|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
หรือมันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาและความฝัน...?
สมัยที่ยังแบเบาะอยู่ คุณตาคุณยายของเด็กที่รอคอยซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่นครปฐมจะหอบหิ้วเอาเด็กที่รอคอยซึ่งเป็นหลานสาวคนแรกและคนเดียวในขณะนั้นไปเยี่ยมคุณย่าชวดและคุณยายชวดบ่อยๆ พอโตจนเริ่มจะจำความได้ คุณยายและคุณย่าชวดก้อเสียไปแล้ว
จากนั้นมาเด็กที่รอคอยก้อไม่ค่อยได้ไปนครปฐมอีกเพราะการบ้านที่โรงเรียนมันเริ่มเยอะเสียจนต้องไปเข้าโรงเรียนกวดวิชาในช่วงวันหยุด
สมัยก่อนนี้ทางไปยังเป็นถนนลูกรัง สองข้างจะเป็นป่าๆดงๆหรือทุ่งนาเสียส่วนใหญ่ และแน่นอนว่าบ้านช่องอย่างพวกทาวน์เฮาส์ คอนโด หรือบ้านจัดสรร ก้อยังไม่มีให้ได้เห็นมากมายเช่นทุกวันนี้ กว่าที่จะเข้าถึงนครปฐมก้อใช้เวลาโขอยู่เหมือนกัน และที่สำคัญ ทางเข้าบ้านคุณยายน่ะ เป็นเหมือนบ้านอังศุมาลินในคู่กรรมเลยล่ะ อยู่ติดคลอง เป็นสวนผลไม้อย่างพวกมะม่วง มะพร้าวน้ำหอม พุ่มสะเดา ดงกระถิน มีโรงสีข้าวของตัวเองอยู่ไม่ไกล มีต้นลำพูขึ้นอยู่ที่ตลิ่งริมน้ำ เวลากลางค่ำกลางคืนจะได้ยินเสียงจั๊กจั่นเรไรขับร้อง พร้อมๆกับมองดูแสงสว่างจากหิ่งห้อยที่แข่งกันประกายกระพริบวิบวับ
แต่ปัญหาก้อคือว่า สมัยนั้นเราต้องนั่งเรือข้ามฟากไปเพราะถนนเข้าไปไม่ถึง แม้แต่พระก้อยังพายเรือบิณฑบาตรกันมากกว่าจะเดิน เวลาไปคุณตาจะจอดรถทิ้งเอาไว้แล้วทุกคนก้อจะลงเรือข้ามฟากกัน ไม่รู้ว่าสมัยก่อนนี้เค้าติดต่อกับบรรดาคุณยายที่เป็นน้องสาวของคุณยายเด็กที่รอคอยได้ยังไงว่า "มาถึงแล้วนะ พายเรือมารับด้วย" เพราะโทรศัพท์กับไฟฟ้ามันก้อยังไปไม่ถึง และจะมาถามตอนนี้มันก้อสายไปแล้วสิ
เพราะสิ้นบุญกันไปเกือบหมดแล้ว
ไม่ใช่บ้านของคุณยายหรอกนะคะ แค่ขอยืมเขามาเพื่อให้ได้จินตนาการตามว่า คล้ายๆแบบนี้
สมัยก่อนน่ะพวกคุณยายจะออกมาที่ท่าน้ำหน้าบ้านแล้วก้อซื้อของเรือกันซะส่วนใหญ่เพราะว่าตลาดอยู่ค่อนข้างไกล ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่ต้องซื้อหา ก้อต้องบอกว่า ข้าวไม่ต้องซื้อเพราะเรามีปลูกที่นาเรา สีข้าวที่โรงสีของเรา ผลไม้มีหลากชนิด ผักกับพริกก้อปลูกในสวน ไม่ปลูกก้อยังขึ้นเองอีกต่างหาก ปลาก้อตกเอง เวลาจะแกงกะทิก้อเอามะพร้าวที่เก็บมา มาขูดแล้วคั้นกะทิเอาเอง ส่วนน้ำปลาน้ำตาลเกลือนี่ก้อบางทีแลกข้าวกับเค้าเอาก้อได้ไม่ต้องซื้อ ไข่ก้อแล้วแต่ว่าต้องการมากหรือน้อยเพราะเลี้ยงไก่ไว้กินไข่กันด้วย ที่จะขาดก้อแค่เนื้อหมูเนื้อไก่ แล้วก้อที่ขาดไม่ได้เลย
น้ำมันใส่ตะเกียงกับไส้เทียน สมัยก่อนต้องตะเกียงเจ้าพายุซะด้วยนะ สว่างแรงดี ไอ้ไฟฉายตรากบน่ะมันยังมาไม่ถึงจ้ะ
สมัยก่อนนี่ช่างเป็นวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากสมัยนี้โดยสิ้นเชิงจริงๆนะ.... พูดแล้วก้อคิดถึง
บ้านด็กที่รอคอยไม่มีใครมาเล่นนางครวญให้ฟังก้อจริง แต่เรามีทรานซิสเตอร์ และเราก้อแว่วยินเสียงบ้านไหนซักบ้านร้องเพลงกล่อมลูกเสมอ ..เคยได้ยินมั้ยล่ะเพลงโบราณๆที่เค้าร้อง เอ่เอ โอละเห่ โอละหึก เจ้านกขมิ้นนกขุนทองเอย อะไรเค้านั่นน่ะ ...นานๆครั้งก้อจะมีลิเกมาตั้งวิกแสดงให้ได้ดูแก้เหงากันบ้าง คาดว่าสมัยนั้นหนังกลางแปลงก้อคงเข้ามาฉายเหมือนกันเพราะก้อจะมีงานรื่นเริงรำวงกันเหมือนในคู่กรรมแหละ สมัยนั้นหลายๆบ้านก้อยังไม่เป็นบ้านเลย ยังเป็นกระท่อมอยู่ เพราะยังปลูกผักขุดมันทำนาเลี้ยงปลาชนไก่กันอยู่
บ้านเด็กที่รอคอยก้อถือว่าฐานะดีไม่น้อยเพราะมีแทบทุกอย่างเป็นของตัวเอง
รวมทั้งตุ๊กแกด้วยนะ ขาดไม่ได้เลย ร้องทีไรก้อให้สยองขวัญทีนั้น แล้วสมัยเด็กๆจะโดนหลอกไว้ด้วยว่าถ้าตุ๊กแกมาเกาะคอเข้าล่ะก้อ จะต้องกิน 3โอ่ง กินน้ำ 3อ่าง โห.... หนักหนาสาหัสอยู่มิใช่น้อยนะนั่นน่ะ
(โตขึ้นมา ก้อยังแอบนึกถึงและยังเชื่อๆอยู่นิดๆนะ ถึงจะรู้ว่ามันไม่จริงก้อเหอะ )
อ้อ...แล้วจะบอกให้ว่า สมัยก่อนนี่อะไรก้อดี เสียอย่างเดียว ห้องส้วมมันอยู่ข้างนอก แล้วไอ้ตุ๊กแกอีกตัวมันก้อสถิตย์อยู่ที่ห้องส้วมนั่นน่ะแหละ โอ๊ยยยยจะบ้าตาย จำไม่ได้เหมือนกันว่ารอดชีวิตมาได้ยังไงสมัยนั้น ถ้าจะอาบน้ำก้อไม่ต้องไปไหนแค่ลงกระไดมาอาบที่ตรงหน้าบ้าน จะมีตุ่มใหญ่ๆรองน้ำฝนเอาไว้อยู่แล้ว ถ้าช่วงไหนแล้งหน่อยก้อตักน้ำจากคลองมาแล้วแกว่งสารส้มเอาได้ มีม้านั่งให้นั่งขัดสีฉวีวรรณ แล้วก้อไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาดูเพราะบ้านเรามันไม่ได้โล่งแจ้งอะไร มีซุ้มต้นไม้อยู่ล้อมรอบ และไกลจากตลิ่งพอควร ถ้าใคร่อยากจะเล่นน้ำคลองเลยก้อทำได้ แต่ไม่ทำ... เสียวจระเข้ ไม่รู้เป็นไงเด็กที่รอคอยนี่ สงสัยว่าตอนเด็กๆจะโดนผู้ใหญ่เค้าหลอกไว้เยอะเหมือนกัน
ต่อเรื่องส้วมอีกนิดละกัน... ด้วยความที่ห้องส้วมด้านล่างมันน่ากลัวแต่ลำบากแก่การเข้าในยามดึกดื่นเพราะว่าต้องหิ้วตะเกียงไป หลายๆครั้งเด็กที่รอคอยก้อเลยต้องอาศัย กระโถนและ แฮ่ะๆๆๆ เอ่อ...... จะพูดไงดีล่ะ .... อายวุ๊ย แต่ก้อจะเล่า ก้อได้อาศัยช่องหลืบตามกระดานแถวเรือนครัวนี่แหละเล็ง target ลงมา (ในกรณีปลุกใครแล้วไม่มีคนตื่นเพื่อช่วยเหลือ) ลำบากลำบนเล็กน้อย แถมโดนหลอกอีกว่าระวังจะมีมือเอื้อมโผล่มาจากใต้ถุนขณะเล็งอยู่ .... โอ๊ยยยย!! สยองได้ไม่เลิกล่ะบ้านที่บ้านนอกเนี่ยจะบอกให้!!
ครัวจะเป็นแบบเรือนครัวสมัยก่อนนั่นแหละค่ะ ไม่ใช่แบบสมัยนี้ เป็นแบบโปร่ง เปิด ไม่ได้มีโต๊ะหรือเคาน์เตอร์ มีแต่เตาแบบโบราณที่ต้องติดไฟด้วยถ่านเอาเอง หม้อข้าวไม่ได้เป็นแบบอัตโนมัติ ต้องหุงแบบรินน้ำข้าวออกมา(สมัยนั้นเด็กที่รอคอยก้อขาประจำรับน้ำข้าวมาซดโฮกตะมินบีไปโข ) กว่าจะได้กินแต่ละมื้อ กลิ่นควันไฟก้ออ้อยอิ่งอยู่เป็นเกือบครึ่งวัน แล้วบ้านนี้ก้อขยันทำขนมอยู่เหมือนกันแต่เป็นพวกง่ายๆอย่างข้าวต้มมัด ตะโก้ ฟักทองแกงบวช บัวลอย อะไรประเภทนั้น ทำแล้วก้อเอาไปฝากให้คนแถวบ้านเพราะทำทีก้อทำเยอะ แล้วบ้านนั้นก้อมักจะให้อะไรมาแลกกันเสมอไม่ว่าจะกับข้าวหรือขนมอะไรก้อตามที
มันเป็นวิถีชีวิตที่น่าคิดถึงอยู่ไม่ใช่น้อยนะ ใครไม่เคย คงไม่เข้าใจ
ขอยืมรูปมาอีกครั้ง พอดีว่าลบลิงค์ไปแล้ว ถ้าพบอีกครั้งจะมาลงว่าขอยืมมาจากเว๊บไหนค่ะ
และในวิถีชีวิตแบบเก่าๆแบบนั้น เด็กที่รอคอยเองก้อชักไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เคยเห็นในอดีตนั้น มันคือความจริง หรือภาพลวงตา หรือว่า ..........เป็นแค่ความฝัน
และถ้าเป็นความฝัน ก้อคงเป็นฝันที่แปลก เพราะไม่ต้องหลับก้อฝันได้ ซึ่งมันก้อผิดกับความใฝ่ฝันนะ...
เด็กที่รอคอยชอบไปเล่นหิ่งห้อยอยู่คนเดียวบ่อยๆเพราะไม่มีเพื่อนเล่นแถวนั้น และที่บ้านก้อไม่ได้ว่าอะไรเพราะอยู่ในละแวกบ้านเรา แค่ร้องเรียกซะหน่อยก้อขึ้นบ้านไปกินข้าวอาบน้ำนอนเป็นอันเรียบร้อย เรื่องจะตกน้ำตกท่า ไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นว่ายน้ำแข็งหรือเปล่า แต่คิดว่าเค้าอาจจะบอกเอาไว้แล้วว่าห้ามไปเล่นแถวตลิ่งประเดี๋ยวจะพลัดตกลงไป ...สมัยเด็กไม่ซนหรอกค่ะ ถนัดแต่ดื้อ...
มีอยู่คืนนึงนั่นแหละที่คิดว่า เจออะไรเข้าให้ ซึ่งคิดว่าเป็นใครสักคนที่ไม่เหมือนคนแถวนั้นเลย แต่จำได้ว่าเห็นชัดเพราะแสงจากพระจันทร์สว่างมาก ...เห็นว่าพี่ผู้หญิงคนนั้นห่มสะไบสีเขียว นุ่งโจงกระเบนทัดดอกไม้ ผมยาว ไม่ได้รู้สึกว่าผิดแปลกนักหรอกเพราะสมัยนั้น คุณยายชวดก้อยังนุ่งโจงเหมือนกัน คุณยายกับพี่น้องนี่นุ่งกันแบบผ้านุ่งซะมากกว่า แต่อย่างพี่สาวคนโตของคุณยายก้อนุ่งโจงกระเบน เด็กที่รอคอยเห็นจนชินก้อไม่คิดว่ามันจะแปลกอะไร
แต่ถ้าเป็นตอนนี้เกิดเจอแบบนั้นเห็นท่าจะต้องขอเผ่นก่อนล่ะ
ที่จำเค้าได้เพราะว่า สวย .... สวยมากๆ และเจอใกล้ดงกล้วยตานีซึ่งอยู่อีกฝั่งของบ้าน เป็นทางที่จะไปสู่ทางข้ามท้องร่องเข้าสวนแล้วล่ะ ถ้าถัดจากดงนี้ไป ก้อเข้าได้ทั้งสวนผลไม้ ทั้งทางจะไปบ้านที่ใกล้กันที่สุดในละแวกนั้น จำได้ว่าคุยด้วยแต่ไม่รู้คุยอะไร แต่ที่จำได้แม่นคือเค้าถามว่า มาเล่นหิ่งห้อยเรอะ แล้วจากนั้นเด็กที่รอคอยก้อกลับขึ้นบ้านเพราะคุณยายเรียก ในความเป็นเด็กก้อคงไม่ได้คิดอะไร
จนกระทั่งมานึกได้เอาตอนโตขึ้นมาอีกหน่อย ตอนที่เจอเรื่องนั้นก้อคงไม่เกินหกขวบ กว่าจะนึกออกก้อปาเข้าไป สิบกว่าขวบแล้วตอนนั้น คุณเคยมั้ยล่ะ อะไรซักอย่างที่ลืมๆไปเมื่อกาลเวลาผ่านพ้น แต่ก้อจะมีชั่ววูบนึงที่นึกออกขึ้นมาอย่างไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่แต่ก้อยังจำได้ลางๆ
ที่บ้านเคยพูดกันว่า คงจะเป็นนางตานีที่อยู่ที่ดงกล้วยตรงนั้น เพราะคนสมัยนั้นเค้าก้อว่าตรงนั้นมันมี ... เด็กที่รอคอยน่ะไม่รู้หรอกว่ามันจะใช่หรือจะไม่ใช่ รู้แต่ว่า แม่ที่เหมือนจะทำท่าไม่เชื่อๆนี่ก้อยังเคยเจอนางไม้มาแล้ว เป็นนางไม้ที่อยู่คุ้มครองบ้านที่กรุงเทพนี่เอง สมัยนั้นแม่ยังเพิ่ง15-16 วันนึงอาการไม่ค่อยดีตัวร้อนๆเหมือนจะเป็นไข้ก้อเลยขึ้นไปกางเก้าอี้พับที่ชั้นสองตรงระเบียงใกล้ห้องพระ อยากรับลมให้เย็นสบายหน่อยเพราะตัวร้อนเหลือเกิน
จนใกล้ๆจะเคลิ้ม ก้อรู้สึกว่ามีคนมาแตะที่หน้าผาก ลืมตาดูก้อพบว่า เป็นผู้หญิงที่ไม่คุ้นหน้าเลย ... ใครหว่า ระหว่างนั้นก้อพินิจดูว่า ผู้หญิงคนนี้... สวยเหลือเกิน ผมยาว ดวงตา หน้าตา ปากคอ สวยไปหมด สวยแบบไม่ใช่คนทั่วๆไป...ได้กลิ่นหอมๆแบบดอกไม้ไทยเย็นๆมาจากฝ่ามือที่ยื่นมาแตะหน้าผาก ....แต่ เอ ....
ทำไม ห่มสะไบแล้วนุ่งผ้าแบบโบราณวะ ชักจะยังไงซะแล้ว
ก่อนที่จะนึกไปถึงไหน เสียงของผู้หญิงคนนั้นก้อกังวานขึ้นว่า "รู้สึกดีขึ้นหรือยังล่ะ?"
เท่านั้นแหละ แม่ก้อร้องออกมาลั่นแล้วรู้สึกตัวว่า คล้ายตัวเองจะตื่นจากฝัน แต่กลิ่นนั้นก้อยังอยู่ เพียงแต่ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่อยู่แล้ว พอสติเข้าสู่ร่างแม่ก้อวิ่งเหมือนหนีตายลงมาชั้นล่างวิ่งหาคุณยายให้วุ่น(ซึ่งก้อโชคดีมากเลยเพราะเป็นวันที่ไม่มีใครอยู่ รออีกพักมหญ่กว่ายายจะกลับมาจากตลาด แจ๊คพ็อตสุดๆ!) เพราะแม่เป็นคนกลัวผีมาก บ้านเด็กที่รอคอยไม่ค่อยพูดกันหรอกค่ะว่า ผีสางไม่มีจริงหรอก แต่เค้าอาจจะไม่พูดอะไรเลย ซึ่งเป็นคำตอบให้ว่า
"อืมม... โดนเข้าให้แล้วล่ะ"
แต่ที่เหมือนละครก้อคือ แม่หายไข้ทันทีทั้งที่เวลาผ่านไปแค่ไม่ถึงชั่วโมง เหมือนยังกับว่าเค้ามาช่วยยังงั้นล่ะ...
ถ้าพูดถึงเจ้าที่ หลายๆคนก้อคงจะ relate ได้ เพราะหลายบ้านก้อมีปัญหากับเจ้าที่จนอยู่ไม่ได้ก้อมี เจ้าที่เป้นคนโบราณก้อมี เป็นแขกก้อมี ... บ้านเด็กที่รอคอยเองก้อมีเจ้าที่ซึ่งแรงมาก สมัยที่สร้างบ้านหลังนี้ก้อมีคนงานตายอยู่เหมือนกัน แถมสร้างแล้วก้อดันมีเสาอยู่กลางบ้านแล้วตกน้ำมันอีก(ทำไมต้องมาตกก้อไม่รู้ ฮืออออ) จะบอกว่าไม่มีอะไรในบ้านเลยก้อเห็นจะเป็นการโกหกกันอย่างชัดเจนไปนิดนึง....
สมัยก่อนบ้านเรามีคนมาดูที่ดูทางให้หลังจากสร้างไปแล้ว เขาก้อว่าเจ้าที่ที่บ้านแรงมาก ถ้าไม่เจอล่ะเป็นดีที่สุด แต่บังเอิญว่าคุณยายที่เสียไปแล้วน่ะโชคไม่ดีเลย ไปเจอเข้าให้ ...จะเรียกว่าเจอก้อไม่ได้สินะ ต้องบอกว่า เขามาให้เห็นเพราะว่าจะมาเอาไปอยู่ด้วยมากกว่า เพราะหลังจากที่คุณยายเจอสองตายายที่เป็นเจ้าที่เข้าให้ ก้อล้มปวยหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เล่นเอาคุณตาแทบจะคลั่ง แม่ ป้า และน้าๆยืนยันเต็มร้อยว่า "ตาเค้านั่งร้องไห้คอยดูยายตลอดเลยเพราะหมอก้อบอกว่าไม่รู้เป็นอะไร ช่วยไม่ได้ให้ยาฉีดยาก้อไม่หาย ได้แต่ไหว้ขอเจ้าที่กันว่าอย่าเอาไปเลย" จนสุดท้ายคุณยายก้อรอดมาได้ จากนั้นก้อคงจะทำบุญกันยกใหญ่เพราะนั่นเป็นเรื่องก่อนที่เด็กที่รอคอยจะถือกำเนิดขึ้นมา มันอาจจะไม่น่าเชื่อนัก ไม่ได้น่าติดตามเหมือน ผีช่องแอร์ หรือ ป๊อกๆครืด ที่เค้ายังคงเอามาเล่าสู่กันฟังได้เสมอจนบัดนี้
เพียงแต่ว่าบางครั้งก้ออดคิดไม่ได้ว่า ที่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเห็น ได้ยิน หรือ สัมผัสได้... มันเป็นเพราะแสงไฟนีออนและแสงเสียงต่างๆที่มาพร้อมเทคโนโลยีหรือเปล่าหนอ...
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2548 |
Last Update : 5 ธันวาคม 2548 18:07:46 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1634 Pageviews. |
|
|
|
โดย: VinKaBees วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:7:52:15 น. |
|
|
|
โดย: ปป IP: 203.154.148.50 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:9:45:19 น. |
|
|
|
โดย: Fruit_tea วันที่: 23 พฤศจิกายน 2548 เวลา:11:27:05 น. |
|
|
|
โดย: วีวี่ IP: 203.153.169.232 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:3:04:09 น. |
|
|
|
โดย: วีวี่ IP: 203.153.169.232 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:3:25:52 น. |
|
|
|
โดย: ลูกสาวอีฟ IP: 203.188.36.118 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:27:44 น. |
|
|
|
โดย: ลูกสาวอีฟ IP: 203.188.36.118 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:12:39:17 น. |
|
|
|
โดย: darknight IP: 203.146.245.253 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:26:05 น. |
|
|
|
โดย: วีวี่ IP: 203.153.171.171 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2548 เวลา:17:19:39 น. |
|
|
|
โดย: darknight IP: 58.8.183.250 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2548 เวลา:10:36:56 น. |
|
|
|
โดย: ลูกสาวอีฟ IP: 203.188.29.89 วันที่: 7 ธันวาคม 2548 เวลา:14:31:00 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Australia
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
จะเป็นกรวดหรือเพชร ถ้าไปนึกรักมันเข้าแล้วหายไปเมื่อไรก็เสียดาย ยิ่งรักมากก็ยิ่งเสียดายมาก บางคนถึงกับเสียคนไปก็มี
"ถ้าเราไม่อยากทุกข์มากไม่อยากเสียคน ก็อย่าไปรักอะไรให้มากนัก ถึงจะรักก็ต้องรู้กำพืดว่ามันเป็นเพชร หรือเป็นกรวด"
ถ้ารู้ราคาจริงๆของมันเสียแล้วถึงมันจะหายไป เราก็จะไม่เสียดายมากนัก
(จาก "สี่แผ่นดิน" โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช)
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
|
|
|
|
|
|
|
|