ข้อแตกต่างระหว่าง ผู้ชนะ กับ ผู้แพ้




































































































































































































































ขอบคุณเว็บเด็กดี








Free TextEditor
































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 12:49:11 น.
Counter : 405 Pageviews.  

ใครว่ามีแต่โทษ ดื่มเบียร์ก็มีประโยชน์ได้นะ

















































ปกติแล้วจะได้ยินแต่โทษของการดื่มเบียร์
แต่วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์ของการดื่มเบียร์มาฝากกัน...

ประโยชน์
ด้านหัวใจ : จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยอี
โมรี
พบว่าผู้หญิงและผู้ชายสูงอายุจำนวน 2,200
คนที่ดื่มเบียร์วันละ 1.5 แก้วต่อวัน
มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เพราะว่าเบียร์ช่วยสูบฉีดโลหิต
ทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง และขจัดไขมันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดออกไป

ประโยชน์
ด้านสมอง : นักวิทยาศาสตร์ในบอสตัน พบว่า คนที่ดื่มเบียร์ตั้งแต่ 1-6
แก้วต่อสัปดาห์ จนถึง 7-14 แก้วต่อสัปดาห์จะ
เกิดอาการชักได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเลย

เพราะว่าเบียร์ช่วยลดขนาดเม็ดเลือด และช่วยให้เลือดไม่ไปคั่งอยู่ที่สมองได้


ประโยชน์ด้านจิตใจ : การดื่มเบียร์ช่วยลดความเครียดได้ ช่วยให้ผ่อนคลาย หายกังวล แก้อาการอาย ทำให้อารมณ์ดี
เป็นการป้องกันโรคซึมเศร้าไปในตัว

ประโยชน์
ด้านอื่น ๆ : เบียร์มีสารอาหารสำคัญอยู่หลายตัว ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน วิตามิน
B ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เซเลเนียม และธาตุเหล็ก
เพราะมันทำมาจากยอดอ่อนของข้าวเอาไปหมักกับยีสต์ ใครที่ดื่มเบียร์จึงไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น

รู้
อย่างนี้แล้ว ก็หันมาดื่นเบียร์กันดีกว่า แต่ก็ต้องไม่ดื่มมากจนเกินไป
เพราะประโยชน์อาจจะกลายเป็นโทษได้



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทย
รัฐ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 12:47:41 น.
Counter : 366 Pageviews.  

เผือกทอดไส้กุ้ง















































ส่วนผสม (ขนาด
รับประทาน 6 ที่)



  1. แป้ง
    ตั้งมี่ 4 ช้อนโต๊ะ

  2. น้ำ
    เดือด 1/3 ถ้วยตวง

  3. เผือก
    นึ่งสุก (ประมาณ 1 กก.) 1 หัว

  4. เกลือ 1 1/4 ช้อนชา

  5. น้ำมันพืช 1/4 ถ้วยตวง

  6. กุ้งกุลาดำ 24 ตัว

  7. พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา

  8. แป้งข้าวโพด 1/2 ช้อนชา

  9. น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วยตวง

  10. ไข่ตีพอแตก 1 ฟอง

  11. ผงขนมปังป่น ประมาณ 1 ถ้วยตวง


วิธีทำ



  1. ผสมแป้งกับน้ำเดือดในชามผสม คนให้เข้ากัน

  2. ยีเผือกขณะที่ยังร้อนจัด ผสมเกลือ 1 ช้อนชา
    น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ นวดให้เข้ากันพร้อมกับแป้ง

  3. แบ่งแป้งออกเป็น 24 ก้อน

  4. นำกุ้งมาปอกเปลือก เอาเส้นดำออก เคล้ากับ พริกไทย
    เกลือ 1/4 ช้อนชา แป้งข้าวโพดให้ทั่วกัน

  5. นำเผือกมาหุ้มตัวกุ้ง โดยเหลือส่วนหางไว้
    แล้วชุบไข่และขนมปังป่น

  6. นำ
    ลงทอดในน้ำมันจนเหลืองดี ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน

  7. เมื่อเสิร์ฟแต่งด้วยใบผักกาดหอม
    และมะเขือเทศ


บทความจาก : หนังสือแม่บ้านที่รัก









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 12:46:10 น.
Counter : 351 Pageviews.  

ลาบปลาช่อนทอด


















































ส่วนผสม
(ขนาดรับประทาน 4 คน)



  1. ปลาช่อนขนาดใหญ่ 1 ตัว

  2. น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วยตวง

  3. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

  4. น้ำมะนาว 1/4 ถ้วยตวง

  5. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา

  6. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

  7. ข้าวคั่วป่น 1/4 ถ้วยตวง

  8. หัวหอมซอย 1/4 ถ้วยตวง

  9. ผักชีใบยาวหั่นหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ

  10. ใบสะระแหน่ 2 ช้อนโต๊ะ

  11. ต้นหอมหั่นหยาบๆ 2 ช้อนโต๊ะ

  12. แครอทหั่นเป็นเส้นยาว 1/4 ถ้วยตวง

  13. พริกขี้หนูป่น 1 ช้อนชาพูน

  14. ผักต่างๆ ประกอบด้วย ต้นหอม สะระแหน่ ใบโหระพา
    ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ฯลฯ


วิธีทำ



  1. ปลาช่อนทำความสะอาดแล้ว
    แล่เอาแต่เนื้อทั้งสองด้าน หั่นเป็นชิ้นขนาดใหญ่
    ทอดในน้ำมันร้อนจัดไฟปานกลางให้เหลืองสวย ตักขึ้นพักไว้บนกระดาษซับน้ำมัน

  2. ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว เกลือป่น ข้าวคั่ว
    เข้าด้วยกัน ก่อนจะรับประทาน นำปลาที่ทอดไว้มายีด้วยส้อมพอกระจายตัว
    ใส่หอมซอย และเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงเคล้าให้ทั่ว
    ใส่ผักชีใบยาวที่หั่นไว้ลงพร้อมกับใบสะระแหน่ ต้นหอมหั่นหยาบๆ และ แครอท
    โรยพริกป่น แล้วชิมดูรสที่ต้องการ เสิร์ฟพร้อมกับผักชนิดต่างๆ


บทความจาก : หนังสือแม่บ้านที่รัก










Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 12:44:33 น.
Counter : 324 Pageviews.  

ต้มส้มปลากระบอก (ไมโครเวฟ)


















































ส่วนผสม


ปลา
กระบอก (น้ำหนักตัวละ 100 กรัม) 3 ตัว
น้ำ    4 1/4 ถ้วยตวง
น้ำ
ปลา    3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ    60 กรัม
น้ำมะขามเปียก   2
1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น    1/2 ช้อนชา
ขิงอ่อน
(ซอยเป็นเส้นบางๆ)  30 กรัม
ต้นหอม (หั่นเป็นท่อนยาว 1 นิ้ว)  50 กรัม
ใบ
ผักชี    1/4 ถ้วยตวง


ส่วน
ผสมเครื่องต้มส้ม


หอม
แดง (ซอยบางๆ ตามขวาง) 1/4 ถ้วยตวง
รากผักชี (ซอยบางๆ
ตามขวาง) 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยดำป่น  1 1/2 ช้อนชา
กะปิ   1 ช้อนชา



วิธีทำ


1. นำปลากระบอกมาขอดเกล้ด ควักไส้และเหงือกออก
ล้างน้ำให้สะอาด บั้งตัวปลสทั้ง 2 ด้าน
2.
โขลกส่วนผสมเครื่องต้มส้มเข้าด้วยกันให้ละเอียด
3.
ใส่น้ำและส่วนผสมที่โขลกไว้ในภาชนะ คนให้เข้ากัน ปิดฝาภาชนะ
นำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระดับความร้อน HIGH
4.
ใส่น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือป่น เข้าให้เข้ากัน ปิดฝาภาชนะ
นำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ระดับความร้อน HIGH
5.
ใส่ปลากระบอกคนพอเข้ากัน ปิดฝาภาชนะ นำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้เวลาประมาณ 5
นาที ระดับความร้อน HIGH หมดเวลานำออกมา ใส่ขิง และต้นหอม คนพอเข้ากัน
6.
ตักต้มส้มปลากระบอก ใส่ถ้วยเสิร์ฟร้อนๆ โรยหน้าด้วยใบผักชี










Free TextEditor







































































































 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 12:43:21 น.
Counter : 498 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.