จงทำสิ่งที่คุณทำได้...ด้วยสิ่งที่คุณมี...ณ จุดที่คุณยืนอยู่ - ธีโอดอร์ รูสเวลท์
Uploaded with ImageShack.us
Group Blog
 
<<
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
8 กันยายน 2550
 
All Blogs
 

จดหมายเปิดผนึกถึงท่านว.วชิรเมธี




ว. วชิรเมธี พระเมธีหนุ่มแห่งยุคสมัย

(ภาพจากนิตยสาร GM)




เพลงพุทธคุณ

ขับร้องโดย โยธิน พรหมดี

ประพันธ์โดย ศรันย์ ไมตรีเวช (ดังตฤณ)


งามรุ่งเรืองบรรเจิดจับตาลึกซึ้งแปลก
เพียงแรกแลบันดาลปีติเอ่อพ้นพรรณนา
เห็นลีลาพาใจให้เย็นระงับนิ่ง
ทุกทุกสิ่งรอบรายกลับกลายภิรมย์สิ้น
ความไร้มลทินอันยากเปรียบปาน
ความสราญวิมลแห่งผู้รู้
สุดแห่งยอดครู องค์สัพพัญญูเอก


ความซับซ้อนโอฬารที่มีที่เป็นอยู่
ครวญคิดดูเหมือนไร้ผู้อาจหยั่งรู้สิ้นแล้ว
แม้พบปราชญ์ผู้แพรวปัญญาแสนเรืองรอง
ได้เรียนลองไตร่ตรองนานช้ารู้จำพ่าย
เพียงผู้ได้เป็นนายแห่งปัญญา
จึงกาจกล้าท่วงทันสัจจะนั้น
เลิศยิ่งสามัญ ปัญญาพระพุทธส่อง


กลางหนทางวิบากยังมีศาลาร่ม
ให้ชื่นชมธาราแห่งความการุณย์อันแท้
ซาบซึมแผ่ผ่านใจอันร้อนด้วยไฟใหญ่
ดับเชื้อไฟให้สิ้นสุดลงสิ้นทางต่อ
แบกรับกรรมเพียงพอแค่ชาตินี้
ได้จบทีเพราะมีเส้นทางไว้
ให้ได้โพล่งพลันสู่การรับรู้ใหม่
พระผู้จอมธรรมตถาคตพระองค์นั้น…

------------------------


ผมได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกขณะที่อยู่เพียงลำพังที่ต่างจังหวัด
ได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกว่าไพเราะจับใจ
ทั้งที่ฟังไม่ค่อยค่อยออกว่ามีถ้อยคำและเนื้อหาอะไรบ้าง
แต่เสียงผู้ร้องและเสียงดนตรีร่มรื่นสงบเย็น
ผมมารู้ทีหลังว่าคุณดังตฤณเป็นผู้ประพันธ์เพลงนี้
นานกว่าจะได้รู้เนื้อเพลงทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง
และถึงวันนี้ผมก็ยังร้องเพลงนี้ไม่ได้
แต่ทุกครั้งที่ได้ฟังก็ยังรู้สึกไพเราะจับใจทุกครั้งไป


-------------------------------



ระหว่างวันที่ 9 - 16 กันยายน นี้Double A Book Tower จะจัดงานครบรอบ 1 ปี "Double A Book Tower 1st Anniversary Celebration" ขึ้น ในงานมีการลดราคาหนังสืออย่างมโหฬาร และมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย

คลิกดูรายละเอียดได้ที่ //www.doubleabooktower.com



(สำหรับ วันที่ 14 ก.ย. เวลา 16.30 – 18.00)


พบปะพูดคุยกับ ขุนเขา ริมน้ำ นักเขียนอิสระ เจ้าของสำนักพิมพ์อิราโต้ พับลิชชิ่ง
กับผลงานเขียนเรื่อง ตราบโลกนี้ยังหมุนรอบตัว, มุมมองชีวิต และอุ่นรัก อุ่นเหงา

พร้อมแขกรับเชิญ โดม วุฒิชัย ในหัวข้อ “เรียนรู้รัก..เข้าใจชีวิต”

ร่วมเจาะลึก โดย คุณวริศวรรณ บุญวงษ์ (นุช ตี 10)



---------------------------



เรื่องนี้เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร ขวัญเรือนฉบับ 858 ปักษ์หลัง สิงหาคม 2550)
ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอาเรื่องนี้มาลงบล็อกแล้ว
แต่มาคิดอีกทีและตัดสินใจอีกทีเลยเอามาอัพบล็อกดีกว่า
อย่างน้อยก็เผื่อสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้อ่าน
และบางทีอาจได้เห็นความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง

หากใครอ่านเรื่องนี้แล้วก็กรุณาคลิกข้ามไปได้เลยนะครับ !



(โปรดอ่านด้วยวิจารณญาณ)


จดหมายจากยุคสมัยอันเศร้าหมอง







ที่นนทบุรี พุทธศักราช ๒๕๕๐

นมัสการ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่เคารพอย่างสูง



ในฐานะที่ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดตามอ่านงานเขียนของท่านอยู่เป็นประจำ ผมมีความศรัทธาและมั่นใจว่าท่านเป็นผู้มีปัญญาสามารถสอนและแนะนำความรู้ที่ถูกต้องให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ว่า”อะไร”คือ “อะไร”ได้ ท่านเป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพุทธศาสนาในยุคสมัยนี้ เพราะท่านมีความสามารถในการเทศนาบรรยายธรรมและเขียนหนังสือเผยแพร่ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ชาวพุทธ

ในขณะที่มีกลุ่มสงฆ์จำนวนหนึ่งเรียกร้องให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติถึงขนาดไปนั่งประท้วงอดข้าวอยู่นอกวัด และยังมีคณะสงฆ์อีกจำนวนหนึ่งที่เป็นเจ้าพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพที่กำลังเป็นกระแสดังสนั่นทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ ผมขอถามท่านว่าการปลุกเสกที่แท้จริงในความหมายของพุทธศาสนานั้นคืออะไรครับ ?

ผมจำได้ว่าเมื่อนานมาแล้วผมเคยอ่านพบว่า การปลุกเสกที่จะมีผลอย่างแท้จริงก็คือการบรรจุ ศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปในสิ่งนั้น และสิ่งที่สามารถรับศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปได้ก็น่าจะเป็นมนุษย์ ศีล สมาธิ ปัญญาไม่น่าจะไปอยู่ในหินดินทรายหรือสิ่งที่เรียกว่ามวลสารได้ ข้อนี้ท่านมีความเห็นอย่างไรครับ ช่วยอธิบายให้ความกระจ่างแก่ผมด้วยครับ ?

ผมอยากถามผ่านท่านว่าบรรดาสาวกที่กำลังเรียกร้องศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติและบรรดาเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่รับปลุกเสกจตุคามรามเทพเดือนชนเดือนไม่มีวันว่างนั้นเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรแก่สาวกและชาวโลก ?

ในตอนแรกผมคิดว่าผมจะไม่พูดถึงเรื่องทำนองนี้ในข้อเขียนของผมอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ต้องการที่จะปะทะกันทางความเชื่อและความคิดกับผู้ที่คิดต่างกันซึ่งต้องมีอยู่แล้วและเป็นเรื่องปกติธรรมดาดั่งคำตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า “นานา จิตตัง” อีกทั้งอาจเป็นเรื่องให้ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวเปล่าๆ เพราะกระแสความเชื่อในองค์จตุคามรามเทพอย่างล้นหลามที่เป็นอยู่ในขณะนี้

แต่วันนี้ผมได้ไปเห็นรูปสระบัวที่มีแต่ดอกบัวและใบบัวแห้งตายหมดทั้งสระ ทำให้ผมนึกไปถึงหัวข้อธรรมการเปรียบเทียบเรื่องดอกบัวกับมนุษย์ ว่าเหมือนบัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำ และบัวใต้โคลนตม ซึ่งผมก็จำติดใจเรื่อยมาว่าเป็น “บัวสี่เหล่า”

จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้อ่านหนังสือ "สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่เพื่อความถูกต้อง" ของ อาจารย์วศิน อินทสระ ท่านบอกว่า เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเพื่อจะไปโปรดหมู่สัตว์ว่าใครมีปัญญาที่พอจะแนะนำได้เร็วบ้าง พระพุทธเจ้าทรงตรัสเปรียบมนุษย์เป็นดอกบัว 3 เหล่าเท่านั้น โดยเปรียบไว้ดังนี้ เหล่าที่ 1 เป็นบัวโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ เหล่าที่ 2 เป็นบัวอยู่ปริ่มน้ำ เหล่าที่ 3 เป็นบัวอยู่ใต้น้ำ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสถึงบัวเหล่าที่สี่เลย


บัวเหล่าที่สี่นั้นคงเป็นเพียงเนื้อความในอรรถกถาเท่านั้น อย่างไรก็ดีผมขอถือโอกาสนี้ตั้งปุจฉากับท่านก็แล้วกันนะครับว่าที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบมนุษย์กับดอกบัวนั้น ท่านเปรียบกับบัวสามเหล่าหรือบัวสี่เหล่ากันแน่ครับ ?

จากการที่ผมได้ฟังท่านบรรยายและแสดงความคิดเห็นเป็นระบบว่าสังคมบ้านเราขณะนี้กำลังเกิดวิกฤตทางปัญญา ไม่รู้จะพึ่งอะไรดีต่างก็หันไปพึ่งจตุคามรามเทพกันเกือบทั้งประเทศ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเกือบครึ่งร้อยแล้วผมก็ยังไม่เคยเห็นยุคไหนที่คนไทยหันไปพึ่งพาวัตถุมงคลกันมากมายถึงเพียงนี้ การบูชาเทพนับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาของเมืองไทยเลยก็ว่าได้

ผมเชื่อว่าการบูชาแบบขอหรืออ้อนวอนนั้นไม่มีวันสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า และเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะผสมผสานให้ไปด้วยกันกับการปฏิบัติบูชาได้ นอกเสียจากตกแต่งปะปนเพื่อลากเอาเข้าวัดตามที่ท่านเคยเขียนไว้ว่า “ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการพยายามอธิบายว่า ‘จตุคามรามเทพ’ เป็นพระโพธิสัตว์ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ หากแต่เป็นเพียงการพยายาม ‘ลากเข้าวัด’ หรือการหาวิธีอ้างอิง ‘แบรนด์’ ของพระพุทธศาสนามาใช้เพื่อให้ ‘หลอก’ คนไทยได้ลื่นไหลเท่านั้นเอง”


ผมรู้สึกเคารพท่านยิ่งๆขึ้นที่ข้อเขียนของท่านยังยืนอยู่ข้างของพระพุทธเจ้า แต่เสียงของท่านก็แผ่วเบาเพราะมีเสียงน้อย ในฐานะที่ผมซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง และยังอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้าผ่านผลงานของครูบาอาจารย์รุ่นหลังอยู่เนืองๆ

ผมจึงเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ถึงท่านเพื่อจะบอกว่ายังมีผมอีกคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงของท่าน และเพื่อกราบคารวะท่านที่กล้าออกมาพูดและเขียนยืนยันสิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับความเชื่อของคนส่วนมาก ท่านยังยืนหยัดอยู่ข้างพระพุทธศาสนา สมกับเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่ทำหน้าที่สืบต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งต่างจากพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัยหรือไม่ได้อยู่ข้างพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของตน

ผมสงสัยว่าสังคมประเทศไทยกำลังเกิดอะไรขึ้นครับ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ไม่ใช่ที่พึ่งที่ถูกต้องแล้วหรือครับ ? คนเราจึงต้องหันไปพึ่งเทพคล้องคอกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถ้าการบูชาจตุคามรามเทพด้วยอามิสบูชาแล้วร่ำรวยได้จริงและพ้นเคราะห์พ้นโศกได้จริง เรื่อง “กรรม” ที่พระพุทธเจ้าสอนก็คงไม่มีความหมาย เรื่อง “ศีล สมาธิ ปัญญา” ก็คงเป็นเพียงอะไรสักอย่างที่พูดกันลอยๆเท่านั้น

ผมคิดว่าเป็นเพราะสิ่งที่ผู้คนบูชากันในวันนี้สามารถขายเป็นเงินได้ ถ้าลองขายไม่ได้สิครับ รับรองว่าจะไม่ผลิตกันออกมามากมายขนาดนี้หรอก ผมเชื่อเหลือเกินว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจเป็นที่พึ่งอันเกษมของมนุษย์ได้ และหนีไม่พ้นกฏของไตรลักษณ์อย่างแน่นอน ปีนี้ความนิยมในองค์จตุคามรามเทพพุ่งขึ้นสุดๆแล้ว แน่นอนว่าความนิยมนั้นจะต้องตกลงมาไม่ช้าก็เร็วเท่านั้นเอง

ผมชอบใจที่ท่านบอกว่าทุกวันนี้คนไม่ได้ขาดที่พึ่งกันหรอก พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่พึ่งนั้นยังอยู่ครบ แต่สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปขาดคือ “ความรู้” เพราะทุกคนต่างก็มีความเห็น ความเชื่อ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าคนจะโง่หรือฉลาดขนาดไหนต่างก็มี “ความเห็น” กันได้ แต่ทว่าขาดความรู้ที่ถูกต้องเท่านั้นเอง เมื่อรู้ผิดก็ไม่อาจเรียกว่าความรู้ได้ ใช่ไหมครับ ?

วันที่นักบวชที่แท้อย่างท่านติช นัท ฮันห์ มาเยือนเมืองไทย มีคนเข้าร่วมกิจกรรมเพียงแค่หลักพัน ไม่เห็นมีคนแห่แหนไปเหยียบกันตายเหมือนตอนแจกจตุคามรามเทพเลย ทำให้ผมนึกถึงเรื่องในสมัยพุทธกาล ตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรยังเป็นพราหมณ์ศึกษาอยู่กับอาจารย์สญชัยซึ่งเป็นเจ้าลัทธิ เมื่อทั้งสองได้พบกับสาวกของพระพุทธเจ้าและได้สดับคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอยากชวนอาจารย์ของตนไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน

ทั้งสองพราหมณ์พากันเข้าไปหาอาจารย์สญชัย บอกกล่าวการกำเนิดแห่งพระพุทธเจ้า และชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า อาจารย์สญชัยปฏิเสธและกล่าวว่า “ในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าหรือคนฉลาดมากกว่า” ลูกศิษย์ก็ตอบว่า “ก็คนโง่น่ะสิครับท่านอาจารย์”

อาจารย์สญชัยตอบกลับไปทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้นคนโง่จงมาสำนักเรา คนฉลาดจงไปสำนักพระพุทธเจ้า” ท่านมีความคิดเห็นต่อคนเป็นอาจารย์อย่างอาจารย์สญชัยในเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ ?

ผมมองสระบัวซึ่งมีแต่ดอกบัวและใบบัวที่เหี่ยวแห้งอยู่เต็มสระ ช่างเหมือนกับสังคมของเมืองไทยขณะนี้ซึ่งอยู่ในสภาพแห้งแล้งเหลือเกิน ผู้คนหันไปพึ่งในสิ่งที่ไม่สามารถพึ่งได้อย่างแท้จริง ถ้าไม่เริ่มต้นที่สัมมาทิฐิเสียแล้วก็ยากที่จะเดินให้ตรงทางต่อไปได้ ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า เมื่อฤดูกาลผ่านไป รากเหง้าของบัวใต้โคลนตมจะผลิแตกส่งดอกบัวดอกใหม่ขึ้นมาได้ทันเวลาก่อนที่จะถูกเต่าและปลากินเป็นอาหารเสียหมด


ด้วยความเคารพอย่างสูง

โดม วุฒิชัย



-------------------------------------


อัพบล็อกครั้งต่อไปอ่านจดหมายตอบจากท่านว.วชิระเมธี

ถ้าใครยังไม่ได้อ่านแล้วอยากอ่านโปรดติดตาม !












 

Create Date : 08 กันยายน 2550
17 comments
Last Update : 9 กันยายน 2550 9:49:14 น.
Counter : 1663 Pageviews.

 

พอดีผมอัพบล็อกใหม่ (แต่ไม่ได้เขียนเรื่องใหม่) จึงขอยกคอมเม้นท์ล่าสุดมาไว้หน้านี้ แล้วค่อยคุยกันนะครับ
-------------------------
สวัสดี มีสุขค่ะพ่อพเยีย
สบายดีอ๊ะป่าว
กินข้าวแล้วยัง
ไปไหนมั่งมั้ยเอ่ย
555555
อีกหนึ่งคำถามคิดถึงป้าซ่าส์มั้ยค๊า
เป็นคำถามที่ถามแบบน่าไม่อายที่ซู้ดดดดดดดดด ในโลกเลยค่ะ

สุขสันต์วันเสาร์นะค๊า

โดย: ป้าซ่าส์ วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:16:34:55 น.

ห่างไกล ไม่ห่างกัน 67
กลับมารายงานตัวอีกครั้งว่า
อ่านจบแล้วครับสำหรับจดหมาย
คมคายทั้งคำถามของพี่
และลุ่มลึกกับคำตอบของท่าน ว.วชิรเมธี

สรุปสั้นๆว่า
ตอนนี้สังคมไทยขาด "ปัญญา" อย่างแรงครับ

โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:16:51:08 น.

ห่างไกล ไม่ห่างกัน 68
นก..ไร้หัวใจ
ไม่ควรเสียใจที่ถูกมองข้าม
แงงงง...(ทำใจ)
ไม่มีอะไรเศร้าไปกว่าการถูกลืมค่ะพี่โดม...

ช่วงนี้กำลังบริหารใจให้เข้มแข็ง
และจะเป็นนกแสงตะวันคนเดิมในเร็ววัน
...

สวัสดีบ่ายวันเสาร์ที่น่าจะเป็นวันพักผ่อน
อย่าทำงานมากจนลืมพักนะคะ

บายๆ

โดย: นกบาดเจ็บ IP: 125.26.182.254 วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:17:13:36 น.

ห่างไกล ไม่ห่างกัน 69
เอาความคิดถึงมาตั้งไว้ค่ะ..
จากบ้านพี่โดมแล้ว..สั่งความคิดถึงไว้แล้ว

ว่าปลิวไปหาพี่ๆ น้องๆ ด้วย

ตอนนี้อยู่ที่เกาะพีพีค่ะ.. ลงมาเรือบ่ายวันนี้ นักท่องเที่ยวไม่เยอะนัก

การก่อสร้างยังคงดำเนิน

พรุ่งนี้ได้ไปถ่ายรูปจะเอามาฝาก ถ้าหากว่า..มีโอกาสใช้เน็ตอีก สมัยนี้เน็ตยังนาทีละ 2 บาทอยู่ค่ะ

ชั่วโมงละ 100 บาท ถือว่าไม่แพงเนื่องจากไฟปั่น ค่าไฟที่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบค่าไฟเดือนๆ หนึ่งหลายบาท.. อย่างร้านทำเน็ตอย่างเดียว เฉลี่ยก็เกือบหมื่นแล้วค่ะ (อย่างต่ำแปดพัน)

เรียกว่าต้นทุนผลิตสูง ค่าใช้จ่ายก็สูงตามไปเป็นปกติ

แหะ แหะ ร้อนตัวเดี๋ยวหาว่าพีพีแพงแล้วไม่ใครมาเที่ยว

โดย: jam (สีน้ำฟ้า ) วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:21:15:18 น.

ห่างไกล ไม่ห่างกัน 70
สวัสดีค่ะ คุณโดม

กลางวันอากาศร้อน
กลางคืนฝนตก
หลับสบาย
ช่วงนี้เจองานยุ่งๆ หลายอย่าง
แต่ว่าหัวใจก็สบายดี
ยิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องราวที่นี่
ก็ยิ่งรู้สึกดีค่ะ

โดย: บอนหวาน วันที่: 8 กันยายน 2550 เวลา:23:19:00 น.


 

โดย: พ่อพเยีย 8 กันยายน 2550 23:39:20 น.  

 

ยังไม่ได้อ่าน
ติดไว้ก่อนนะ แสบตามาก
อยากถามว่า ตกลงไม่ได้รับข่าวสารเรื่องวสันต์ใช่ไหม

 

โดย: สัญจร ดาวส่องทาง 9 กันยายน 2550 0:36:50 น.  

 

สวัสดีอีกรอบค่ะ
แวะเวียนมาอ่านและจะแวะเวียน
มาอ่านฉบับตอบด้วยค่ะ

อ่ะจึ๋ยย คุณคนข้างบน เบอร์สอง
แหะๆๆ ป้าซ่าส์อับอายขายขี้หน้า
ไปดีกว่าค่ะ

ขอลาไปก่อนนะคะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

 

โดย: ป้าซ่าส์ 9 กันยายน 2550 2:22:40 น.  

 

สวัสดีครับป้าซ่าส์

ยังไม่ทันจะรู้จักกันมากมายเลย
จะไปคิดถึง "อะไร" เล่าครับ ?

เห็นป้าซ่าส์แวะมาทักทายก็ยินดีแล้ว ว่างๆจะแวะไปหาที่บ้านนะครับ

สวัสดีครับคุณกะว่าก๋า

คอมเม้นท์ของคุณจังหวะเดียวกับที่ผมกำลังเอาเรื่องนี้มาอัพบล็อกพอดีเลย


ได้ข่าวว่าคุณชอบเที่ยววัดใช่ไหมครับ หรือผมจะจำผิดนะ เดี๋ยวต้องย้อนไปเที่ยวบล็อกคุณใหม่

ถ้าผมจำไม่ผิดคลับคล้ายคลับคลาว่าคุณชอบไปวัดและมีรูปถ่ายเกี่ยวกับวัดเยอะมาก และดูเหมือนว่าคุณอยู่ทางเหนือ

ยินดีที่ได้รู้จักรุ่นน้องรุ่นหลาน แล้วคุยกันอีกนะครับ




สวัสดีจ้ะหนูแจม ชีพจรลงเท้า

นับตั้งแต่รู้จักกันมาทางบล็อกนี่หนูแจมเดินทางไม่หยุดเลยนะ และขอบคุณที่ช่วยส่งข่าวโน้นข่าวนี้ให้เป็นประจำ
ทำตัวเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและชุมชนที่อยู่ด้วย

และคิดว่าการเดินทางไปในที่ต่างๆของหนูแจมนั้น คือแหล่งวัตถุดิบชั้นดีที่จะกลายแรงบันดาลใจให้ทำงานเขียนอย่างมีความสุข

สวัสดีครับพี่ปอน

ได้รับข่าวเรื่องวสันต์ที่พี่ปอนบอกแล้ว แต่ยังไม่รู้ข่าวล่าสุดว่าหลังจากพี่ปอนไปพบกับวสันต์แล้วเป็นอย่างไร เมื่อเช้าผมโทรแล้วไม่สามารถติดต่อได้ แล้วค่อยคุยกันก็แล้วกันนะครับ


สวัสดีครับคุณบอนหวาน

งานยุ่งๆแต่ยังสบายใจดี
ถือว่าเป็นเรื่องวิเศษจริงๆ
แสดงว่าจิตใจของคุณได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีทีเดียว

 

โดย: พ่อพเยีย 9 กันยายน 2550 11:48:09 น.  

 

สวัสดีจ้ะนกแสงตะวัน (บาดเจ็บ)

นกบาดเจ็บเพราะบินหลงฟ้าที่ไหนหรือเปล่า ?

เพิ่งอ่านเรื่องทวาร 6 ศาตร์แห่งการรู้เท่าทันตัวเอง ของทันตแพทย์ สม สุจิรา ท่านพูดถึงเรื่องความบาดเจ็บที่เกิดจากกาย นั้นเจ็บแป๊บเดียวก็หาย เหมือนมีดบาด บาดเนื้อไม่นานก็หาย

แต่ภาพบางภาพบาดตาก็กลายเป็นภาพบาดใจที่เจ็บนาน นึกถึงเมื่อไรก็เจ็บเมื่อนั้น

เหมือนคำพูดที่บาดหู เมื่อนึกถึงเมื่อไรก็เจ็บปวดเมื่อนั้น

ซึ่งความจริงเจ็บครั้งแรกทีเดียว แต่เรานำกลับมากรอกลับ ดูซ้ำ ฟังซ้ำ รู้สึกซ้ำก็เลยรู้สึกเศร้า

เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าถูกลืมนั่นแหละ

การลืมของคนอื่นที่ลืมเรานั้น ไม่ทำให้เราเจ็บปวดเท่าไร แต่เจ็บปวดตรงที่เก็บมาคิดย้ำวนเวียนว่า เป็นเหตุเพราะอะไรนะจึงลืมฉันได้ และทำไมต้องลืมฉันด้วย

และประการสำคัญเพราะเราไม่อยากให้เขาลืมนั่นแหละจึงรู้สึกเจ็บปวดและเศร้า



ขอยกถ้อยคำของศรีบูรพา เรื่องสงครามชีวิตที่เกียวกับนกๆเจ็บๆสักหน่อย (จะเกี่ยวกันไม่เนี่ยะ)

"ถ้าฉันเป็นนก ฉันจะบินติดตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง ถึงแม้ว่าในระหว่างนั้น ฉันจะต้องธนูเสียบอก ฉันก็จะบินมาตกตรงหน้าเธอ เพื่อให้แม่ยอดรักได้เช็ดเลือดและน้ำตา แล้วฉันก็จะหลับตาลงอย่างเป็นสุข"

แล้วชาลี อินทรวิจิตรก็เอามแต่งเพลง "อาลัยรัก" ตอนจบที่ว่า...


....แม้มีปีก โผบินได้เหมือนนก...

...อกจะต้องธนู เจ็บปวดนัก...

...ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก...

ให้ยอดรักเช็ดเลือดและน้ำตา....


ขอให้หายเร็วๆ (ถึงไม่ขอก็ต้องหายอยู่แล้ว เชื่อเถอะ !)

 

โดย: พ่อพเยีย 9 กันยายน 2550 11:53:54 น.  

 

มาบอกว่าจะรออ่านตอนหน้านะค๊า...พ่อกำนัน
อ้อ...เป็นไวยาวัจกรดีก่า


มาแค่นี้แหละ...
จะได้รู้ว่าไม่ได้หายหัวไปไหน
หายแต่หน้า...หัวกะตัวก็ยังอยู่

ไม่อยากเป็น...คนหิ้วหัว....
มันดูน่าเกลียดเกินไปแฮะถ้ามาหิ้วหัวตัวเองเดิน.....

 

โดย: ปลายแปรง 9 กันยายน 2550 12:18:37 น.  

 

ที่บอกว่าซื้อแล้ว
ก็ซื้อหนังสือเล่มล่าของคุณพ่อนั่นหล่ะค่ะ...
แหม..ไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นแฟนเหนียวแน่น
เพราะอาจมีคนที่เค้าเหนียวแน่นกว่า
...
เอาเป็นว่า ริมรั้วหัวใจ ก็อ่านมานานพอดู คุณแม่รับหนูก็ฉกมาอ่าน
...
ย่ำไปใต้แสงจันทร์ฉาย หนูก้เคยอ่านเมื่อตอนอายุกำลังจะแตะเลขสาม
...
ห่างไกล ไม่ห่างกัน ทำให้หวนคิดถึงคุณพ่อของหนูเองที่แม้ว่าจะห่างไกลแบบไม่มีทางได้พบกันอีกชั่วชีวิตมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
แต่ยี่สิบห้าปีที่ผ่านมาเราก้อไม่เคยห่างกันเลยเหมือนกันค่ะ
...
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
คนอ่านยังอยากอ่านงานดีๆแบบไม่รีบร้อนแบบนี้อีกไปเรื่อยๆ
...
เอาใจช่วยเสมอค่ะคุณพ่อ

 

โดย: montagio 9 กันยายน 2550 14:00:54 น.  

 

สวัสดีค่ะลุงโดม

หนูได้อ่านจดหมายของลุงโดมแล้วทำให้นึกถึงใครบางคน
เขาเคยถามหนู คิดว่าเขาคงจะอยากรู้จริงๆจึงถาม
ท่าทางก็กล้าๆกลัวๆที่จะถาม
สุดท้ายแล้วก็ถามออกมาจนได้
เขาถามว่า ทำไมถึงกราบไหว้พระพุธรูป แล้วคิดอย่างไรถึงกราบไหว้
มันเป็นคำถามที่หนูมองข้าม ไม่เคยคิดส่งสัย เพราะรู้อีกทีก็มีคนสอนให้กราบพระ พระจะได้คุ้มครองเด็กดี
และก็ทำมาโดยไม่เคยสงสัย
แต่หนูก็ตอนเขาไป แต่ไม่รู้ว่าถูกผิดอย่างไร
หนูบอกตามความเข้าใจของหนูว่าพระพุทธรูปคือตัวแทนของศาสดาของศาสนาพุทธ
เป็นที่ยึดเหนียวจิตใจ เมื่อท่านปรินิพานแล้ว สาวกจึงสร้างอนุสรณ์
เหมื่อนกับการสร้างอนุเสาวรีย์
ชาวบ้านจึงแสดงความเครพด้ายการกราบไหว้

 

โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) 9 กันยายน 2550 14:09:37 น.  

 

เข้ามาอ่านเล่นหลายครั้งแล้ว จะบอก ให้

 

โดย: กาแฟ ชา..ย (วีดวาด ) 9 กันยายน 2550 16:03:26 น.  

 

ขอบคุณโดมมากนะคะที่มาส่งข่าว
จำได้ว่าเมื่องานเขียนเล่มแรกในชีวิต
"ดอกไม้ วันวารและความทรงจำ"ออกวางแผงนั้น
คุณโดมเป็นคนแรกที่แจ้งข่าวให้ทราบ
ในครั้งนี้...ก็เป็นคุณโดมอีกเช่นกัน
ที่แจ้งข่าวดีเรื่องหนังสือ"ฟังเสียงดอกไม้ทักทายกัน"
ได้รับข่าวดีด้วยความอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่งทีเดียวเลยค่ะ
รอประมาณปลายๆอาทิตย์ที่จะถึงนี้นะคะ
จะส่ง"ฟังเสียงดอกไม้ทักทายกัน"ไปให้อ่านถึงบ้านเลยค่ะ

ป.ล.เมื่อกี้เพิ่งโทรไปแจ้วข่าวดีให้พี่ช่างภาพบัดดี้ฟัง
วุฒิตอบมาประโยคเดียวกับที่คุยกับคุณโดมทางโทรศัพท์ว่า
"คราวที่แล้วคุณโดมก้เป็นคนแจ้งข่าวหนังสือให้ทราบ ครั้งนี้เล่ม2คุณโดมก็เป็นคนแจ้งข่าวอีก
"
...แล้วถ้ามีงานเล่มที่3
คุณโดมจะเป็นคนแรกที่แจ้งข่าวดีให้ทราบไหมหนอ

 

โดย: สเลเต 9 กันยายน 2550 16:54:28 น.  

 

ตอนนี้ได้อ่านแล้วในขวัญเรือนค่ะ

วันก่อนเห็นบ่อบัวบ่อเดิมที่ดอกบัวเคยบานสะพรั่งทำให้นึกถึงภาพประกอบของคุณพ่อพเยียภาพนี้
ถ่ายมาให้ชมด้วย

 

โดย: filmgus 9 กันยายน 2550 17:29:02 น.  

 

สวัสดีจ้ะปลายแปรง

ช่วงนี้กำลังอ่าน "ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น" อาจจะเป็นคนอ่อนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เลยทำความเข้าใจตามยากและไกลตัวมาก เรื่องของจักรวาล และทฤษฎีต่างๆของนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็สนุกพอสมควร

สรุปว่าชอบ "ทวาร 6 ศาตร์แห่งการรู้เท่าทันตัวเอง" และ "เกิดเพราะกรรมหรือเพราะความซวย" ทั้งสองเล่มนี้มากกว่า

เพราะใกล้ตัวสามารถเช็คทุกทวารได้ด้วยตัวเอง

แต่ถ้าพูดถึงชื่อหนังสือแล้วละก็ "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" เป็นชื่อหนังสือที่โดนกว่าชื่ออื่น

แต่หนังสือทั้งสามเล่มของทันตแพทย์ สม สุจิราก็สร้างปรากฏการณ์ในแง่ให้ได้ขบคิดเกี่ยวกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนได้สนุกและได้รู้เรื่องที่ยังไม่รู้อีกหลายเรื่อง

สวัสดีครับคุณmontagio (ผมขออนุญาตอ่านว่า "มณฑาจิโอ้" นะครับ)


ทุกครั้งที่รู้ว่าคนที่เข้ามาคอมเม้นท์ เคยอ่านหนังสือที่ผมเขียน ผมจะรู้สึกดีใจเสมอ
ขอขอบคุณ ที่อุดหนุนและอ่านหนังสือที่ผมเขียน

แล้วค่อยคุยกันใหม่นะครับ


สวัสดีจ้ะหลานเบญจ์

ที่หนูตอบเข้าไปก็ไม่มีอะไรผิดหรอกจ้ะ

แต่ลุงขอบอกเพิ่มเติมนิดนึงว่า...นอกจากกราบไหว้พระพุทธรูปแล้ว หนูต้องรู้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรแก่สาวกและชาวโลก

เพราะพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตมากๆเชียวแหละ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าได้รู้และนำไปใช้ก็จะทุกข์น้อยจ้ะ

สวัสดีกาแฟชา..ย

เข้ามาอ่านเล่นหลายครั้งแล้ว ทำไมไม่เขียนมาคุยกันบ้างล่ะ

ยังคิดถึงบ้านหลังใหม่และหลังใหญ่อยู่เสมอ (ยังไม่ได้นอนสักที)

งวดหน้าถ้าไปตลาดเก่าต้องขอไปนอนบ้าง

คิดถึงเสมอ

หวังว่าคงมีความสุขกับชีวิตดีนะครับ


สวัสดีครับคุณสเลเต

รู้สึกยินดีด้วยจริงๆที่เห็นผลงานของสเลเตเป็นรูปเล่มสวยงาม

ไม่น่าเชื่อเลยนะ วันเวลาที่เรารู้จักกันผ่านไปนานพอสมควรแล้ว

ยังจำได้ในวันที่สเลเตพูดถึงการมีผลงานรวมเล่ม
จากวันนั้นถึงวันนี้...ความฝันที่จะมีงานรวมเล่มเป็นของตัวเอง ถึงตอนนี้ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว....

ขอให้ขายดีๆนะครับ


สวัสดีครับคุณfilmgus

เราคงสวนกันกลางอากาศแน่เลย

ขอบคุณที่เอารูปประกอบสวยๆและตรงความหมายของเรื่องมาฝาก





 

โดย: พ่อพเยีย 9 กันยายน 2550 17:52:07 น.  

 

สวัสดีครับ

ขออนุญาตเรียกพี่โดมนะครับ
60 กว่าผมก็เรียกพี่ครับ ถ้าหัวใจยังหนุ่ม

ผมชอบอ่านงานเขียนของท่าน ว.วชิรเมธีมากครับ
ซื้อทุกเล่ม อ่านเกือบหมดแล้ว
เหลือประมาณ 4 เล่มที่ยังไม่ได้อ่านครับ

ผมถึงอ่านเรื่องนี้ในขวัญเรือนอย่างมีความสุข
พยักหน้าหงึกๆตลอดเวลา

ในแวดล้อมของผมมีแต่คนห้อยจตุคาม
มีแม้กระทั่งคนที่บอกว่า
"เมื่อคืนห้อยองค์พ่อไปเล่นป๊อกเด้งมาได้เงินเกือบหมื่น"

งง---ว่าเราใช้ปัญญาสร้างศาสนา
หรือใช้ศาสนาสร้างปัญญา

.................

เมื่อปีสองปีที่แล้ว ผมเดินวัดบ่อยมากครับ
แต่ไม่ได้คุยกับพระเลย คุยน้อยมาก เพราะท่านชอบชวนสร้างเสาวัดบ้าง สร้างหลังคาวัดบ้าง

มีแค่องค์เดียวที่ชวนผมคุยเรื่องปฏิบัติธรรม
ผมเดินเที่ยวอยู่ 5-60 วัดในเชียงใหม่ แล้วก็ค่อยๆหยุดไป เนื่องจากมาทำบล้อกนี่แหละครับ
ทั้งเขียน ทั้งถ่ายรูปจนไม่มีเวลาเดินเที่ยววัดเหมือนเดิม

ปีหน้าเขียนน้อยลง คงได้กลับไปเดินวัดที่เหลือครับพี่

 

โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) 9 กันยายน 2550 18:30:15 น.  

 

อ่านแล้วค่ะ
ขวัญเรือนเล่มนี้ซื้อมาอ่านคอลัมน์นี้โดยเฉพาะ
แหะ แหะ..คอลัมน์อื่นก็น่าอ่าน แต่มีอย่างอื่นน่าอ่านกว่านี่
ตอนนี้อ่านหนังสือนัวเนียนุงนังไปหมดค่ะ
ทวาร 6ฯก็อ่าน ธรรมะติดปีกของท่านว.ก็อ่าน
หนังสือของท่านนัช ฮันท์ก็อ่าน
สับกันไปมา ตามประสาคนยังหาทางไม่เจอ

อย่างที่พ่อพเยียบอกนะคะ
อ่านเข้าใจไม่ยาก แต่การฝึกปฏิบัติยากจริงๆค่ะ
แค่รู้ทันจิต กลับมาอยู่กับลมหายใจ
ฟังดูง่าย แต่ทำยากและไม่รู้ด้วยว่าที่ทำอยู่ถูกหรือเปล่า
เลยงงๆค่ะ ก็ฝึกต่อไปแบบงงๆนี่แหละ

ในทวาร 6ฯ สอนเรื่องการเดินจงกรมด้วย
อ่านแล้วเข้าใจทะลุเลย...
แต่ถึงตอนปฏิบัติก็คงจะเหมือนเดิม งงๆ
สงสัยหนูงงเพราะูอ่านหลายสำนักเหลือเกิน
ตอนนี้รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต
ไม่รู้ว่ากำลังอยู่ที่ไหน และทางออกที่ถูกคือทางไหน
แต่ก็ไม่คิดจะหยุดเดินค่ะ

 

โดย: ตะเบบูญ่า IP: 58.8.63.103 9 กันยายน 2550 19:56:06 น.  

 

สวัสดีครับคุณกะว่าก๋า

ยิ่งคุณสนใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้นเท่าไร

ยิ่งคุณเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้นเท่าไร

คุณปฏิบัติได้ตามสิ่งที่คุณรู้และเข้าใจมากเท่าไร

สิ่งที่คุณได้รับมากขึ้นคือความสุขอันแท้จริง หรือไม่ก็ต้องมีความทุกข์น้อยลงกว่าเดิม


แต่ที่จะเช็คจากตัวเองได้ว่า..จากวันที่รู้..เข้าใจ...ทำได้แล้ว มากน้อยเพียงไหน ก็ให้ดูที่ว่า

โลภะ โทสะ โมหะ ของตัวเราน้อยลงไปจากเดิมไหม ? นี่แหละสามตัวใหญ่ๆนี่แหละที่ทำให้ชีวิตเราเหนื่อยและเป็นทุกข์

เพราะมันคือพ่อแม่ของบรรดากิเลสเล็กน้อยทุกชนิดในจิตใจของเรานั่นเอง


แสดงว่าคุณนี่สนใจทั้งเรื่องศิลปะและธรรมะทั้งสองอย่างเลยใช่ไหมครับ ?


สนใจเรื่องศิลปะก็เสพและสรรค์สร้างงานศิลปะไป สนใจธรรมะก็มีศิลปะในการดำเนินชีวิตควบคู่กันไป สาธุ

สวัสดีจ้ะตะเบบูญ่า


การอ่านหนังสือโดยทั่วไปถือว่าเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เรารู้จักและเข้าใจในสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น

แต่ "ทวาร 6" อ่านแล้วเพื่อทำให้รู้จักสิ่งที่อยู่ในตัวเราและอยู่กับตัวเรามากขึ้น แน่นอนว่าอ่านหนังสือก็รู้หนังสือ แต่อ่านหนังสือแบบนี้เราต้องย้อนมาอ่านตัวเองด้วย

ดีใจจริงๆที่ตะเบบูญ่าชอบอ่านหนังสือที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต

การเดินจงกรม ถึงแม้หลายสำนักจะมีวิธีการสอนต่างกัน แต่ถ้าเราจับแก่นได้ว่าเราเดินจงกรมเพื่ออะไร

เมื่อรู้วิธีการแล้วทดลองเดินด้วยตัวเองตามที่ได้รู้มา การทำผิดทุกๆครั้งแหละจะเป็นครูของเราเอง

เช่นแรกๆเราเดินผิดวิธี ทำผิดจนรู้ว่าผิด เมื่อรู้ว่าผิดแล้ว ครั้งต่อไป เราก็จะรู้ว่าถูกเป็นอย่างไร

พ่อพเยียก็ไมใช่ผู้เชี่ยวชาญการเดินจงกรมหรอก แต่รู้สึกดีเมื่ออ่านของทันตแพทย์สมท่านก็พูดถึงการเดินจงกรม 6 จังหวะหรือ 6 อาการตรงกับที่พระอาจารย์มานพ อุปสโมสอน เพียงแต่สมมุติบัญญัติการเรียกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในปรมัตถ์นั้นคืออย่างเดียวกัน

พ่อพเยียก็ไม่ได้ทบทวนการเดินจงกรมมานานแล้ว ตะเบบูญ่ามาพูดทำให้เกิดแรงบันดาลใจอีกแล้วนี่

จำไว้ว่าเราฝึกเดินจงกรมไปเพื่ออะไร เมื่อฝึกฝนให้ถูกวิธีเดินอย่างถูกต้อง มีประโยชน์แน่นอน

ตะเบบูญ่ารู้แล้วใช่ไหม ว่าเดินจงกรมไปเพื่ออะไร ?

 

โดย: พ่อพเยีย 10 กันยายน 2550 7:53:36 น.  

 

คุณพ่อพเยียครับ
ช่วงนี้หมอให้พ่อพักการพิมพ์ครับ
บอกว่าอ่านได้แต่ขอให้งดพิมพ์
เพราะรู้สึกร้างที่สะบักครับ

แต่หลายครั้งก้อดจะพิมพ์ได้ลูก

อ่านบทความวันนี้แล้ว
พ่อรู้สึกเช่นกันว่า
คนเราในสังคม
หันมองจ้องไปที่กระพี้มากกว่าแก่น พ่อคิดว่าแก่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้ถูกคนส่วนมากหลงลืมไป

การที่คนแห่แหนกันเข้าไป
รับของต่างๆจนเป็นเหตุให้ล้มตาย วิวาท และเจ็บป่วย

มันช่างสวนทางกับแก่นหรือจาคะการบริจาคดังที่อ้างกัน

จริงๆครับ

วันนี้พ่อเห็นภาพดอกบัว
ค่อยๆอ่านตามไปช้าๆอย่างตั้งใจ
สภาพสังคมปัจจุบัน
ช่างไม่แตกต่างจากบัวกอนี้จริงๆ

ปัญหาต่างๆรุมเร้าเราทุกวัน
จริงอยู่นะครับคุณโดม
ว่าเราอาจไม่ได้รับผลกระทบนั้นโดยตรง

แต่พ่อคิดว่า เวลาที่เราเห็นสิ่งที่ไม่จรรโลงใจ ความรุนแรงต่างๆ
มันก็ทำให้ใจเราอ่อนล้าได้เช่นกันครับ

อย่างไรก็ตาม
พ่อยังคิดเสมอว่า
บัวนั้นมีเหง้า รากหยั่งลึก
อีกทั้งเป็นสัญลักษณ์ของการบูชา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พ่อมั่นใจว่า แม้น้ำจะแห้งขอด แต่เมื่อวันหนึ่งเมื่อฝนตกลงมาโอบเอื้อบัวแห้งๆกอนั้น บัวกอเดียวกันนี้เองก็จะสามารถแงหน่ออ่อน ขึ้นมาเเติบโตได้อีกนะลูก

ขอบคุณสำหรับความคิดดีๆที่ลูกแบ่งปันครับ
ด้วยรัก

 

โดย: พ่อบู (be-oct4 ) 10 กันยายน 2550 8:42:47 น.  

 

พี่โดม....

ทำไงดีล่ะ...มีเรื่องปรึกษา
คือว่า...ไปแอบขอวัชพืชงามๆที่บ้านคุณสเลเตเอาไว้น่ะ...ประมาณว่ากิเลสครอบงำจนตัวสั่นขนาดเห็นแค่รูปนะ....

แล้วทีนี้ก็ตัวอยู่ตั้งริมฝั่งทะเลแล้ว ต้นไม้ก็อยู่ตั้งฝั่งเจ้าพระยา...

จะมีวาสนาชุบชูกิเลสหรือเปล่าเนี่ย...
ถ้า...ถ้าว่า...ฝากบ้านเพิงพเยียเลี้ยงจะดีไหมหนอ...
เพราะอยู่ฝั่งเจ้าพระยาเหมือนกันนิ....

แล้วปลายแปรงค่อยไปสอยมาบ้านปลายฟ้าทีหลัง...จะดีไหมหนอ...

คือว่า...เห็นแล้วอยากเอามาแทนวัชพืชเจ้ากระดุมทองของป้าพิศที่ตอนนี้ระบาดเข้าเรือกสวนไร่นาเขาจนป้าแกไม่กล้าบอกใครๆว่าแกเป็นคนเอามาแพร่ในปลายวา....
ป้าพิศไปขโมยมาจากหน้าอำเภอ สองก้าน...แล้วเขามาทำถนนก็รุนดินหน้าบ้านกวาดตั้งกะต้นทางไปปลายทาง...

ผลก็กล่ายเป็นวัชพืชแห่งปลายวา....

อ้อ....พระพุทธเจ้ากะไอน์สไตน์น่ะอ่านอีกรอบละเพราะเพิ่งได้หนังสืองานศพพุทธโอวาศก่อนนิพพานมาอ่านคู่....

กิเลสอีกละ...บ้านปลายฟ้าหาหนังสืออ่านไม่ได้..
คอยดูเถอะ...ไปทอดกฐินรอบนี้ต้องให้ยายเม้าท์ทอดกฐินหนังสือให้ปลายแปรงสักเข่งแล้ว...

 

โดย: ปลายแปรง 10 กันยายน 2550 9:12:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


พ่อพเยีย
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]







ด้วยความยินดี...
หากมีผู้ใดละเมิด
โดยนำภาพถ่าย,บทความ
หรือข้อเขียนต่างๆ
ใน Blog นี้ไปใช้
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
สามารถทำได้เลยทันที
โดยไม่ต้องขออนุญาต
เป็นลายลักษณ์อักษร

เว้นเสียแต่ว่า…
ถ้านำไปพิมพ์จำหน่าย
กรุณาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย

อ่านเรื่องของ "ปะการัง" ที่นี่



โหลดเพลง คลิปวีดีโอ นิยาย การ์ตูน


www.buzzidea.tv
Friends' blogs
[Add พ่อพเยีย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.