แม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งขุนเขาหิมะและมียอดเขาสูงที่สุดในโลก
แต่นครกาฐมาณฑุก็มีเมืองมรดกโลกที่ได้รับรองจากองค์กรยูเนสโกอีกหลายแห่ง
เมื่อมีโอกาสดีได้ไปเยือนประเทศเนปาลทั้งที
เราจึงไม่พลาดไปชมนครโบราณและเก็บเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาฝากคุณด้วยค่ะ
เราเริ่มต้นชมเมืองเก่าที่ จตุรัส
กาฐมาณฑุ (Katmandu Dubar Square) โดยเดินเท้าจากทา
เมล ย่านการค้าสำคัญของนครหลวงกาฐมาณฑุ
ซึ่งเป็นที่พักตลอดทริปของเรา
เลาะตรอกซอกซอยไปไม่ไกลก็ถึงจตุรัสกาฐมาณฑุซึ่งเป็นศูนย์กลางนครโบราณกลาง
เมืองหลวงแห่งนี้
สถานที่น่าสนใจของที่นี่มีหลายแห่ง เช่น วังกุมารี วัด Mahendreswor ประตูหนุมาน(Hanuman Dhoka)
เรือนไม้ Kasthamandap และวัดที่เราประทับใจเป็นพิเศษ คือ วัดพระศิวะ –
พระนางปารวตี (Shiva – Parvati Temple Hourse)
เพราะบนพระแกลนบานหนึ่งมีตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปพระศิวะและพระนางปารวตี
ฉโงกหน้าทอดพระเนตรออกมาเหมือนจะมองดูพวกเราและอำนวยพรให้
หลังจากที่เดินเล่นชมรอบๆ จัตุรัสกาฐมาณฑุได้สักพัก
เราเดินออกมาทางลานขายของที่ระลึก
มีสินค้ามากมายหลายอย่างให้เลือกซื้อทั้งมีดกรุข่า เครื่องสำริด หินนำโชค
เครื่องเงิน เครื่องปั้นดินเผา
หากคุณสนใจสินค้าแถวนี้แนะนำว่าควรต่อรองเกินครึ่งไว้ก่อน
ถ้าไม่ได้ก็ทำเป็นไม่เอา คนขายจะลดราคาให้เองหรือไม่ร้านข้างๆ
ก็จะเสนอสินค้าชิ้นใหม่ให้ เรียกว่าขายตัดหน้ากันเห็นๆ
ก่อนกลับที่พักเดินไปเห็นคนมุงซื้อขนมปังลด 50 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งจะลดราคาหลังสองทุ่มกันมากหน้าหลายตา ด้วยความอยากรู้ อยากลอง
และอยากสนุ เราเลยไปต่อคิวซื้อขนมปังกับเขาด้วย
เผื่อไว้เป็นเสบียงสำรองเวลาหิวตอนดึกๆ และต้องบอกว่าขนมปังนี้ก็รสดีใช้ได้
หากคุณมีโอกาสไปเที่ยวเนปาลจะลองไปเข้าแถวซื้อขนมปังยามดึกบ้างก็ได้นะคะ
รุ่งเช้าหลังรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
เรานั่งรถบัสไปเที่ยวเมืองบักตะปูร์ ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปประมาณ 12
กิโลเมตร ระหว่างทางเราแวะสถูปโพทนาถ
(Bodhnath Stupa) เป็นสถูปใหญ่ที่สุดในเนปาลก่อน
เมื่อรถจอดริมถนนเรายังไม่เข้าใจว่าความใหญ่โตนั้นจะสักเพียงใด
จนเดินเข้าซอยเล็กๆ ตรงประตูทางเข้า
ความอลังการของสถูปโพทนาถก็ประจักษ์แก่สายตา
เพราะทั้งสูงใหญ่และรายล้อมด้วยชุมชนชาวธิเบตที่มาเปิดร้านรวงขายสินค้าที่
ระลึกรอบๆ สถูป ทำให้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวประเทศธิเบตด้วย
ยิ่งบางร้านเปิดเพลงสวดมนต์
และมีชาวทิเบตสักการะสถูปด้วยการกราบแบบอัษฏางคประดิษฐ์
ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูมีมนต์ขลังยิ่งขึ้น
จากสถูปโพทนาถใช้เวลาอีกไม่นานก็ถึงเมืองบัก
ตะปูร์
ราชธานีที่รุ่งเรืองและเป็นเส้นทางไปสู่ประเทศธิเบต
หากจะบอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตก็คงไม่ผิดนัก
เพราะยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่ตามตึกรามบ้านช่องภายในเมืองเก่า
บ้างก็ทำอาชีพค้าขาย บ้างก็ทำงานหัตถกรรม เครื่องปั้นดินเผา
บางคนขี่จักรยานขายผลไม้ สร้างชีวิตชีวาให้เมืองแห่งนี้ยิ่งนัก
สิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจในเมืองบักตะปูร์มีหลากหลาย เช่น วัด Nava Durga , Tachupal Tole , Peacock Window ,
หอศิลปะแห่งชาติ, วัด Nyatapola เป็นศาสนสถานที่สูงที่สุดในเนปาล
มีความสูงถึง 5 ชั้น ริมบันไดทางขึ้นมีรูปปั้นหินรูปคน ช้าง สิงโต
กรีฟฟิน และเทพเจ้า อย่างละคู่ นั่งเฝ้าทำหน้าที่ปกป้องวัด
อนุสาวรีย์รูปทองของพระเจ้าภูปฏินทรา มัลละ (Bhupathindra Malla)
กำลังบวงสรวงเทพเจ้า จุดน่าสังเกตอีกอย่างของวัดเก่าในเนปาล คือ
ตามไม้คานที่ค้ำหลังคาจะมีภาพแกะสลักกามสูตรตามลัทธิตันตระ
โดยมีความหมายว่าการที่เทพเจ้าทุกองค์ล้วนมีคู่ครองสวมกอดอยู่นั้น
เป็นการรวมพลังอันยิ่งใหญ่ของเพศชายและเพศหญิงนั่นเอง
วัด Changu Narayan
เป็นจุดหมายปลายทางต่อไปของเรา วัดนี้เป็นวัดโบราณที่มีความสำคัญมากๆ ค่ะ
เพราะเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นวัดต้นแบบของวัดฮินดูทั้งหมดในหุบเขา
กาฐมาณฑุแห่งนี้ ประวัติตามโบชัวร์แนะนำวัดบอกไว้ว่า
วัดแห่งนี้สร้างสมัยพระเจ้า Mandev แห่งราชวงค์ Lichhavi
เพื่อถวายแด่พระวิษณุเมื่อปีค.ศ. 464
แม้วัดที่เราเห็นในปัจจุบันจะเป็นวัดสร้างใหม่หลังถูกไฟไหม้ในปีค.ศ.1702
แต่ก็ดูเก่าแก่มากและยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979
อีกด้วย
วัดนี้เป็นวัดฮินดู
ไม่อนุญาตให้คนศาสนาอื่นเข้าไปภายในโบสถ์
ภายในวัดมีรูปสลักหินสวยงามมากมายแค่เดินชมรอบๆ ก็คุ้มแล้ว
นอกจากนี้ระหว่างทางขึ้นวัดยังมีหมู่บ้านเล็กๆ
อยู่ด้วยจะเดินเที่ยวหมู่บ้านก่อนกลับก็ได้
วันสุดท้ายในเนปาลของเราเริ่มต้นที่สถูป
สวยมภูนาถ (Swayambhunath Stupa)
หรือที่คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า “วัดลิง”
เหตุที่ได้ชื่อนี้คงเป็นเพราะมีเจ้าจ๋อน้อยใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ว่ากันว่าสวยมภูนาถแห่งนี้เป็นสถูปที่สูงที่สุดในเนปาล ต้องเดินขึ้นบันได
300 ขั้นก่อนจะถึงตัวสถูป
แต่ถ้าเดินไม่ไหวจะให้รถมาส่งด้านหลังก็จะเดินขึ้นไม่ไกลนัก เราเดินชมรอบๆ
องค์สถูป ชมวิวเมืองกาฐมาณฑุจากมุมสูง โยนเหรียญขอพรจากพระพุทธรูป
แล้วจึงไปเที่ยวเมืองปาตัน (Patan)
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนครพุทธแห่งหุบเขากาฐมาณฑุ กันต่อ
เมืองนี้ก่อตั้งโดยพระเจ้าอโศกมหาราช ภายในเมืองเต็มไปด้วยวัดพุทธ ฮินดู
รวมถึงมีสถูปอโศกล้อมรอบอยู่ถึง 4 แห่ง
วัดคว่า บาฮา (Kwa Bahal, Golden Temple)
ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองปาตัน
หลังคาโบสถ์ภายในวัดมีแผ่นทองห้อยลงมาเพื่อรองรับพระบาทของสมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าเวลาเสด็จมายังโลกมนุษย์
นอกจากนี้ภายในวัดยังตกแต่งด้วยทองเหลืองและทองแดงเหลืองอร่ามไปทั่ววัด
อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปทองคำให้ชมด้วย
เราจึงเดินชมความงามของวัดทองทั้งชั้นล่าง ชั้นบนจนจุใจ
แล้วจึงไปดินเนอร์ที่บนดาดฟ้าของร้านอาหารกลางจตุรัสปาตัน
พร้อมรอชมพระอาทิตย์ตกอำลาประเทศเนปาลเป็นการส่งท้าย