1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
Valley of the Giants - Tree Top Walk
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ เด็กที่รอคอยตาลีตาเหลือกขึ้นในเวลาตีห้าครึ่ง เพื่อจะวิ่งเข้าไปอาบน้ำในเช้าอันแสนนนนนนนนนนน จะหนาวเหน็บเย็นเยือกสุดขั้วหั๋วใจ๋ แหม่... เมื่อไหร่มันจะอากาศสบายๆก้อไม่รู้ อาบไม่อยากอาบเพราะมันหนาวกว่าจะยุรยาตรขยับตัวแต่ละที เลิกก้อไม่อยากเลิกเพราะอาบอยู่ในน้ำแล้วมันอุ่นสบาย... ชีวิตมีแต่เรื่องน่าปวดหัวพิลึก ตื่นมาเช้านี้เพื่อจะไปเที่ยวทัวร์กะแม่เป็นครั้งแรก เพราะคืนวันพะหัดนี้พ่อกะแม่จะทิ้งเด็กที่รอคอยให้เป็นเด็ก โฮมอะโล่น แล้ว ก่อนจะโล่น ก้อเลยไปหลั่นล้าซะก่อน แม่บอกว่าอยากไปไอ้ ทรีทอปว๊อล์คเนี่ย ...เกิดมาก้อไม่เคยไปเหมือนกันก้อเลยเอากะเค้าซะหน่อย พวกเราออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงครึ่งโดยรถแท๊กซี่ซึ่งพาเราลงจากหุบเขาไปสู่ในเมือง อ้าวเพิ่งรู้เรอะ เด็กที่รอคอยเป็นเด็กภูเขานะ แต่ ม่ามีแคโหระมาฝ่ะหรอก ถึงโรงแรม Duxton แล้ว... เรานัดพบรถทัวร์ที่นี่แหละโยม นั่งรออยู่ในล๊อบบี้ ทำเนียนว่าเป็นแขกที่มาพักที่โรงแรม แปดโมงเช้า เราเคลื่อนทัพ นั่งนานเหมือนกันเรียกได้ว่านั่งกันแทบจะทั้งวันเลยเพราะเราไปไกลกันมาก แต่รถดีนะคะ มีเข็มขัดนิรภัย มีกล้องที่ตั้งอยู่ด้านหน้ารถซึ่งเชื่อมภาพต่อมาที่ทีวีภายในรถ และสามารถเล่นดีวีดีดูได้ด้วย มีห้องน้ำโอเค คนขับก้ออัธยาศัยดีมาก ... กระนั้น เด็กที่รอคอยก้อยังอดที่จะปวดตรู๊ด มิได้ มาถึงที่นี่เพื่อหยุดพักกินกลางวันกัน เข้าใจว่าไม่ไกลจาก Bridgetown ที่นี่เราเรียกมันว่า Diamond Tree ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาต้นไม้ซึ่งใช้เป็นประภาคารไว้ปีนดูสภาพในป่าว่ามีไฟไหม้หรือเปล่า ความสูงของต้นไม้นี้อยู่ที่ราวๆ 52 เมตร ปีนกันที หน้ามืดกันไปเลยล่ะค่ะ ฟังเหมือนไม่สูงนะ แต่พอขึ้นไปเองแล้วจะรู้สึกเลยว่า มันเสียวกว่าเล่นไวกิ้งซะอีก พยายามมองหน่อยนะคะรูปมันเล็ก นั่นคือภาพของผู้กล้าซึ่งพอลงจากรถได้ก้อวิ่งหน้าเริ่ดไปปีนต้นไม้กันเลย เธอทั้งสองคืออาหมวยจากแดนฮ่องกงซึ่งระหว่างทางบนรถ ทั้งคุยกันทั้งกินแอ๊ปเปิ้ลเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พอลงจากรถได้พวกก้อแน่บไปปีนทันทีไม่มีการวอร์มอัพ ต้นไม้จะมีแท่งเหล็กปักไว้เป็นระยะ ลักษณะเหมือนบันไดวนน่ะค่ะ เด็กที่รอคอยก้อขึ้นไปเหมือนกัน แต่ความซวยมันมีอยู่ว่าวันนั้นน่ะ ฝนก้อตก อากาศก้อเย็นโคตรยะเยือก แล้วข้าวเช้าก้อไม่ได้กินไปเพราะรีบตื่นรีบออกจากบ้าน... ขึ้นไปได้ครึ่งทาง ประมาณยี่สิบกว่าเมตร ก้อชักจะไม่ไหวเอาซะแล้วขามันสั่นและเริ่มปวดกล้ามเนื้อเพราะฝนตกแล้วมันลื่นระหว่างทางปีน อีตอนขึ้นไปว่าเสียวแล้วนะ ขาลง เสียวกว่าอีก! เพราะมันไม่มีอะไรมารองรับถ้าหากเหยียบพลาดแล้วลื่นตกลงมาคอหักเด๊ดสะมอเร่... ส่วนแม่ของเด็กที่รอคอยเรอะ... เธอไปหลบฝนอยู่ที่รถทัวร์แล้วก้อเริ่มจัดการรับประทานมื้อเที่ยงล่วงหน้าไปก่อนแล้วล่ะ นู๋เองฮ่ะ... อันนั้นไม่สูงเท่าไหร่ ระยะแค่สิบสามเมตร แต่พอยิ่งปีนขึ้นไปก้อยิ่งแฮ่ก ไปได้ครึ่งทางหยุดพักที่ห้าง... แหงนมองขึ้นไปอีก โอ้พระเจ้า!! สูงยิ่งกว่านี้ยังมีอีกเรอะ ไม่ไหวแล้วง่ะ ขอลงก่อนดีก่า ลิมิตฉันมีแค่นี้ ส่วนลุงคนนี้แกมองแบบชั่งใจว่า ตรูจะปีนดีหรือหาไม่ ... สุดท้ายแกก้อเอาด้วยนะ แต่ไปได้ประมาณเมตรนึงแล้วแกก้อปีนลง คนอื่นเค้ายังไม่ปีนเลยได้แต่ดูเพราะอากาศมันเย็นมากและฝนตก ใจถึงมากลุง นับถือๆ ส่วนหมวยทั้งสองนั้น เค้าไปถึงห้างสูงสุดกันล่ะ... แต่แปลกเนอะ พอลงมาแล้ว ไม่เห็นโลดเต้นเหมือนตอนแรกๆเลย ดูหงอย หงอยไปถนัดใจ แม่บอกว่า เด็กที่รอคอยลงมาดูหน้าซีดๆแล้ว แต่หมวยลงมานี่ มันซีดยิ่งกว่าเราอีก หลังจากกินกลางวันกันเสร็จแล้วเราก้อเดินทางกันต่อโดยมุ่งหน้าไปที่ Karri Forest ซึ่งเป็นที่มีไม้ใหญ่อยู่ต้นนึงใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ป่าของออสเตรเลียก้อมีมากมายแต่เป็นต้นไม้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทต้นยางที่เรียกกันว่า gum นะคะ จากนั้นเราก้อรุดหน้าไปถึง Valley of the Giants ซึ่งเราได้เดินชมต้นไม้บนสะพานแขวนที่ทำจาก...คล้ายๆเหล็กอ่ะแต่ไม่ใช่ ภาษาอังกฤษเขาเรียก canopy แต่เด็กที่รอคอยไม่รู้จะแปลยังไง ภ.ไทยเขาเรียกปะรำ จะมีใครรู้มั้ยว่าปะรำมันคืออะไร? เอาเป็นว่าลักษณะคล้ายสะพานแขวนละกันเพราะเดินๆอยู่นี่มันจะสั่นไหวซ้ายขวาหน้าหลังตลอดเวลา ความยาวของสะพานอยู่ที่ราวๆ 400เมตร และมีความสูงจากพื้นดินราว 40 เมตร(เอ๊.... ทำไมหมู่นี้มีดวงอยู่ที่สูงตลอดฟะ.... มันน่ากลัวช่ายย่อยนะตัวเอ๊งงงง ) เดินไป หวาดหวั่นไป เพราะให้เดินครั้งละไม่เกินสิบคน พอผ่านได้ช่วงนึงจะมีคล้ายห้างให้หยุดพักเดิน และจะอยู่พักกันได้ไม่เกิน 20 คน ... ที่สำคัญ เขาบอกเรื่องที่คอขาดบาดตายไว้ซะด้วยนะว่า...พื้นลื่น หากว่าเปียก.... แล้วฝนก้อตกตลอด ขอบจายยย ที่บอกกันเอาตอนนี้ ....... ถ่ายภาพเบื้องล่างมาให้ยล ... มีแต่คนชมว่าใจกล้า เพราะแค่เดินก้อลำบากแล้ว มันไหวๆตลอดทาง เสียวลื่น แถมยังไม่แน่ใจในตัวสะพานแขวนอีกว่ามันจะโครมลงไปมั้ยนะ... ยังจะมองลงข้างล่างได้อย่างไม่หวั่นไหวอีกรึอีหนู? ...ธ่อ ลุงๆป้าๆ นู๋น่ะระดับไหนแล้ว กลัวเด่ะ...แต่เก็บอารมณ์ เนียนจ้ะ ส่วนแม่ของเด็กที่รอคอย อ้าวเฮ้ยยยย!!! จ้ำอ้าวไปแล้ว ... เห็นดุ่ม ดุ่ม แบบนั้น ไม่ใช่ใจกล้านะนั่นน่ะ... แอบเดินไปใจสั่นไป แล้วยืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่ทางออก ภาพต้นไม้ในป่าระหว่างทางเดินบนสะพาน มองไปไกลๆจะเห็นว่านั่นคืออีกฟากของสะพานซึ่งเชื่อมโยงกัน ...มองยังงี้คงเห็นไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ถ้าเดินเองจะภาวนาในใจว่าเมื่อไหร่ตรูจะเดินถึงซะที(วะ) ... ลักษณะโครงสร้างสะพาน ต้นไม้ในป่าส่วนใหญ่จะสูงใหญ่มาก ที่เห็นด้านล่างคือคนนะจ๊ะ มา! เราพาไปดูต้นไม้อื่นๆต่อกันดีกว่า โปรดตามเรามา ... บางต้นไม่ใช่ใหญ่อย่างเดียว แต่มีลูกเล่นด้วย ... คือมีโพรงเกิดขึ้นคล้ายกับกระโจมของอินเดียแดงยังงั้นเลย เด็กที่รอคอยก้อผลุบๆเข้าไปเล่นในโพรงบ้างเหมือนกัน โปรดสังเกต โพรงทะลุไปอีกฟากได้ แต่ต้นไม้พวกนี้น่ะ เส้นผ่าศูนย์กลางของที่ช่วงล่างของลำต้น ก้อปาเข้าไป 5 เมตรแล้วล่ะค่ะ นั่นคือ เริ่มต้นที่ ห้าเมตรนะ.... สิ้นสุด อาจจะมากกว่านั้น เรียกว่าหลายคนโอบเชียวล่ะ หลังจากนั้นเราก้อมุ่งหน้าไปดูทะเลที่ William Bay ...แต่พระเจ้าไม่ช่วยเลย ลงตรงไหน ฝนตกตรงนั้น เลยไม่ได้ลงไปวิ่งคึ่กชายทะเลเลยค่ะ ภาพทะเลนิ่งๆสวยๆพร้อมโขดหินก้อเลยถ่ายมาไม่ได้ มีแต่ทะเลคลั่งคล้ายสึนามิจะเข้าโจมตี เด็กที่รอคอยได้แต่ตาละห้อย..... ไม่เอาอีกแล้วนา.... ที่ลงไปช่วยเค้าที่ภาคใต้หนนั้น ก้อยังเต็มกลืนอยู่เลย ที่จริงเราผ่าน เดนมาร์คด้วยนะ ฮ่าๆๆ งงละเซ่ เดนมาร์คมันมาอยู่ที่ออสเตรเลียได้ยังไง คือมันยังงี้ค่ะ มันเป็นเมืองติดชายทะเลที่ถูกตั้งชื่อตามผู้นำในสมัยนั้น ท่าน Federick Denmark น่ะค่ะ อยู่ไม่ไกล Albany เท่าไหร่ แต่ก้อไม่ใกล้เท่าที่ควร เด็กที่รอคอยเคยโดนพ่อหลอกจะพาไปเที่ยวเดนมาร์คมาสองสามปีแล้ว ทำท่าเชิ่ดๆเหมือนไฮโซไอ้เราก้อนึกว่าพ่อจะพานั่งเครื่องบินไป..... รอแล้วรอเล่า ก้อยังไม่ได้ไปซะที จนแม่มากระซิบบอกเอาตอนท้ายว่า Denmark ที่ Albany นี่เฟ้ย... ธ่อ ขนาดอยู่ในประเทศ ตรูยังไม่ได้ไปเยือนเลยเรอะเนี่ย??!! อับเฉาชะมัดเลยชีวิต ฮืออออ
Create Date : 07 กรกฎาคม 2548
Last Update : 9 กรกฎาคม 2548 17:17:14 น.
3 comments
Counter : 1453 Pageviews.
โดย: vee vee' วันที่: 7 กรกฎาคม 2548 เวลา:4:22:49 น.
โดย: froggie IP: 203.151.141.193 วันที่: 8 กรกฎาคม 2548 เวลา:11:59:12 น.
โดย: Rainbow Gecko IP: 202.28.181.8 วันที่: 10 กรกฎาคม 2548 เวลา:0:41:21 น.
Location :
กรุงเทพ Australia
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [? ]
จะเป็นกรวดหรือเพชร ถ้าไปนึกรักมันเข้าแล้วหายไปเมื่อไรก็เสียดาย ยิ่งรักมากก็ยิ่งเสียดายมาก บางคนถึงกับเสียคนไปก็มี "ถ้าเราไม่อยากทุกข์มากไม่อยากเสียคน ก็อย่าไปรักอะไรให้มากนัก ถึงจะรักก็ต้องรู้กำพืดว่ามันเป็นเพชร หรือเป็นกรวด" ถ้ารู้ราคาจริงๆของมันเสียแล้วถึงมันจะหายไป เราก็จะไม่เสียดายมากนัก (จาก "สี่แผ่นดิน" โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
เคยแต่ไปป่าทางเหนือกับเขาใหญ่ เห็นป่าแบบนี้นึกถึง PSME เลยง่า...