"มีชัย" ฉุน สนช. ทำป่วน แก้กฎไพรมารี่ ใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง ส่งผลกระทบเลือกตั้งไม่ราบรื่น



มีชัย ชี้ ระบบไพรมารี่โหวตที่ สนช.ใส่ไว้ในกฎหมายพรรคการเมืองเข้มกว่า ที่ กรธ.กำหนด ชี้ เร็วเกินไปที่พรรคการเมืองจะเตรียมตัวทัน หวั่นกระทบเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ราบรื่น

 

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงการปรับแก้ไขร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ให้ใช้ระบบไพรมารีโหวต ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า เข้มกว่าสิ่งที่ กรธ.ได้กำหนดไว้ เป็นสิ่งที่เร็วเกินไปสำหรับพรรคการเมืองด้วย ถ้าพรรคการเมืองทำไม่ได้จะทำอย่างไร มีข้อกังวลว่า ถ้าพรรคการเมืองส่งรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.มาแล้ว ถ้ามีคนโต้แย้งบอกว่ารายชื่อที่ส่งมานั้นกระบวนการไม่ครบถ้วน ตรงนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะทำอย่างไร จะไม่รับสมัครเขาหรืออย่างไร หรือถ้าหากมีการเลือกตั้งแล้วและมีคนมาแย้ง ผลจะเป็นอย่างไร ข้อบังคับเหล่านี้นั้นถือมีผลกระทบต่อพรรคการเมืองมากในทางปฏิบัติและที่สำคัญ จะต้องดูด้วยว่าพรรคการเมืองจะใช้เวลากี่วันเพื่อทำให้ได้ตามข้อบังคับนี้ สมมติว่าเวลาจะเลือกตั้ง ถ้าหากเป็นกรณียุบสภาแล้วบอกให้เลือกตั้งภายใน 45วันแล้วจะทำอย่างไร จะใช้เวลาเท่าไรถึงจะทำได้ตามกำหนดเวลาการใช้ข้อบังคับนี้


“ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าจะตั้งกรรมาธิการร่วมหรือไม่แต่หากจะตั้งก็คงจะแย้งในประเด็นขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ที่ระบบไพรมารีโหวตจะส่งปัญหากระทบต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ราบรื่น เนื่องจากพรรคการเมืองอาจมีเวลาเตรียมตัวไม่ทัน โดยจะต้องมีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ กกต.อีกครั้งในวันที่ 19 มิถุนายน เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับปัญหานี้”นายมีชัย กล่าว


เมื่อถามว่าเมื่อกฎหมายพรรคเสร็จแล้ว ควรปลดล็อกพรรคการเมืองหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า ปลดไม่ได้เพราะว่ากำหนดเวลานั้นถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว สิ่งที่กรธ.จะทำได้ก็คือส่งกฎหมายฉบับหลังๆไปให้ สนช.ช้าหน่อยเพื่อให้พรรคการเมืองได้มีเวลาหารือกันมากขึ้น อย่างไรก็ตามก็ยังอยู่ในกรอบเวลา 240 วัน ที่ กรธ.จะต้องส่งกฎหมายให้ สนช. การปลดล็อคพรรคการเมืองนั้นจะต้องดูกฎหมาย 2 ฉบับได้แก่กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองและกฎหมายว่าด้วยกกต. ในสภาพสมบูรณ์ก่อนจึงจะรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เชื่อว่าเมื่อกฎหมายพรรคการเมืองออกมาบังคับใช้แล้วคงต้องมีการปรับกลไกเพื่อให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมตามที่กฎหมายกำหนดได้แต่จะปรับกลไกมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2560    
Last Update : 17 มิถุนายน 2560 10:03:19 น.
Counter : 212 Pageviews.  

"พล.อ.ประวิตร’ ยัน มือระเบิด รพ.พระมงกุฎฯรับสาภาพทำจริง ยังไม่ชัดเป็นทหารแตงโมหรือไม่



รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง คอนเฟิร์มข่าวจับมือระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ อยู่ระหว่างการสอบสวน ยังไม่โยงว่าเป็น “ทหารแตงโม” เพราะอยู่ระหว่างขยายผลจับกุม

 

หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารเข้าควบคุมตัวผู้ต้องหาลอบวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ โดยเป็นชายอายุ 62 ปี พร้อมส่งตัวเข้าไปที่มณฑลทหารที่ 11 (มทบ.11) นั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหมกล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิดที่ห้องวงษ์สุวรรณ ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้แล้ว ซึ่งเป็นชายวัย 62 ปีจริง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนกระบวนการสอบสวน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ แต่ยังไม่เชื่อมโยงทหารแตงโม เพราะอยู่ระหว่างการขยายผลการจับกุมว่าจะมีใครร่วมวางแผนและก่อเหตุหรือไม่
“ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายลอบวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้แล้ว ตอนนี้กำลังเร่งสอบปากคำและขยายผลการจับกุม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราสามารถจับกลุ่มคนร้ายที่สร้างความวุ่นวายและส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย เขาเองก็ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริง” พล.อ.ประวิตร กล่าว
ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2560    
Last Update : 16 มิถุนายน 2560 2:23:24 น.
Counter : 240 Pageviews.  

ผบ.ตร.เตรียมฟ้องกลับวิทยา ข้อหาหมิ่นประมาทหลังออกมาแฉซื้อขายตำแหน่งตร.



ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โต้ วิทยา หลังออกมาระบุมีการซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันไม่ได้มีปัญหากับนายสุเทพ เด้งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค8เพื่อความสบายใจของประชาชน สั่งจเรตำรวจตรวจสอบแล้ว

 

พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวแห่งชาติ แถลงชี้แจงกรณีที่นายวิทยา แก้วภารดัย อดีตสมาชิกปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) และอดีตแกนนำ กปปส. ที่ออกมาเปิดเผยถึงการซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกล่าวพาดพิงว่าในพื้นที่ กองบัญชาการตำรวจนครบาลมีการซื้อขายตำแหน่งสูงกว่าในพื้นที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8  ถึง 2 เท่า ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าทำไมนายวิทยา ถึงมีข้อมูลมาพาดพิงในพื้นที่ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งในเรื่องนี้พลตำรวจโทศานิตย์ มหาถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้รับความเสียหาย ส่วนตัวมองว่าพลตำรวจโทศานิตย์ ถือเป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมา เบื้องต้นมีการพูดคุยกันแล้ว และจะดำเนินการตรวจสอบ โดยยืนยันว่าในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ไม่มีการซื้อขายตำแหน่งแน่นอน และมอบให้พลตำรวจโทจารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้บัญชาการกองกฎหมายและคดี ไปพิจารณา ว่านายวิทยาจะเข้าข่ายการหมิ่นประมาทหรือไม่

ทั้งนี้การพิจารณาแต่งตั้ง มีหลักเกณฑ์ตามลำดับขั้นอยู่แล้วหลายขั้นตอน ตั้งแต่ระดับกองบัญชาการ ก่อนจะมาถึงการลงนามของตน

ส่วนกรณีมีคำสั่งย้ายพลตำรวจโทเทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มาปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ระบุว่า การย้ายครั้งนี้ นอกจากจะมีข้อกล่าวหาที่นายวิทยาออกมาเปิดเผยและยังมีหนังสือร้องเรียนเข้ามาหลายฉบับ จึงต้องมีการย้ายเพื่อให้จเรตำรวจแห่งชาติ เข้าไปตรวจสอบได้โดยง่าย และลดข้อครหาจากประชาชน พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่การเอาคืนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เนื่องจากพลตำรวจโทเทศา มีความสนิทสนมกับนายสุเทพ

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำให้มีการตรวจสอบให้ชัดเจนนั้น พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ยืนยันว่า จะต้องตรวจสอบตามพยานหลักฐาน และคำให้การต่างๆ

ส่วนกรณีที่พลตำรวจเอกเสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวช อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการกองบังคับการสายตรวจและปฎิบัติการพิเศษ (ผบก.สปพ.) เป็นผู้ทำบัญชีแต่งตั้งในครั้งนี้ ในเรื่องนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ เป็นลูกน้องของตน ไม่มีหน้ามี่ในการแต่งตั้งโยกย้าย ส่วนที่ข่าวออกมาระบุว่า พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ ใหญ่กว่านายตำรวจยศพลตำรวจเอกนั้น ตนไม่เคยเห็น แต่อาจจะมีบางครั้งที่ตนมอบหมายให้พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ ไปสืบคดีในทางลับ แต่ยืนยัน ว่า สปพ. 191 สนับสนุนการทำงานของสถานีตำรวจ

พลตำรวจตรี จารุวัฒน์ ระบุว่า หากนายวิทยาออกมาพูดโดยไม่มีข้อเท็จจริง ถือเป็นหมิ่นประมาทตามกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งผู้ที่เกี่ยวจ้องจะพิจารณาว่าจะดำเนินการฟ้องร้องหรือไม่ และตนจะเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริงในฐานะตัวแทนของสำนักงานคำรวจแห่งชาติ เดราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นนิติบุคคล ซึ่งได้รับความเสียหายหากมีการพาดพิงถึงบุคคลในองค์กร 

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2560    
Last Update : 15 มิถุนายน 2560 14:48:54 น.
Counter : 269 Pageviews.  

ลีน่าจัง พาผู้เสียหายถูกหลอกซื้อน้ำตาล300กว่าล้านบาท ร้องผบ.ตร



ลีน่าจัง พาผู้เสียหายถูกหลอกซื้อน้ำตาล แต่ไม่ได้รับสินค้า เสียหาย300กว่าล้านเข้ายื่นหนังสือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังร้องหลายที่แต่คดีไม่คืบ

 

นางลีน่า จังจรรจา ประธานมูลนิธิลีน่า จัง ช่วยเหลือประชาชนทางด้านกฎหมาย นำกลุ่มผู้เสียหายเข้ายื่นหนังสือต่อพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังทั้งหมดถูกบริษัท  เพิงพักพิง จัสมินไรซ์ จำกัด หลอกขายน้ำตาล แต่กลับไม่มีสินค้าจัดส่งจริงตามที่กล่าวอ้าง สร้างความเสียหายมูลค่า300กว่าล้านบาท

โดยแบ่งผู้เสียหายออกเป็น2กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นผู้ค้ารายใหญ่จากหลายประเทศ ทั้งลาว อิรัก มาเลเซีย  ซึ่งนางสาวณภัทริญา สมวันดี หนึ่งในผู้เสียหาย ระบุว่า ตนมีสามีเป็นชาวอิรัก และก่อนหน้านี้ทำธุรกิจสั่งข้าวไทยส่งออกไปที่ประเทศอิรัก และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้ตัดสินใจสั่งซื้อน้ำตาลจากบริษัทเพิงพักพิง ซึ่งระบุว่าเป็นน้ำตาลจากประเทศบราซิล โดยสั่งจำนวน 1,500 ตัน มูลค่า21ล้านบาท ซึ่งต้องวางเงินมัดจำ 30 เปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับ 6 ล้านบาทก่อน เมื่อได้สินค้าแล้วจึงจะโอนเงินจำนวนที่เหลือให้ ซึ่งหลังจากโอนเงินมัดจำไปแล้ว กลับไม่ได้ของตามที่ตกลงกันไว้

ขณะที่อีกกลุ่มเป็นผู้ค้ารายย่อย ที่สั่งซื้อน้ำตาลจากบริษัทดังกล่าว โดยต้องเสียเงินประกันการจองจำนวน 5 หมื่นบาท ให้แก่บริษัทดังกล่าวเพื่อจองโควต้าน้ำตาลทราย แต่กลับไม่ได้โควต้าตามที่ตกลง ซึ่งทั้ง2กลุ่มไม่ได้เงินมัดจำและเงินประกันคืน และเงินประกัน โดยท้าทายให้ผู้เสียหายไปฟ้องร้องเอาเอง อีกทั้งเจ้าของบริษัทดังกล่าวยังมีการแอบอ้างเบื้องสูง และข่มขู่ผู้เสียหายว่ามีนายทหารหนุนหลัง ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความกับกองบังคับการปราบปราม และหลายท้องที่ แต่คดีก็ไม่คืบหน้า จึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนำเรื่องรัองเรียนถึง พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อตรวจสอบนายทหารที่อยู่เบื้องหลังให้ความช่วยเหลือบริษัทดังกล่าว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2560    
Last Update : 14 มิถุนายน 2560 17:43:24 น.
Counter : 542 Pageviews.  

ขีดเส้น 1 ปี 'ไทย' เลิกผลิตพลาสติกหุ้มฝาขวด คาดลดขยะ 2,600 ล้านชิ้น เฉลี่ยปีละ 520 ตัน



คพ.ตั้งเป้าภายใน 1 ปี ประเทศไทยเลิกใช้พลาสติกหุ้มฝาขวด ชี้ช่วยลดปัญหาโลกร้อน ท่อระบายน้ำอุดตัน สัตว์ทะเลกินเข้าไปแล้วตาย

 

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า คพ.กำลังเดินหน้ากำจัดขยะพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม (Cap Seal) ทั้งหมดในประเทศ โดยเบื้องต้นได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตน้ำดื่มจำนวนหลายแห่งและพบว่าส่วนใหญ่เลิกผลิต Cap Seal แล้ว คาดว่าภายใน 1 ปี ประเทศไทยจะปราศจากพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่มทุกประเภทอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ หากดำเนินการสำเร็จจะช่วยลดปริมาณขยะประเภทนี้ลงไปได้ถึงปีละ 520 ตัน เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยผลิตน้ำดื่มปีละ 7,000 ล้านขวด ใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่มมากถึงปีละ 2,600 ล้านชิ้น ความยาว 2.6 แสนกิโลเมตร หรือคิดเป็นความยาวรอบโลก 6.5 รอบ

นายจตุพร กล่าวว่า พลาสติกหุ้มฝาขวดไม่เกี่ยวข้องกับความสะอาดของน้ำดื่ม ความสำคัญจึงอยู่ที่ฝาปิดขวดที่แน่นสนิท โดยพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่มมีผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อนเพราะเป็นขยะที่ย่อยสลายยากและไม่มีประโยชน์ เบื้องต้น คพ.จะนำร่องในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ และห้องประชุมประจำกระทรวงหรือหน่วยงานต่างๆ ก่อน

"พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่มมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา จึงง่ายต่อการทิ้งกระจัดกระจายลงในสิ่งแวดล้อมทั้งบนบกและทะเล ซึ่งยากต่อการจัดเก็บและไม่คุ้มทุนที่จะนำมารีไซเคิล ส่งผลให้เกิดปัญหาการอุดตันตามท่อระบายน้ำ และมีบางส่วนลงสู่ท้องทะเลจนสัตว์ทะเลกินเข้าไปแล้วตายเป็นจำนวนมาก"นายจตุพร กล่าว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2560    
Last Update : 14 มิถุนายน 2560 9:38:34 น.
Counter : 336 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.