ใบเตย



สรรพคุณ
:
บำรุงหัวใจ ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต
ชื่อท้องถิ่น : กระเจี๊ยบเปรี้ยว (กลาง)
ส้มพอเหมาะ ส้มเก็งเค็ง (เหนือ) ส้มตะเลงเครง (ตาก) ส้มปู
(เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ผักเก็งเค็ง ส้มพอดี (อีสาน) ใบส้มม่า (ระนอง)
ชื่ออังกฤษ : Pandanus, Screw pine
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pandanus odorus Ridi.
Pandanus Amaryllifolius Roxb
วงศ์
PANDANACEAE

สารสำคัญ 
ใบเตยประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยและมีสีเขียวของคลอโรฟิลล์
ซึ่งในน้ำมันหอมระเหยประกอบไปด้วยสารหลายชนิด เช่น ไลนาลิลอะซีเตท (Linalyl
acetate) เบนซิลอะซีเตท (Benzyl acetate) ไลนาโลออท (Linalool)
และเจอรานิออล (Geraniol) และสารที่ทำให้มีกลิ่นหอมคือคูมาริน (Coumarin)
และเอทิลวานิลลิน (Ethyl vanillin)

ผลงานการวิจัย
         การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า
เตยหอมมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ
ขับปัสสาวะ ซึ่งฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น
ซึ่งมาจากการทดลองในห้องทดลอง นอกจากนี้ได้มีการทำศึกษาวิจัย
โดยนำน้ำต้มรากเตยหอมไปทดลองในสัตว์ทด ลองเพื่อดูฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
ปรากฏว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้
จึงนับได้ว่าสมุนไพรเตยหอมเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าอีกชนิดหนึ่งสามารถนำมาทำ
เป็นเครื่องดื่มรับประทานเองได้

วิธีใช้ตามภูมิปัญญาไทย
         ใช้ใบเตยสดเป็นยาบำรุงหัวใจ
ให้ชุ่มชื่นช่วยลดอาการกระหายน้ำ รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
ใช้รักษาเบาหวานประโยชน์ทางยา เตยหอมมีรสเย็นหอมหวาน บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื้น
โดย มากนิยมใช้น้ำใบเตยผสมอาหารคนไข้ทำให้เกิดกำลัง ลำต้นและราก
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้น้ำเบาพิการ และรักษาโรคเบาหวาน ใบ
ช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ลดกระหายน้ำ และอาจใช้ใบตำพอกรักษาโรคหัด
โรคผิวหนัง





วิธีใช้
        
๑.ใช้ใบสดตำ คั้นเอาน้ำ จะได้น้ำสีเขียวใช้นำมาผสมอาหาร
จะช่วยให้อาหารมีสีสวย น่ารับประทานและมีกลิ่นหอมของใบเตย
        
๒.ใช้ในในรูปของใบชา ชงกับน้ำร้อน หรือใช้ใบสดต้มกับน้ำจนเดือด
เติมน้ำตาลเล็กน้อยก็ได้ ดื่มเป็นประจำช่วยบำรุงหัวใจ
        
๓.นำส่วนต้นและราก ต้มกับเนื้อหรือใบไม้สัก จะช่วยรักษาโรคเบาหวาน

จาก
         1.
โรงพยาบาลศูนย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร.สมุนไพรเพื่อชีวิต พิชิตโรคภัย.
พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพ: 2549
         2. หนังสือข้อมูลสมุนไพร
ในรายการผลิตของ สมุนไพรอภัยภูเบศร ปี 2550






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:40:38 น.
Counter : 1401 Pageviews.  

วิจัยชี้ บัวบกสรรพคุณเจ๋ง ดันแข่งบัวหิมะ




วิจัยพบบัวบกสรรพคุณเยี่ยม รักษาแผลเรื้อรังได้ดีโอกาสเกิดแผลเป็นน้อย
ประสาน อภ.ผลิตจำหน่ายเชิงธุรกิจสู้บัวหิมะ
แนะประชาชนคั้นน้ำดื่มให้ผลดีเช่นกัน


         
พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
กล่าวว่า
ใบบัวบกเป็นพืชที่คนไทยรู้จักสรรพคุณนิยมนำมาประกอบเป็นอาหารและยาพื้นบ้าน
มานาน หากมีการผลิตในรูปแบบยาจะเกิดประโยชน์อย่างมาก
เนื่องจากงานวิจัยที่กรมฯดำเนินการร่วมกับคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) พบว่า
บัวบกมีสรรพคุณในการช่วยให้แผลหายเร็ว และโอกาสเกิดแผลเป็นน้อย
และขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงลักษณะของบัวบกที่ผลิตได้ให้ลดสีเขียวเข้ม
ลง เพราะสีอาจจะดูไม่น่าใช้ แต่จะเน้นให้สรรพคุณคงเดิม


“ที่ผ่านมาองค์การเภสัชกรรม (อภ.)
ได้นำสารสกัดจากบัวบกมาผลิตเป็นเจลล้างมือ ยังไม่มีการผลิตเป็นยารักษาแผล
เพราะวัตถุดิบมีน้อย โดยกรมฯได้ประสานให้
อภ.ดำเนินการผลิตรูปแบบยาจำหน่ายในเชิงธุรกิจ
และจะสนับสนุนองค์ความรู้ให้ประชาชนที่สนใจผลิตจำหน่ายในเชิงธุรกิจด้วย
ซึ่งอนาคตอาจจะทำให้บัวบกไทยมีชื่อเสียงเหมือนบัวหิมะที่มีสรรพคุณในการ
รักษาแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ได้ดี แต่บัวบกจะลดแผลที่บวมได้ดี”

พญ.วิลาวัณย์กล่าว

          ด้าน ภญ.ดร.อัญชลี จูฑะพุทธิ
รองผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า
จากการที่สถาบันฯ ทำวิจัยเรื่องบัวบก ร่วมกับ ผศ.นพ.วีรยะ เภาเจริญ
อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มธ.
ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลเรื้อรังจำนวน 170 คน
โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
และได้รับสารสกัดบัวบกในรูปแบบน้ำคั้นและแคปซูล ครั้งละ 100 มิลลิกรัม
วันละ 3 ครั้ง เมื่อเปรียบเทียบการหายของแผล พบว่า
กลุ่มที่ได้รับสารสกัดบัวบกระยะเวลาการหายของแผลเร็วกว่ากลุ่มที่ได้รับยา
หลอกเกือบครึ่ง โดยจากการวัดการหดของแผล
ซึ่งหากแผลหดตัวได้ดีสะท้อนการหายของแผลได้ดี ในวันที่ 14
ภายหลังเริ่มการทดลอง
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดบัวบกแผลหดได้ดีถึง 32 คน
ขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาหลอก แผลหดได้ดีเพียง 16 คนเท่านั้น
แสดงว่ากลุ่มที่ได้รับสารสกัดบัวบกแผลหายเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับถึงครึ่ง
ต่อครึ่ง โดยสรุปบัวบกมีสรรพคุณกระตุ้นการหายของแผลได้เร็วมาก
โดยเฉพาะแผลเรื้อรังที่ต้องขูดเนื้อตายออก เช่น แผลของผู้ป่วยเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม
แผลที่เกิดจากท่อไอเสียและแผลทั่วไปก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นกัน
และไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ในกลุ่มผู้ที่ได้รับบัวบก





 

“สนใจทำวิจัยเรื่องนี้เพราะประทับใจจากการที่ได้ใช่บัวบกในการรักษาคุณยาย
ที่ป่วย เป็นเบาหวานและมีแผลเรื้อรัง โดยให้ดื่มน้ำบัวบกคั้นแทนน้ำทุกวัน
ปรากฏว่าแผลที่เป็นอยู่หายเร็วมาก และไม่เกิดแผลเป็น
เท่ากับว่าการให้กินน้ำบัวบกสารในบัวบกจะซึมเข้ากระแสเลือดและถึงแผลได้
เท่ากับว่าประชาชนสามารถใช้บัวบกรักษาแผลได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ
การทำน้ำบัวบกเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรังดื่ม
ก็จะช่วยรักษาแผลให้หายเร็วและเกิดแผลเป็นน้อยได้เช่นกัน
ไม่ต้องรอใช้เฉพาะในรูปแบบที่เป็นสารสกัดหรือครีมบัวบก”
ภญ.ดร.อัญชลี
กล่าว



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากการแพทย์ทางเลือก






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:25:56 น.
Counter : 1494 Pageviews.  

แคนตาลูป ผลไม้มีประโยชน์



         แคนตาลูป
เป็นพืชตระกูลแตง อยู่ในตระกุลเดียวกับแตงไทย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย
คนอินเดียและแอฟริการู้จักกินแคนตาลูปมานานกว่า 4,000 ปี
ชื่อแคนตาลูปได้มาจากการนำแตงพันธุ์นี้เข้าไปปลูกในประเทศอิตาลีที่เมืองแคน
ตาลูโป (Cantalupu) ใกล้กับกรุงโรม ต่อมาพระเจ้าชาร์ลที่ 8
นำไปปลูกในฝรั่งเศส และเรียกว่า “แคนตาลูป” อังกฤษนำไปปลูกบ้าง
เลยเรียกชื่อตามภาษาฝรั่งเศส

        
มีการนำแคนตาลูปเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2478
เมื่อก่อนเรียกว่า “แตงเทศ” หรือ “แตงฝรั่ง”
ด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกับแตงไทย จึงมีบางคนเรียกแคนตาลูปว่า “แตงไทยฝรั่ง”
แต่ปลูกแล้วเป็นโรคจึงตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาได้มีการพัฒนาพันธุ์
จนสามารถปลูกแคนตาลูปได้ผลผลิตดีเช่นในปัจจุบัน

        
แหล่งปลูกแคนตาลูปในบานเราอยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
และอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เกษตรกรในอรัญประเทศเรียกแคนตาลูปว่า
“แตงคุณหนู” เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ
ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย

         แคนตาลูป เป็นพืชล้มลุก
มีลักษณะเป็นไม้เถา ตามเถา และก้านใบมีขนนิ่ม ใบเหลี่ยมมน
ดอกสีเหลือเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก ผลกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล
10 – 16 ซ.ม. เปลือกนอกแข็ง เนื้อชุ่มน้ำ ผลดิบเนื้อกรอบ
เมื่อสุกเนื้อนิ่ม หอมหวาน สีของเนื้อแคนตาลูปแตกต่างกันตามสายพันธุ์
สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

-
เนื้อสีเขียวหรือเขียวขาว

เป็นพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศมีทั้งผิวเรียบและผิวลายตาข่าย
ผลสุกเปลือกสีเขียว ครีมเหลือง และเหลือทอง
เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รถหวาน และมีกลิ่นหอม เช่น พันธุ์เจดคิด
ฮันนี่ดิว ฮันนี่เวิลด์ และวีนัสไฮบริด เป็นต้น

-  เนื้อสีส้ม ผลมีทั้งผิวเรียบและผิวลายเป็นตาข่าย
ผลสุกเปลือกสีครีม และสีเหลือง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รถหวาน
และมีกลิ่นหอมค่อนข้างแรง ได้แก่ พันธุ์ซันเลดี้ ท๊อบมาร์ค นิวเอ็มเมลลอน
และนิวเซนต์จูรี เป็นต้น

         ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก
มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีน้ำตาล มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44
มิลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682
มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U., ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม
และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม
ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว
และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป
จะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ

สารอาหารในแคนตาลูป ช่วยบำรุง
กระดูกและฟัน เนื้อผลสุก เป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ ดับพิษร้อน
บำรุงธาตุและสมอง ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ แก้กระหาย
สมัยก่อนฝรั่งเชื่อกันว่ากินแตงแคนตาลูปแล้วทำให้สายตาดี และมีสติด
จะคิดจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความมุ่งหมาย


น้ำแคนตาลูป นอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว
ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น
ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร
บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้
และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้


        
การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น
ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม
ถ้าสุกเกินไปเมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม
ให้เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว
นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย
ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่

        
ลองทำน้ำแคนตาลูปกันดู โดยให้ปอกเปลือกแคนตาลูป แล้วเอาเมล็ดออก
หั่นชิ้นเล็กปริมาณ 1 ถ้วย ตามด้วยแตงโมเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก ½ ถ้วย
ต่อด้วยน้ำส้มคั้น ½ ถ้วย และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา
แล้วใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง
จนเนื้อเนียนเข้ากันดี เทใส่แก้ว ดื่มทันที

        
หรือจะทำน้ำแคนตาลูปผสม โดยให้นำแคนตาลูป 1 ลูก ผ่าครึ่ง
ใช้ช้อนตักเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมไม่ต้องใหญ่มาก
นำไปปั่นจนเนื้อแตงเนียน พักไว้ แล้วนำน้ำนมถั่วเหลือง 1 ถ้วย น้ำผึ้ง
หรือน้ำตาลสีรำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งเกล็ด 1 ½ ถ้วย ใส่ลงในโถปั่น
ปั่นด้วยความเร็วสูง ประมาณ 1 นาทีแล้วจึงใส่น้ำแคนตาลูปลงไปปั่นรวมกัน
นานอีก 1 นาที จนเข้ากันดี รินใส่แก้วดื่มทันที


แคนตาลูป เป็นพืชตระกูลแตง อยู่ในตระกุลเดียวกับแตงไทย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย คนอินเดียและแอฟริการู้จักกินแคนตาลูปมานานกว่า 4,000 ปี ชื่อแคนตาลูปได้มาจากการนำแตงพันธุ์นี้เข้าไปปลูกในประเทศอิตาลีที่เมืองแคน ตาลูโป (Cantalupu) ใกล้กับกรุงโรม ต่อมาพระเจ้าชาร์ลที่ 8 นำไปปลูกในฝรั่งเศส และเรียกว่า “แคนตาลูป” อังกฤษนำไปปลูกบ้าง เลยเรียกชื่อตามภาษาฝรั่งเศส

มีการนำแคนตาลูปเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2478 เมื่อก่อนเรียกว่า “แตงเทศ” หรือ “แตงฝรั่ง” ด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกับแตงไทย จึงมีบางคนเรียกแคนตาลูปว่า “แตงไทยฝรั่ง” แต่ปลูกแล้วเป็นโรคจึงตายเป็นจำนวนมาก ต่อมาได้มีการพัฒนาพันธุ์ จนสามารถปลูกแคนตาลูปได้ผลผลิตดีเช่นในปัจจุบัน

แหล่งปลูกแคนตาลูปในบานเราอยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เกษตรกรในอรัญประเทศเรียกแคนตาลูปว่า “แตงคุณหนู” เพราะเป็นผลไม้ที่ต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นพิเศษ ตั้งแต่หยอดเมล็ดจนได้ผลกันเลย

แคนตาลูป เป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นไม้เถา ตามเถา และก้านใบมีขนนิ่ม ใบเหลี่ยมมน ดอกสีเหลือเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่คนละดอก ผลกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 10 – 16 ซ.ม. เปลือกนอกแข็ง เนื้อชุ่มน้ำ ผลดิบเนื้อกรอบ เมื่อสุกเนื้อนิ่ม หอมหวาน สีของเนื้อแคนตาลูปแตกต่างกันตามสายพันธุ์ สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้

- เนื้อสีเขียวหรือเขียวขาว เป็นพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศมีทั้งผิวเรียบและผิวลายตาข่าย ผลสุกเปลือกสีเขียว ครีมเหลือง และเหลือทอง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รถหวาน และมีกลิ่นหอม เช่น พันธุ์เจดคิด ฮันนี่ดิว ฮันนี่เวิลด์ และวีนัสไฮบริด เป็นต้น

- เนื้อสีส้ม ผลมีทั้งผิวเรียบและผิวลายเป็นตาข่าย ผลสุกเปลือกสีครีม และสีเหลือง เนื้อมีทั้งเนื้อกรอบและเนื้อนุ่ม รถหวาน และมีกลิ่นหอมค่อนข้างแรง ได้แก่ พันธุ์ซันเลดี้ ท๊อบมาร์ค นิวเอ็มเมลลอน และนิวเซนต์จูรี เป็นต้น

ในแคนตาลูปสุกครึ่งลูก มีสารอาหารต่างๆ มากมาย มีน้ำตาล มีแคลเซียม 38 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 44 มิลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม โซเดียม 33 มิลลิกรัม โปตัสเซียม 682 มิลลิกรัม วิตามินเอมีมากถึง 9,240 I.U., ไนอาซีน 1.6 มิลลิกรัม และวิตามินซีก็มีมากถึง 90 มิลลิกรัม ซึ่งใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานเลยทีเดียว และยิ่งถ้าซื้อแคนตาลูปในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของแคนตาลูป จะมีสารอาหารจำพวกไรโบฟลาวิน ไนอาซิน ไทอามิน และวิตามินซีสูงเป็นพิเศษ

สารอาหารในแคนตาลูป ช่วยบำรุง กระดูกและฟัน เนื้อผลสุก เป็นยาขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ขับเหงื่อ ดับพิษร้อน บำรุงธาตุและสมอง ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ แก้กระหาย สมัยก่อนฝรั่งเชื่อกันว่ากินแตงแคนตาลูปแล้วทำให้สายตาดี และมีสติด จะคิดจะทำสิ่งใดก็ได้ตามความมุ่งหมาย

น้ำแคนตาลูป นอกจากดื่มแก้กระหายคลายร้อน ช่วงเดือนเมษายนได้อย่างดีแล้ว ยังช่วยลดไข้ เพราะแคนตาลูปเป็นผลไม้เย็น ส่วนน้ำตาลและเอ็นไซม์ที่มีอยู่ในแคนตาลูป ยังช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการอักเสบของลำไส้ และบรรเทาอาการท้องปั่นป่วนจากการรับประทานอาหารไม่ตรงตามเวลาได้

การทำน้ำแคนตาลูปให้ได้รสหวานเย็นชื่นใจนั้น ต้องเลือกซื้อแคนตาลูปที่สุกกำลังดี แคนตาลูปอ่อนจะไม่มีกลิ่นหอม ถ้าสุกเกินไปเมื่อเขย่าดูจะมีน้ำอยู่ข้างใน แสดงว่าไส้ล้ม ให้เลือกผลขนาดกลาง ซึ่งมีน้ำหนักประมาณสักหนึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้แล้ว นอกจากดูน้ำหนักแล้ว ผิวของแคนตาลูปก็มีส่วนสำคัญ ผิวต้องเรียบตึง สวย ไม่เป็นร่องหยัก เลือกที่สีนวลเหมือนเปลือกไข่

ลองทำน้ำแคนตาลูปกันดู โดยให้ปอกเปลือกแคนตาลูป แล้วเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็กปริมาณ 1 ถ้วย ตามด้วยแตงโมเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก ½ ถ้วย ต่อด้วยน้ำส้มคั้น ½ ถ้วย และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง จนเนื้อเนียนเข้ากันดี เทใส่แก้ว ดื่มทันที

หรือจะทำน้ำแคนตาลูปผสม โดยให้นำแคนตาลูป 1 ลูก ผ่าครึ่ง ใช้ช้อนตักเอาเมล็ดออก หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมไม่ต้องใหญ่มาก นำไปปั่นจนเนื้อแตงเนียน พักไว้ แล้วนำน้ำนมถั่วเหลือง 1 ถ้วย น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลสีรำ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งเกล็ด 1 ½ ถ้วย ใส่ลงในโถปั่น ปั่นด้วยความเร็วสูง ประมาณ 1 นาทีแล้วจึงใส่น้ำแคนตาลูปลงไปปั่นรวมกัน นานอีก 1 นาที จนเข้ากันดี รินใส่แก้วดื่มทันที


Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:22:37 น.
Counter : 1786 Pageviews.  

The door ก็แค่ประตูจริงหรือ ??










































































































































































ขอบคุณ ครูแอน gotoknow







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 21:05:58 น.
Counter : 284 Pageviews.  

ดื่มน้ำผลไม้ให้ได้คุณค่า ..เต็มๆ




ผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายฉันใด
น้ำผลไม้ก็ย่อมมีคุณค่าต่อร่างกายด้วยเช่นกัน
แต่จะดื่มน้ำผลไม้ให้ได้ประโยชน์เต็มที่ก็ต้องมีเทคนิควิธีกันหน่อย


         
มาตั้งต้นกันที่ความรู้พื้นฐานว่าด้วยคุณค่ามหาศาลของผลไม้
โดยเฉพาะผลไม้ไทย ๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายชนิดตามฤดูกาล
การรับประทานแบบหมุนเวียนเปลี่ยนประเภทผลไม้ไปเรื่อย ๆ
ก็จะทำให้ร่างกายได้รับเกลือแร่และวิตามินชนิดต่างๆ
รวมทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษซ้ำซากที่อาจปนเปื้อนมากับผลไม้แต่ละ
ชนิด นอกจากนี้การรับประทานผลไม้ที่ออกตามฤดูกาลก็จะทำให้ผลไม้มีราคาถูก
ได้ประโยชน์แถมประหยัดอีกต่างหาก

ผลไม้
ยังเป็นแหล่งอันอุดมของใยอาหาร
ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
โดยเฉพาะสารปนเปื้อนในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน
เมื่อถูกขับถ่ายอย่างเป็นระบบก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่
ได้ชะงัด

         
อันดับต่อไปที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องของ ปริมาณ เรื่องนี้สำคัญอย่างไร
ผศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย และ ริญ เจริญศิริ จากสถาบันวิจัยโภชนาการ
มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลไม้กับสุขภาพ
พร้อมระบุสัดส่วนสารอาหารจากผลไม้ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน ว่าอยู่ที่
3-5 ส่วน แตกต่างกันตามแต่ละช่วงวัย คือ


วัยเด็ก ต้อง
การพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรี ควรรับประทานผลไม้วันละ 3 ส่วน ขณะที่
หญิงวัยทำงานและผู้สูงอายุ ควรรับประทานวันละ 4 ส่วน วัยรุ่นและชายวัยทำงาน
ต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี ควรรับประทานผลไม้วันละ 4 ส่วน


ผู้ที่ต้องใช้พลังงาน
มากๆ
เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน หรือนักกีฬา ต้องการพลังงานวันละ
2,400 กิโลแคลอรี ควรรับประทานผลไม้วันละ 5 ส่วน

          โดยผลไม้
1 ส่วน หรือหนึ่งหน่วยบริโภค หมายถึง ปริมาณของผลไม้ที่ให้คาร์โบไฮเดรต 15
กรัม และพลังงานประมาณ 60 กิโลแคลอรี ซึ่งผลไม้ 1
ส่วนจะมีปริมาณและน้ำหนักที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้

         
มาว่ากันด้วยเรื่อง น้ำผลไม้ ซึ่งในที่นี้หมายถึงน้ำผลไม้ 100%
ซึ่งคั้นมาจากผลไม้สดชนิดต่าง ๆ
ที่จะให้สารอาหารใกล้เคียงกับการรับประทานผลไม้สด
แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือใยอาหาร ซึ่งอยู่ในเนื้อผลไม้
และถูกกำจัดไปโดยการคั้นแยกกากนั่นเอง

  น้ำผลไม้ 1 ส่วน มีปริมาตรเท่ากับ 120 มิลลิลิตร
หรือประมาณ 1/2 ถ้วยตวง ดังนั้น ผู้ที่ควรรับประทานผลไม้วันละ 3 ส่วน
เมื่อรับประทานน้ำผลไม้ 1 ส่วนแล้ว จะเหลือผลไม้สดที่ควรรับประทานได้อีก 2
ส่วน เนื่องจากน้ำผลไม้ไม่มีใยอาหารหรือมีเหลืออยู่น้อยมาก
ฉะนั้นการดื่มน้ำผลไม้คั้นสด
โดยไปลดการรับประทานผลไม้สดจะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารน้อยลง


  ในทางตรงกันข้าม ถ้าดื่มน้ำผลไม้ในปริมาณมาก ๆ
โดยยังรับประทานผลไม้สดในปริมาณเท่าเดิม
ก็จะทำให้ได้รับน้ำตาลและพลังงานเพิ่มขึ้น ทว่า
การได้รับพลังงานเพิ่มมากขึ้นโดยที่ร่างกายใช้พลังงานที่สร้างจากน้ำตาล
เหล่านี้ไม่หมด
น้ำตาลก็จะถูกเปลี่ยนสภาพกลายเป็นไขมันพอกพูนและเก็บไว้ตามส่วนต่าง ๆ
ของร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามมา
แถมน้ำตาลในผลไม้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วกว่าการรับประทานผลไม้สด
เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย
น้ำตาลที่เป็นอิสระเหล่านี้จึงถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็วทันใจ
ด้วยเช่นกัน

สำหรับ
น้ำผลไม้กล่อง
ผู้บริโภคต้องอ่านฉลากข้างกล่องเพื่อดูว่ามี
ปริมาณน้ำตาลมากน้อยเพียงใด
และต้องจำไว้เสมอว่าจำนวนส่วนของผลไม้แปรเปลี่ยนได้ตามปริมาณของน้ำตาล
(คาร์โบไฮเดรต) ที่มีอยู่ ดังนั้น น้ำผลไม้กล่องที่ซื้อมาขนาด 120
มิลลิลิตร อาจไม่เท่ากับ ผลไม้ 1 ส่วน คืออาจมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตมากกว่า
15 กรัม ก็ได้





  
ดังนั้น ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือผู้มีน้ำตาลในเลือดสูงอยู่แล้ว
ทางที่ดีควรหันไปรับประทานผลไม้สด และเลือกชนิดที่มีรสชาติไม่หวานจัด
พึงหลีกเลี่ยง กล้วยสุก ขนุน น้อยหน่าหนัง มะม่วงสุก ลองกอง ลิ้นจี่ ชมพู่
และ แก้วมังกร รวมทั้งเลือกผลไม้ที่มีใยอาหารสูง
ซึ่งจะทำให้รับประทานได้ในปริมาณที่มากกว่า
ได้รับใยอาหารและช่วยให้อิ่มท้องได้นานกว่าด้วย


         
จะได้ไม่ต้องมานั่งสงสัยกันทีหลังว่า กินผลไม้ก็แล้ว ดื่มน้ำผลไม้ก็แล้ว
ทำไมยังอ้วนเอา ๆ ....



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากDevil







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 17:08:15 น.
Counter : 981 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.