แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
9 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
นาริตะอันน่าปวดตับ...

คืนวันพุธที่เพิ่งผ่านมาน่ะ เด็กที่รอคอยไปเล่นเกมของพันทิพ ดอท คอม ชนะเค้ามารางวัลนึง เป็นตั๋วดูหนัง 13 เกมส์สยอง เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบถึงสถานที่และเวลาที่จะไปรับตั๋วและจะต้องดูภายในคืนนั้นด้วย

แอบเม้าท์เจ้าหน้าที่หน่อย ... คือ พอเธอบอกสถานที่มา ก้อคงคิดจะวางสายแล้ว ...ที่ไหนได้ โดนเด็กที่รอคอยจับล๊อคคอเอาไว้ด้วยคำถามเดิม “ที่ไหนนะค๊า???” เธอก้อย้ำที่เดิม ทว่า ยังคงโดนล๊อคคอเหมือนเดิม “เอ้อ.... ไอ้ตรงที่ว่านั่นน่ะมันคือที่ไหนของกรุงเทพหรือเปล่าค๊า คือว่าไม่ได้อยู่เมืองไทยมาจะยี่สิบปีแล้วค่า ไปไม่ถูกง่ะค่า .... ^^’” เจ้าหน้าที่เองยังเผลอหัวเราะพรืดออกมาเลย ...โถ แม่คุณทูนหัว

เจอโรงหนังยูเอ็มจีอาร์ซีเอ เข้าไปแค่คำเดียวสมองเดี้ยงไปเลย นึกว่าต้องไปดูถึงสมุทรปราการเลยนะทีแรกน่ะ (ก้อชื่อมันไม่คุ้นนี่หว่า กั่กๆๆ)

สรุปว่าก้อนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเด็กที่รอคอย

พอจะออกจากบ้านเท่านั้นแหละ ... บริษัทโทรมาตามทันที บอกให้ไปเข้าบริฟฟิ่งตั้งกะตี 5 กว่าๆ ซึ่งจะต้องออกจากบ้านตอนตี4! .... -__-' ทีตอนตรูไม่ไปเที่ยวไหนก้อเจือกไม่เรียก มาเรียกเอาตอนตรูอยากจะไป แล้วถ้าไปเที่ยวเนี่ยจะกลับบ้านมานอนเอาแรงไม่ได้เลยเพราะจะนอนได้ราวๆ 3 ช.มเท่านั้นเอง (แต่ก้อต้องไป ... ของฟรี ท่องไว้ ของฟรี กร๊ากกกก) สรุปว่าเด็กที่รอคอยก้อไปดูหนังประเภทกดประสาท เสร็จแล้วก้อไปทำงานต่อด้วยจิตที่ยังประสาทนั่นแหละโยม สงสารผู้โดยสารมั้ยล่ะเนี่ย?


ไฟลท์นี้สบายๆไม่เต็มปลิ้น ผู้โดยสารคนไทยก้อมีประปรายประกอบกับทำคู่กับรุ่นพี่อีกคนที่เทรนมาด้วยกันเลยค่อนข้างสนุกพอสมควร

เมื่อลงมาถึงนาริตะก้อมองเห็นว่ามีฝนตก แต่กัปตันก้อทำการลงจอดเครื่องได้อย่างนุ่มนวลไม่มีปัญหาใดๆ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ความคิดเดิมที่ว่าอยากจะออกไปข้างนอกเพื่อถ่ายรูปเดินเล่นซื้อขนม เป็นอันต้องล้มเลิกเพราะสภาพอากาศช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย ถ้าเมืองไทยออกข่าวก้อคงจะเห็นว่าพายุเข้าซัดที่โตเกียวค่อนข้างหนักทีเดียว เด็กที่รอคอยเลยได้แต่นอนอุตุอยู่ในห้องนอน รอจะบินกลับในเย็นวันต่อมา

ปรากฏว่าโชคไม่เข้าข้าง เพราะเมื่อตื่นมาแล้วก้อได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าว่า เครื่องเราจะดีเลย์ฉะนั้นเอ็งจงไปนอนต่อซะ ... เอ่าเวง

แต่ไม่เป็นไรน่าแค่นิดๆหน่อยๆ เด๋วค่อยหาทางโทรไปบอกข่าวเพื่อนที่จะมารับ ซึ่งก้อคือแม่ช้อย (มีใครจำช้อยได้มั่ง? คนที่เกิดใกล้ๆกันและโตมากับเด็กที่รอคอยมาตั้งแต่แบเบาะนั่นไง) ทว่าก้อไม่สามารถติดต่อได้เพราะเด็กที่รอคอยเงินใกล้จะหมดแล้ว ไม่กล้าใช้ซื้อบัตรโทรศัพท์อีกเผื่อมีฉุกเฉินอะไรเราจะไม่มีเงินติดตัวเอา ใบนึงตั้งพันเยน...

เลยต้องวิ่งไปใช้เน็ตแบบหยอดเหรียญ ... (100เยน ใช้ได้แค่ 10 นาทีเองง่ะ) แล้วฝากเพื่อนที่ออนไลน์อยู่ให้ช่วย sms ไปบอกช้อยว่าเครื่องจะดีเลย์อีกซัก 2-3 ช.ม ถ้ารอได้ก้อช่วยรอที ถ้าไม่ได้ก้อไม่เป็นไรเด๋วจะเรียกแท๊กซี่กลับเองก้อได้ (ใจจริงก้อยังใคร่สงสัยอยู่ว่าความเป็นไปได้มีมากน้อยแค่ไหนที่จะได้แท๊กซี่ เพราะยังไม่เคยเรียกรถจากสุวรรณภูมิกลับเข้ามาบ้านเลย)

แต่เชื่อมั้ยว่า สุดท้ายแล้ว แทนที่เด็กที่รอคอยจะได้กลับบ้านในคืนวันศุกร์ ตามกำหนดการเดิมหลังจากที่ออกมาตั้งแต่เช้าวันพฤหัส กลับกลายเป็นว่าต้องติดแหง่กอยู่ที่ญี่ปุ่นยันคืนวันอาทิตย์นู่นแน่ะ ...

เอ...จะเล่าสั้นๆได้มั้ยหว่า ไหนลองดูหน่อยซิ

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


พวกเรามาถึงที่สนามบินนาริตะตามกำหนดการใหม่ที่ได้ให้ไว้ เข้าห้องบริฟฟิ่งมอบหมายหน้าที่งานกันเรียบร้อยแล้วก้อมุ่งหน้าเข้ามาที่เกทเพื่อจะขึ้นเครื่องบินแล้วตรวจตราความเรียบร้อยก่อนจะให้ผู้โดยสารเข้ามา และเมื่อเข้ามาถึงเกทแล้ว พวกเราก้อเตรียมตัวจะเข้าเครื่องกัน แต่ปัญหาก้อคือว่า ....

เครื่องตรู อยู่ไหนวะ?

คุณพี่ซึ่งเป็นหัวหน้าเงียบหายไปพักนึงก่อนจะกลับมาบอกค่อยๆ ... “น้องเอ๊ย ท่าทางเราจะต้องอยู่รอก่อน เพราะเครื่องที่กำลังจะบินมาที่นี่ต้องลงจอดที่ฮาเนดะก่อน แล้วค่อยมานาริตะเพื่อให้พวกเราบินกลับไปกรุงเทพกัน” ... อ่อ ได้โลดค่ะพี่ แล้วตอนนี้มันจอดแล้วรึยังล่ะ

“เอ่อ...ตามรายงาน เค้าว่าเครื่องยังบินไม่ถึงฮาเนดะเลยว่ะน้อง”


เอ่า ... เฮ่ย นี่ก้อหมายฟามว่าจากที่ว่าดีเลย์แล้ว ก้อต้องดีเลย์เพิ่มใช่มั้ยเนี่ย?


พวกเราหลายคนเลยจับกลุ่มนั่งด้วยกัน บางคนก้อแว่บไปหาข้าวกิน(เช่น เด็กที่รอคอยเป็นต้น แฮ่ะๆ... เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนสิคะ ^^’ ) บางคนก้อคุยเรื่องครอบครัวลูกเต้า เรื่องแฟน เรื่องธุรกิจเสริมอะไรที่เค้าทำๆกัน บางคนก้อแวะซื้อขนม โทรศัพท์กลับบ้าน แล้วแต่ศรัทธา ...


แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก ก้อยังไม่มีทีท่าว่าเครื่องจะโผล่หน้ามาให้ยลแม้ซักกะติ๊ด จนพวกเราชักจะเริ่มหวั่นไหวเนื่องจากผู้โดยสารเองก้อเริ่มจะมาออกันที่เกทมากขึ้น คุณพี่ที่เป็นหัวหน้าเลยค่อยๆมากระซิบให้พวกเราเขยิ๊บ...เขยิ๊บออกไปนั่งอีกเกทกัน นัยว่าเป็นการดีกว่าที่จะอยู่เป็นเป้านิ่งให้ผู้โดยสารวิ่งเข้ามารุมไถ่ถามและตัดพ้อต่อว่า(และด่าตรูโดยที่ตรูไม่ได้ทำไรผิด กั่กๆๆ)

ก้อจะทำยังไงได้ในเมื่อมันดีเลย์เพราะไม่มีเครื่อง มันก้อไปไม่ได้น่ะสิเหวย อาตมาจะแบกโยมไปเองก้อกระไรอยู่ ยังไงก้อต้องรอกะปิตันเขาเอาเครื่องมาแลนด์หนาโยมหนา... (ได้แต่คิด เพราะพูดไปแล้วก้อจะโดนด่าอยู่ดี)

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


ยังมิทันไร อีกเกทที่อยู่ติดกันซึ่งมีผู้โดยสารรอจะขึ้นเครื่องอีกลำเพื่อไป...เกาหลีล่ะมั้ง ก้อโวยวายกันเสียงดังลั่นยังกะมีการปฏิวัติ ... ได้ความมาว่า เครื่องนั้นเขาก้อแคนเซิ่ลหรือดีเลย์... ซัมซิงไล่ค์แล่ด แต่ประเด็นคือ เขาโกรธกันชนิดหน้าเขียวหน้าเหลือง เล่นเอาลูกเรือที่มีเข็มกลัดธงญี่ปุ่นติดอยู่ที่แจ๊คเก็ตเสื้อนอกรีบปลดกันแทบไม่ทัน กลัวลูกหลงมันจะพลัดปลิวเกทมาน่ะไม่ใช่อะไร... (มาจริงๆนะ สองลูก แต่ก้อยังถือว่าเบาบาง ^^’ )

อีกครู่นึงพนักงานภาคพื้นดินก้อประกาศอะไรก้อไม่รู้ แต่ในน้ำเสียงท่าทางร้อนรนจนพวกเรานึกว่า...ต้องอพยพหนีออกจากสนามบิน หรือว่าพายุมันแรงมาก... หรือว่าไฟไหม้! หรือว่ามีระเบิด?! พวกเราน่ะคิดไปไกล แต่คนฟังภาษาญี่ปุ่นออกกลับหัวเราะออกมาอย่างทั้งปลงทั้งขำ ไถ่ถามก้อได้ความว่า ข้อความนั้นประกาศเพื่อจะบอกให้ทุกคนช่วยกัน เงียบก่อนอย่ารีบร้อนไปเลย ...


อ่า ... เงียบ ... อย่ารีบร้อน ... งะ.. งั้นหรอกเรอะ...
ไอ้อาการนั้นในน้ำเสียงเจ๊แกที่เหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายนั่น คือ บอกให้เงียบๆกันก่อน อย่างนั้นหรอกเร๊อะ?!

โอ๊ย... กรู

อยากจะบ้าตาย!!

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


แล้วเครื่องลงฮาเนดะหรือยังล่ะนั่น?


พวกเราก้อได้แต่มองหน้ากันเอง เพราะมันปาเข้าไปจะห้าทุ่มแล้ว เคอร์ฟิวส์ที่สนามบินนาริตะคือเที่ยงคืน ถ้าเลยเที่ยงคืนไปแล้วก้อเป็นอันว่า ... พวกเราจะอดไป! แล้วเราจะทำไงกันดีล่ะเนี่ย เด็กที่รอคอยก้ออยากกลับบ้านนะ ที่สำคัญ พี่หัวหน้าคนนี้ก้อไปตะลุยแดนกิมจิและฮ่องกงมาตลอดจะ 6 วันแล้ว เขาเองก้ออยากจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย ไหนจะอีกหลายๆคนในกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาเปลี่ยนและไปตะลอนกับพี่หัวหน้าคนนี้อีก ... สรุปว่าใครๆก้ออยากจะกลับบ้าน แต่ไม่มีปัญญาจะกลับ

อย่าว่าแต่ผู้โดยสารเลย แอร์สจ๊วตก้อปวดกบาล เพราะขับเครื่องบินกลับบ้านเองไม่เป็น


อึดใจนึงพี่หัวหน้าก้อโผล่มาบอกให้รวมกลุ่มกัน เพราะว่าเราจะได้ออกจากสนามบินนาริตะแล้ว โอ้แหม!ยอดไปเลยค่ะพี่ ในที่สุดเราก้อได้ไปซะที แต่เอ๊ะ... เราจะไปยังไงล่ะคะ

“พวกเรา ... พี่มีข่าวล่าสุดมาให้ คือ พวกเราต้องนั่งรถบัสไปที่สนามบินฮาเนดะ แล้ว... เราจะต้องบินกลับมาที่นาริตะนี่อีกทีนึง คาดว่าจากนั้นเราอาจจะต้องบินต่อไปที่กรุงเทพ... ”


......

ยังไงก้อช่วยอ่านอีกทีนะคะ อ่านกี่รอบก้อได้ เพราะพวกเราเองเมื่อแรกที่ได้ยินคำสั่งนี้ก้อไม่มีใครเชื่อหูตัวเองเหมือนกัน ย้ำกันเป็นสิบรอบเลยว่า เราต้องไปไหนนะพี่???!!! จะกลับมาทำไมวะ ออกจากฮาเนดะแล้วไปเมืองไทยเลยมิได้หรอกหรือ แล้วทำไมพวกที่ฮาเนดะมาไม่ได้ล่ะทำไมเราต้องนั่งรถไปที่นั่น แล้วนั่งรถบัสในสภาพอากาศฝนตกหนักลมแรงแบบนี้จะใช้เวลาเท่าไหร่ปกติขัรถเก๋งก้อปาเข้าไปตั้งช.มนึงแล้วนะ เคอร์ฟิวส์นาริตะมันเที่ยงคืน ออกมาจากฮาเนดะมานาริตะอีกกี่นาที นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะพี่ มันจะไปทันเร๊อะ .... เสียงระงมกันเป็นนกกระจอกแตกรังเลยล่ะจะบอกให้

เด็กที่รอคอยนี่มึนไปเลยวินาทีนั้น แต่ที่ดูจะแน่นอนกว่าก้อคือ พวกเราคงจะได้แค่บินจากฮาเนดะกลับมาที่นาริตะ แล้วก้อ ... กลับโรงแรมกันเนื่องจากไม่สามารถบินออกจากนาริตะกลับเมืองไทยได้ภายในคืนนี้

เป็นอันว่า ไฟล์ทแคนเซิ่ลไป ไม่มีใครปลื้ม ... จบ!

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

แต่ยังก่อน... มันยังไม่จบ


จะจบได้อย่างไร ในเมื่อผู้โดยสารอีกกี่ร้อยคนที่สนามบินนาริตะยังไม่มีใครรู้เลยว่า ไฟล์ทมันแคนเซิ่ล ยังคงออกันอยู่ที่เดิม ในขณะที่พวกเราถูกต้อนออกไปอีกทางอย่างลับๆเหมือนเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง(อ๊ะ...อันนี้เปล่ากระทบใครนะเอ้อ! ) แล้วก้อต้องวิ่งกันหัวกระเซิงไปขึ้นรถบัสที่ทางบริษัทเตรียมไว้ให้ แล้วต้องเฆี่ยนให้ไปให้ถึงฮาเนดะให้ทันเวลาให้ได้ จากปกติขับเป็นช.ม

โชคดีคืองานนี้พวกเราไปถึงได้ภายในเวลาเกือบ 50นาที แต่ความเป็นไปได้สูงสุดคือ พวกเราอดกลับกรุงเทพแล้วแน่นอน มีแค่หน้าที่ขึ้นเครื่องจากฮาเนดะกลับมานาริตะแล้วก้อกลับโรงแรมกันเท่านั้น ถึงจะทุลักทุเลแต่พวกเราก้อสามารถวิ่งกันมาขึ้นเครื่องที่ฮาเนดะจนได้


ซึ่งผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเครื่องที่ เดินทางจากฝั่งอเมริกามาเกือบ 24 ช.ม แล้ว กำลังนั่งก่นด่ากันอย่างน่าสะพรึงกลัว ...




โปรดติดตามตอนต่อไปจ้ะ รับรอง มันส์ก่านี้อีก บอกได้ว่าไม่มีใครปลื้ม แต่...หวิดจบ!




Create Date : 09 ตุลาคม 2549
Last Update : 9 ตุลาคม 2549 4:17:46 น. 5 comments
Counter : 892 Pageviews.

 
...เหนื่อยแทนค่ะ...

สู้ ๆ นะ


โดย: shamuneko วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:9:40:33 น.  

 
เหนื่อยเลยนะคะ


โดย: meena (Meena_March ) วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:12:29:56 น.  

 
โอ้ สามารถเล่าวิกฤติให้เป็นเรื่องตลกได้เนียนมากเลยครับ

ส่วนฟิตเนสน่ะ ท่าจะมาร(ตะเกียบคู่)ผจญแล้วละครับ
เพราะพอวันนี้เตรียมชุดมาเตรียมเล่นเท่านั้นแหละ
เพื่อนโทรมาชวนไปกินซิสเลอร์เฉยเรยยย

ไม่เอาออกแถมยังบวกเข้าอีก...


โดย: เซียวฯ IP: 203.154.145.10 วันที่: 10 ตุลาคม 2549 เวลา:15:25:40 น.  

 
อ้าว เอ๊ะ
แก ไปเป็นแอกี่ตั้งกะเมื่อไหร่ว้า อ้อน ช้นจามม่ายด้ายยย

ท่าทางจะสนุกกะงานเนอะ


โดย: เต้ IP: 58.137.32.193 วันที่: 10 ตุลาคม 2549 เวลา:17:28:36 น.  

 
อ้อนเอ๊ย ไปทำไรแถวนั้นล่ะเนี่ย หายไปหน่อยเดียว มีไรแปลกๆ มาเซอร์ไพรส์เรื่อยเลยนะ


โดย: Second impact วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:5:21:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เด็กที่รอคอย
Location :
กรุงเทพ Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




จะเป็นกรวดหรือเพชร ถ้าไปนึกรักมันเข้าแล้วหายไปเมื่อไรก็เสียดาย ยิ่งรักมากก็ยิ่งเสียดายมาก บางคนถึงกับเสียคนไปก็มี


"ถ้าเราไม่อยากทุกข์มากไม่อยากเสียคน ก็อย่าไปรักอะไรให้มากนัก ถึงจะรักก็ต้องรู้กำพืดว่ามันเป็นเพชร หรือเป็นกรวด"


ถ้ารู้ราคาจริงๆของมันเสียแล้วถึงมันจะหายไป เราก็จะไม่เสียดายมากนัก

(จาก "สี่แผ่นดิน" โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช)

สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539
ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง
ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ
ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
Friends' blogs
[Add เด็กที่รอคอย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.