|
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
นาริตะอันน่าปวดตับ...
คืนวันพุธที่เพิ่งผ่านมาน่ะ เด็กที่รอคอยไปเล่นเกมของพันทิพ ดอท คอม ชนะเค้ามารางวัลนึง เป็นตั๋วดูหนัง 13 เกมส์สยอง เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบถึงสถานที่และเวลาที่จะไปรับตั๋วและจะต้องดูภายในคืนนั้นด้วย
แอบเม้าท์เจ้าหน้าที่หน่อย ... คือ พอเธอบอกสถานที่มา ก้อคงคิดจะวางสายแล้ว ...ที่ไหนได้ โดนเด็กที่รอคอยจับล๊อคคอเอาไว้ด้วยคำถามเดิม ที่ไหนนะค๊า??? เธอก้อย้ำที่เดิม ทว่า ยังคงโดนล๊อคคอเหมือนเดิม เอ้อ.... ไอ้ตรงที่ว่านั่นน่ะมันคือที่ไหนของกรุงเทพหรือเปล่าค๊า คือว่าไม่ได้อยู่เมืองไทยมาจะยี่สิบปีแล้วค่า ไปไม่ถูกง่ะค่า .... ^^ เจ้าหน้าที่เองยังเผลอหัวเราะพรืดออกมาเลย ...โถ แม่คุณทูนหัว
เจอโรงหนังยูเอ็มจีอาร์ซีเอ เข้าไปแค่คำเดียวสมองเดี้ยงไปเลย นึกว่าต้องไปดูถึงสมุทรปราการเลยนะทีแรกน่ะ (ก้อชื่อมันไม่คุ้นนี่หว่า กั่กๆๆ)
สรุปว่าก้อนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเด็กที่รอคอย
พอจะออกจากบ้านเท่านั้นแหละ ... บริษัทโทรมาตามทันที บอกให้ไปเข้าบริฟฟิ่งตั้งกะตี 5 กว่าๆ ซึ่งจะต้องออกจากบ้านตอนตี4! .... -__-' ทีตอนตรูไม่ไปเที่ยวไหนก้อเจือกไม่เรียก มาเรียกเอาตอนตรูอยากจะไป แล้วถ้าไปเที่ยวเนี่ยจะกลับบ้านมานอนเอาแรงไม่ได้เลยเพราะจะนอนได้ราวๆ 3 ช.มเท่านั้นเอง (แต่ก้อต้องไป ... ของฟรี ท่องไว้ ของฟรี กร๊ากกกก) สรุปว่าเด็กที่รอคอยก้อไปดูหนังประเภทกดประสาท เสร็จแล้วก้อไปทำงานต่อด้วยจิตที่ยังประสาทนั่นแหละโยม สงสารผู้โดยสารมั้ยล่ะเนี่ย?
ไฟลท์นี้สบายๆไม่เต็มปลิ้น ผู้โดยสารคนไทยก้อมีประปรายประกอบกับทำคู่กับรุ่นพี่อีกคนที่เทรนมาด้วยกันเลยค่อนข้างสนุกพอสมควร
เมื่อลงมาถึงนาริตะก้อมองเห็นว่ามีฝนตก แต่กัปตันก้อทำการลงจอดเครื่องได้อย่างนุ่มนวลไม่มีปัญหาใดๆ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ความคิดเดิมที่ว่าอยากจะออกไปข้างนอกเพื่อถ่ายรูปเดินเล่นซื้อขนม เป็นอันต้องล้มเลิกเพราะสภาพอากาศช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย ถ้าเมืองไทยออกข่าวก้อคงจะเห็นว่าพายุเข้าซัดที่โตเกียวค่อนข้างหนักทีเดียว เด็กที่รอคอยเลยได้แต่นอนอุตุอยู่ในห้องนอน รอจะบินกลับในเย็นวันต่อมา
ปรากฏว่าโชคไม่เข้าข้าง เพราะเมื่อตื่นมาแล้วก้อได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าว่า เครื่องเราจะดีเลย์ฉะนั้นเอ็งจงไปนอนต่อซะ ... เอ่าเวง
แต่ไม่เป็นไรน่าแค่นิดๆหน่อยๆ เด๋วค่อยหาทางโทรไปบอกข่าวเพื่อนที่จะมารับ ซึ่งก้อคือแม่ช้อย (มีใครจำช้อยได้มั่ง? คนที่เกิดใกล้ๆกันและโตมากับเด็กที่รอคอยมาตั้งแต่แบเบาะนั่นไง) ทว่าก้อไม่สามารถติดต่อได้เพราะเด็กที่รอคอยเงินใกล้จะหมดแล้ว ไม่กล้าใช้ซื้อบัตรโทรศัพท์อีกเผื่อมีฉุกเฉินอะไรเราจะไม่มีเงินติดตัวเอา ใบนึงตั้งพันเยน...
เลยต้องวิ่งไปใช้เน็ตแบบหยอดเหรียญ ... (100เยน ใช้ได้แค่ 10 นาทีเองง่ะ) แล้วฝากเพื่อนที่ออนไลน์อยู่ให้ช่วย sms ไปบอกช้อยว่าเครื่องจะดีเลย์อีกซัก 2-3 ช.ม ถ้ารอได้ก้อช่วยรอที ถ้าไม่ได้ก้อไม่เป็นไรเด๋วจะเรียกแท๊กซี่กลับเองก้อได้ (ใจจริงก้อยังใคร่สงสัยอยู่ว่าความเป็นไปได้มีมากน้อยแค่ไหนที่จะได้แท๊กซี่ เพราะยังไม่เคยเรียกรถจากสุวรรณภูมิกลับเข้ามาบ้านเลย)
แต่เชื่อมั้ยว่า สุดท้ายแล้ว แทนที่เด็กที่รอคอยจะได้กลับบ้านในคืนวันศุกร์ ตามกำหนดการเดิมหลังจากที่ออกมาตั้งแต่เช้าวันพฤหัส กลับกลายเป็นว่าต้องติดแหง่กอยู่ที่ญี่ปุ่นยันคืนวันอาทิตย์นู่นแน่ะ ...
เอ...จะเล่าสั้นๆได้มั้ยหว่า ไหนลองดูหน่อยซิ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
พวกเรามาถึงที่สนามบินนาริตะตามกำหนดการใหม่ที่ได้ให้ไว้ เข้าห้องบริฟฟิ่งมอบหมายหน้าที่งานกันเรียบร้อยแล้วก้อมุ่งหน้าเข้ามาที่เกทเพื่อจะขึ้นเครื่องบินแล้วตรวจตราความเรียบร้อยก่อนจะให้ผู้โดยสารเข้ามา และเมื่อเข้ามาถึงเกทแล้ว พวกเราก้อเตรียมตัวจะเข้าเครื่องกัน แต่ปัญหาก้อคือว่า ....
เครื่องตรู อยู่ไหนวะ?
คุณพี่ซึ่งเป็นหัวหน้าเงียบหายไปพักนึงก่อนจะกลับมาบอกค่อยๆ ... น้องเอ๊ย ท่าทางเราจะต้องอยู่รอก่อน เพราะเครื่องที่กำลังจะบินมาที่นี่ต้องลงจอดที่ฮาเนดะก่อน แล้วค่อยมานาริตะเพื่อให้พวกเราบินกลับไปกรุงเทพกัน ... อ่อ ได้โลดค่ะพี่ แล้วตอนนี้มันจอดแล้วรึยังล่ะ
เอ่อ...ตามรายงาน เค้าว่าเครื่องยังบินไม่ถึงฮาเนดะเลยว่ะน้อง
เอ่า ... เฮ่ย นี่ก้อหมายฟามว่าจากที่ว่าดีเลย์แล้ว ก้อต้องดีเลย์เพิ่มใช่มั้ยเนี่ย?
พวกเราหลายคนเลยจับกลุ่มนั่งด้วยกัน บางคนก้อแว่บไปหาข้าวกิน(เช่น เด็กที่รอคอยเป็นต้น แฮ่ะๆ... เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนสิคะ ^^ ) บางคนก้อคุยเรื่องครอบครัวลูกเต้า เรื่องแฟน เรื่องธุรกิจเสริมอะไรที่เค้าทำๆกัน บางคนก้อแวะซื้อขนม โทรศัพท์กลับบ้าน แล้วแต่ศรัทธา ...
แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก ก้อยังไม่มีทีท่าว่าเครื่องจะโผล่หน้ามาให้ยลแม้ซักกะติ๊ด จนพวกเราชักจะเริ่มหวั่นไหวเนื่องจากผู้โดยสารเองก้อเริ่มจะมาออกันที่เกทมากขึ้น คุณพี่ที่เป็นหัวหน้าเลยค่อยๆมากระซิบให้พวกเราเขยิ๊บ...เขยิ๊บออกไปนั่งอีกเกทกัน นัยว่าเป็นการดีกว่าที่จะอยู่เป็นเป้านิ่งให้ผู้โดยสารวิ่งเข้ามารุมไถ่ถามและตัดพ้อต่อว่า(และด่าตรูโดยที่ตรูไม่ได้ทำไรผิด กั่กๆๆ)
ก้อจะทำยังไงได้ในเมื่อมันดีเลย์เพราะไม่มีเครื่อง มันก้อไปไม่ได้น่ะสิเหวย อาตมาจะแบกโยมไปเองก้อกระไรอยู่ ยังไงก้อต้องรอกะปิตันเขาเอาเครื่องมาแลนด์หนาโยมหนา... (ได้แต่คิด เพราะพูดไปแล้วก้อจะโดนด่าอยู่ดี)
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ยังมิทันไร อีกเกทที่อยู่ติดกันซึ่งมีผู้โดยสารรอจะขึ้นเครื่องอีกลำเพื่อไป...เกาหลีล่ะมั้ง ก้อโวยวายกันเสียงดังลั่นยังกะมีการปฏิวัติ ... ได้ความมาว่า เครื่องนั้นเขาก้อแคนเซิ่ลหรือดีเลย์... ซัมซิงไล่ค์แล่ด แต่ประเด็นคือ เขาโกรธกันชนิดหน้าเขียวหน้าเหลือง เล่นเอาลูกเรือที่มีเข็มกลัดธงญี่ปุ่นติดอยู่ที่แจ๊คเก็ตเสื้อนอกรีบปลดกันแทบไม่ทัน กลัวลูกหลงมันจะพลัดปลิวเกทมาน่ะไม่ใช่อะไร... (มาจริงๆนะ สองลูก แต่ก้อยังถือว่าเบาบาง ^^ )
อีกครู่นึงพนักงานภาคพื้นดินก้อประกาศอะไรก้อไม่รู้ แต่ในน้ำเสียงท่าทางร้อนรนจนพวกเรานึกว่า...ต้องอพยพหนีออกจากสนามบิน หรือว่าพายุมันแรงมาก... หรือว่าไฟไหม้! หรือว่ามีระเบิด?! พวกเราน่ะคิดไปไกล แต่คนฟังภาษาญี่ปุ่นออกกลับหัวเราะออกมาอย่างทั้งปลงทั้งขำ ไถ่ถามก้อได้ความว่า ข้อความนั้นประกาศเพื่อจะบอกให้ทุกคนช่วยกัน เงียบก่อนอย่ารีบร้อนไปเลย ...
อ่า ... เงียบ ... อย่ารีบร้อน ... งะ.. งั้นหรอกเรอะ... ไอ้อาการนั้นในน้ำเสียงเจ๊แกที่เหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายนั่น คือ บอกให้เงียบๆกันก่อน อย่างนั้นหรอกเร๊อะ?!
โอ๊ย... กรู
อยากจะบ้าตาย!!
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แล้วเครื่องลงฮาเนดะหรือยังล่ะนั่น?
พวกเราก้อได้แต่มองหน้ากันเอง เพราะมันปาเข้าไปจะห้าทุ่มแล้ว เคอร์ฟิวส์ที่สนามบินนาริตะคือเที่ยงคืน ถ้าเลยเที่ยงคืนไปแล้วก้อเป็นอันว่า ... พวกเราจะอดไป! แล้วเราจะทำไงกันดีล่ะเนี่ย เด็กที่รอคอยก้ออยากกลับบ้านนะ ที่สำคัญ พี่หัวหน้าคนนี้ก้อไปตะลุยแดนกิมจิและฮ่องกงมาตลอดจะ 6 วันแล้ว เขาเองก้ออยากจะกลับบ้านไปหาลูกเมีย ไหนจะอีกหลายๆคนในกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาเปลี่ยนและไปตะลอนกับพี่หัวหน้าคนนี้อีก ... สรุปว่าใครๆก้ออยากจะกลับบ้าน แต่ไม่มีปัญญาจะกลับ
อย่าว่าแต่ผู้โดยสารเลย แอร์สจ๊วตก้อปวดกบาล เพราะขับเครื่องบินกลับบ้านเองไม่เป็น
อึดใจนึงพี่หัวหน้าก้อโผล่มาบอกให้รวมกลุ่มกัน เพราะว่าเราจะได้ออกจากสนามบินนาริตะแล้ว โอ้แหม!ยอดไปเลยค่ะพี่ ในที่สุดเราก้อได้ไปซะที แต่เอ๊ะ... เราจะไปยังไงล่ะคะ
พวกเรา ... พี่มีข่าวล่าสุดมาให้ คือ พวกเราต้องนั่งรถบัสไปที่สนามบินฮาเนดะ แล้ว... เราจะต้องบินกลับมาที่นาริตะนี่อีกทีนึง คาดว่าจากนั้นเราอาจจะต้องบินต่อไปที่กรุงเทพ...
......
ยังไงก้อช่วยอ่านอีกทีนะคะ อ่านกี่รอบก้อได้ เพราะพวกเราเองเมื่อแรกที่ได้ยินคำสั่งนี้ก้อไม่มีใครเชื่อหูตัวเองเหมือนกัน ย้ำกันเป็นสิบรอบเลยว่า เราต้องไปไหนนะพี่???!!! จะกลับมาทำไมวะ ออกจากฮาเนดะแล้วไปเมืองไทยเลยมิได้หรอกหรือ แล้วทำไมพวกที่ฮาเนดะมาไม่ได้ล่ะทำไมเราต้องนั่งรถไปที่นั่น แล้วนั่งรถบัสในสภาพอากาศฝนตกหนักลมแรงแบบนี้จะใช้เวลาเท่าไหร่ปกติขัรถเก๋งก้อปาเข้าไปตั้งช.มนึงแล้วนะ เคอร์ฟิวส์นาริตะมันเที่ยงคืน ออกมาจากฮาเนดะมานาริตะอีกกี่นาที นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะพี่ มันจะไปทันเร๊อะ .... เสียงระงมกันเป็นนกกระจอกแตกรังเลยล่ะจะบอกให้
เด็กที่รอคอยนี่มึนไปเลยวินาทีนั้น แต่ที่ดูจะแน่นอนกว่าก้อคือ พวกเราคงจะได้แค่บินจากฮาเนดะกลับมาที่นาริตะ แล้วก้อ ... กลับโรงแรมกันเนื่องจากไม่สามารถบินออกจากนาริตะกลับเมืองไทยได้ภายในคืนนี้
เป็นอันว่า ไฟล์ทแคนเซิ่ลไป ไม่มีใครปลื้ม ... จบ!
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
แต่ยังก่อน... มันยังไม่จบ
จะจบได้อย่างไร ในเมื่อผู้โดยสารอีกกี่ร้อยคนที่สนามบินนาริตะยังไม่มีใครรู้เลยว่า ไฟล์ทมันแคนเซิ่ล ยังคงออกันอยู่ที่เดิม ในขณะที่พวกเราถูกต้อนออกไปอีกทางอย่างลับๆเหมือนเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง(อ๊ะ...อันนี้เปล่ากระทบใครนะเอ้อ! ) แล้วก้อต้องวิ่งกันหัวกระเซิงไปขึ้นรถบัสที่ทางบริษัทเตรียมไว้ให้ แล้วต้องเฆี่ยนให้ไปให้ถึงฮาเนดะให้ทันเวลาให้ได้ จากปกติขับเป็นช.ม
โชคดีคืองานนี้พวกเราไปถึงได้ภายในเวลาเกือบ 50นาที แต่ความเป็นไปได้สูงสุดคือ พวกเราอดกลับกรุงเทพแล้วแน่นอน มีแค่หน้าที่ขึ้นเครื่องจากฮาเนดะกลับมานาริตะแล้วก้อกลับโรงแรมกันเท่านั้น ถึงจะทุลักทุเลแต่พวกเราก้อสามารถวิ่งกันมาขึ้นเครื่องที่ฮาเนดะจนได้
ซึ่งผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเครื่องที่ เดินทางจากฝั่งอเมริกามาเกือบ 24 ช.ม แล้ว กำลังนั่งก่นด่ากันอย่างน่าสะพรึงกลัว ...
โปรดติดตามตอนต่อไปจ้ะ รับรอง มันส์ก่านี้อีก บอกได้ว่าไม่มีใครปลื้ม แต่...หวิดจบ!
Create Date : 09 ตุลาคม 2549 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2549 4:17:46 น. |
|
5 comments
|
Counter : 892 Pageviews. |
|
|
|
โดย: shamuneko วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:9:40:33 น. |
|
|
|
โดย: meena (Meena_March ) วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:12:29:56 น. |
|
|
|
โดย: เซียวฯ IP: 203.154.145.10 วันที่: 10 ตุลาคม 2549 เวลา:15:25:40 น. |
|
|
|
โดย: เต้ IP: 58.137.32.193 วันที่: 10 ตุลาคม 2549 เวลา:17:28:36 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Australia
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]
|
จะเป็นกรวดหรือเพชร ถ้าไปนึกรักมันเข้าแล้วหายไปเมื่อไรก็เสียดาย ยิ่งรักมากก็ยิ่งเสียดายมาก บางคนถึงกับเสียคนไปก็มี
"ถ้าเราไม่อยากทุกข์มากไม่อยากเสียคน ก็อย่าไปรักอะไรให้มากนัก ถึงจะรักก็ต้องรู้กำพืดว่ามันเป็นเพชร หรือเป็นกรวด"
ถ้ารู้ราคาจริงๆของมันเสียแล้วถึงมันจะหายไป เราก็จะไม่เสียดายมากนัก
(จาก "สี่แผ่นดิน" โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช)
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่และอ้างอิง ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของข้อความ ในสื่อคอมพิวเตอร์แห่งนี้เพื่อการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
|
|
|
|
|
|
|
|
สู้ ๆ นะ