Group Blog
 
All blogs
 
Agnostic ไร้ศาสนา

แม่สุดากินยาและเข้าห้องนอนแล้ว ส่วนพี่โหนก็ออกจากบ้านไปประจำการ ณจุดที่มูลนิธิฯเตรียมไว้ไม่ไกลจากบ้านนักเพื่อที่จะได้เข้าให้ความช่วยเหลือทันท่วงทีหากมีเหตุฉุกเฉินจำเป็นภารตียังไม่นอนเช่นเดียวกันกับสาวน้อยเจ้าของเรือนที่ออกมานั่งตรงระเบียงเล่นโทรศัพท์เม้ามอยกับยัยแก้วแม่นางเฉยสาดส่ายสายตาสองส่องไปทั่วบริเขตบ้าน ที่ประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนไม้เก่าตามฝาผนังยังมีภาพของเหล่าทวยเทพ พระเกจิอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภารตีเพียงมองเลยผ่าน ด้วยไม่ได้มีความศรัทธาและสนใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ถัดมาเป็นปืนโบราณอัดใส่ในกรอบไม้เกือบสิบกระบอกทั้งปืนสั้นและยาว ล้วนเป็นของสะสมสุดรักสุดหวงของพ่ออิทธิเทพที่หลงเหลือไว้ให้ลูกระลึกถึงรับพรหันมามองดูสาวเซอร์เป็นระยะๆ

“ถ้าจะอาบน้ำก็เดินไปหลังเรือนพรเอาชุดมาให้ยืมวางอยู่ที่ตระกร้าหน้าห้อง” ผู้ให้เช่าหยิบยื่นไมตรีให้วันแรกคืนแรกคงต้องเอาใจพัดวีกันหน่อยเกิดเปลี่ยนใจกลางอากาศขึ้นมาจะไปหาเงินง่ายๆแบบนี้ได้ที่ไหนกันหวังว่าพี่สาวหน้าสวยจะไม่ซกมกถึงขนาดไม่แม้กระทั่งจะผลัดผ้าก่อนเข้านอนหรอกนะ สาวหน้านิ่งพยักหน้าน้อยๆรับเป็นอันว่าเข้าใจเธอมายืนหยุดอยู่ที่ชุดดนตรีไทยครบชุด ดีด สี ตี เป่า ที่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลางเรือนภารตีทรุดกายนั่งลงที่ขิม เครื่องดนตรีไทยเชื้อสายจีน ในสมัยโบราณนั้น คนจีนใช้ขิมเป็นเครื่องดนตรี 3 in1 คือสามารถใช้ทั้งตี ดีด และสี ขิมเดินทางเข้าสู่สยามในสมัยรัชกาลที่4 เริ่มจากเป็นเครื่องสาย ที่ใช้ในการแสดงในงานรื่นเริงหรือตามงานเทศกาลต่างๆนั่นหมายรวมไปถึงประกอบการแสดงอุปรากร (งิ้ว) จนล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 นักดนตรีไทยได้นำขิมมาประยุกต์ ดัดแปลงบางอย่างให้เข้ากับวงดนตรีไทย โดยปรับเปลี่ยนสายลวดทองเหลืองและไม้ตีให้ใหญ่ขึ้น หย่อนที่หนุนสายให้มีความหนากว่าต้นตำรับของเดิม เพื่อให้เกิดความสมดุลทำให้เสียงดังขึ้นกว่าเดิมและไม่แกร่งกร้าวเคืองหูเกินไป นอกจากนี้ยังมีการทาบสักหลาดหรือหนังตรงปลายไม้ตียิ่งทำให้ขิมไทยประยุกต์มีซุ่มเสียงนุ่มนวลครูเพลงต่างยอมรับให้ขิมเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีไทยเดิม ได้รับความนิยมจวบจนกระทั่งปัจจุบัน..ภารตีเอามือเรียวปัดฝุ่นที่จับตัวหนาบนขิมเขรอะออก เดินไปหาผ้าชุบน้ำหมาดๆมาทำความสะอาดลองปรับสาย และหยิบไม้ตีจะเริ่มบรรเลง รับพรเห็นดังนั้นจึงแปลกใจแม่นางเฉยผู้นี้เล่นขิมได้ หล่อนมีอารมณ์สุนทรีย์กับเขาเป็นด้วยหรือ?... คำตอบถูกไขให้กระจ่างแจ้งมืออ่อนช้อยที่เคาะไม้ลงบนสาย บรรเลงเพลงลาวดวงเดือนอย่างไพเราะเสนาะโสต แม้ร่างกายที่ดูพริ้วไหวไปกับการขับบรรเลงแต่กับแววตานิ่งยังเป็นอยู่เช่นเดิม รับพรอดตะลึงไม่ได้ เธอยุติกิจกรรมของตน เดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆพี่สาว

“เล่นเป็นมั้ย”สองมือหยุดเคาะไม้ แม่นางเฉยหันมาถามเจ้าของเรือน อีโธ่! ถามใครไม่ถาม คิดจะลองของลองภูมิหรืออย่างไรกัน ระดับรับพรเสียอย่างอย่าว่าแต่ขิมเลย บรรดาเครื่องดนตรีที่เห็นอยู่ตรงนี้ทุกชิ้นเธอเล่นได้หมดไม่ว่าจะเป็นฆ้องวง ปี่ ซอ ฯลฯคงเห็นว่าทิ้งให้ฝุ่นจับล่ะสิเลยถามเป็นเชิงปรามาสเรา รับพรนึกสนุกเธอไม่ได้ตอบด้วยวาจา เอาผ้ามาเช็ดถูทำความสะอาดระนาดเอกก่อนจะนั่งประจำที่ประจำการภารตีก็เท่าทันในความคิด และเป็นเธอที่ส่งสาส์นท้ารบก่อน สองมือเรียวเริ่มวาดลวดลายอีกครั้ง‘ติดตี้ดิดตี่ดิด ตี้ดิดตี่ดิด ตี้ตีตี่ตี่ตีตี ตีตี..’

“ค้างคาวกินกล้วย” รับพรยิ้มพูดสวนออกมา ท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์แบบนี้เด็กเพิ่งจะหัดเล่นดนตรีไทยก็เดาออก

“ลิงถอกกระดอเสือต่างหาก” แม่นางเฉยหยุดตีหันมาพูดจาสัปดนใส่คนที่นั่งข้างๆรับพรถึงกับผงะ ตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน หน้าซีดเผือด ไม่เชื่อหูว่าพี่สาวจะไม่รู้จักกาละเทศะพูดจาดูแคลนของมีประวัติมีครูแบบนี้ พอได้สติก็โวยเข้าฉาดหนึ่ง

“บร้า! ลามก ริอาจตั้งชื่อแผลงๆของเขามีครูนะ”

“เอ้าจริง ไม่รู้หรอกเหรอว่าชื่อเดิมของเพลงนี้คือ..”

“ไม่ต้องพูดแล้วๆ” เจ้าเรือนชักจะไม่สนุกใครไม่เคารพไม่ว่าแต่เรื่องนี้เธอรับไม่ได้ สาวหน้านิ่งยังไม่หยุดปากให้อรรถาธิบายต่อจนจบครบกระบวนความ

“เรียกสั้นๆว่าลิงกับเสือสันนิษฐานกันว่าเป็นเพลงไทยเดิมขนานแท้มีมาแต่ครั้งสมัยอยุธยาโน่น”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ฮิฮิ ไม่ยักรู้ว่าเชี่ยว” รับพรหัวเราะร่วนมโนไปตามชื่อเพลงแสนสัปดน ภาพลิงกำลัง.. เอิ่ม..พี่เสือคงฟิน หุหุสอดรับกับท่วงทำนองสนุกสนาน มิน่าเล่า ..คนโบราณนี่เข้าใจคิดนะ ทะลึ่งตึงตังจังเลย

“อย่าด่วนสรุปตัดสินใคร” เสียงเรียบและใบหน้าแววตานิ่งเฉยสะดุดอารมณ์ขันของคนรับฟังอย่างกะทันหัน ยัยพี่ภานี่เป็นคนยังไงกันแน่?นึกว่าจะละลายพฤติกรรมได้แล้วเชียว ยังอุตส่าห์ตีหน้าเก๊กกับเราไม่เว้นวายเจ้าของบ้านหน้าสวยไม่คิดต่อ ก็ดี หากอยากจะมึนตึงกันต่อไปใครจะแคร์เธอจับเอาไม่ตีระนาดขึ้นมา เริ่มบรรเลงระนาดลิงกับเสือหรือค้างคาวกินกล้วยหรือลิง..ภารตีก็ไม่รอช้าเธอประโคมขิมให้ดังขึ้นต่อการดวลเพลงประชันฝีไม้ลายมือกันอย่างสนุกชนิดที่ไม่มีใครยอมใครแม้รับพรจะร้างรามือจากเครื่องดนตรีไปนานแต่คนมันมีพรสวรรค์จึงไม่ต้องเสียเวลาเคาะสนิมมากนักคนที่แก่พรรษากว่าก็ไม่ยอมลดราวาศอก ร่ายลีลาสุดฤทธิ์สุดเดช จบเพลงนี้ต่อเพลงนั้นสลับจังหวะไม่มีใครกินกันลงระหว่างที่ประชันเพลงกันอยู่นั้น รับพรชำเลืองมองพี่สาวหน้านิ่งเป็นระยะๆความรู้สึกจะให้บรรยายก็บรรยายออกมาไม่ถูก ยัยพี่ภาดูลึกลับแต่ก็กลับมีเสน่ห์ดึงดูดน่าค้นหา แม้จะแสนหยิ่งแต่ก็ดูมีภูมิให้เป็นเช่นนั้นว่าแต่ที่เซอร์ๆน่ะ แกล้งหรือเปล่า?...

“วอสี่ กำลังปฏิบัติหน้าที่ ณ หน้าหมู่บ้านชลสราญเหตุการณ์ปกติ..เปลี่ยน” โหราบอกกล่าวทางวิทยุสื่อสารเป็นรหัสวอสี่หมายถึงกำลังออกปฏิบัติหน้าที่ เป็นศัพท์แสงที่วงการนักกู้ภัยเข้าใจกันดีลูกชายของร่างทรงประจำอยู่ที่จุดสแตนบายอย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกค่ำคืนหวังใจว่าคืนนี้จะไม่ต้องออกไปไหน ใช่ว่าขี้เกียจหลังยาวอยากจะอู้แต่การออกปฏิบัติงานมันก็หมายถึงจะต้องมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน อุปัทวเหตุ อัคคีภัยหรืออะไรก็ตามแต่ที่ล้วนเป็นสิ่งเลวร้ายทั้งนั้น..แต่ความคิดยังไม่ทันจะจางหายเกิดเหตุฉุกเฉินเข้าจนได้!

“วอ เจ็ดทราบแล้วเปลี่ยน”... “วอสี่รับทราบ”

“เกิดเหตุฉุกเฉิน มีงูเห่าเข้าบ้านเลขที่ 79/99หมู่บ้านบริรักษ์นิเวศน์ ขอให้ไปยังที่เกิดเหตุด่วน..ทราบแล้วเปลี่ยน”

“วอสี่รับทราบ จะไปถึงที่จุดเกิดเหตุภายในห้านาที..เปลี่ยน”โหราตะโกนร้องเรียกคู่กะให้กลับมาขึ้นรถ หนุ่มน้ำใจงามรีบตะบึงรถออกไปจากบ้านเลขที่และหมู่บ้านมันช่างคุ้นหูอาจจะเป็นบ้านของ..แต่ไม่ว่าจะเป็นใครขอความช่วยเหลือเขาก็เต็มใจและยินดีทั้งนั้น ราวสามนาที โหราและคู่กะก็มาถึงจุดเกิดเหตุมันคือบ้านของเฮียเลี้ยง! อาสาฯหน้าเข้มกระโจนออกมาจากรถคว้าเอาอุปกรณ์จับงูวิ่งโร่เข้าไปที่บ้านหลังโต

“พี่โหน งูเข้าบ้าน! ช่วยณัฐด้วย” ณัฐกานต์เมื่อเห็นว่าผู้มาช่วยเป็นชายที่แอบปลื้มก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่เธอกระโดดเข้าเกาะที่แขนล่ำๆ โหราผู้ไม่เคยขาดสติแม้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน และในเพลานี้มีสาววัยกระเตาะน่ารักน่าชังมาเกาะกุมเข้าที่กายของเขานั่นอาจรวมไปถึงหัวใจด้วย พูดกลับไปด้วยสติสัมปชัญญะที่ไม่มีตกหล่น

“ไม่ต้องกลัวนะครับ งูอยู่ที่ไหน”

“ตรงสวนมุมโน้นค่ะ พี่พิมพ์กะป๊ายืนคุมเชิงอยู่” ณัฐกานต์จูงมือโหราเดินกันมาที่สวนท้ายบ้านเขายกมือไหว้เฮียเลี้ยงตามประสาคนรู้จัก ตามด้วยพยักหน้าน้อยๆให้กับพิมพ์ลภัสสอดส่ายสายตาปะเข้ากับงูเห่าตัวขนาดย่อมๆ คาดว่าน่าจะเป็นตัวลูก มันกำลังนอนขดกายอยู่แนบกับสายยางที่ม้วนกองอยู่ข้างก๊อกน้ำอย่างสบายใจเฉิบจากที่ได้เคยอบรมกับเจ้าหน้าที่สถานเสาวภามา งูตัวนี้ยังไม่อยู่ในอาการตกใจหรือตื่นกลัวจึงทำให้น่าจะง่ายต่อการจับกระนั้นก็ดีขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ร้ายย่อมกระทำอันตรายต่อผู้คนได้เสมอเขาโบกมือให้คนในบ้านถอยห่างออกมาเกือบห้าเมตรกวักมือเรียกคู่กะให้กางกระสอบเตรียมไว้ ส่วนตัวเขาย่างสามขุม ในมือก็ฉวยเอาตะขอเกี่ยวงูยาวประมาณเมตรครึ่งติดตัวมาด้วยบรรดากองเชียร์สาวๆและเฮียเลี้ยงต่างยืนมองอย่างเอาใจช่วย โดยเฉพาะกับณัฐกานต์ลูกสาวคนเล็กนั่น เธอลุ้นระทึกกว่าใครมือเกาะร่างที่หนากว่าของพี่พิมพ์แน่นเกร็ง..โหราย่องตีนแมวเหยียบหิมะไร้รอยเข้ามาในระยะทำการ เอาตะขอเกี่ยวคล้องที่ตัวงูอย่างว่องไว‘ฟับ

“พี่โหนระวัง” ณัฐกานต์ตะโกนเสียงแหลมและหลงคีย์ก็เจ้างูมันดิ้นขลุกขลักๆอยู่ โหรารีบเอาตะขอยัดเจ้างูร้ายใส่ลงกระสอบคู่กะก็ม้วนและปิดปากถุงเดินดุ่มๆกลับไปที่รถเตรียมนำไปชำแหละผัดเผ็ด เอ้ยไม่ใช่เตรียมนำไปปล่อยในสถานที่ปลอดภัยต่อไป

“เก่งมากเลยค่ะ นี่ถ้าไม่ได้พี่โหนมาช่วยไว้พวกเราคงแย่” ร่างเล็กฉีกยิ้มกว้างตรงมาที่ฮีโร่ตลอดกาล ปากก็ชมไม่หยุด

“ณัฐ หมดเรื่องแล้วก็เข้าบ้าน”มันออกจะเกินงามเกินหน้าไปมากในสายตาของผู้เป็นบิดาเฮียเลี้ยงร้องเรียกลูกสาวตัวให้กลับเข้าบ้าน ลูกสาวคนสวยหันมาแหวใส่บิดาแบบตรงๆ

“ป๊าก็เข้าไปก่อนซี เห็นรึเปล่าว่าเขาเสี่ยงตายมาช่วยเราใจคอจะไม่เลี้ยงน้ำเลี้ยงท่าให้หายเหนื่อยก่อนเหรอ”ด้วยความหวงลูกตัวจึงลืมมารยาทที่พึงแสดงออกไปและเป็นพิมพ์ลภัสที่รู้งานรู้ใจน้องสาว สาวหน้าหล่อฉุดร่างของบิดาให้เข้าไปในบ้านเรื่องมารยาทเรื่องขอบคุณปล่อยให้เด็กๆเขาเจรจากันเอง

“ไปค่ะป๊า ปล่อยให้ยัยณัฐดูแลกันเถอะนะ โหนก็ใช่คนอื่นคนไกล”

“อย่าให้มันนานนักนะ ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว” เฮียเลี้ยงกลายเป็นโอเลี้ยงเมื่อตะโกนกลับมาด้วยเสียงเข้มๆก่อนจะหายเข้าไปในบ้านลุกสาวคนเล็กก็ร้องตะโกนตอบกลับไปเช่นกัน

“คร้าป๊า..พี่โหนรอณัฐแปบนะคะ” น้องนุชของบ้านหลังโตหันมาบอกกับร่างล่ำแล้วก็วิ่งปุเลงๆตามเข้าไปในบ้าน ไม่นานนักก็กลับออกมาพร้อมน้ำอัดลมสามกระป๋องเธอพาพี่ชายน้ำใจงามเดินมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนริมอ่างบัวหน้าบ้านก่อนจะเปิดกระป๋องและยื่นมันให้กับหนุ่มหน้าเข้ม โหรารับมาและลุกยืนขึ้นเขาเดินเอาไปให้คู่กะที่รอนอกบ้านและกลับเข้ามานั่งตรงที่เดิม

“พี่โหนเท่จัง วันก่อนเห็นชาวบ้านเขาลือเล่าอ้างกันว่าช่วยเด็กจมน้ำไม่พอยังช่วยคนคลอดลูกในรถ แถมคืนนี้ยังมาจับงูอีก มีอะไรที่คนๆนี้ทำไม่ได้บ้างมั้ยคะเนี่ย”ณัฐกานต์ยิ้มปั้นหน้าสวย หาสารพัดคำชมเอื้อนเอ่ยออกมาจากความรู้สึกข้างใน

“จับใจคนมั้งครับ” ร่างสูงพูดกินนัย ก่อนจะจิบโค้กกระป๋องแก้กระหาย

“หือ ก็ลองมาจับเค้าสิคะ จะยอมให้ง่ายๆเลยเชียว” ลูกสาวเจ้าพ่อเคยกลัวที่ไหนโต้คารมกลับไปอย่างเผ็ดร้อนท้าทายแม้จะก่นด่าตัวเองในใจว่าบ้ามากมายที่พูดจาเปิดทางอ้าซ่าให้เขาเดินเข้ามาแต่หากพี่โหนยืนขาตายอยู่กับที่ล่ะ เธอมิหน้าแหกดอกหรือไร

“พูดแบบนี้คุณป๊าได้ยินเข้าจะเอาปืนไล่ยิงพี่ได้นะครับ”โหราต่อบทสนทนาให้อีกฝ่ายชวนฝันต่อไป

“ณัฐก็จะเอาตัวขวางทันทีเลยค่ะ” แต่เมื่ออีกฝ่ายหยอกมาแรงๆน้องนุชของบ้านก็ไม่ลังเลที่จะยอกย้อนแบบแรงกว่า โหนแทบสำลักน้ำด้วยคาดไม่ถึงว่าคุณหนูน้อยของบ้านจะพูดจาชวนให้คิดมากเช่นนี้

“ระวังนะครับ ช่วงหน้าฝน สัตว์มีพิษมันจะหนีน้ำเข้ามาที่สูงต้องคอยดูให้ดี” อส.รักสมัครแฟนรีบหาบันไดลงให้ตัวเองเปลี่ยนประเด็นให้หลุดจากวงโคจรรัก ณัฐกานต์ก็ไปต่อไม่ได้อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้หญิงนะ ออกตัวแรงเกินงามมากไปเขาจะเห็นเป็นของตายมือน้อยๆล้วงกระเป๋ากางเกงขาสั้น หยิบได้แบงค์ห้าร้อยมาใบหนึ่งยื่นให้พี่ชายนักกู้ภัยหัวใจแหวว โหราส่ายหน้าและรีบปฏิเสธทันที

“พี่รับไม่ได้หรอกครับ มันเป็นหน้าที่อีกอย่างช่วยเพราะเต็มใจช่วยด้วยหัวใจ ไม่ได้หวังผลตอบแทน” โอ้ย! ขนาดคำปฏิเสธยังแมนมั่ก คนฟังแทบใจละลาย

“ณัฐก็ให้พี่โหนด้วยหัวใจเช่นกันค่ะ” เสียงหวานๆตอบกลับไปณัฐกานต์ลุกจากที่นั่งตัว เดินมาใกล้ชายหนุ่มกล้าๆจับมือหนาให้แบออกยัดเงินแบบไม่ให้ปฏิเสธน้ำใจ ทั้งสองต่างสอดประสานสายตาซึ่งกันและกันหญิงสาวสัมผัสได้ถึงไออุ่นและความอบอุ่นของชายน้ำใจงามผู้นี้มันเป็นความอบอุ่นที่ผู้เป็นบิดาไม่เคยให้เธอ และแม้จะได้มันบ้างจากพี่สาวหน้าหล่อแต่มันก็แทนกันไม่ได้ทั้งหมด พี่โหนคือคนนั้น ที่จะเป็นทุกๆอย่างในชีวิตน้อยๆของเธอณัฐกานต์ไม่ลังเลใจที่จะให้ข้อสรุปกับตนเอง ตรงกันข้ามกับโหราด้วยฐานะทั้งการเงินและสังคม เขามิอาจคิดไปได้ไกลเกินกว่าเป็นแค่ผู้พิทักษ์รักเธอร่างล่ำชักมือกลับ ก่อนจะลุกขึ้นยืน กล่าวคำอำลา พยายามปั้นหน้าให้นิ่งเก็บซ่อนอาการหวั่นไหวที่มีต่อสาวน้อยผู้น่ารักให้จมลึกสุดใจ

“ดึกแล้ว พี่ต้องเอางูไปปล่อยด้วย ไว้เจอกันนะครับ” ลูกสาวคนเล็กของบ้านได้แต่ยิ้มแห้งๆไม่รู้ว่าทางรักของเธอจะมีชายชื่อโหนร่วมเดินไปด้วยกันหรือไม่และหากเดินจะไปกันได้ไกลเท่าไหร่ ณัฐกานต์ส่งอาสาสมัครกู้ภัยขึ้นรถเธอเดินเข้าบ้านมาด้วยจิตใจว้าวุ่นเล็กๆ เสียงร้องทักของพี่สาวหน้าหล่อสุดที่รักทำเอาคนใจลอยแทบช็อค

“อิจฉาจัง จับงูออกจากบ้านแต่ได้คู่มาแทน กิ้วๆ”

“บร้า! พี่พิมพ์อ่ะ เค้าไปนอนดีกว่า”คนโดนแซวไม่กล้าสบสายตาพี่สาว เพราะกลัวความลับจะโดนแฉโดนเปิดโปงรีบจ้ำขึ้นห้องไปด้านพิมพ์ลภัสนั้นเล่า ทำเป็นปากดีได้แต่กับน้องของตน คนที่ควรจะพูดด้วยให้มากๆเวลาเจอหน้ากันกลับไม่แสดงออกมัวคิดโทษตัวเองเห็นจะไม่ได้การ มือเรียวคว้าโทรศัพท์ไลน์หาแม่กลอยใจทันที

“วันทำบุญน้าอิทธ พี่จะทำขนมหวานไปให้นะคะ มาช่วยขนด้วย.. คิดถึงเธอเสมอใจ”นึกแล้วก็สมเพชตนเอง ที่เธอทำมันดีที่สุดได้เท่านี้จริงๆหรือช่วยๆจริงจังให้มันมากกว่านี้อีกเยอะๆเลยนะ พิมพ์ลภัส สาวหน้าเข้มผู้ป๊อปปูล่าในมวลหมู่สาวๆระอาตัวเองก่อนจะเดินตามขึ้นน้องน้อยไปนอน...

“ฝันดีค่ะพี่สาว” สั้นๆในการตอบกลับ ก็เธอเป็นคนแบบนี้อะไรที่เวิ่นเว้อยืดเยื้อยืดยาว ไม่ใช่กับรับพร ลูกสาวร่างทรงเหนื่อยมาทั้งวันเมื่อสักครู่ก็เพิ่งเสร็จศึกปะทะเครื่องดนตรีกับแม่นางเฉยมาขอเอนกายพักผ่อนเอาเรี่ยวแรง ก่อนนอนร่างอรชรนั่งลงที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา สวดมนต์ชุมนุมเทวดาให้มาปกปักษ์รักษาตัวคาถายอดพระกัณฑ์ปิฎกที่เขาว่ากันว่า ผู้สวดจักได้อานิสงส์มากเสียยิ่งกว่าสวดบทใดๆพร้อมทั้งแผ่เมตตาให้เหล่าสรรพสัตว์ เจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือนและเจ้ากรรมนายเวร แม้จะแสนง่วงหรือดึกดื่นเพียงไหนรับพรกระทำเป็นกิจวัตรเช่นนี้ไม่ได้ขาด...ภารตีที่เตรียมจะผลัดผ้าอาบน้ำหยุดยืนดูเจ้าของเรือนสวดมนต์อยู่พักหนึ่ง ในใจก็พาลคิดไปว่ารับพรคงจะซึมซับเอาการสวดวิงวอนร้องขอให้ได้สิ่งใดๆตามใจปรารถนามาจากผู้เป็นมารดาเต็มสูตรเต็มขั้นแม่นางเฉยได้แต่ปลดปลง แม้จะค่อนไปในทางไม่เห็นด้วย แต่มันก็เกินกงการของเธอที่จะให้คนคิดต่างจากตัวเลิกหรือหยุดการกระทำดังกล่าวสาวเซอร์เดินผ่านโต๊ะหมู่ที่เต็มไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าห้องน้ำ...

นาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือ อวัยวะที่ 33 ของรับพรร้องดังขึ้น เธอตั้งปลุกเอาไว้ตอนตีห้าครึ่งของทุกเช้า แม้ว่านาฬิกาชีวิตมันจะบังคับให้นักศึกษาเกียรตินิยมตื่นอย่างเป็นอัตโนมัติด้วยความคุ้นชินแต่สาวเจ้าก็ตั้งไว้กันเหนียวกันพลั้งพลาดยิ่งระยะนี้มีเรื่องสารพันประดังประเดเข้ามาให้ต้องทำต้องคิดอาจเหนื่อยล้าเผลอหลับยาวตื่นสายก็เป็นได้ รับพรเดินออกจากห้องหับของตนมาล้างหน้าแปรงฟันสังเกตเห็นว่าพี่สาวตื่นแล้ว หรือว่าแปลกที่นอนไม่หลับ ใจคิดอยากจะไปทักทายแต่อีกใจเห็นหน้านิ่งๆไร้อารมณ์ก็ไม่ขอข้องแวะให้เสียมู๊ดแต่เช้า เมื่อเสร็จกิจธุระส่วนตัวร่างอรชรเข้าไปเตรียมสำรับสำหรับใส่บาตรพระสงฆ์สามรูป ระหว่างที่เดินผ่านแม่นางเฉยที่นั่งทอดอารมณ์อยู่ที่ชานเรือนก็อดไม่ได้ที่จะชวนกันออกไป

“จะไปใส่บาตร เดินไปที่หัวซอย ไม่ไกลหรอก จะไปด้วยกันมั้ยรู้จักที่ทางไว้หน่อยก็ดีนะพี่ภา” ภารตีไม่ตอบแม้คำน้อย แต่เดินตามลงมามือยาวๆก็ฉวยคว้าถังพลาสติกในมือมาช่วยถือ รับพรยิ้มบางๆที่มุมปากสาวแปลกที่ไร้อารมณ์แบบนี้ก็แอบมีมุมน่ารักกับเขาบ้างเหมือนกันสองนางเดินเคียงคู่กันมาตามทางปูนที่กว้างพอจะให้มอเตอร์ไซค์วิ่งสวนกันได้เท่านั้นพื้นรองเท้าแตะหูคีบคู่เก่าที่ไร้ดอกเมื่อปะสัมผัสเข้ากับพื้นที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำค้างยามเช้ามันก็ลื่นสิครับท่าน

“พรืดดด..ว้าย!” รับพรเกือบจะหงายหลังโชคดีที่พี่สาวหน้าเฉยมารับร่างอ้อนแอ้นไว้ได้ทันท่วงที

“ขอบคุณนะ พรไม่เป็นไรละไปกันต่อเถอะประเดี๋ยวพระท่านจะเลยไปเสียก่อน” นักศึกษาสาวผงะออกมาจากการประคองทางเดินเริ่มกว้างขึ้นเมื่อถึงกลางซอย หากจะเอารถใหญ่เข้ามามันก็จอดได้แค่ตรงนี้ พอถึงสะพานไม้บรรดาเจ้าตูบเจ้าเหมียวก็เดินตามกันมาเป็นพรวนรอรับสาวอารีเช่นเคยข้ามไปยังอีกฝั่งจะเป็นทางออกสู่ถนนใหญ่และนี่เป็นจุดที่พระสงฆ์จะเดินมารับบาตร

“พระมาแล้ว พี่ภามาใส่บาตรด้วยกันสิ” รับพรร้องเรียกแม่นางเฉยที่กำลังนั่งยองๆเล่นกับเหล่าสัตว์เร่ร่อนภารตีหันมาส่ายหน้า นักศึกษาสาวก็ไม่เซ้าซี้ เธอใส่บาตร นึกถึงหน้าบิดาที่ล่วงลับหวังให้บุญกุศลแผ่ไพศาลไปถึงแม้จะอยู่ในภพภูมิใด หลังจากรับพรจากพระสงฆ์ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ทุกครั้งที่ใส่บาตร รับพรจะรู้สึกอิ่มเอมใจ สบายและโล่ง ความทุกข์หรือเศร้าหมองที่มีอยู่ก่อนหน้าประหนึ่งว่าพระท่านรับเอาไปเสียสิ้น สาวสวยเดินมาหาภารตีด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ผู้เช่าบ้านที่มีอาการแสนประหลาดนี้เป็นคนอย่างไรกันเธอมายืนจ้องมองคนที่กำลังเล่นหยอกล้อกับเจ้าด่างอย่างสนุก

“คิดว่าใส่บาตรแล้ว จะร้องขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้หรือไร”เมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายโดนจ้องมอง สาวมาดเซอร์ยันกายยืนขึ้นเปรยในสิ่งที่รับพรเองคาดไม่ถึงอีกเช่นเคย

“นั่นมันคือสุดปลายทางจะได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ถามใครไม่ถามมาเจรจาความกับนักเรียนดีเด่นวิชาการพระพุทธศาสนา รับพรตอบกลับอย่างฉะฉานภารตีไร้ซึ่งการตอบสนอง และเป็นบัณฑิตดีกรีเกียรตินิยมที่เจื้อยแจ้วต่อ

“เบื้องแรกการที่พระสงฆ์มาบิณฑบาตรก็คือการที่เรารู้จักคำว่าขอในสิ่งที่เพียงพอแก่ฐานานุรูปแม้นหากมีใครใส่ข้าวบูดพระท่านก็ต้องฉันและการรู้จักให้ ในสิ่งที่ไม่เกินแก่ฐานะตนเช่นกันหากทำบุญแล้วต้องเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น การให้นั้นก็ไม่บังเกิดเป็นผลดีประการที่สอง การบิณฑบาตรของพระสงฆ์เป็นการยังพระศาสนาให้สืบไป”

“พระสงฆ์บางรูปก็สะสม ร้องขอ หนักข้อกว่านั้นคือสอนให้คนงมงาย” แม่นางเฉยแย้งย้อนอย่างเจ็บแสบถึงกรณีศึกษาที่มีอยู่จริงในสังคมบวมๆ นานๆจะเจอคู่ต่อปากที่สมน้ำสมเนื้อรับพรไม่หยุดการโต้คารมคมคาย

“ก็ใช่ ทุกสังคมล้วนมีคนที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่พี่รู้ไหมหลักคำสอนหรือธรรมะของพระพุทธองค์ ผ่านกาลเวลามาตั้งสองพันกว่าปีนั่นที่ทำให้พระพุทธศาสนาคงอยู่ พรไม่เห็นว่าจะมีข้อใดล้าสมัยและเป็นข้อกังขาทุกอย่างเป็นสัจธรรม เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้”

“พี่เป็นคนไม่มีศาสนา” ภารตีพูดออกมาลอยๆ ในที่สุดก็เฉลยออกมาเสียทีจะได้ไม่ต้องขัดแย้งกันในเรื่องความเชื่อความศรัทธาอีกต่อไป

“อะ..อะไรนะ” เจอประโยคนี้ทำให้เจ้าของบ้านยิ่งรู้สึกว่าพี่สาวไม่ใช่แค่แปลกธรรมดา สุดขั้วโลกทะลุจักรวาลเลยทีเดียวแม้เธอจะเคยรับรู้มาบ้างว่า ปัจจุบันมีคนยอมรับอย่างเปิดเผยถึงการไม่มีไม่นับถือศาสนาใดๆเช่นผู้คนจากเกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกงหรือสิงค์โปร์ แต่ที่นี่มันเมืองไทย เมืองพุทธนะเจ้าคะแม้มันจะเป็นพุทธที่เบี่ยงเบนออกจากพุทธดั้งเดิมไปมากก็ตาม

“พี่ไม่เคยเชื่อในพระเจ้า ไม่เคยเชื่อตามหลักคำสอนของศาสดาองค์ใด หากจะเชื่อก็มีเพียงอย่างเดียวคือกรรมมีจริงและคนที่ทำอะไรไว้ต้องได้รับผลตอบแทนนั้นอย่างสาสม”ภารตียังพูดเป็นนัยแบบต้องไปตีความหลายชั้นหลายตลบเช่นเคยรับพรเริ่มจะอ่อนอกอ่อนใจ ขอพักยกแต่เพียงเท่านี้ ปวดที่หัวตุบๆนี่เธอคิดผิดหรือเปล่าที่รับคนตรงหน้าให้มาเช่าอาศัยอยู่ในเรือน

“พี่ภายิ่งพูดก็ยิ่งงง ช่างเถอะ เขาว่าเรื่องความเชื่อทางศาสนาและการเมืองห้ามแม้แต่จะแลกเปลี่ยนความคิดกัน”

“พี่จะไปหาซื้อของใช้หน่อย แล้วจะกลับมาช่วยเก็บกวาดเรือน” สาวเซอร์ยักไหล่บอกความและเดินจากไป รับพรเริ่มประหวั่นในใจกลัวคนแสนแปลกจะไปแล้วไปลับ

“เอ่อ..”

“ไม่ต้องห่วง ไม่ได้หนีไปไหน พี่ยังตามหาคนอยู่” ภารตีพาร่างที่ดูเหมือนจะไร้ความรู้สึกไร้วิญญาณของตนไปถึงปากซอยเมื่อสุดมุมสายตา รับพรก็รู้สึกว่าเจ้าด่างเอาเท้ามาเขี่ยเข้าที่ขาเธอเบาๆมันบอกว่า พี่สาวคนนี้แปลกคน

“เหรอ ฉันก็ว่าแปลก มากด้วย”ผู้มีพลังพิเศษนั่งลงเอามือลูบหัวเจ้าด่าง สื่อสารแลกเปลี่ยนความเห็นกันระหว่างคนกับหมา

“แต่ไม่มีอะไรมั้ง ก็แค่คนแปลกหน้าผ่านเข้ามาในชีวิตประเดี๋ยวประด๋าวก็จากไป” แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่เธอก็รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล คนที่กล้าๆประกาศตนว่าไม่มีศาสนาแสดงให้เห็นถึงว่าเป็นคนไม่มีหลักยึดเหนี่ยวของจิตใจ นั่นอาจลามไปถึงการขาดมโนสำนึกแยกแยะผิดถูกไม่ออก หรืออาจจะรู้ชั่วดีถี่ห่าง แต่ฉันไม่สน ไม่แคร์จะทำมันเสียอย่างคนแบบนี้แหล่ะที่น่ากลัวที่สุดในสามโลก หวังใจว่า ยัยพี่ภาจะไม่เป็นถึงขนาดนั้นนะ..




Create Date : 30 มิถุนายน 2558
Last Update : 30 มิถุนายน 2558 13:19:57 น. 0 comments
Counter : 482 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.