กินไข่อย่างไร? ได้ประโยชน์สูงสุด



แนะปรุง
สุก เน้นความหลากหลายได้คุณค่าเต็ม


          อาหารที่ทำจากไข่
ไม่ว่าจะเป็น ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ยัดไส้
และอีกสารพัดเมนูไข่ คงจะคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า
หากเราปรุงไข่แบบ สุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะ ไข่ดาว ไข่ลวก
แทนที่จะได้ประโยชน์อาจเป็นโทษต่อร่างกาย

         
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ. กฤษดา ศิรามพุช
ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ในไข่ 1 ฟอง
ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน
มีแต่โปรตีนอย่างเดียว



.....ไข่ที่จำหน่าย อยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่
สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาดเดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว
ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้


          การกินไข่ดิบ
หรือไข่ที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ เช่น ไข่ดาว ไข่ลวก
ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ
เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น “อัลบูลมิน”
ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ ไม่ค่อยย่อย
ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย “อัลบูลมิน”

         
นอกจากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง
จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ “อะวิดิน” ไปจับกับ “ไบโอติน”
ในร่างกาย ซึ่ง “ไบโอติน” เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม
และสุขภาพผิว

         
อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียวร่างกายจะไม่ได้ “ไบโอติน”
ที่อยู่ในไข่แดง แถม “อะวิดิน” ก็ไปจับกับไบโอตินอีก

  สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง
ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้
ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช
ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่

          ด้าน
นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
กล่าวว่า การกินไข่สุกๆ ดิบๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์เต็มที่ แถมย่อยยาก
และอาจมีเชื้อซาโมเนลลา หรือ อี.โคไล ที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร
และที่สำคัญอาจจะไม่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก สรุปว่า กินไข่ดิบๆ สุกๆ
ไม่มีประโยชน์ สู้กินไข่สุกไม่ได้


         
ที่ผ่านมาสังคมไทยกลัวไข่มาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
พอพูดถึงไข่ปุ๊บ มองไข่ในเชิงลบ ว่ามีคอเลสเตอรอลสูง
จริงอยู่ไข่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากด้วย
แถมราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนประเภทอื่นๆ





          ก่อนที่จะกินไข่
ต้องดูก่อนว่า สุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร
ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไขมันในร่างกายไม่สูง ไม่เป็นเบาหวาน
ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่เป็นโรคเรื้อรังอะไร

ผู้ใหญ่สามารถกินไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง
แต่ถ้าไขมันในเลือดสูง มีภาวะโรคอ้วน ต้องให้แพทย์แนะนำ
โดยสามารถกินได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือกินเฉพาะไข่ขาว
ซึ่งไม่มีคอเลสเตอรอลแต่มีโปรตีน

ส่วน
เด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียนไปจนถึงวัยอุดมศึกษา
สามารถรับประทานไข่ได้วันละ 1 ฟอง
สัปดาห์ละ 7 ฟอง
เพราะต้องใช้พลังงานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้ง
ด้านร่างกายและ สติปัญญา

กินไข่อย่าง
ไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยหลักง่าย ๆ คือ


         
1.กินไข่ที่ปรุงสุกเท่านั้น
          2.ควรกินไข่ไปพร้อม ๆ
กับอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ควรกินไข่อย่างเดียว
โดยเฉพาะการกินไข่ร่วมกับผักจะมีไฟเบอร์
ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในไข่ได้ส่วนหนึ่ง
         
3.ควรกินไข่ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายเมนู คนที่มีภาวะไขมันในร่างกายสูง
ควรหันมากินไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แทนไข่เจียวหรือไข่ดาว
         
4.เมื่อกินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูงในวันเดียวกัน เช่น
กินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงกินข้าวขาหมู ปลาหมึก กุ้ง
         
5.กินไข่แล้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดภาวะ เสี่ยงต่อคอเลสเตอรอลสูงได้







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 17:04:22 น.
Counter : 599 Pageviews.  

"ยา" จากห้องครัว




         
ทุกคนเจ็บป่วยครั้งต่อไปอย่าเพิ่งรีบเปิดตู้ยา
เพราะในครัวของคุณอาจมียาดีและปลอดภัย ซึ่งคุณยังไม่รู้จักก็ได้
ลองดูตัวอย่างสมุนไพรและเครื่องเทสต่อไปนี้
แม้บางชนิดจะนิยมรับประทานในอาหารฝรั่งมากกว่า
แต่ก็ไม่ผิดกติกาที่คุณจะหามาปรุงอาหารตำรับของตนเองหรือชงดื่มเป็นชา
สมุนไพร

ยี่หร่า 
ถ้าคุณไปที่ร้านอาหารเยอรมัน
คุณจะได้รับเมล็ดยี่หร่ามาเคี้ยวหลังจาหรับประทานอาหาร
นั่นก็เพราะว่ายี่หร่ามีสารเคมีสองตัวที่ชื่อ carval  และ cavene'  
ซึ่งจะช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะ
นอกจากนี้ยี่หร่ายังทำให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัว
ซึ่งช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วย

พริกป่น  ถ้ามีดบาดที่นิ้ว
ลองโรยพริกป่นลงบนบาดแผล คุณคงคิดว่ามันจะแสบร้อนใช่ไหม แต่ไม่ใช่เลย
พริกป่นจะช่วยหยุดเลือดและความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยคุณสมบัติของสารเคมีที่ชื่อ   capsaicin 
สารนี้ถูกใช้เป็นส่วนผสมในยาขี้ผึ้งทาแผล
พริกป่นยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร
ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องร่วง
และลดระดับคอลเลสเตอรอลด้วย

กานพลู
ช่วยลดอาการปวดฟันเพราะสารที่ชื่อ eugenol' 
นอกจากนี้ยังช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะ
และอาการคลื่นไส้อาเจียน





กระเทียม 
มีสารตัวหนึ่งซึ่งเมื่อเคี้ยว สับหรือบด จะให้สารแอนติไอโอติก
มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียในอาหารเป็นพิษและในกระเพาะปัสสาวะที่ติดเชื้ออักเสบ
กระเทียมยังช่วยป้องกันการจับตัวของเลือด
ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองตีบ ( stoke) 
ช่วยลดคอลเลสเตอรอล ความดันโลหิตสูง
และลดระดับน้ำตาลมนเลือดและมีสารต้านมะเร็งด้วย กระเทียมสดๆ
จึงเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ





ขิง 
มีสารเคมีที่ช่วยลดอาการคลื่นเหียนอาเจียน หน้ามืด
มีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสที่ทำให้เป็นหวัด
และมีการศึกษาที่ระบุว่าขิงสามารถทำให้เนื้อเยื่อมะเร็งหดตัวลงได้อีกด้วย





สะ
ระเหน่
เมื่อคุณเป็นหวัดคัดจมูก
ไม่มีอะไรจะช่วยให้จมูกโล่งได้ดีเท่าชาสะระเหน่สักถ้วย
หรือสูดดมน้ำมันหอมระเหยจากสะระเหน่ สาร menthol 
ในสะระเหน่ยังช่วยคลายกล้ามเนื้อในช่องท้อง
เป็นเหตุผลว่าทำไมร้านอาหารฝรั่งหลายแห่ง
จะเสิร์ฟสะระเหน่หลังจากที่คุณอิ่ม

ผักชีฝรั่ง ( parsley )
เคี้ยวใบผักชีฝรั่งจะช่วยให้ลมหายใจของคุณสดชื่นขึ้น
และช่วยลดระดับความดันโลหิตด้วย

โร
สแมรี่
มีสารแอนติออกซิแดนท์และแคลเซียมสูง
ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 17:02:30 น.
Counter : 550 Pageviews.  

ผักบุ้ง



           “สมุนไพรที่นำเสนอนี้
ผู้เขียนได้แปลและเรียบเรียงจากหนังสือ “พจนานุกรมสมุนไพรจีน” ของประเทศจีน
ขนาดน้ำหนักของสมุนไพรที่ใช้นี้แปลและคิดคำนวณมาจากที่จีนบันทึกไว้
ซึ่งเป็นขนาดที่ใช้ในผู้ใหญ่
ดังนั้นเวลานำมาใช้จึงต้องดัดแปลงน้ำหนักของยาให้เหมาะสมกับอายุ
น้ำหนักและสุขภาพของผู้ใช้ด้วย เริ่มลงตั้งแต่ฉบับที่ 1 ปี1”





ชื่ออื่น ผัดทอดยอด (ไทย) เอ้งไฉ่
คังกิมไฉ่ บ่อซิมไฉ่ ติ่งติ่งไฉ่
ชื่อ
วิทยาศาสตร์
Ipomoea aguatica วงศ์ Convolvuceae

ลักษณะต้น
           
เป็นพืชขึ้นอยู่เหนือน้ำ และที่ชื้นแฉะ เลื้อยไปบนผิวน้ำหรือดินที่ชื้อแฉะ
ลำต้นไม่มีขนภายในกลวง ใบออกสลับกัน ตัวใบลักษณะคล้ายใบหอก ยาว 6-15 ซ.ม.
ปลายใบเรียวแหลม ฐานใบกว้าง ขอบใบเรียบหรืออาจเนคลื่นน้อยๆ มีก้านใบยาว
ดอกออกจากซอกใบ มีก้านช่อดอกชูตั้งขึ้นยาว 3-6 ซ.ม. อาจมีดอก 1-2 ดอก
กลีบเลี้ยงสีเขียวยาวประมาณ 7 ม.ม. ปลายกลีบแหลม
กลับดอกมีสีขาวหรือสีม่วงแดงติดกันเป็นหลอด ส่วนโคนเป็นหลอดแคบๆ
ส่วนปลายบานออกกลมเป็นรูประฆัง กลีบดอกยาวประมาณ 5 ซ.ม.
ส่วนปลายที่บานออกกลมมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 5 ซ.ม. มีเกสรตัวผู้ 5
อัน ยาวไม่เท่ากัน มีก้านเกสรตัวเมีย 1 อันเป็นเส้นยาว
ปลายเป็นตุ้มมีรอยแยกตื้นๆ ผลลักษณะกลมรี ยาวประมาณ 1 ซ.ม. มีเมล็ด 2-4
เมล็ด ออกดอกฤดูร้อนมักพบตามที่ชื้อแฉะ ลำคลอง หนอง บึง ร่องน้ำในสวน
หรือตามแหล่งน้ำต่างๆ หรือปลูกจากเมล็ดแล้ว ถอนมาขายทั้งต้นเรียกผักบุ้งจีน
มีขายทั่วไปตามตลาดสด

การ
เก็บมาใช้
   ส่วนมากเก็บมาใช้สดๆ ใช้ทั้งต้น และราก

สรรพคุณ
            ทั้งต้นรสชุ่มเย็นจัด
ใช้แก้เลือดกำเดา ท้องผูก หนองใน เบาขัด ถ่ายเป็นเลือด แผลริดสีดวงทวาร
แผลบวมเป็นพิษ แผลฟกช้ำที่เกิดจากการกระทบกระแทก งูและแมลงมีพิษกัดต่อย
           
ราก รสจืด สุขุม ไม่มีพิษ ใช้แก้สตรีมีตกขาวมาก ปวดฟัน ฟันเป็นรู เบาขัด
ไอเรื้อรัง เหงื่ออก แก้บวม

วิธี
และปริมาณที่ใช้

            ใช้ต้นสด 60-120 กรัม
ต้มกิน หรือคั้นเอาน้ำกิน
            ใช้ภายนอก ต้มเอาน้ำชะล้าง
หรือตำพอก

ตำรับ
ยา

            1. แก้เลือดกำเดาออกไม่หยุด
ใช้ต้นนี้หลายต้น ตำผสมน้ำตาลชงน้ำร้อนกิน
            2. แก้โรคหนองใน
ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด ใช้ต้นสด
ล้างให้สะอาดตำคั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้งพอประมาณกิน
            3.
แก้แผลริดสีดวงทวาร ใช้ต้นสดหนัก 1 กิโลกรัม น้ำ 1 ลิตร
ต้มให้เละเอากากทิ้งใส่น้ำตาลทรายขาว 120 กรัม
เคี่ยวให้ข้นเหนียวเหมือนน้ำเชื่อม กินครั้งละ 90 กรัม วันละ 2 ครั้ง
เช้า-เย็น ถ้าไม่หายก็กินอีก
            4. แก้แผลบวมแดง
เอาต้นสดตำผสมน้ำผึ้งพอก
            5. แก้ผิวหนังเป็นแผลมีน้ำเหลือง
ใช้ต้นสด ต้มน้ำให้เดือดนานๆ ทิ้งไว้พออุ่น เอาน้ำมาชะล้างบาดแผล
วันละครั้ง
            6. แก้แผลงูกัด ใช้ต้นสดล้างสะอาด
ตำคั้นเอาน้ำประมาณครึ่งถ้วยผสมเหล้ากิน เอากากพอก
            7.
แก้พิษตะขาบกัด ใช้ต้นสดใส่เกลือนิดหน่อย ตำพอกแผล
            8.
แก้อาหารเป็นพิษ ใช้ผักบุ้งสด 250 กรัม กับบังบกสด 250 กรัม
ตำคั้นเอาน้ำกิน ทำให้อาเจียน
            9. ฟันเป็นรูปวด
ใช้รากผักบุ้ง 120 กรัม ผสมน้ำส้มสายชูคั้นเอาน้ำมาอมบ้วนปาก

หมายเหตุ
           
มีบางรายงานว่า ผักบุ้งชนิดดอกสีม่วงมีสารที่ออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน
สามารถลดน้ำตาลในเลือดของคนเป็นโรคเบาหวานได้
            ในพม่า
ใช้น้ำคั้นจากต้นนี้ ทำให้อาเจียนแก้พิษจากสารหนูและฝิ่นได้
ส่วนยางแห้งใช้เป็นยาถ่าย
            เขมร ใช้เป็นยาพอกในคนไข้ชัก
และใช้พอกแก้กลาก
            ในแคว้นอัสสัมอินเดีย ใช้แก้โรคประสาท
อาการอ่อนเพลียทั่วไป และพอกแผลบวม






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 15:47:27 น.
Counter : 739 Pageviews.  

จอแก้วกับการเรียนรู้ของเด็ก






ความเป็นมาของ
“จอแก้ว”

          จอแก้ว หมายถึง ทีวี หรือ โทรทัศน์
เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ในประเทศไทยเริ่มก่อตั้งเมื่อ พศ. ๒๔๗๕
และประสบกับปัญหาด้านการลงทุนต่าง ๆ
รวมทั้งอยู่ในช่วงภาวะสงครามโลกครั้งที่
๒จึงไม่สามารถจัดตั้งอย่างเป็นทางการได้ จนกระทั่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นผู้สนับสนุนให้จัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง ๔
ขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๙๘
และมีโครงการขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น ๆ อีกในช่วง พศ. ๒๕๐๐ ในยุคนั้น ทีวี
จะส่งสัญญาณเป็นสี ขาว – ดำ เท่านั้น ต่อมา พศ. ๒๕๑๐
จึงเปลี่ยนเป็นระบบสีจนถึงปัจจุบัน





          ภายใต้ของความเป็นมา นั้น ทีวีมีบทบาทมากมายเช่น
เป็นเครื่องมือทางการเมือง,
ช่องทางการตลาดทางธุรกิจรวมทั้งเป็นแหล่งเผยแพร่ด้านวิชาการ เป็นต้น
ดังนั้นในระบบของโลกบ้านเราสามารถเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทันต่อ
สถานการณ์ของโลก
ทีวีจึงเปรียบเสมือนหน้าต่างบานใหญ่ที่สำคัญสำหรับทุกคนที่สามารถมีทีวีไว้
ในบ้านของตน

จอแก้ว,ทีวีหรือโทรทัศน์
เป็นสื่อเชิงรับในบ้านซึ่งเราเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เมื่อเปิดชมรายการต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหาความบันเทิงหรือการหาความรู้ต่าง ๆ
เราเลือกตามใจชอบไม่ได้ทั้งหมด
การทำธุรกิจทางการตลาดจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก
ซึ่งในยุคแรกของการขายสินค้าทางทีวีนั้น ได้แก่เครื่องยนต์เรือ ,
เครื่องปั่นวิตามิน, เครื่องครัว, เครื่องใช้ในบ้าน เป็นต้น
ในยุคนั้นรัฐบาลสหรัฐมองเห็นความสำคัญของธุรกิจบนจอแก้วได้ตั้งคณะกรรมการ
FCC (FEDERAL COMMERCIAL COMMITTEE)
มากำกับดูแลการดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นกฎบังคับใช้และเริ่มมีการให้นิยามคำว่า
รายการ (PROGRAM) คืออะไร ทำอะไร ทำอะไรไม่ได้
ไม่เป็นการเอาเปรียบผู้ชมจนเกินไปมีการกำหนดเวลารายการและเวลาโฆษณา
ดังนั้นรายการนำเสนอขายสินค้าทางจอแก้วก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยรายการที่ได้รับ
ความนิยมมากขึ้น เช่น ภาพยนตร์, ละคร ,รายการ GAME SHOW และอื่นๆ
อีกมากมาย ทีวีจึงเกิดขึ้นมาเพื่อการค้าเป็นหลัก
เพราะเป็นการตอบสนองความต้องการให้แก่เจ้าของสินค้าที่มีกำลังทรัพย์ในการ
สนับสนุนสถานีโทรทัศน์ได้
ปัจจุบันในบ้านเราก็ยังเป็นรูปแบบที่ผู้ชมต้องใช้วิจารณญาณกันตามศักยภาพ
ในครอบครัวที่มีเด็กเล็กไปจนถึงวัยรุ่นนั้นยังมีความจำเป็นที่ผู้ใหญ่ต้อง
เลือกรายการอย่างเหมาะสม

*
พยาบาลวิชาชีพประจำสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์

เกิดอะไรขึ้นกับการเรียนรู้ของเด็ก?
         
จากที่มาดังกล่าว ทีวีจะมีการพัฒนาระบบให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ภายในปี พ.ศ.
๒๕๕๘ นี้ ทีวีที่เป็นระบบออกอากาศจะเปลี่ยนไปเป็นระบบดิจิตอล แบบ DVBT
DVBH ซึ่งจะถูกและดีกว่าที่เป็นอยู่
กล่าวคือสัญญาณช่องออกอากาศที่เคยมีอยู่แค่ 6
ช่องสัญญาณก็จะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมายจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมี
เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ดังนั้นทีวีออนเน็ตอาจไม่มีข้อจำกัดเรื่องช่องและเวลาแพร่ภาพในขณะที่ผู้คน
สามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงกันมากขึ้น ดังนั้นสื่อต่าง
ๆที่เคยมีระบบการตรวจสอบก่อนจำเป็นต้องมีการพูดคุยกันถึงในระดับชาติต่อไป
อย่างไรก็ตามเราสามารถมองเห็นผลลัพธ์ของทีวีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นด้านบวก
หรือลบ
นักวิชาการให้ความสำคัญกับผลที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ของเด็ก
มีหลายสำนักการศึกษาและสถาบันต่าง ๆ
ได้สำรวจสถานการณ์ผลกระทบเพื่อร่วมกันหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้กับ
ครอบครัวกันอย่างต่อเนื่อง

          สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
ร่วมกับมูลนิธิเครื่อข่ายครอบครัว มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) ปี ๒๕๔๖ ได้ทำการสำรวจอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก
พบพฤติกรมการดูทีวีของเด็กอายุ ๓ – ๑๒ ปี ตามทัศนะของพ่อแม่ /
ผู้ปกครองในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑,๔๗๗ ตัวอย่าง
พบจำนวนชั่วโมงการดูทีวีต่อวันในวันจันทร์-ศุกร์ และ วันเสาร์-อาทิตย์
จำนวนชั่วโมงดูทีวี เฉลี่ย ๓ – ๕ ชม. / วัน ช่วงเวลาที่ดูมากที่สุดคือ
จันทร์ – ศุกร์ ช่วง๔โมงเย็น– ๒ ทุ่ม ในวันเสาร์และอาทิตย์ ช่วง ๘ โมงเช้า
ถึงเที่ยงเด็กนิยมดูทีวีมากที่สุด พ่อแม่ /
ผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความคิดว่าสื่อมีผลต่อพฤติกรรมลูกหลาน
ด้านต่าง ๆ และมีผลเสียต่อเด็กอยู่ในระดับปานกลาง
เช่นเดียวกับการทำงานด้านการกลั่นกรองสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง
ตัวพ่อแม่ที่ทำหน้าที่กลั่นกรองสื่อให้ลูกอยู่ในระดับปานกลางอีกด้วย
ส่วนการจัดประเภทของรายการในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเด็กส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะ
สมดีแล้ว

          มูลนิธิรักษ์เด็กกล่าวถึง เรื่อง โทรทัศน์กับเด็ก
ในโครงการยุทธศาสตร์สื่อเด็กมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก(มพด.)
ได้กล่าวถึงเรื่องการใช้เวลาของเด็กส่วนใหญ่อยู่กับทีวีมากกว่าการเรียน
หนังสือในห้องเรียนตลอดทั้งปีเด็กและเยาวชนอายุ ๖ – ๒๔ ปีใช้เวลาถึง ๒,๒๓๖
ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่มีเวลาในห้องเรียนเพียง ๑,๖๐๐ ชั่วโมง ใน
หนึ่งวันโดยเฉลี่ยเด็กดูทีวีประมาณ ๕ ชั่วโมง
เด็กถูกหล่อหลอมด้วยความรุนแรง, เซ็กส์, สิ่งเสพติด และโฆษณา
ทั้งนี้ยังกล่าวถึงสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในทีวีอีกมากมาย อาทิ เช่น
แนะนำให้พ่อแม่ใช้เวลาร่วมกันกับลูกหลานเลือกรายการโทรทัศน์กระตุ้นให้เด็ก
ฝึกหัดอ่าน
,เลือกรายการที่มีบทเรียนชีวิต,นำเรื่องราวที่มีข้อขัดแย้งมาอภิปรายกันใน
ครอบครัว, สื่อที่เกี่ยวกับวิชาการการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมสังคม ,
รายการข่าว,ความรู้ประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ดี
ๆที่ได้รับรางวัลรวมทั้งส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้านดนตรีศิลปะ เป็นต้น

เราเปลี่ยน วิกฤติเป็นโอกาสได้จริงหรือ
         
มีงานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในวัย ๐ – ๖
ขวบกล่าวถึงการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในเด็กแรกเกิดจะมีการเชื่อมต่อของใย
ประสาทอยู่ตลอดเวลาที่เด็กได้รับการกระตุ้นโดยเฉพาะด้านภาษางานวิจัยสนับ
สนุนความจริงว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า ๒ ปี
ดูแต่ทีวีซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นเวลานาน ตลอด ๖ – ๘
ชั่วโมงต่อวันเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางภาษาจะขาดการกระตุ้นใน
ขณะนั้นเนื่องจากเด็กขาดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่เด็กจึงไม่ได้เรียนรู้ที่จะ
สื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตนเองได้
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพเคลื่อนไหวในทีวีทำให้เด็กขาดสมาธิในการเรียนรู้
สิ่งต่างๆ ได้ งานวิจัยประเทศสหรัฐอเมริกาที่มหาวิทยาลัย คอร์เนลล์
,มหาวิทยาลัยอินเดียน่า และมหาวิทยาลัยเพอร์เดอร์ (Purdue University)
ได้ศึกษาความเชื่อมโยงจากการดูทีวีของเด็กอเมริกันว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้
เกิดโรคออติซึมได้
ดร. แอริค ซิกมัน ( Dr. Aric
Sigman )
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการศึกษาแห่งสหราชอาณาจักร(
Associate Fellow of the British Psychological)
ได้ศึกษาผลของทีวีต่อสุขภาพและได้แถลงต่อคณะสมาชิกวุฒิสภาประเทสอังกฤษจัด
โดยองค์กรด้านสื่อสารมวลชน Mediawatch – UK
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการดูทีวีเป็นเวลานานมีผลต่อรูปแบบการนอนที่ผิด
ปกติและลดอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายจนเกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้น ดร.
แอริค ซิกมัน ( Dr. Aric Sigman )ให้ข้อแนะนำ ดังนี้

          ๑.
เด็กเล็กอายุ ต่ำกว่า ๓ ปี ไม่ควรดูทีวี
          ๒. เด็กอายุ ๓ -๗ ปี
ควรอนุญาตให้ดูทีวีได้ไม่เกิน ๓๐ – ๖๐ นาทีต่อวัน
          ๓. เด็กอายุ
๗ – ๑๒ ปี ควรอนุญาตให้ดูทีวีได้ไม่เกิน ๑ ชั่วโมงต่อวัน
          ๔.
เด็กอายุ ๑๒ – ๑๕ ปี อนุญาตให้ดูทีวีได้ไม่เกิน ๑.๕ ชั่วโมงต่อวัน
         
๕. เด็กอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป ควรดุทีวีไม่เกินวันละ ๒ ชั่วโมง

ข้อแนะนำนี้น่าสนใจหากพ่อแม่ /
ผู้ปกครองปฎิบัติได้ก็จะเกิดผลดีต่อเด็กอย่างมหาศาล

         
นอกจากนี้ รศ.พญ. จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้คำแนะนำที่น่าสนใจสำหรับพ่อแม่ /
ผู้ปกครองว่าพ่อแม่ต้องมีบทบาทในการดูโทรทัศน์ของเด็กคือ

          ๏

ต้องเข้าใจในบทบาทและผลกระทบของสื่อทั้งด้านบวกและด้านลบเพื่อคัดเลือกสื่อ
สำหรับเด็กได้ถูกต้อง
          ๏
จัดสรรกิจกรรมที่สร้างสรรค์กับลูกมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเช่น
การพูดคุย, การร้องเพลง, การเล่านิทาน เป็นต้น
          ๏ พ่อแม่ /
ผู้ปกครองควรสร้างกฎระเบียบเช่น
การตั้งกติกาในการดูทีวีกับลูกอย่างเคร่งครัด,หลีกเลี่ยงรายการที่ไม่เหมาะ
สม, จัดบรรยากาศการดูทีวีให้เป็นโลกแห่งการเรียนรู้ของลูก, กำหนดเวลาชัดเจน
หลีกเลี่ยงการมีเครื่องรับโทรทัศน์ในห้องนอนของลูก เป็นต้น





          นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต
กระทรวสาธารณสุข กล่าวในเวทีเสวนาเรื่อง “
สื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กเยาวชนและครอบครัว ”
ว่าเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่กำลังได้รับผลกระทบ ๓ ประเด็น หลัก คือ เซ็กส์ ,
ความรุนแรง และบริโภคนิยม
ซึ่งเด็กและเยาวชนจะมีปฏิกิริยาต่อสื่อโทรทัศน์ด้วย พฤติกรรมเลียนแบบ ,
มีความชาชินต่อสื่อหลังจากหมกมุ่นกับสื่อเป็นเวลานานและพฤติกรรมยับยั้งชั่ง
ใจต่อเรื่องที่ไม่ดีต่างๆ ลดลง

นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์
จึงได้ให้คำแนะนำแก่ทุกครอบครัวด้วย” มาตรการ ๓ ต้อง ๒ ไม่ ” ดังนี้
มาตรการ ๓ ต้อง ได้แก่
         
๑. ต้องจัดเวลาให้ลูกในการดูทีวี หรือมีส่วนร่วมในการจัดเวลาดูทีวี
         
๒. พ่อแม่ ต้องเป็นเพื่อนลูกในการดูทีวี หรือดูทีวีไปพร้อม ๆ กับลูก
         
๓. พ่อแม่ ต้องเลือกรายการให้ลูกดู
มาตรการ ๒ ไม่ ได้แก่
          ๑.
ไม่จัดทีวีหรือคอมพิวเตอร์ในห้องนอนลูก
          ๒.
ไม่มีสื่อลามกในบ้าน

โครงสร้างของระบบจะเป็นอย่างไร ? 
         

ในเชิงระบบของบ้านเราภาครัฐไม่นิ่งนอนใจเกิดการผลักดันจากหลายฝ่ายได้มอง
เห็นความสำคัญ
ของการส่งเสริมให้เกิดมาตรการและผลักดันให้เกิดวาระแห่งชาติดังนี้

         
๑. มาตรการการจัดความเหมาะสมของสื่อโทรทัศน์ (Rating)
          ๒.
การผลักดันร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสื่อทั้งร่างพระราชบัญญัติ
องค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย,ร่างพระราชบัญญัติแพร่ภาพ
และกระจายเสียงสาธรณะ,ร่างพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการ
โทรทัศน์,ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุ
กระจายเสียงโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม,ร่างพระราชบัญญัติเทคโนโลยีเพื่อการ
ศึกษา
          ๓. ผลักดันให้เกิดกองทุนสื่อ
          ๔.
การสร้างหลักสูตร “ สื่อมวลชนศึกษา “
ให้เกิดขึ้นทั้งในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษา

เอกสารอ้างอิง
         
๑.
//ucnnect.dpu.ac.th/dpupost/user/siwanard/folder/41/206.doc : บทความ
ประวัติโทรทัศน์ในประเทศไทย.
          ๒.
//www.tv4kids.org/autopage/show_page.php?t=27&s_id=118&d_id=119
กุนซือ : DIRECT RESPONSE TELEVISION กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 13
ต.ค. 2547.
          ๓. http: //www.loveed.biz/abac_poll4.asp :
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ :
สาระน่ารู้. 2004.
         
๔.
//www.rakdek.or.th/data/tisdf_news/tisdf_news_08.htm.
          ๕.
//www.pantown.com/content.php?id1052: ทีวีอันตรายใกล้ตัวลูกน้อย.
          ๖.
//www.cmadong.com/community/broad/viewtopic.php?p=32951&sid=d..17/10/50.
          ๗.
//www.lerdsin.go.th/modules.php?name=News&file=article&sid=1825: โรงพยาบาลเลิดสิน ทีวีกับเด็ก.
          ๘.
//www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?id=8400 จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์ และ เกศรินทร์ ไชยแสง
เรียบเรียงจากแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชนในงานเสวนา เรื่อง
สื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน.






Free TextEditor












































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 15:43:44 น.
Counter : 864 Pageviews.  

ผลไม้เปรี้ยวอาจจะไม่มีวิตามินซี



  ฝรั่ง
มะม่วง มะละกอ ลำไย ลิ้นจี่ พุทรา มะกอก เงาะ แคนตาลูป
เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ที่ว่ามากคือเนื้อผลไม้สด 100 กรัม มีวิตามินซี
40 มิลลิกรัม หรือมากกว่า ฝรั่งสด 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 160 มิลลิกรัม
จะว่ามีมากหรือมีน้อยจะต้องคิดต่อไปด้วยว่า เรากินได้มากหรือน้อย กินฝรั่ง
100 กรัม ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะให้กินมะขามป้อมสด ๆ 100 กรัม คงยาก
เราจึงไม่สนใจแม้ว่ามะขามป้อมจะมีวิตามินซีมากกว่าผลไม้อื่น ๆ


          
ผักต่าง ๆหลายชนิดให้วิตามินซี แต่ผักก็เช่นเดียวกับผลไม้ ต้องกินสด
ๆจึงจะได้รับวิตามินซีเต็มที่ เพียงลวกน้ำเดือด 5 วินาที
วิตามินซีก็ลดลงแล้ว ถ้าต้มนานเทน้ำทิ้งจะสูญเสียวิตามินซีไปมาก
ยังคงเหลือวิตามินเอ เกลือแร่และเส้นใยอาหาร ผักที่ให้วิตามินซีมาก ได้แก่
ผักคะน้า กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ พริกทุกชนิด มะละกอดิบ
ผักกาดและผักที่มีใบสีเขียวทั้งหลาย ผักผลไม้ไม่ได้ให้แต่วิตามินซีเท่านั้น
สิ่งอื่น ๆในผักมีประโยชน์ ช่วยรักษาโรคเบาหวานและป้องกันมะเร็งได้

          
วิตามินซีเป็นสารที่จำเป็นมาก แต่ถูกทำลายได้ง่าย จึงต้องได้กินทุกวัน
ความที่ถูกทำลายได้ง่ายนี้ เป็นคุณสมบัติที่ช่วยรักษาความเป็นหนุ่มเป็นสาว
เพราะตัวเองถูกทำลาย ช่วยรักษาเนื้อเยื่อของร่างกายไว้ ช่วยป้องกันโรคได้
คลินิกแพทย์หลายแห่งจัดวิตามินซีไว้ให้เป็นของแถม หรือให้เด็กอมเป็นขนม

วิตามิน
ซีช่วยสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
ซึ่งมีความยืดหยุ่น
ทำให้เส้นเลือดยืดหดตัวเมื่อหัวใจเต้น ถ้าขาดวิตามินซีเส้นเลือดจะเปราะ
แตกง่าย เห็นได้ชัดที่เยื่ออ่อนหุ้มฟัน
อาการขาดวิตามินซีที่เห็นได้ง่ายคือเลือดออกตามไรฟัน ผิวหนังช้ำง่าย
เมื่อเป็นแผลจะหายยาก เพราะไม่มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันประสานให้ติดกัน
การสร้างความแข็งแรงให้แก่เนื้อเยื่อ
ทำให้วิตามินซีมีประโยชน์ในการป้องกันโรค เพราะทำให้ผิวหนังแข็งแรง
เชื้อโรคเข้าร่างกายไม่ได้

วิตามินซีช่วยบรรเทา
อาการเครียด
ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อเครียด
เช่นเมื่อตกใจกลัว ตื่นเต้น สนุกสนาน เป็นไข้หรือเมื่อรู้สึกหนาว
วิตามินซีช่วย สร้างฮอร์โมนไธร็อกซินที่ร่างกายหลั่งออกมา
เพื่อควบคุมการเผาผลาญสารอาหาร ในขณะที่เครียด
ความต้องการวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น

          
เมื่อเป็นไข้หวัดหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
ความต้องการวิตามินซีเพิ่มมากขึ้น
วิตามินซีช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหลเมื่อเป็นหวัด โดยลดฮีสตามีนในเลือด
ยาแก้หวัดจะเป็นตัวยาที่ลดฮีสตามีน
การได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นจึงดีกว่ากินยาที่มักจะทำให้ง่วงนอน
เป็นอันตรายถ้าทำงานกับเครื่องจักร หรือต้องขับรถ

          
เมื่อรู้สึกว่าจะเป็นหวัด
กินวิตามินซีเพิ่มขึ้นอาจจะไม่เป็นหรือหายเร็วขึ้น
คนที่ได้รับวิตามินซีทุกวันจะเป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กิน
อาหารเช้าแบบฝรั่งจะต้องเริ่มต้นด้วยน้ำส้มคั้นเสมอ
น้ำผลไม้อื่นให้วิตามินซีน้อยกว่าน้ำส้มคั้น จึงแทบจะเป็นสูตรตายตัวว่า
อาหารเช้าคือน้ำส้มคั้นสด หรือน้ำส้มแช่แข็ง น้ำส้มแบบอื่น
ๆจะมีวิตามินซีน้อย หลายแห่งมีน้ำส้มเทียม
หรือน้ำส้มผสมน้ำเชื่อมและเติมน้ำเปล่า คุณค่าทางโภชนาการจึงน้อยมาก


    
น้ำส้มให้วิตามินซีน้อยกว่าผลไม้สดที่กล่าวถึงข้างต้น
แต่เราดื่มน้ำส้มแต่ละครั้งได้มากกว่า 100 กรัม เมื่อดื่ม 150 หรือ 200
กรัม จะได้วิตามินซีเพียงพอกับความต้องการใน 1 วัน
แต่ถ้ากินผลไม้จะเสียเวลาเคี้ยว ส่วนมากคนที่ทำงานต้องรีบกินอาหารเช้า
การดื่มจึงได้รับอาหารเร็วกว่า ยิ่งถ้าเปิดกล่องรินใส่แก้วดื่ม
จะยิ่งประหยัดเวลากว่าปอก หั่น ผลไม้ และเคี้ยวกิน





          
ร่างกายดูดซึมและขับถ่ายวิตามินซีออกเร็วมาก เพียงไม่กี่ชั่วโมง
วิตามินซีที่เหลือใช้จะออกมากับปัสสาวะ
เราจึงควรกินผลไม้ที่มีวิตามินซีมากเป็นขนมและของว่าง ถ้ามีเวลา
ควรได้เคี้ยวกินผลไม้บ่อย ๆ ได้ออกกำลังฟัน
เส้นใยอาหารช่วยการย่อยและการขับถ่าย สารอาหารอื่น
ๆในผลไม้ทำงานร่วมกับวิตามินซีและสารอาหารอื่น ๆ
วิตามินซีช่วยการดูดซึมของธาตุเหล็ก
แม้ว่าวิตามินซีจะไม่ได้ป้องกันโรคโลหิตจาง
แต่วิตามินซีช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก จึงช่วยป้องกันโรคโลหิตจางทางอ้อม

          
สารอาหารต่าง ๆทำงานร่วมกัน ไม่มีสารใดทำงานเองอย่างเดียวโดด ๆ
การได้รับสารอาหารจากอาหารจึงดีกว่าการกินแบบยาเม็ด
ไม่มีอาหารใดมีสารอาหารอย่างเดียว นอกจากจะนำไปแยกออกเช่นน้ำตาลทราย
ถ้าเป็นน้ำอ้อยจะมีสารอาหารหลายอย่าง
แต่เมื่อนำไปทำเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์แล้ว สารอาหารอื่น ๆจะไม่มีเหลือ
เมื่อเลือกใช้น้ำตาล น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลที่ไม่ขาวจะดีกว่าน้ำตาลสีขาว

  เมื่อฟังโฆษณาสินค้าว่ามีสิ่งที่มีประโยชน์
จะต้องถามต่อไปว่ามีเท่าไร การอ้างว่าผลไม้รสเปรี้ยวมีวิตามินซี
เป็นข้อความที่เป็นจริง แต่มีเท่าไร มีเพียง 3 มิลลิกรัม กับมี 45
มิลลิกรัม ต่างกัน 15 เท่า น้ำส้มผสมต่าง
ๆที่วางขายทั่วไปมีวิตามินซีก็จริง แต่มีน้อยมาก ไม่พอที่จะเกิดประโยชน์
มีโทษมากกว่า เพราะเติมน้ำตาลทำให้อ้วน สมัยที่โรคอ้วนกำลังระบาด
หัดกินหวานให้น้อยลง ผลไม้อร่อยเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องเติมรสหวาน
การเติมน้ำตาล เป็นการลดคุณค่า เท่ากับปลอมปนทำให้ปริมาณมากขึ้น
ดีไม่ดีอาจเติมจุลินทรีย์ทำให้ท้องเสีย กินส้มตามธรรมชาติ
ถ้าได้เนื้อส้มด้วยจะมีคุณค่ามากขึ้นอีก



ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากDevil







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 9:39:42 น.
Counter : 975 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.