สธ.ยันไข้หวัดใหญ่ระบาดที่ฮ่องกง ไม่เกี่ยวกับไทย



กระทรวงสาธารณสุขยืนยันไข้หวัดใหญ่ในฮ่องกงเป็นการระบาดตามฤดูกาล เป็นเชื้อที่พบได้ตามฤดูกาล ไม่ได้เป็นเชื้อตัวใหม่และไม่เกี่ยวพันกับประเทศไทย

 

ทั้งนี้ ในประเทศไทยเป็นช่วงฤดูฝนพบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นตามปกติแต่พบน้อยกว่าปีที่ผ่านมา

นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่ฮ่องกง ว่า เหตุการณ์ที่เกิดในฮ่องกงเป็นการระบาดตามฤดูกาล โดยเชื้อที่พบไม่ใช่เชื้อชนิดใหม่ และไม่มีความเกี่ยวพันกับประเทศไทย ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก สำหรับประเทศไทยนั้นอยู่ในช่วงฤดูฝนจะพบการเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นตามปกติ และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้ป่วยในช่วงเดียวกันของปีนี้พบผู้ป่วยน้อยกว่าปีที่ผ่านมา

กระทรวงสาธารณสุขได้รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31สิงหาคม 2560 จำนวน 3.5 ล้านโด๊ส ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 4 แสนโด๊ส และประชาชนกลุ่มเสี่ยงป่วยแล้วอาการรุนแรง 3.1 ล้านโด๊ส ประกอบด้วย 1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป 2.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี 3.ผู้มีโรคเรื้อรัง คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมองไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน  4.บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป  5.ผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม  6.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 7.ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย 8.ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้านฟรี

สำหรับประชาชนทั่วไปขอให้ยึดหลักสุขอนามัยที่ดี หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หลีกเลี่ยงคลุกคลีกับผู้ป่วย ไม่ใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วย ไม่อยู่ในที่ที่มีผู้คนแออัดและอากาศถ่ายเท เป็นเวลานาน สวมเสื้อผ้าหนาๆ ให้ความอบอุ่นร่างกายอย่างเพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หากสงสัยป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ปอดบวมหรือป่วยเกิน 48 ชั่วโมง อาการไม่ดีขึ้น เหนื่อยง่าย หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาป้องกันภาวะแทรกซ้อนโรคสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 31 กรกฎาคม 2560 20:47:32 น.
Counter : 298 Pageviews.  

กรมทางหลวงสรุปน้ำท่วม 15 จังหวัด กระทบ 40 สายทาง-การจราจรผ่านไม่ได้ 6 แห่งจาก 58 แห่ง



กรมทางหลวงสรุปเหตุการณ์น้ำท่วมพื้นที่ 15 จังหวัด มีสายทางที่มีสภาวะน้ำท่วมทั้งสิ้น 40 สายทาง มีสภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ 58 แห่ง การจราจรสามารถผ่านได้ 52 แห่ง ผ่านไม่ได้ 6 แห่ง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมทางหลวงรายงานสรุปเหตุการณ์ภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินในเส้นทางสายหลัก ซึ่งจากการเกิดอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา มีสภาวะน้ำท่วมพื้นที่ 15 จังหวัด มีสายทางที่มีสภาวะน้ำท่วม จำนวนทั้งสิ้น 40 สายทาง มีสภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ 58 แห่ง การจราจรสามารถผ่านได้ 52 แห่ง ผ่านไม่ได้ 6 แห่ง ดังนี้ 1. .ขอนแก่น ได้แก่ - ทางหลวงหมายเลข 2301 หินตั้ง – หนองสองห้อง ในพื้นที่.หนองสองห้อง ช่วงกม.ที่ 25+800 ระดับน้ำสูง 560 ซม. แนะนำใช้เส้นทางเลี่ยง ทางหลวงหมายเลข 23.แจ้งสนิท จ่อทางหลวงหมายเลข 2 .มิตรภาพ หรือทางหลวงหมายเลข 2301 ที่ กม.21+300 เลี่ยงไปถนนทางหลวงชนบท

2. .มุกดาหาร ได้แก่ - ทางหลวงหมายเลข 2287 ดงหลวง – สานแว้ ในพื้นที่ .ดงหลวง ช่วง กม.ที่ 18ระดับน้ำสูง 120 ซม. ไม่มีเส้นทางเลี่ยง และทางหลวงหมายเลข 2287 ดงหลวง – สานแว้ ในพื้นที่.ดงหลวง ช่วง กม.ที่ 20 – 22 ระดับน้ำสูง 120 ซม. ไม่มีเส้นทางเลี่ยง, 3. .กาฬสินธุ์ ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 227 กาฬสินธุ์ – แยกดงแหลม ในพื้นที่ .เมืองกาฬสินธุ์ ช่วง กม.ที่ 4 – 5 ผิวทางและโครงสร้างทางชำรุดเสียหาย ระดับน้ำสูง 100 ซม.

4. .สกลนคร ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 12 สี่แยกสมเด็จ – คำพอก ในพื้นที่ .ห้วยผึ้ง ช่วง กม.ที่ 696ทางเบี่ยงงานก่อสร้างสะพานขาด ไม่มีทางเลี่ยง และ 5. .ลพบุรี ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 2247 จงโก– ลำสมพุง ในพื้นที่ .ลำสนธิ ช่วง กม.ที่ 2 ระดับน้ำสูง 60 ซม. แนะนำใช้เส้นทางเลี่ยง ทางหลวงหมายเลข 2256 ที่ กม.20 ไป ทางหลวงหมายเลข 2243 ระยะทาง 22 กม. บรรจบทางสาย 205 ที่กม.84+198

อย่างไรก็ตาม กรมทางหลวงระบุว่ายังเกิดฝนตกหนักในบางพื้นที่ สถานการณ์ยังคงต้องเฝ้าระวังตลอดเวลา ซึ่งอาจก่อให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่ม จึงสั่งการให้ทุกหน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วยสำนักงานทางหลวง แขวงทางหลวง และหมวดทางหลวงในพื้นที่ เตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นตลอด 24 ชั่วโมง โดยภารกิจหลักในปัจจุบันคือช่วยให้การจราจรผ่านได้ก่อน หลังจากเมื่อน้ำลดจะทำการสำรวจความเสียหายเพื่อซ่อมแซมสู่ความยั่งยืนต่อไป

ทั้งนี้ กรมทางหลวงขอให้ประชาชนผู้ใช้ทางโปรดใช้ความระมัดระวังในการใช้เส้นทางเพิ่มขึ้น เพื่อความสะดวกและปลอดภัยของผู้ใช้ทาง หากต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 14:08:45 น.
Counter : 278 Pageviews.  

ปู่ย่าตายาย ศตวรรษที่ 21 โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์



ผมเป็นคนรุ่นปู่ย่าตายายวันนี้แล้ว คือคนรุ่นที่ได้เห็นและใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรก มือถือเครื่องใหญ่ มือถือโนเกีย มาจนถึงสมาร์ทโฟน

 

ปู่ย่าตายายรุ่นที่แล้วอาจจะไม่ต้องทำอะไร ไปจนถึงไม่มีข้อห้ามอะไรมากนัก ปล่อยหลานเล่นกับพื้นหรืออยู่ไปวันๆรอพ่อแม่เลิกงานก็พอจะได้

อย่างไรก็ตาม โลกเปลี่ยนไปแล้ว ปู่ย่าตายายสมัยใหม่อาจจะต้องพัฒนาคุณภาพเพื่อให้ทัดเทียมเนิสเซอรี่ชั้นดี ราคาสูง เพราะที่แน่ๆคือท่านเป็นของฟรี


ทีมา thaitribune




 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 5:45:32 น.
Counter : 255 Pageviews.  

ธุรกิจโฆษณาดันรายได้-กำไร'เฟซบุ๊ค' พุ่ง



บริษัทเฟซบุ๊ค อิงค์ รายงานว่า รายได้ระหว่างเดือนเม.ย.-มิ.ย.ปีนี้ สูงถึง 9,300 ล้านดอลลาร์ หรือราว 312,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ส่วนตัวเลขกำไรสูงขึ้น 71% หรือคิดเป็น 3,900 ล้านดอลลาร์ หรือราว 131,000 ล้านบาท นอกจากนั้นโฆษณาบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ยังคิดเป็นสัดส่วน 87% ของรายได้โฆษณา 9,160 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก84% ในปีที่แล้ว

ขณะเดียวกันจำนวนผู้ใช้ต่อเดือนของเฟซบุ๊คที่กว่า 2,010 ล้านราย หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของประชากรโลก เพิ่มขึ้น 17% จากปีที่ผ่านมา โดยในจำนวนนี้มี 2 ใน 3 ที่ล็อกอินเข้าใช้บริการทุกวัน ซึ่งถือเป็นปัจจัยดึงดูดรายได้โฆษณาที่สำคัญ

ด้านนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ค กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และครึ่งแรกของปีนี้ ถือว่าออกมาดีมาก

ที่ผ่านมา เฟซบุ๊คได้เพิ่มพื้นที่โฆษณาไปพร้อมๆ กับจำนวนผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและทดลองหารายได้จากบริการสื่อสังคมออนไลน์อื่น รวมถึงอินสตาแกรมและวอทส์แอพ ซึ่งเฟซบุ๊คระบุว่า อินสตาแกรมได้เข้ามาเสริมการเติบโตของบริษัทด้วย แต่ฟีดข่าวบนหน้าเฟซบุ๊คก็ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักด้านรายได้อยู่


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2560 22:55:30 น.
Counter : 208 Pageviews.  

10 วิธีป้องกันโรคร้ายจากเทคโนโลยี



ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีจริง ๆ และสำหรับคอเทคโนโลยีทั้งหลาย คุณอาจกำลังเสี่ยงโรคร้ายอีกหลายโรค เพื่อเป็นการป้องกันสุขภาพ เราจึงมี 10 วิธีป้องกันโรคร้ายมาบอกกัน

 

        1. แว่นตา หรือ คอนแทคเลนส์ทั่วไป อาจจะไม่เพียงพอต่อการป้องกันแสง สำหรับคนทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน จึงควรเลือกแว่นตา หรือคอนแทคเลนส์ที่เคลือบป้องกันแสงจากหน้าจอโดยเฉพาะดีกว่า

          2. หลายคนรู้สึกสบายกว่าเวลาที่ดวงตาของเรามองลงต่ำ ถ้าจะให้ดีหน้าจอควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตา 15-20 องศา หรือประมาณ 4-5 นิ้ว และเว้นระยะห่างจากดวงตาของเรา 20-28 นิ้ว

          3. เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาเมื่อยล้า อย่าลืมพักสายตาเมื่อใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน ทุก สองชั่วโมง ควรพักสายตา 15 นาที และทุก ชั่วโมงให้ลองมองออกไปไกล 20 วินาที

          4. ลดแรงลงหน่อย หลาย คนใช้แรงมากเกินกว่าที่จำเป็นในงานที่ต้องใช้มือ ถ้าคุณต้องนั่งพิมพ์เป็นระยะเวลานาน พิมพ์เบา ก็พอ

          5. พักมือและข้อมือโดยการยืดและงอ อย่าสะบัด หรือหากเป็นไปได้ก็ควรหันไปทำงานอย่างอื่น แทนสักพัก

          6. สำหรับคนอยู่ในออฟฟิศที่เปิดแอร์เย็น ความอบอุ่นของมือนั้นก็สำคัญมากเช่นกัน ถ้ามือของคุณอยู่ในที่เย็น ก็ยิ่งเสี่ยงต่ออาการปวดหรือตึงมือ ถ้าปรับอุณหภูมิไม่ได้ ก็ควรหาถุงมือแบบที่ไม่มีนิ้วใส่ เพื่อให้อุ้งมือและข้อมืออุ่นตลอดเวลา

          7. ผศ.นพ.วิษณุ กัมทรทรัพย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช-พยาบาล แนะนำภายในการประชุมวิชาการเรื่อง Office syndrome ว่าให้เราจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ด้านขวาของโต๊ะปล่อยโล่ง ไม่มีสิ่งของมากีดขวางและควรเลือกโต๊ะทำงานที่มีระดับพอดีกับข้อศอก เพื่อให้สามารถกดคีย์บอร์ดได้ถนัด ประกอบกับตัวแป้นคีย์บอร์ดควรมีที่รองรับข้อมูล ไม่ให้เกิดการกระดกข้อมือซ้ำ ด้วยส่วนเก้าอี้ควรเป็นแบบปรับขึ้นลงได้ และควรมีพนักพิงที่สามารถรองรับศีรษะได้

          8. เปิดเพลง ดัง ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน ถ้าคุณไม่ได้ยินเสียงรอบตัวยามที่เสียบหูฟังแล้วล่ะก็ คุณควรจะลดระดับเสียงลง หากเพื่อนข้าง ยังได้ยินเสียงจากหูฟังของเรา นั่นแปลว่า ยังดังเกินไปอยู่นะคะ

          9. ป้องกันอาการปวดหลังด้วยการปรับเก้าอี้ให้มีความสูงพอเหมาะ และใกล้กับคอมพิวเตอร์มากพอที่เราจะไม่ต้องก้มตัว ในระหว่างนั่งให้วางเท้าอยู่กับพื้น เพื่อช่วยลดแรงกดด้านหลัง

          10. บางครั้งอาการปวดที่หลังส่วนบนหรือแม้แต่อาการปวดศีรษะ อาจเป็นเพราะว่า หลังของเราเหนื่อยล้ากับการต้องรับน้ำหนักแขน ตรงนี้ล่ะที่เท้าแขนสามารถช่วยได้ มันจะรับน้ำหนักของแขนเอาไว้ทำให้คอและหัวไหล่ได้ผ่อนคลาย

ในยุคปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีได้ แต่เราป้องกันตัวเราเองได้เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2560    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2560 5:28:47 น.
Counter : 247 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.