยุคสมัยนี้ เพราะท่านมีความสามารถในการเทศนาบรรยายธรรมและเขียนหนังสือเผยแพร่ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ชาวพุทธ
ในขณะที่มีกลุ่มสงฆ์จำนวนหนึ่งเรียกร้องให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติถึงขนาดไปนั่งประท้วงอดข้าวอยู่นอกวัด และยังมีคณะสงฆ์อีกจำนวนหนึ่งที่เป็นเจ้าพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพที่กำลังเป็นกระแสดังสนั่นทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ ผมขอถามท่านว่าการปลุกเสกที่แท้จริงในความหมายของพุทธศาสนานั้นคืออะไรครับ ?
ผมจำได้ว่าเมื่อนานมาแล้วผมเคยอ่านพบว่า การปลุกเสกที่จะมีผลอย่างแท้จริงก็คือการบรรจุ ศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปในสิ่งนั้น และสิ่งที่สามารถรับศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปได้ก็น่าจะเป็นมนุษย์ ศีล สมาธิ ปัญญาไม่น่าจะไปอยู่ในหินดินทรายหรือสิ่งที่เรียกว่ามวลสารได้ ข้อนี้ท่านมีความเห็นอย่างไรครับ ช่วยอธิบายให้ความกระจ่างแก่ผมด้วยครับ ?
ผมอยากถามผ่านท่านว่าบรรดาสาวกที่กำลังเรียกร้องศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติและบรรดาเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่รับปลุกเสกจตุคามรามเทพเดือนชนเดือนไม่มีวันว่างนั้นเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรแก่สาวกและชาวโลก ? ในตอนแรกผมคิดว่าผมจะไม่พูดถึงเรื่องทำนองนี้ในข้อเขียนของผมอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ต้องการที่จะปะทะกันทางความเชื่อและความคิดกับผู้ที่คิดต่างกันซึ่งต้องมีอยู่แล้วและเป็นเรื่องปกติธรรมดาดั่งคำตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า นานา จิตตัง อีกทั้งอาจเป็นเรื่องให้ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวเปล่าๆ เพราะกระแสความเชื่อในองค์จตุคามรามเทพอย่างล้นหลามที่เป็นอยู่ในขณะนี้
แต่วันนี้ผมได้ไปเห็นรูปสระบัวที่มีแต่ดอกบัวและใบบัวแห้งตายหมดทั้งสระ ทำให้ผมนึกไปถึงหัวข้อธรรมการเปรียบเทียบเรื่องดอกบัวกับมนุษย์ ว่าเหมือนบัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำ และบัวใต้โคลนตม ซึ่งผมก็จำติดใจเรื่อยมาว่าเป็น บัวสี่เหล่า
จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้อ่านหนังสือ "สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่เพื่อความถูกต้อง" ของ อาจารย์วศิน อินทสระ ท่านบอกว่า เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเพื่อจะไปโปรดหมู่สัตว์ว่าใครมีปัญญาที่พอจะแนะนำได้เร็วบ้าง พระพุทธเจ้าทรงตรัสเปรียบมนุษย์เป็นดอกบัว 3 เหล่าเท่านั้น โดยเปรียบไว้ดังนี้ เหล่าที่ 1 เป็นบัวโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ เหล่าที่ 2 เป็นบัวอยู่ปริ่มน้ำ เหล่าที่ 3 เป็นบัวอยู่ใต้น้ำ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสถึงบัวเหล่าที่สี่เลย
บัวเหล่าที่สี่นั้นคงเป็นเพียงเนื้อความในอรรถกถาเท่านั้น อย่างไรก็ดีผมขอถือโอกาสนี้ตั้งปุจฉากับท่านก็แล้วกันนะครับว่าที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบมนุษย์กับดอกบัวนั้น ท่านเปรียบกับบัวสามเหล่าหรือบัวสี่เหล่ากันแน่ครับ ? จากการที่ผมได้ฟังท่านบรรยายและแสดงความคิดเห็นเป็นระบบว่าสังคมบ้านเราขณะนี้กำลังเกิดวิกฤตทางปัญญา ไม่รู้จะพึ่งอะไรดีต่างก็หันไปพึ่งจตุคามรามเทพกันเกือบทั้งประเทศ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเกือบครึ่งร้อยแล้วผมก็ยังไม่เคยเห็นยุคไหนที่คนไทยหันไปพึ่งพาวัตถุมงคลกันมากมายถึงเพียงนี้ การบูชาเทพนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาของเมืองไทยเลยก็ว่าได้
ผมเชื่อว่าการบูชาแบบขอหรืออ้อนวอนนั้นไม่มีวันสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า และเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะผสมผสานให้ไปด้วยกันกับการปฏิบัติบูชาได้ นอกเสียจากตกแต่งปะปนเพื่อลากเอาเข้าวัดตามที่ท่านเคยเขียนไว้ว่า ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการพยายามอธิบายว่า จตุคามรามเทพ เป็นพระโพธิสัตว์ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ หากแต่เป็นเพียงการพยายาม ลากเข้าวัด หรือการหาวิธีอ้างอิง แบรนด์ ของพระพุทธศาสนามาใช้เพื่อให้ หลอก คนไทยได้ลื่นไหลเท่านั้นเอง
ผมรู้สึกเคารพท่านยิ่งๆขึ้นที่ข้อเขียนของท่านยังยืนอยู่ข้างของพระพุทธเจ้า แต่เสียงของท่านก็แผ่วเบาเพราะมีเสียงน้อย ในฐานะที่ผมซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง และยังอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้าผ่านผลงานของครูบาอาจารย์รุ่นหลังอยู่เนืองๆ
ผมจึงเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ถึงท่านเพื่อจะบอกว่ายังมีผมอีกคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงของท่าน และเพื่อกราบคารวะท่านที่กล้าออกมาพูดและเขียนยืนยันสิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับความเชื่อของคนส่วนมาก ท่านยังยืนหยัดอยู่ข้างพระพุทธศาสนา สมกับเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่ทำหน้าที่สืบต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งต่างจากพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัยหรือไม่ได้อยู่ข้างพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของตน ผมสงสัยว่าสังคมประเทศไทยกำลังเกิดอะไรขึ้นครับ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ไม่ใช่ที่พึ่งที่ถูกต้องแล้วหรือครับ ? คนเราจึงต้องหันไปพึ่งเทพคล้องคอกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถ้าการบูชาจตุคามรามเทพด้วยอามิสบูชาแล้วร่ำรวยได้จริงและพ้นเคราะห์พ้นโศกได้จริง เรื่อง กรรม ที่พระพุทธเจ้าสอนก็คงไม่มีความหมาย เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คงเป็นเพียงอะไรสักอย่างที่พูดกันลอยๆเท่านั้น
ผมคิดว่าเป็นเพราะสิ่งที่ผู้คนบูชากันในวันนี้สามารถขายเป็นเงินได้ ถ้าลองขายไม่ได้สิครับ รับรองว่าจะไม่ผลิตกันออกมามากมายขนาดนี้หรอก ผมเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจเป็นที่พึ่งอันเกษมของมนุษย์ได้ และหนีไม่พ้นกฏของไตรลักษณ์อย่างแน่นอน ปีนี้ความนิยมในองค์จตุคามรามเทพพุ่งขึ้นสุดๆแล้ว แน่นอนว่าความนิยมนั้นจะต้องตกลงมาไม่ช้าก็เร็วเท่านั้นเอง
ผมชอบใจที่ท่านบอกว่าทุกวันนี้คนไม่ได้ขาดที่พึ่งกันหรอก พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่พึ่งนั้นยังอยู่ครบ แต่สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปขาดคือ ความรู้ เพราะทุกคนต่างก็มีความเห็น ความเชื่อ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าคนจะโง่หรือฉลาดขนาดไหนต่างก็มี ความเห็น กันได้ แต่ทว่าขาดความรู้ที่ถูกต้องเท่านั้นเอง เมื่อรู้ผิดก็ไม่อาจเรียกว่าความรู้ได้ ใช่ไหมครับ ?
วันที่นักบวชที่แท้อย่างท่านติช นัท ฮันห์ มาเยือนเมืองไทย มีคนเข้าร่วมกิจกรรมเพียงแค่หลักพัน ไม่เห็นมีคนแห่แหนไปเหยียบกันตายเหมือนตอนแจกจตุคามรามเทพเลย ทำให้ผมนึกถึงเรื่องในสมัยพุทธกาล ตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรยังเป็นพราหมณ์ศึกษาอยู่กับอาจารย์สญชัยซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ เมื่อทั้งสองได้พบกับสาวกของพระพุทธเจ้าและได้สดับคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอยากชวนอาจารย์ของตนไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน ทั้งสองพราหมณ์พากันเข้าไปหาอาจารย์สญชัย บอกกล่าวการกำเนิดแห่งพระพุทธเจ้า และชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า อาจารย์สญชัยปฏิเสธและกล่าวว่า ในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าหรือคนฉลาดมากกว่า ลูกศิษย์ก็ตอบว่า ก็คนโง่น่ะสิครับท่านอาจารย์ อาจารย์สญชัยตอบกลับไปทันทีว่า ถ้าเช่นนั้นคนโง่จงมาสำนักเรา คนฉลาดจงไปสำนักพระพุทธเจ้า ท่านมีความคิดเห็นต่อคนเป็นอาจารย์อย่างอาจารย์สญชัยในเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ ? ผมมองสระบัวซึ่งมีแต่ดอกบัวและใบบัวที่เหี่ยวแห้งอยู่เต็มสระ ช่างเหมือนกับสังคมของเมืองไทยขณะนี้ซึ่งอยู่ในสภาพแห้งแล้งเหลือเกิน ผู้คนหันไปพึ่งในสิ่งที่ไม่สามารถพึ่งได้อย่างแท้จริง ถ้าไม่เริ่มต้นที่สัมมาทิฐิเสียแล้วก็ยากที่จะเดินให้ตรงทางต่อไปได้ ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า เมื่อฤดูกาลผ่านไป รากเหง้าของบัวใต้โคลนตมจะผลิแตกส่งดอกบัวดอกใหม่ขึ้นมาได้ทันเวลาก่อนที่จะถูกเต่าและปลากินเป็นอาหารเสียหมด
ด้วยความเคารพอย่างสูง
โดม วุฒิชัย
-------------------------------------
อัพบล็อกครั้งต่อไปอ่านจดหมายตอบจากท่านว.วชิระเมธี
ถ้าใครยังไม่ได้อ่านแล้วอยากอ่านโปรดติดตาม !
Create Date : 08 กันยายน 2550 |
|
17 comments |
Last Update : 9 กันยายน 2550 9:49:14 น. |
Counter : 1663 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 8 กันยายน 2550 23:39:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 9 กันยายน 2550 11:48:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 9 กันยายน 2550 11:53:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 9 กันยายน 2550 12:18:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: montagio 9 กันยายน 2550 14:00:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) 9 กันยายน 2550 14:09:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: กาแฟ ชา..ย (วีดวาด ) 9 กันยายน 2550 16:03:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: สเลเต 9 กันยายน 2550 16:54:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: filmgus 9 กันยายน 2550 17:29:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 9 กันยายน 2550 17:52:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) 9 กันยายน 2550 18:30:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตะเบบูญ่า IP: 58.8.63.103 9 กันยายน 2550 19:56:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อพเยีย 10 กันยายน 2550 7:53:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อบู (be-oct4 ) 10 กันยายน 2550 8:42:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 10 กันยายน 2550 9:12:22 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
นนทบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]
|
ด้วยความยินดี... หากมีผู้ใดละเมิด โดยนำภาพถ่าย,บทความ หรือข้อเขียนต่างๆ ใน Blog นี้ไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด สามารถทำได้เลยทันที โดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
เว้นเสียแต่ว่า
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย
|
|
|
|
|
|
|
-------------------------
สวัสดี มีสุขค่ะพ่อพเยีย
สบายดีอ๊ะป่าว
กินข้าวแล้วยัง
ไปไหนมั่งมั้ยเอ่ย
555555
อีกหนึ่งคำถามคิดถึงป้าซ่าส์มั้ยค๊า
เป็นคำถามที่ถามแบบน่าไม่อายที่ซู้ดดดดดดดดด ในโลกเลยค่ะ
สุขสันต์วันเสาร์นะค๊า
โดย: ป้าซ่าส์ วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:16:34:55 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 67
กลับมารายงานตัวอีกครั้งว่า
อ่านจบแล้วครับสำหรับจดหมาย
คมคายทั้งคำถามของพี่
และลุ่มลึกกับคำตอบของท่าน ว.วชิรเมธี
สรุปสั้นๆว่า
ตอนนี้สังคมไทยขาด "ปัญญา" อย่างแรงครับ
โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:16:51:08 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 68
นก..ไร้หัวใจ
ไม่ควรเสียใจที่ถูกมองข้าม
แงงงง...(ทำใจ)
ไม่มีอะไรเศร้าไปกว่าการถูกลืมค่ะพี่โดม...
ช่วงนี้กำลังบริหารใจให้เข้มแข็ง
และจะเป็นนกแสงตะวันคนเดิมในเร็ววัน
...
สวัสดีบ่ายวันเสาร์ที่น่าจะเป็นวันพักผ่อน
อย่าทำงานมากจนลืมพักนะคะ
บายๆ
โดย: นกบาดเจ็บ IP: 125.26.182.254 วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:17:13:36 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 69
เอาความคิดถึงมาตั้งไว้ค่ะ..
จากบ้านพี่โดมแล้ว..สั่งความคิดถึงไว้แล้ว
ว่าปลิวไปหาพี่ๆ น้องๆ ด้วย
ตอนนี้อยู่ที่เกาะพีพีค่ะ.. ลงมาเรือบ่ายวันนี้ นักท่องเที่ยวไม่เยอะนัก
การก่อสร้างยังคงดำเนิน
พรุ่งนี้ได้ไปถ่ายรูปจะเอามาฝาก ถ้าหากว่า..มีโอกาสใช้เน็ตอีก สมัยนี้เน็ตยังนาทีละ 2 บาทอยู่ค่ะ
ชั่วโมงละ 100 บาท ถือว่าไม่แพงเนื่องจากไฟปั่น ค่าไฟที่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบค่าไฟเดือนๆ หนึ่งหลายบาท.. อย่างร้านทำเน็ตอย่างเดียว เฉลี่ยก็เกือบหมื่นแล้วค่ะ (อย่างต่ำแปดพัน)
เรียกว่าต้นทุนผลิตสูง ค่าใช้จ่ายก็สูงตามไปเป็นปกติ
แหะ แหะ ร้อนตัวเดี๋ยวหาว่าพีพีแพงแล้วไม่ใครมาเที่ยว
โดย: jam (สีน้ำฟ้า ) วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:21:15:18 น.
ห่างไกล ไม่ห่างกัน 70
สวัสดีค่ะ คุณโดม
กลางวันอากาศร้อน
กลางคืนฝนตก
หลับสบาย
ช่วงนี้เจองานยุ่งๆ หลายอย่าง
แต่ว่าหัวใจก็สบายดี
ยิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องราวที่นี่
ก็ยิ่งรู้สึกดีค่ะ
โดย: บอนหวาน วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:23:19:00 น.