ม่ายป้ายแดง ''บุ๋ม-ปนัดดา'' กับความพยายามในการซ่อมเตียง
หลังจากที่อดีตนางสาวไทย ''บุ๋ม'' ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ออกมาประกาศแยกทางกับสามี ''วี'' วีระพงศ์ พิพิธสุขสันต์ ไปเรียบร้อยแล้ว จนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ตามหน้าหนังสือพิมพ์ไปหลายวัน ซึ่งก่อนที่ข่าว (คาว) จะเงียบหายไป และทิ้งเพียงความปมปริศนาไว้ให้ใครหลายคนสงสัยว่าแท้จริงแล้วสาเหตุของการเตียงหักครั้งนี้มากจากสาเหตุอะไรกันแน่
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสได้เจอกับพิธีกรม่ายสาวพราวเสน่ห์ ไปโชว์ตัวในงาน ''เบเกอรี่ แอนด์ คูยซีน เฟสติวัล 2007'' (Bakery & Cuisine Festival 2007) ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ จึงไม่รีรอที่จะคว้าตัวคุณแม่คนเก่งมาอัพเดตความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ซักหน่อย
สยามดารา : เรื่องญาติที่บอกมีส่วนในการเลิกรากันตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
บุ๋ม : เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันเยอะ ก็มีทั้งญาติเขา ญาติบุ๋ม เข้ามามีการแสดงความคิดเห็น ซึ่งคนละฝ่ายก็คนละความคิด ตอนนี้เราก็ต้องมาดูกันต่อไป ว่าเราจะตัดความคิดเห็นคนอื่นออกไหมถ้าไม่ตัดแล้วเราจะทำยังไงต่อไป เพราะตอนนี้เรารู้สึกว่าจะเริ่มบานปลายมากกว่าเดิม
ช่วงนี้หลายคนมองว่าพี่บุ๋มไม่ค่อยออกมาพูดถึงเตียงหัก
บุ๋ม : ''ที่บุ๋มดร็อปก็เพราะว่าเราไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องมาอยู่ด้านหน้าตลอดเวลา มันเหนื่อยกับข่าวเหมือนกัน บางทีมันโดนบ่อยๆ มันเหนื่อยกับข่าวเหมือนกัน แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วเราก็มีงานการที่ไม่ใช่ในวงการบันเทิงอย่างเดียว เรามีงานบริหารด้วย งานสอนด้วย ดังนั้นจะให้มามีข่าวเยอะมากมันก็ไม่ไหว มันก็ต้องดูภาพของตัวเองเหมือนกัน มันเหมือนเป็นการปูทางของตัวเอง ถ้าเกิดจะให้มามีข่าวกับหนุ่มคนนั้น เล่นหนังโลดโผนกับคนนี้มันก็คงไม่ใช่อีกแล้วต่อไป ก็คงต้องเปลี่ยนตัวเองมาอีกแนวนึง แต่ว่าบุ๋มว่าเรื่องเลิกเรื่องหย่าพี่ว่ามันไม่ใช่ผลดีกับสินค้าบุ๋มมั้ง จริงๆ แล้วบุ๋มไม่อยากให้เป็นด้วยซ้ำ''
มีกระแสข่าวว่าที่ ''บุ๋ม'' กับ ''วี'' เลิกกันเพราะต้องการโปรโมตเครื่องสำอางของตัวเอง
บุ๋ม : ''บุ๋มไม่เห็นต้องโปรโมตเลยเครื่องสำอางบี เอส ซี ปนัดดา เพราะเขามีชื่อของเขาอยู่แล้ว มีเคาน์เตอร์ของเขาอยู่แล้ว อันนี้บุ๋มคงไม่ต้องสร้างข่าวตรงนี้ ในการโฆษณาของพี่''
ถูกหาว่าสร้างกระแส
บุ๋ม : ''ก็เข้าใจนะ แต่จริงๆ แล้วถ้ารู้จักตัวบุ๋มจริงๆนะ กับที่บุ๋มเป็นข่าวมาตลอด บุ๋มว่ากระแสบุ๋มคงไม่อยากสร้างให้มันเป็นอย่างนี้ กับทุกๆ ข่าวที่เคยผ่านมาในชีวิตมันแรงๆ ทั้งนั้นเลย มันเหนื่อยกับการที่ต้องมานั่งคิดเรื่องพวกนี้เพราะเราต้องใช้สติกับมันเยอะ ว่าข่าวอย่างนี้เกิดขึ้นกับเรานะ ดังนั้นเราต้องใจเย็นๆ เพราะเราเป็นคนของสื่อ ของสาธารณะชนเขาอยากรู้เรื่องของเราคงไม่ผิด เขาได้ยินอะไรมาเขาอยากรู้ว่าจริงไหม ก็เหมือนเราอยากรู้เรื่องของดาราที่เราชอบคงเหมือนกัน ดังนั้นเราต้องให้เวลาในการคุยกับสื่อด้วยคือพี่ไม่ปิดเรื่องอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอะไรพูดได้มากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูกันไป''
จากกระแสข่าวต่างๆ ที่ออกมามีผลกระทบกับงานตรงไหนบ้าง
บุ๋ม : ''ส่วนใหญ่ไม่มีผลกระทบอะไรเลย เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่ดีด้วยซ้ำเหลือเชื่อมากกับคนรอบข้าง กับแฟนๆ ที่ส่งทั้งอีเมลหรือจดหมาย ให้กำลังใจเยอะมาก พี่วีก็ได้เหมือนกัน บุ๋มเองก็ได้เหมือนกัน บางทีเขาเล่าเรื่องของตัวเองด้วยซ้ำว่าเขาเจออะไรมา ว่าเขามีปัญหายังไงแล้วเขาแก้ปัญหายังไง ตอนแรกยังกลัวด้วยซ้ำเพราะตัวบุ๋มเองเป็นคนเวลามีข่าวจะโดนอะไรแรงๆ ตลอด ทั้งที่เรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นเนี่ยเราไม่ได้ทำ จนกระทั่งเวลามันผ่านไปเกือบครึ่งปีถึงบอกบุ๋มไม่ได้ทำนี่หน่า ครั้งนี้บุ๋มเลยบอกได้เลยว่าตอนนั้นบุ๋มกลัวมากถ้าเป็นข่าวแรงๆ แล้วฉันจะรับได้ไหมเพราะว่าเรื่องอย่างนี้มันเซนซิทีฟเพราะมันเป็นเรื่องครอบครัว เรื่องของความรัก และก็เป็นเรื่องของลุก ดังนั้นถ้าแรงอีกก็กลัวจะรับไม่ได้เพราะพี่เป็นคนตรงๆ พี่เป็นคนดูแรง แล้วคุณวีเขาเป็นคนผู้ชายที่ดูอบอุ่น ดังนั้นถ้ามีข่าวขึ้นมาฉันจะดูเป็นอีนังมารร้ายรึเปล่า เครียดมากเลยนะ บอกตรงๆ ว่าเครียดมาก''
ถูกเม้าท์ว่าญาติมีส่วนในการเลิกรากัน
บุ๋ม : ''เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันเยอะ ก็มีทั้งญาติเขา ญาติบุ๋ม เข้ามามีการแสดงความคิดเห็น ซึ่งคนละฝ่ายก็คนละความคิด ตอนนี้เราก็ต้องมาดูกันต่อไป ว่าเราจะตัดความคิดเห็นคนอื่นออกไหมถ้าไม่ตัดแล้วเราจะทำยังไงต่อไป เพราะตอนนี้เรารู้สึกว่าจะเริ่มบานปลายมากกว่าเดิม''
ความคิดเห็นของญาติส่วนใหญ่เป็นไปในทางใด
บุ๋ม : ''เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรคืนดีกันก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคน แต่บางที่เวลาพูดผิดใจกันเขาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยดี''
คิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทะเลาะอาจจะมาจากภายนอกครอบครัวด้วยรึเปล่า
บุ๋ม : ''ก็อาจจะเป็นไปได้ (ย้ำก็อาจจะเป็นไปได้) ตอนนี้ก็กำลังคุยกันอยู่เหมือนกับช่วงสืบสวนสอบสวนคะ แต่เรายังไม่รู้อะไรที่แน่นอน นั่นก็ญาติฝ่ายเขานี่ก็ญาติฝ่ายเรา''
เรียกได้ว่าครอบครัวเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ต้องแยกทางกัน
บุ๋ม : '' ก็อาจจะใช่ (น้ำเสียงเคร่งเครียด) แต่จะเป็นที่ตัวเราเป็นสาเหตุหลักมากกว่า ถ้าเราสองคนแก้ไขมันได้ก็คงได้อยู่ด้วยกัน เรื่องของเรื่องความรักมันอยู่ที่คนสองคน แต่ถ้าเกิดมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องถอยออกมาคนละก้าว''
กลัวไหมว่าครอบครัวอาจจะมองหน้ากันไม่ติด บุ๋ม : ''กลัวมากกว่าคะ คือตอนนี้เราพยายามที่จะคุยด้วยเหตุผล แล้วก็พยายามที่จะรับฟังเหตุผลว่าฝ่ายเขาว่ายังไง ฝ่ายพี่ว่ายังไง ทำไมมันถึงลุกลามไปใหญ่โตขนาดนั้นได้ แล้วอะไรเป็นสาเหตุสำคัญว่าคนไหนเป็นคนพูดแรงก่อนอะไรประมาณนี้คะ''
มีแพลนจะย้ายกลับมาอยู่คอนโด 3 คน พ่อ แม่ ลูก บ้างไหม
บุ๋ม : ''ถ้าเกิดจะให้ย้ายอยู่ 3 คน พ่อแม่ลูกบุ๋มคงเป็นไปได้อยาก เพราะว่าคุณวีเองก็ต้องรับผิดชอบงานส่วนตัวที่บ้านเขา ทุกอย่างเขาดูแลเยอะมาก ถ้าดึงเขาออกมาขนาดนั้นแล้วให้เขาอยู่บ้านพี่ ก็คงจะเป็นไปได้ยาก จริงๆ ก็เคยคุยหาทางออกกันนะคะ คือถ้าเกิดมันเป็นระยะสั้น แบบไปๆ กลับๆ คงเป็นไปได้ แต่ถ้าเกิดอยู่ด้วยกันตลอดเวลาคงต้องคุยกันอีกที ว่าความรู้สึกของเราสองคนยังเหมือนเดิมกันอยู่ไหม''
โอกาสรีเทิร์น
บุ๋ม : ''อืม...(คิดหนัก) ต่อให้น้อยแต่ก็มี''
ตอนนี้ยังคุย ยังโทร.หากันได้เหมือนเดิม บุ๋ม : ''ไม่เหมือนเดิมคะ ไม่เหมือนเดิม''
แนวโน้วจากเท่าที่ได้พูดคุยกับอดีตสามี บุ๋ม : ''เขาก็อยากค่ะ''
ตอนนี้ ''น้องอันดามัน'' ได้อยู่กับคุณพ่อบ้างไหม บุ๋ม : ''ก็มีค่ะช่วงที่บุ๋มไปอิหร่าน''
ถึงแยกทางกันแต่ก็ยังมีภาพ 3 คน พ่อ แม่ ลูก บุ๋ม : ''ก็มีไปกินข้าวที่โรงแรมมณเฑียร แต่ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันงานก็โทร.เรียกตัวแล้วค่ะ ทั้งคู่คือเรายังไม่มีเวลาได้คุยกันยาวๆ จริงๆ ต่อให้คุยกันยาวๆ จริงก็เหมือนกับว่า ฝ่ายนี้ได้ยินมาอย่างนั้นฝ่ายนั้นได้ยินมาอย่างนี้ คือเรายังมีคนอื่นๆ อยู่รอบข้างเรา ดังนั้นมันยากมากที่จะเคลียร์ว่าความเป็นจริงเป็นยังไง เรื่องลูกนี่ตกลงกันได้ไหมคะส่วนค่าเลี้ยงดูพี่ไม่ได้เรียกร้องอะไรค่ะ อยากจะให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่เป็นไร''
ไม่เคยห้ามมาหาลูก บุ๋ม : ''บุ๋มว่าไม่ใช่ และบุ๋มก็ยังอนุญาตอย่างที่บอก บุ๋มยังยืนยันคำเดิมก็ยังอนุญาตให้พ่อเขามาหาอันดามันได้ทุกเมื่อบุ๋มจะไม่เหมือนกับครอบครัวอื่นที่เลิกกันแล้วห้ามพ่อมาเจอ หรือเจอได้แค่เสาร์หรืออาทิตย์หรือจะมีข้อจำกัดกับลูกไม่ใช่ จะมาเจ็ดวันก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ อาจจะมาเยอะกว่าตอนที่อยู่ด้วยกันก็ได้ (หัวเราะ) บุ๋มก็ไม่ว่าอะไร บุ๋มไม่ห้ามอะไรบุ๋มอยากจะให้ลูกมีทุกอย่างเหมือนเดิม ดีกว่าจะเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันพี่ว่าภาพนั้นคงไม่ค่อยจะดีนัก''
ตัดบัวแต่ยังเหลือใย บุ๋ม : ''กับพี่วีไม่ได้ขาดกันสิ้นเชิงค่ะ (น้ำเสียงหนักแน่น) บุ๋มพยายามจะไม่ขาดค่ะ บุ๋มยังสู้อยู่ค่ะ ก็อยากคืนดีอยู่แล้วค่ะ อะไรที่ดีๆ เราก็อยากจะเก็บไว้ เพียงแต่ว่าเราต้องดูด้วยว่าความสุขจริงๆ ของเราเนี่ยอยู่ตรงไหน ดังนั้นเราสองคนจะต้องมาคุยกัน แต่ก็ยังคุยกันตรงๆ ไม่ได้เพราะมีความคิดเห็นของญาติมาให้ต้องช่วยขบคิดตลอด แล้วก็อีกอย่างนึงเรื่องอื่นๆ เนี่ย ในงานของพี่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป ถ้าให้บุ๋มมานั่งเศร้าอยู่คนเดียวบุ๋มก็คงไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าบุ๋มอยากจะเอางานมาเป็นตัวช่วย''
เมื่อกลายเป็นแม่ม่ายทรงเครื่อง
บุ๋ม : ''ก็มีคนมาแซวเล่นซะมากกว่า แต่คงอยากให้กำลังใจเราไม่อยากให้เราคิดมาก หรือเศร้ามากจนเกินไป คงจะเป็นการแซวๆ เพื่อให้กำลังใจซะมากกว่า เราเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะมานั่งเขินมีคนมาจีบ คือมันเลยวัยนั้นมาแล้ว ตอนนี้กับพี่วีก็ไม่ใช่ว่ารอนะคะ ก็คือขอดูท่าทีเขาก่อน แต่ถ้าเกิดยังเป็นอย่างนี้อยู่ก็คงจะเป็นเพื่อนกันต่อไป แต่ก็ถ้าเกิดต่อไปในอนาคตสำหรับโอกาสคนอื่นตอนนี้บอกเลยว่ายัง เพราะตอนนี้ยังสนุกกับงานแล้วก็เหนื่อยกับงานมาก ดังนั้นขอพักใจตัวเองสักนิดนึงดีกว่า เข็ด!! (หัวเราะ)''
ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตคู่ที่หนักเอาการ
บุ๋ม : ''ก็หนักหนาสากรรจ์พอสมควร ช่วงที่ยังไม่เป็นข่าวตอนช่วงนั้นบุ๋มก็พยายามทำใจกับมันอยู่ แล้วบุ๋มก็คิดว่าโอเคเราเข้มแข็งพอนะที่เราจะออกมาให้สัมภาษณ์หรือตอบคำถามใครต่อใคร แต่กลับกลายเป็นว่าพอโดนถามบ่อยๆ เข้ามันก็สะเทือนใจอยู่เหมือนกัน (น้ำตาคลอเบ้า) ดังนั้นตอนนี้ก็พยายามจะสู้กับมันโดยเอางานเข้ามาทำ อย่างที่เห็นก็จะเห็นพี่ทำงานตรงนี้พี่ก็ลุยทุกวัน งานสอนด้วยงานบริหารบุ๋มด้วย ดังนั้นบุ๋มทุ่มกับมันเต็มที่เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงมัน ไม่ต้องคิดมาก มีอะไรก็ทำ''
ที่มา สยามดารา
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2550 |
|
1 comments |
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2550 2:11:54 น. |
Counter : 1540 Pageviews. |
|
|
|