กานพลู สุดยอดเครื่องเทศ



ตัวต้าน
อนุมูลอิสระธรรมชาติชั้นยอด





กานพลู มีสารประกอบฟีโนลิกในระดับสูง
รวมทั้งคุณสมบัติอย่างอื่น มีสรรพคุณเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติ
ทำคุณประโยชน์ ให้แก่ร่างกายมากที่สุด

         
นักวิจัยของมหาวิทยาลัย มิกวล เฮอนันเดซ
ยกให้กานพลูเป็นเครื่องเทศที่มีสรรพคุณเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติ
ทำคุณประโยชน์ ให้แก่ร่างกายมากที่สุด

         
พวกเขาได้พบในการแยกธาตุกานพลูพบว่า มีสารประกอบฟีโนลิกในระดับสูง
รวมทั้งคุณสมบัติอย่างอื่น
"ในการทดสอบคุณสมบัติของการเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ 5 แบบ
มันจะให้ไฮโดรเจนออกมาได้มากที่สุด ช่วยลดไขมัน
และเป็นตัวดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีที่สุด" นักวิจัยผู้หนึ่งเผย





ด้วยเหตุผลนั้น
นักวิจัยจึงได้ระบุไว้ในรายงานผลการศึกษา เผยแพร่อยู่ในวารสาร "กลิ่นและรส"
ของสหรัฐฯจัดอันดับให้กานพลูเป็นตัวต่อต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติอันดับ 1


         
“ผลการศึกษาแสดงว่า การใช้สารต่อต้านอนุมุล อิสระธรรมชาติ
ดังที่เป็นอยู่ในอาหารแบบชาติตามริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรนียน
หรือสารสกัดของมัน สารเหล่านี้แสดงให้เห็นสรรพคุณในฐาน
เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระอย่างสูงและซึ่งอาจจะให้คุณแก่สุขภาพ”






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 9:37:46 น.
Counter : 697 Pageviews.  

WHITE PARTY


กระดาษ
อเนกประสงค์ช่วยให้ปาร์ตี้สนุกๆ ของคุณง่ายขึ้น
นอกจากใช้เช็ดทำความสะอาดแล้ว ยังนำมาสร้างสรรค์และตกแต่งปาร์ตี้น้อยๆ
ให้ดูพิเศษได้อย่างสบายกระเป๋า


My Little Bouquet


อุปกรณ์



  • กระดาษอเนกประสงค์ MAXMO

  • ที่เจาะรู

  • กรรไกร สกอตเทปใส

  • ริบบิ้น


วิธีทำ



  1. พับกระดาษ 2 แผ่นตามขั้นตอน 1.1 - 1.4

  2. ตัดกระดาษส่วนฐานสามเหลี่ยมในแนวโค้งครึ่งวงกลม
    โดยให้อันหนึ่งเล็กกว่าอีกอัน

  3. เจาะรูตรงกลางส่วนที่โค้งและส่วนล่างของกระดาษ

  4. (4.1 - 4.2) นำกระดาษทั้งสองชิ้นมาซ้อนกัน
    ร้อยริบบิ้นด้านล่างแล้วผูกให้แน่น

  5. (5.1 - 5.2) คลี่กระดาษออกให้เป็นดอกไม้ (หนึ่งแผ่นคลี่ได้ 2
    ชั้น) จากนั้นนำไปติดบนกล่อง ของขวัญ








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 21:15:45 น.
Counter : 792 Pageviews.  

ยลโฉมนครโบราณกาฐมัณฑุ


   
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งขุนเขาหิมะและมียอดเขาสูงที่สุดในโลก
แต่นครกาฐมาณฑุก็มีเมืองมรดกโลกที่ได้รับรองจากองค์กรยูเนสโกอีกหลายแห่ง 
เมื่อมีโอกาสดีได้ไปเยือนประเทศเนปาลทั้งที
เราจึงไม่พลาดไปชมนครโบราณและเก็บเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาฝากคุณด้วยค่ะ


    เราเริ่มต้นชมเมืองเก่าที่ จตุรัส
กาฐมาณฑุ (Katmandu Dubar Square)
โดยเดินเท้าจากทา
เมล
ย่านการค้าสำคัญของนครหลวงกาฐมาณฑุ 
ซึ่งเป็นที่พักตลอดทริปของเรา
เลาะตรอกซอกซอยไปไม่ไกลก็ถึงจตุรัสกาฐมาณฑุซึ่งเป็นศูนย์กลางนครโบราณกลาง
เมืองหลวงแห่งนี้
    สถานที่น่าสนใจของที่นี่มีหลายแห่ง เช่น วังกุมารี  วัด Mahendreswor  ประตูหนุมาน(Hanuman Dhoka)
เรือนไม้ Kasthamandap  และวัดที่เราประทับใจเป็นพิเศษ คือ วัดพระศิวะ –
พระนางปารวตี (Shiva – Parvati Temple Hourse)

เพราะบนพระแกลนบานหนึ่งมีตุ๊กตาไม้แกะสลักเป็นรูปพระศิวะและพระนางปารวตี
ฉโงกหน้าทอดพระเนตรออกมาเหมือนจะมองดูพวกเราและอำนวยพรให้
   
หลังจากที่เดินเล่นชมรอบๆ จัตุรัสกาฐมาณฑุได้สักพัก
เราเดินออกมาทางลานขายของที่ระลึก
มีสินค้ามากมายหลายอย่างให้เลือกซื้อทั้งมีดกรุข่า  เครื่องสำริด หินนำโชค
เครื่องเงิน เครื่องปั้นดินเผา
หากคุณสนใจสินค้าแถวนี้แนะนำว่าควรต่อรองเกินครึ่งไว้ก่อน
ถ้าไม่ได้ก็ทำเป็นไม่เอา คนขายจะลดราคาให้เองหรือไม่ร้านข้างๆ
ก็จะเสนอสินค้าชิ้นใหม่ให้  เรียกว่าขายตัดหน้ากันเห็นๆ
ก่อนกลับที่พักเดินไปเห็นคนมุงซื้อขนมปังลด 50 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งจะลดราคาหลังสองทุ่มกันมากหน้าหลายตา ด้วยความอยากรู้ อยากลอง
และอยากสนุ เราเลยไปต่อคิวซื้อขนมปังกับเขาด้วย
เผื่อไว้เป็นเสบียงสำรองเวลาหิวตอนดึกๆ และต้องบอกว่าขนมปังนี้ก็รสดีใช้ได้
หากคุณมีโอกาสไปเที่ยวเนปาลจะลองไปเข้าแถวซื้อขนมปังยามดึกบ้างก็ได้นะคะ



    รุ่งเช้าหลังรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว 
เรานั่งรถบัสไปเที่ยวเมืองบักตะปูร์  ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปประมาณ 12
กิโลเมตร  ระหว่างทางเราแวะสถูปโพทนาถ
(Bodhnath Stupa)
เป็นสถูปใหญ่ที่สุดในเนปาลก่อน 
เมื่อรถจอดริมถนนเรายังไม่เข้าใจว่าความใหญ่โตนั้นจะสักเพียงใด 
จนเดินเข้าซอยเล็กๆ ตรงประตูทางเข้า 
ความอลังการของสถูปโพทนาถก็ประจักษ์แก่สายตา 
เพราะทั้งสูงใหญ่และรายล้อมด้วยชุมชนชาวธิเบตที่มาเปิดร้านรวงขายสินค้าที่
ระลึกรอบๆ สถูป  ทำให้รู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวประเทศธิเบตด้วย 
ยิ่งบางร้านเปิดเพลงสวดมนต์ 
และมีชาวทิเบตสักการะสถูปด้วยการกราบแบบอัษฏางคประดิษฐ์ 
ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ดูมีมนต์ขลังยิ่งขึ้น  
   
จากสถูปโพทนาถใช้เวลาอีกไม่นานก็ถึงเมืองบัก
ตะปูร์

ราชธานีที่รุ่งเรืองและเป็นเส้นทางไปสู่ประเทศธิเบต 
หากจะบอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตก็คงไม่ผิดนัก 
เพราะยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่ตามตึกรามบ้านช่องภายในเมืองเก่า 
บ้างก็ทำอาชีพค้าขาย  บ้างก็ทำงานหัตถกรรม  เครื่องปั้นดินเผา 
บางคนขี่จักรยานขายผลไม้  สร้างชีวิตชีวาให้เมืองแห่งนี้ยิ่งนัก 
   
สิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจในเมืองบักตะปูร์มีหลากหลาย  เช่น  วัด Nava Durga , Tachupal Tole , Peacock Window ,
หอศิลปะแห่งชาติ, วัด Nyatapola  เป็นศาสนสถานที่สูงที่สุดในเนปาล 
มีความสูงถึง 5 ชั้น  ริมบันไดทางขึ้นมีรูปปั้นหินรูปคน  ช้าง  สิงโต 
กรีฟฟิน  และเทพเจ้า  อย่างละคู่  นั่งเฝ้าทำหน้าที่ปกป้องวัด 
อนุสาวรีย์รูปทองของพระเจ้าภูปฏินทรา  มัลละ (Bhupathindra Malla)
กำลังบวงสรวงเทพเจ้า
  จุดน่าสังเกตอีกอย่างของวัดเก่าในเนปาล  คือ 
ตามไม้คานที่ค้ำหลังคาจะมีภาพแกะสลักกามสูตรตามลัทธิตันตระ
โดยมีความหมายว่าการที่เทพเจ้าทุกองค์ล้วนมีคู่ครองสวมกอดอยู่นั้น 
เป็นการรวมพลังอันยิ่งใหญ่ของเพศชายและเพศหญิงนั่นเอง
วัด Changu  Narayan
เป็นจุดหมายปลายทางต่อไปของเรา วัดนี้เป็นวัดโบราณที่มีความสำคัญมากๆ ค่ะ 
เพราะเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นวัดต้นแบบของวัดฮินดูทั้งหมดในหุบเขา
กาฐมาณฑุแห่งนี้  ประวัติตามโบชัวร์แนะนำวัดบอกไว้ว่า 
วัดแห่งนี้สร้างสมัยพระเจ้า Mandev  แห่งราชวงค์ Lichhavi  
เพื่อถวายแด่พระวิษณุเมื่อปีค.ศ. 464
แม้วัดที่เราเห็นในปัจจุบันจะเป็นวัดสร้างใหม่หลังถูกไฟไหม้ในปีค.ศ.1702 
แต่ก็ดูเก่าแก่มากและยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 
อีกด้วย
    วัดนี้เป็นวัดฮินดู 
ไม่อนุญาตให้คนศาสนาอื่นเข้าไปภายในโบสถ์ 
ภายในวัดมีรูปสลักหินสวยงามมากมายแค่เดินชมรอบๆ ก็คุ้มแล้ว 
นอกจากนี้ระหว่างทางขึ้นวัดยังมีหมู่บ้านเล็กๆ
อยู่ด้วยจะเดินเที่ยวหมู่บ้านก่อนกลับก็ได้ 


    วันสุดท้ายในเนปาลของเราเริ่มต้นที่สถูป
สวยมภูนาถ (Swayambhunath  Stupa)

หรือที่คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า “วัดลิง” 
เหตุที่ได้ชื่อนี้คงเป็นเพราะมีเจ้าจ๋อน้อยใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก 
ว่ากันว่าสวยมภูนาถแห่งนี้เป็นสถูปที่สูงที่สุดในเนปาล  ต้องเดินขึ้นบันได
300 ขั้นก่อนจะถึงตัวสถูป 
แต่ถ้าเดินไม่ไหวจะให้รถมาส่งด้านหลังก็จะเดินขึ้นไม่ไกลนัก  เราเดินชมรอบๆ
องค์สถูป  ชมวิวเมืองกาฐมาณฑุจากมุมสูง  โยนเหรียญขอพรจากพระพุทธรูป 
   
แล้วจึงไปเที่ยวเมืองปาตัน (Patan)
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนครพุทธแห่งหุบเขากาฐมาณฑุ  กันต่อ 
เมืองนี้ก่อตั้งโดยพระเจ้าอโศกมหาราช  ภายในเมืองเต็มไปด้วยวัดพุทธ ฮินดู
รวมถึงมีสถูปอโศกล้อมรอบอยู่ถึง 4 แห่ง
วัดคว่า บาฮา (Kwa Bahal, Golden Temple)
ถือเป็นสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองปาตัน 
หลังคาโบสถ์ภายในวัดมีแผ่นทองห้อยลงมาเพื่อรองรับพระบาทของสมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าเวลาเสด็จมายังโลกมนุษย์ 
นอกจากนี้ภายในวัดยังตกแต่งด้วยทองเหลืองและทองแดงเหลืองอร่ามไปทั่ววัด 
อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปทองคำให้ชมด้วย 
เราจึงเดินชมความงามของวัดทองทั้งชั้นล่าง  ชั้นบนจนจุใจ 
แล้วจึงไปดินเนอร์ที่บนดาดฟ้าของร้านอาหารกลางจตุรัสปาตัน 
พร้อมรอชมพระอาทิตย์ตกอำลาประเทศเนปาลเป็นการส่งท้าย







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 7:29:12 น.
Counter : 309 Pageviews.  

ท่องเที่ยววันหยุด

ย่างเข้าฤดู
ฝน  พืชพรรณเขียวชอุ่ม  มองไปทางไหนก็สดชื่นงามตา 
เราเลยอยากพาคุณไปเที่ยวใกล้ๆ กรุง  สัมผัสชีวิตชาวสวนริมคลองมหาสวัสดิ์ค่ะ


    การไปเที่ยวครั้งนี้เพียงขับรถออกจากถนนบรมราชชนนี 
ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยมหิดล  ศาลายาไปไม่ไกล 
ก็ถึงวัดสุวรรณารามสถานที่ขึ้นเรือล่องลำคลองแล้วค่ะ  
หลังจากจองเรือเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อพุทธสุวรรณบวรรังษี 
ในอุโบสถ์วัดเพื่อเป็นสิริมงคล  ออกจากโบสถ์ไม่นานเรือหางยาวก็มารับ 
และเริ่มโปรแกรมด้วยการไปชมสวนกล้วยไม้  ระหว่างทางพี่สุวัฒน์  เซ็งมณี 
ผู้คุมหางเสือซึ่งควบตำแหน่งไกด์ประจำทริปเล่าประวัติความเป็นมาของคลองมหา
สวัสดิ์ให้ฟังว่า
    คลองนี้มีความสำคัญที่สุดต่ออำเภอพุทธมณฑล 
เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์
มหาโกษาธิบดี (ขำ  บุญนาค)  เป็นนายกองขุดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2498 
เพื่อใช้เป็นทางเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ 
มีจุดเริ่มต้นที่คลองบางกอกน้อย  ริมวัดชัยพฤกษ์มาลา 
ไปออกแม่น้ำท่าจีนบริเวณศาลเจ้าสุบิน  รวมระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตร 
และนอกจากใช้เป็นเส้นทางคมนาคมแล้วคลองนี้ยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ให้ชาวสวน 
ชาวคลองใช้ทำมาหากินอีกด้วย
    นั่งฟังเรื่องเล่าชาวคลอง 
เคล้าบรรยากาศสองฝากฝั่งเพลินๆ
พี่สุวัฒน์ก็เปลี่ยนแผนพาไปดูชาวนาเกี่ยวข้าวก่อน 
เราจึงยกพลขึ้นบกไปขอความรู้วิชาทำนากัน 
แม้เดี๋ยวนี้ชาวนายุคใหม่ไม่ต้องลงแขกเกี่ยวข้าวเองเพราะมีรถรับจ้างเกี่ยว
ข้าวให้บริการ  แต่เขาก็ต้องทำงานกลางอากาศร้อนทั้งวันตลอดปี 
เพื่อนเราคนหนึ่งถึงกับเอ่ยปากว่าจะไม่กินข้าวเหลือ  เพราะสงสารชาวนาเลยค่ะ
   
จากนาข้าวเราไปชมสวนกล้วยไม้ของลุงชุบและป้าจุกอย่างที่
ตั้งใจไว้  สวนนี้มีกล้วยไม้พันธุ์  “ทัศนีย์” ซึ่งเขาเป็นผู้เพาะขึ้นเอง 
ลักษณะเด่นอยู่ที่ช่อดอกสีม่วงเข้มขนาดใหญ่ 
เวลาต้องแสงแดดกลีบดอกจะดูคล้ายกำมะหยี่สวยงามเป็นพิเศษ 
และยังมีกล้วยไม้สกุลหวายอีกหลากสี 
หลายพันธุ์จำหน่ายราคาไม่แพงกระถางละประมาณร้อยกว่าบาท 
ที่น่ารักสะดุดตาคือกล้วยไม้ซึ่งช่อดอกมีกลีบสีขาวยาวออกมาคล้ายหูกระต่าย 
จนเจ้าของเรียกเล่นๆ ว่ากล้วยไม้หูกระต่ายนั่นเอง
สวนผลไม้ 
บ้านน้าบุญเลิศ  คือ 
จุดหมายปลายทางแห่งที่สองต้องนั่งเรือย้อนกลับมาหน้าวัดสุวรรณารามแล้วเดิน
อีกนิดหน่อยก็ถึง  พอไปถึงปุ๊บคุณป้าที่ดูแลก็จัดขนม 
ผลไม้สดหลายชนิดที่ปลูกเองทั้งส้มโอ  มะม่วง  ขนุน  และกล้วย 
พร้อมน้ำดื่มเย็นๆ มาให้กินแบบไม่หวง  เราเลยชิม (กิน) 
กันจนพุงกางก่อนเดินเที่ยว 
ที่นี่ทำสวนแบบผสมผสานมีต้นไม้หลายชนิดปลูกอยู่ด้วยกัน 
นอกจากผลไม้ที่เราชิมกันไปแล้วก็ยังมีต้นกระท้อน  มะปราง  มะกอก  มะพร้าว 
และต้นหมากด้วย
    ในสวนยังปลูกไม้ดอกอย่างพุดซ้อน  กล้วยไม้  หงอนไก่ 
มะลิ  และดอกบัวไว้ด้วย  เวลาลมพัดจึงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ
ของดอกไม้ลอยมาให้ชื่นใจอีกต่างหาก 
ใครไม่อยากเดินที่นี่ก็มีรถอีแต๋นดัดแปลงใส่ที่นั่งไว้บริการนักท่องเที่ยว
ด้วยเช่นกัน
    จากสวนผลไม้นั่งเรือต่ออีกไม่นานก็ถึงที่ตั้งของกลุ่ม
แม่บ้านเกษตรกรมหาสวัสดิ์
  เป็นที่แปรรูปผลผลิตของกลุ่มแม่บ้าน 
ซึ่งตอนที่เราไปเป็นช่วงมีมะม่วงสุกเหลือจากการจำหน่ายมาก  คุณน้า 
คุณอาสมาชิกจึงทำมะม่วงกวนกันอย่างขะมักขะเม้น 
โดยมีห้องอบพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ไว้สำหรับตากแห้ง 
พี่แม่บ้านคนหนึ่งกำลังตากมะม่วงกวนอยู่ 
เอ่ยปากเสียงหวานเชื้อเชิญเราว่าถ้าอยากลดน้ำหนักให้มาทางนี้ 
เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดีในความช่างคิดของเขา 
เพราะในห้องอบนั้นร้อนเหลือใจไม่ต่างกับห้องซาวน่าเลยจริงๆ
   
ใครที่อยากได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้าน  ที่นี่ยังมีไข่เค็มเสริมไอโอดีน 
ข้าวตังหน้าหมูหยองทำจากข้าวซ้อมมือซึ่งได้รางวัล OTOP  5  จำหน่ายด้วย 
จะลองชิมก่อนก็ได้นะคะ
   
ตกเย็นแดดเริ่มอ่อนแสงเราจึงไปนาบัวขนาดกว้างกว่า 20 ไร่ 
มีดอกบัวพันธุ์ฉัตรขาว  และบัวแดงชูช่อเต็มไปหมด 
สอบถามพี่สุวัฒน์ได้ความว่าเป็นดอกบัวที่รอเก็บขายในวันรุ่งขึ้น  ช่วงเย็นๆ
อากาศดีคุณจะนั่งเล่นชมวิวบนศาลาที่เขาสร้างไว้ให้นักท่องเที่ยว 
หรือจะพายเรือรอบๆ ก็ได้  หากจะซื้อดอกบัวก็เลือกเก็บเองได้เลย 
เขาคิดราคาแค่ดอกละ 1  บาทเท่านั้น 
เราจึงมีโอกาสซื้อดอกบัวกำใหญ่ไปถวายพระด้วยเป็นการปิดทริปท่องเที่ยวเชิง
เกษตรแบบอิ่มใจอิ่มบุญในคราวเดียวกัน
    แต่รู้ไหมคะ 
สิ่งที่ได้มากกว่าการเดินทางท่องเที่ยวไม่ใช่เพียงการเรียนรู้เรื่อง
เกษตรกรรมเท่านั้น  แต่ยังได้เห็นน้ำใจไมตรีอันบริสุทธิ์งดงามของชาวบ้าน 
จนทำให้รู้สึกว่าโลกที่กำลังร้อนรุ่มอย่างทุกวันนี้เย็นลงได้ด้วยความรัก 
น้ำใจที่เราจะมีให้แก่กันนั่นเองค่ะ


Travel  Guide 
การเดินทาง:

เดินทางได้ทั้ง  รถยนต์  จากถนนบรมราชชนนี  ปิ่นเกล้า – นครชัยศรี 
ไปศาลายา  ผ่านมหาวิทยาลัยมหิดล 
ไม่ไกลจะมีป้ายบอกทางไปวัดสุวรรณารามเป็นระยะ
    รถประจำทางสาย 515
,124 , 125  ลงรถที่โรงพยาบาลศาลายา 
แล้วนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปวัดสุวรรณาราม  ราคาประมาณ 15 บาท
   
รถไฟ จากสถานีธนบุรีถึงวัดสุวรรณาราม  มี 2 เที่ยว  รอบเวลา 7.25 น. และ
7.45 น.  ราคา 5 บาท


การท่องเที่ยว:
ติดต่อเรือได้ที่ศูนย์บริการท่องเที่ยวเกษตรบ้านผู้ใหญ่มนูณ  นราสดใส 
ค่าเรือลำละ  350  บาท  นั่งได้ 6 คน  และเสียค่าบริการชมสวนคนละ 70 บาท 
นำเที่ยว 4  แห่งได้แก่สวนกล้วยไม้  สวนผลไม้ 
การแปรรูปผลผลิตเกษตรของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรมหาสวัสดิ์  และนาบัว 
สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0 – 3429 – 7152 , 08 – 1743 – 5850
   
การท่องเที่ยวใช้เวลาประมาณ 2 – 5
ชั่วโมงขึ้นอยู่กับความพอใจของนักท่องเที่ยว  แนะนำให้ไปช่วงบ่ายตั้งแต่
15.00 นาฬิกาเป็นต้นไป 
เพราะแดดไม่แรงมากและได้ชมพระอาทิตย์ตกดินที่นาบัวพอดี






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 7:25:51 น.
Counter : 471 Pageviews.  

กินอร่อย เที่ยวสนุก ณ อยุธยา

  H&C
Recommend ฉบับนี้ ชวนคุณหมุนพวงมาลัย ไปชิมของอร่อย ณ จังหวัดอยุธยา
เมืองประวัติศาสตร์อู่ข้าวอู่น้ำงามสง่าหาใดเปรียบ 
แถมยังมีอาหารจานเด็ดมากมาย ให้เหล่านักชิมลิ้มลอง
    ทั้งปลาน้ำจืด
และกุ้งแม่น้ำตัวเขื่อง ใครอยากกินไซส์ไหนหรือเมนูอะไร
ก็แจ้งเหล่าแม่ครัวกรุงเก่าเขาได้เลย  นอกจากนี้ยังมี อาหารญี่ปุ่น
ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม ขนมสายไหม
ร้านเด่นรสดีมาเพิ่มสีสันให้ชิมกันแบบไม่อั้น 
ฟังมาขนาดนี้อย่ามัวนั่งกลืนน้ำลายให้เสียเวลา
เชิญก้าวขาแล้วขึ้นรถตามเรามาเลย !





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 7:17:48 น.
Counter : 293 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.