การพลิกผันของธุรกิจจาก Digital disruption กับการอยู่รอดขององค์กร โดย พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รอง



ตั้งแต่ปี 2000 องค์กรส่วนใหญ่ต้องประสบกับภาวะล้มละลาย ถูกซื้อกิจการ ควบรวมกิจการ หรือต้องหยุดดำเนินการไป เหตุผลหลักๆที่องค์กรหรือบริษัทเหล่านั้นต้องหายออกไปจากตลาดหรือประสบกับภาวะล้มละลาย ก็เนื่องมาจาก “technology disruptions” ซึ่งกำลังมีบทบาทอย่างมากในการที่เข้ามาพลิกผันอุตสาหกรรมทุกอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในหลายๆอุตสาหกรรมนับจากนี้

นวัตกรรมด้านดิจิทัลได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักในแทบจะทุกอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการต่างเริ่มแข่งขันกันเพื่อตอบสนองต่อธุรกิจในรูปแบบ Startups เช่น Uber ที่เข้ามา disrupt ธุรกิจแบบดั้งเดิม โดยอาศัยความรวดเร็ว และนวัตกรรมของรูปแบบธุรกิจ ซึ่งองค์กรธุรกิจส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีความคิดสร้างสรรค์ และต้อง disrupt กระบวนการภายในเพื่อความรวดเร็วในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

ลำดับขั้นตอนของการเกิด disruption มี 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกคือ Onset หรือการเริ่มโจมตี ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายในปีแรกที่เกิด disruption ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากการเข้ามาของธุรกิจ Startup ที่เริ่มเข้ามา disrupt โดยการนำเทคโนโลยีใหม่หรือรูปแบบธุรกิจใหม่ที่มีการใช้เทคโนโลยี เข้ามาสู่อุตสาหกรรม ขั้นตอนถัดไปคือ Spread  มักจะเกิดขึ้นภายหลังจากการเกิด disruption ประมาณ 2 – 3 ปี ซึ่งในขั้นตอนนี้ ผู้ที่เข้ามา disrupt (disruptor) จะเริ่มเติบโตขึ้นและเป็นที่นิยม และเริ่มมีผู้ให้บริการหลายรายที่ใช้กลยุทธ์แบบ Me too โดยการเลียนแบบ disruptor  ขั้นตอนสุดท้ายคือ Mainstream Adoption คือเมื่อเกิดการ disruption ไปแล้ว ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 4 ปี จนกลายเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมโดยทั่วไป

ส่วนใหญ่พบว่า หลายๆองค์กร มักจะตอบสนองต่อการเกิด Digital disruption ภายหลังจากเกิดการ disrupt ไปแล้ว 2 ปี มีบางส่วนเท่านั้นที่ตอบสนองหลังจากเกิดการ disrupt ไปแล้วมากกว่า 4 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การ disrupt เริ่มเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมแล้ว

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล แต่องค์กรส่วนใหญ่มักจะมีวงจรของการตัดสินใจล่าช้ากว่าวงจรของเทคโนโลยี ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นมีการตอบสนองที่ล่าช้า ได้แก่

(1) การมีวงจรการตัดสินใจที่ล่าช้า : วิธีการแบบดั้งเดิมที่องค์กรใช้ในการออกแบบการเปลี่ยนแปลง เช่น การประชุมเชิงกลยุทธ์ประจำปี ซึ่งจะไม่สะดวกสำหรับโลกในยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างรวดเร็วและไม่มีรูปแบบตายตัว วงจรทางเทคโนโลยีที่สั้นกว่าวงจรการตัดสินใจขององค์กร กลายเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการยากที่องค์กรต่างๆ จะสามารถค้นหาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วนี้ได้ และอาจส่งผลต่อการสูญสียความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในที่สุด

(2) ความพึงพอใจรูปแบบธุรกิจในปัจจุบัน : หนึ่งในความท้าทายในการตอบสนองต่อการ disruption ก็คือความพึงพอใจในรูปแบบธุรกิจเดิมที่มีอยู่ เมื่อเกิดการ disruption ขึ้น องค์กรต่างๆจะต้องหาแนวทางรับมือเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสามารถเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ซึ่งจะเป็นการยากหากมีการยึดติดการที่ประสบความสำเร็จจากรูปแบบธุรกิจแบบเก่าอยู่ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่องค์กรยังพึงพอใจกับรูปแบบธุรกิจเดิมๆ ก็คือการบริหารจัดการที่นิ่งอยู่กับที่ และรู้สึกว่าองค์กรอาจจะประสบกับความล้มเหลวหากต้องมีการเปลี่ยนแปลง

อย่างเช่นกรณีของ RIM/Blackberry ที่เคยเป็นผู้นำในการใช้ Push mail ที่มีความปลอดภัย บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานในระดับองค์กร ในขณะที่ RIM ยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ของตัวเองอยู่นั้น ทาง Apple ก็ได้ปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งก็คือ iPhone ที่มีฟังก์ชัน email ที่สะดวก ใช้งานง่าย ไปจนถึงมีเครื่องมือที่เกือบจะเหมือนกับการใช้งานบน PC จนทำให้ผู้ใช้งาน Blackberry หลายรายเริ่มที่จะเปลี่ยนไปใช้ iPhone มากขึ้น ซึ่งเดิมที RIM ยังเชื่อว่าการเป็นผู้นำตลาดนั้นไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ แต่แนวโน้มของการนำอุปกรณ์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน หรือ Bring Your Own Device และการเติบโตของสมาร์ทโฟน ถือเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ จนทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ Blackberry ลดลงอย่างรวดเร็วจากร้อยละ 20 ในไตรมาส 1 ปี 2009 เหลือเพียงร้อยละ 0.8 ในไตรมาส 3 ปี 2014

(3) ความกลัวที่จะเกิดการแย่งลูกค้าระหว่างสินค้าหรือบริการ (cannibalization) ในธุรกิจเดียวกัน : สิ่งที่เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ cannibalization สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการต้องออกจากตลาดด้วย “นวัตกรรม” ซึ่งปรากฎการณ์ cannibalization นี้จะลดยอดขายของสินค้าเดิมที่มีอยู่ของบริษัท โดยการออกสินค้าใหม่อีกตัวหนึ่งที่เหมือนกัน อย่างเช่นในกรณีของโกดัก ที่เป็นผู้ริเริ่มในการถ่ายภาพ และการคิดค้นกล้องดิจิทัลรายแรกของโลกในปี 1975 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งของโกดักก็คือธุรกิจฟิลม์ แต่ก็ประสบความล้มเหลวในเวลาต่อมา ประกอบกับโกดักที่มีสิทธิบัตรเกี่ยวกับการถ่ายภาพดิจิทัลมากที่สุด แต่ไม่ได้นำมาทำเป็นเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง เนื่องจากกลัวว่าการถ่ายภาพดิจิทัลจะเข้ามากินส่วนแบ่งตลาดธุรกิจฟิล์มของตัวเอง ในขณะที่มีผู้ประกอบการรายอื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้ใช้สิทธิบัติเทคโนโลยีของโกดัก และนำมาทำเป็นเชิงพาณิชย์ ซึ่งทำให้โกดักไม่ได้เป็นผู้นำตลาดในเรื่องกล้องดิจิทัล อีกทั้งโกดักยังคงเน้นที่จะลงทุนในเทคโนโลยีฟิล์มอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 1980 – 1990 ในขณะที่ฟูจิค่อยๆถอนตัวออกจากธุรกิจฟิล์ม และทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในองค์กร ทั้งทางด้านการเงินและทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับเทคโนโลยีดิจิทัล โดยในปี 2003 ฟูจิฟิล์มมีห้องปฏิบัติการด้านดิจิทัล กว่า 5,000 แห่ง ตามร้านค้าในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่โกดักมีเพียง 1009 แห่งเท่านั้นเองในเวลานั้น

บริษัทที่นำเอากลยุทธ์ Cannibalization นี้มาใช้ได้ประสบผลสำเร็จ ก็คือ Apple ที่สามารถออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น iPod, iPhone, iPad, iWatch เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่งสามารถกินส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์อีกชนิดหนึ่งในบริษัทได้ เช่น iPhone เข้ามากินส่วนแบ่งตลาด iPod เป็นต้น โดย CEO ของ Apple กล่าวว่า “เราไม่เคยกลัวปรากฎการณ์ Cannibalization แต่ถ้าเราไม่เริ่มต้นทำแล้ว คนอื่นก็อาจจะทำและกลายเป็นผู้นำแทนเรา

(4) Lower Margins in the Transition : ในอุตสาหกรรมที่ธุรกิจดิจิทัลมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าธุรกิจแบบดั้งเดิม การนำเอาแนวทางดิจิทัลมาใช้ทำให้สามารถประมาณการรายได้ในอนาคตขององค์กรได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างเช่นอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ ซึ่งอาศัยเงินสนับสนุนจากการลงโฆษณา เพื่อมาชดเชยรายได้ที่ลดลง การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ที่อัตราการโฆษณาเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น และส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำกำไร ซึ่งสามารถทำให้เกิดโอกาสสำหรับรูปแบบธุรกิจใหม่และแหล่งที่มาของรายได้จากเทคโนโลยีดิจิทัล

หนึ่งในองค์กรที่ประสบความสำเร็จกับความท้าทายนี้ คือ Financial Times ซึ่งสองในสามของผู้อ่าน Financial Times คือลูกค้าออนไลน์ โดยมีผู้อ่านผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ร้อยละ 50 ของผู้อ่านออนไลน์ทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 20 ของผู้สมัครสมาชิกรับข้อมูลดิจิทัล เหตุผลสำคัญที่ผู้บริหารทางการตลาดของ Financial Times คิดอยู่เสมอ ก็คือ การสร้างแบรนด์ที่มีเนื้อหาคุณภาพสูง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เป็นหนังสือพิมพ์

(5) ไม่มีการปรับทรัพยากรที่สำคัญให้สอดคล้องกับโอกาส : ทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรส่วนใหญ่ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อทั้งฝ่ายการผลิต การให้บริการ และหน่วยธุรกิจ ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่มักจะไม่ต้องการให้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ลดลง เนื่องจากกลัวว่าอำนาจจะลดลง แต่แท้จริงแล้ว การปรับให้องค์กรมีขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นั้นถือเป็นความท้าทายอย่างมากขององค์กร เมื่อเกิด digital disruptions ขึ้น

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2560 20:56:14 น.
Counter : 308 Pageviews.  

การยกเลิกสมาชิกภาพในสหภาพยุโรป โดย ดร. เชิดชัย ขันธ์นะภา



ใช่แล้วครับ  คราวนี้จะกล่าวถึง BREXIT หรือการถอนตัวของประเทศสหราชอาณาจักรออกจากการรวมตัว ทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ปรากฏการณ์นี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญ สำหรับ ทั้งอังกฤษเอง และสำหรับโลก  ดังนั้นจึงสมควรพิจารณาอย่างถ่องแท้ และอาจมีการกล่าวพาดพิงขยายกรอบ บ้าง

BREXIT ถูกมองว่าเป็นข่าวในการสร้างกระแสโลกในช่วงนี้ (ค.ศ. 2016-2017) เกี่ยวกับปฏิกิริยาในสังคม ต่อ แนวโน้มและกระบวนการโลกาภิวัตน์ เพราะBREXIT คือการหันหลังให้กับกระแสรวมตัวและโลกาภิวัตน์ เป็นการยืนยันว่า หน่วยที่เรียกว่ารัฐ หรือ ประเทศ จะยังเป็นหน่วยหลักของโครงสร้างทางการเมืองของโลก ไม่ใช่กลุ่มประเทศ และไม่ใช่สมาคมประเทศ หรือหน่วยประกอบอื่นใดที่จะสามารถถือได้ว่าเป็นฐานหลักบน หน่วยที่มีสถานะเป็นรัฐ

แต่ในการเข้าร่วมในสหภาพยุโรป ผู้เข้าต้องปรับบทบาทของตนเกี่ยวกับความเป็นอิสระและการดำเนินตนเอง ซึ่งต้องประสานสัมพันธ์และอยู่ภายใต้การชี้นำและการกำกับของ"สหภาพ"  จึงมีประเด็นของความเป็นอิสระและ อธิปไตยของประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง  หลายประเทศเห็นว่าการเข้ามารวมตัวกันแบบ EU นั้นสร้างความเข้มแข็ง ให้ทางเศรษฐกิจ เพราะเกิดพลังจาก"ความประหยัดของขนาด (economy of scale)" ซึ่งสร้างความเขัมแข็งให้ กับการผลิตทางเศรษฐกิจ เพราะสามารถทำการลงทุนแบบมีต้นทุนต่ำได้ (อาศัยว่ามีขนาดของตลาดที่กว้าง ใหญ่ก่อน) ความสามารถนี้จะทำให้ GDP ของ EU มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก เท่าเทียม GDP ของสหรัฐอเมริกาได้ (สหรัฐฯเป็นประเทศเดี่ยว จึงง่ายที่จะวางกฎเกณฑ์ให้เกิดการประสานงานระหว่างมลรัฐได้ง่ายกว่าจับประเทศ อิสระสมาชิกของ EU มาประสานงานกัน)  ดังนั้น ประเด็นของขนาดของตลาด (ซึ่งอาจวัดได้หยาบๆโดย พิจารณาจำนวนประชากร โครงสร้างอายุของประชากรทั้งหมด และ กำลังซื้อของคน) จึงเป็นข้อพิจารณาเบื้อง ต้นเกี่ยวกับการเข้ารวมกับกลุ่มประเทศเพื่อความเข้มแข็ง ซึ่งประเทศอาเซียนก็ใช้ตรรกะนี้เช่นกัน ในการวาง นโยบายแห่งการเข้ามาจับมือกันในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะในประเด็นขนาดของตลาดที่ใหญ่ที่จะเป็น ปัจจัยดึงดูดสำหรับนักลงทุนจากเศรษฐกิจใหญ่ๆ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ประเทศจากยุโรปตะวันตก ฯลฯ

ในประเด็นถัดไป การสร้างพลังทางเศรษฐกิจจากการรวมกลุ่มกันนั้น ต้องมีการป้องกันการเอาเปรียบกันเอง โดยต้องคำนืงถึงกำแพงภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าและบริการจากภายนอก จะต้องเป็นอัตราเดียวกันเพื่อปิด ทางเลือกจากประเทศข้างนอกกลุ่มเจาะตลาดของกลุ่มโดยบำเข้าณจุดที่ระดับภาษีศุลกากรตำ่ที่สุด  ปัญหานี้ เป็นปัญหาใหญ่ ก็คิดดู ในกลุ่มอาเซียน ประเทศอินโดนีเซียยังพึ่งภาษีศุลกากรในระดับที่ไม่ต่ำเพื่อการบริหาร ประเทศ แต่สิงคโปร์ไม่เก็บภาษีศุลกากร เพราะตนเองผลิตสินค้าบริการแบบอินโดนีเซียไม่ได้  แต่ต้องบริโภค สินค้าบริการเหล่านั้น (เช่น สินค้าเกษตร และ อุตสาหกรรมอาหาร)  กำแพงภาษืร่วมกันของกลุ่มอาเซียนจะ เจรจาได้ยากมาก เพราะผลประโยชน์ของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน

กรณีBREXIT ก็มีปัญหาการที่อังกฤษต้องร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรที่ฝรั่งเศษ สเปญ อิตาลี   และสมาชิกอื่น ผลิต มากมาย และเขาต้องดูแลเกษตรกรของเขา แต่สินค้าเกษตรพวกนี้ อังกฤษผลิตน้อยและเกษตรกรอังกฤษไม่ พึ่งพาการอุดหนุนจากรัฐมาก  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้การรวมกลุ่มเป็นสมาคมหรือสหภาพมีข้อต่อรองที่ ต้องเจรจากันตลอดเวลา ซึ่งสรุปได้ว่า ชาวนาฝรั่งเศษรำ่รวยโดยมีเงินอุดหนุนมาจากผู้ประกอบการอังกฤษ เท่า นี้ก็เป็นปมทางการเมืองที่ ทำให้มีความระหองระแหงกันได้ทุกขณะ

ญี่ปุ่นก็อุดหนุนชาวนาของเขาจนรำ่รวยเหมือนกัน  แต่ที่ญี่ปุ่นทำ ทำโดยไม่ได้ใช้กลไก"สหภาพ"/"สมาคม"ร่วม กับประเทศอื่น ญี่ปุ่นใช้รายได้จากฟากอุตสาหกรรมมาอุดหนุนรายได้ให้เกษตรของตน ซึ่งไต้หวันและเกาหลีใต้ ก็ใช้"โมเดล"นี้ดูแลความเป็นอยู่ของเกษตรกรของตนเช่นกัน

ส่วนกลุ่มอาเซียน ยังไม่มีอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง จึงมองหาช่องทางที่จะดึงผู้ลงทุนมาจากประเทศที่ใหญ่โตมาส ร้างอุตสาหกรรมให้ตน  และอ้างว่าถ้าสร้างภาพว่าตลาดอาเซียนโดยรวมมีขนาดใหญ่ "ผู้ลงทุน"เหล่านั้นก็อาจจะมาสร้างอุตสาหกรรมในอาเซียน เป็นความสำเร็จได้ แต่คิดหรือว่า"ผู้ลงทุน"เหล่านั้นจะเซื่องต่ออาเซียนสถาน เดียว "ผู้ลงทุน"เหล่านั้นก็มีแผนซ้อนแผนได้ เช่น อาศัยการเปิดประตูให้เป็นการเจาะตลาดๆนั้นไปเลย (ทำนอง ยกม้าTROJANให้อาเซียน)  เพราะฉะนั้น รถยนต์ญี่ปุ่นที่ผลิตในอาเซียนก็คือการเจาะตลาดอาเซียน อย่าไป ภูมิใจว่าอาเซียนผลิตรถยนต์ได้มากมาย ถ้าญี่ปุ่นบีบรัดกระแสเทคโนโลยีที่ไหลมา อุตสาหกรรมรถยนต์ใน อาเซียนก็เหี่ยวลงอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น สินค้า"อาเซียน" ดูในสถิติ เหมือนกับเข้าตีตลาดยุโรปและสหรัฐฯ แต่ถ้าดูให้ดีๆโดยไม่หลอกตัวเอง สินค้าที่ตีตลาดยุโรปและสหรัฐฯคือสินค้าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ไต้หวัน ที่ อาเซียนได้จากสินค้าพวกนั้นมีแต่ค่าแรงงาน กับค่าเช่าที่ดิน แม้แต่กำไรส่วนทุนก็ตกเป็นของ"ผู้ลงทุน"ไป

ในกรณีBREXIT ในกรอบของสหภาพยุโรป  อุตสาหกรรมของเยอรมันีเข้มแข็งที่สุด สกุลเงินอังกฤษ ซึ่งเป็น สัญลักษณ์ของความเป็นไทของอังกฤษ ก็กำลังถูกดูดเข้าไปอยู่ใต้เงินยูโร ซึ่ง  ทุกคนก็เห็นแล้วว่าอยู่ภายใต้การบริหารและชี้นำของเยอรมันีมากขึ้นๆ

แต่ ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อังกฤษไม่ยอมร่วมหัวจมท้ายกับEU ต่อไป ก็คือการผสมเผ่าพันธ์ อย่างเสรี ภายใต้การต้องยินยอมให้แรงงานเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี  ผนวกกับการสำแดงอิทธิฤทธิ์ของนัก ปกครองจากBRUSSELS"เมืองหลวงของสหภาพยุโรป"

แล้วในอาเซียน มีสถานการณ์แบบนั้นไหม ขณะนี้ในอาเซียนยังไม่เกิดปรากฏการณ์ที่ชัดเจนเช่นนั้น แต่มีการปู ทางเอาไว้แล้วบ้าง กล่าวคือ "นักปกครอง"เชื้ออาเซียนก็คงจะอยู่แถวๆ ASEAN Secretariat ซึ่งเป็นกลุ่มมือ อาชีพที่จะอ้างว่าบริหารงานในนาม"อาเซียน" ซึ่งรัฐบาลที่กรุงเทพฯอยู่ภายใต้พันธะ(?)ที่ต้องฟังและปฏิบัติตาม กติกา

กรณีBREXITได้สร้างแรงกระเพื่อมว่าอาจมีประเทศสมาชิกอื่นของEUดำเนินการถอนตัวแบบสหราชอาณาจักร เพราะฉะนั้นจากบทเรียนนี้ ก็อาจถามได้ว่า การรวมตัวของกลุ่มอาเซียน โดยเห็นได้ว่าถอดแบบมาจากEU ดัง นั้น ถ้าวันใดในอนาคต บางประเทศอาเซียนรู้สึกรับไม่ได้แบบอังกฤษและถอนตัว  อาเซียนจะเดินต่อไปอย่างไร   อย่าลืมว่าลมกระแสโลกาภิวัตน์ที่พัดไป ก่อแล้ว ลมแอนตี้-โลกาภิวัตน์ ซึ่งเห็นได้กรณีทรัมพ์-จอมโดดเดี่ยวเดียว ดาย และ BREXIT (รวมทั้งกระบวนการเอียงขวาต่างๆที่แพร่กระจายอยู่ทั่วยุโรป)

เราเตรียมปรับตัวแล้วหรือยัง อย่ามัวแต่วนอยู่กับ ไทย 4.0 v. ไทย 0.4  ลมแอนตี้-โลกาภิวัตน์กำลังโหมมา ไทย ลนด์น่าจะหันไปทางขวาหน่อย (ไม่ใช่ใส่เครื่องแบบ) แต่ ควรMAKE THAILAND GREAT AGAIN  ใช่แล้ว ครับ ทำประเทศไทยให้ปรากฏอยู่ท่ามกลางจอเรดาห์โลกให้ชัดเจน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2560 0:23:36 น.
Counter : 279 Pageviews.  

เคล็ดลับไม่ต้องกลัว..ผิวเสียหน้าร้อน ผ.ศ. (พิเศษ) ดร. อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภา



หน้าร้อนนี้ หนุ่มๆสาวๆก็มีอาจกังวลกลัวผิวเสีย กลัวแดดร้อน บางคนที่หนีร้อนไปเที่ยวทะเล กลับมาทีไรก็จะเจอปัญหาผิวเสียได้เช่นกัน วันนี้มีเคล็ดลับเตรียมพร้อมผิวให้สู้แสง สู้ความร้อนช่วงหน้าร้อน จาก ผศ.พ.ญ. สุวิรากร โอภาสวงศ์ แพทย์ผิวหนัง ผู้อำนวยการคลินิกสยามเดอร์มาติกส์ และ ประธานกิจกรรมการสังคม สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย มาฝาก

พบว่าปกติปัญหาผิวเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากการไปทะเล ไปว่ายน้ำหรือตากแดดหน้าร้อนที่พบบ่อย ได้แก่ ผิวไหม้ ผิวคล้ำ ผื่นคันและอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา สำหรับปัญหาผิวพรรณส่วนใหญ่ที่หนุ่มสาวส่วนใหญ่กังวลใจมาก คือ ผิวไหม้ ผิวคล้ำ เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผิวหนังเกิดจากการอยู่กลางแจ้งตลอดวัน ต้องโดนแสงแดดตลอด แม้ว่าจะเป็นวันที่อากาศดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน ก็ยังมีรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต ชึ่งเป็นตัวการทำให้ผิวเสียอยู่ เพราะแสงแดดประกอบด้วยแสงที่เรามองเห็นในช่วงความยาวคลื่น 400-700 นาโนเมตร คือ สีรุ้ง 7 สีที่เรารู้จักดี นอกจากนี้ยังมีรังสีอินฟราเรด ที่เป็นคลื่นที่ทำให้เรารู้สึกร้อนและที่สำคัญสุดคือ รังสี UV หรือ อุลตร้าไวโอเล็ต ซึ่งประกอบด้วย UV A และ UV B ตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเราไหม้และหมองได้แก่ UV B ส่วน UV A จะทำให้ผิวคล้ำ ดำ และเกิดริ้วรอยและฝ้าตามมาได้

เตรียมตัวก่อนเล่นไปทะเล

• ควรเลือกเล่นน้ำเวลาบ่ายไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงรังสี UV สูงโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-15.00 น. จะมีรังสี UV มากที่สุด

• ก่อนลงทะเลเล่นน้ำควรเลือกยากันแดดที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB (broad - spectrum coverage) โดยดูที่ค่า SPF และ PA สำหรับ SPF เป็นค่าที่บอกความสามารถในการป้องกัน UVB ที่ทำให้ผิวไหม้ขึ้นไป ส่วน PA หรือ UVA protection factor (UVA-PF) เป็นตัวเลขที่บอกถึงประสิทธิภาพการปกป้องผิวคล้ำผิวไหม้จากแสง UVA ควรเลือกใช้ยากันแดดที่มีค่า PA ++ ถึง PA +++ ไม่ว่าจะอยู่ในที่กลางแจ้งหรือที่ร่มเพราะแสง UVA สามารถทะลุผ่านกระจกรถ กระจกตามอาคารบ้านเรือนได้ด้วย

• ควรเลือกยากันแดดที่มีความทนน้ำ ทนเหงื่อได้ (water resistant) โดยเฉพาะผู้ที่จะไปเล่นน้ำ และควรต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้มีประสิทธิภาพกันแดดสูงสุด

• ควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด สวมหมวก แว่นกันแดด นอกจากจะกัน UV

• ควรดื่มน้ำสะอาดมากๆให้พอเพียง เพื่อทดแทนการเสียเหงื่อจากความร้อนช่วงนี้

• ควรรับประทานผักและผลไม้ที่สารต้านอนุมูลอิสระ มากๆ

วิธีทายากันแดดที่ถูกต้อง

ควรศึกษาวิธีทายากันแดดที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้ข้างหลอดหือขวด ควรทายาในปริมาณที่ถูกต้องและตามระยะเวลาที่เหมาะสม ดังนี้

• ปริมาณที่แนะนำ สำหรับการทาทั่วร่างกาย คือ ปริมาณ 1 ออนซ์ เทียบเท่า 30 ซีซี 30 กรัม 6 ช้อนชา หรือ 2 ช้อนโต๊ะ สำหรับการทาทั่วใบหน้ารวมทั้งใบหูทั้ง 2 ข้าง คือ ประมาณ 1.3 ซีซี 1.3 กรัม หรือ ประมาณบีบยากันแดดมาปริมาณเต็มส่วนปลายข้อนิ้วมือ

• ระยะเวลาที่เหมาะสม คือ ควรทาก่อนออกแดด 30 นาที อีกทั้งต้องทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงในขณะที่ยังคงอยู่กลางแจ้ง หรือทาซ้ำทันทีหลังจากที่เหงื่อออกหรือขึ้นจากสระว่ายน้ำ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดตามที่ระบุไว้ข้างหลอด

• ควรทายากันแดดให้ครอบคลุมบริเวณคอ หน้า ใบหู แขน ขา หลังเท้า ซึ่งเป็นบริเวณที่มักไม่มีเสื้อผ้าปกคลุม ถ้าเป็นคนที่มีผมบาง ศีรษะล้าน ควรทายากันแดดที่ศีรษะด้วย

• หากมีปัญหาเรื่องการใช้ให้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์

การฟื้นฟูผิวพรรณหลังตากแดด

1. ถ้าตากแดดเป็นเวลานานและมีอาการปวดแสบปวดร้อนที่ผิว โดยเฉพาะที่บริเวณแผ่นหลัง หัวไหล่ และใบหน้า ควรลดอุณหภูมิผิวหนังด้วยการประคบน้ำแข็งบริเวณที่แสบร้อนหรือใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นประคบบริเวณที่แสบทันที

2. ถ้ามีว่านหางจรเข้สดให้ใช้ส่วนที่เป็นวุ้นใสๆโดยปอกเปลือกเขียวออก ล้างเอายางออกให้หมดแล้วเอาส่วนวุ้นมาประคบบริเวณผิวหนังที่แสบร้อน

3. ให้ทาโลชั่นให้ผิวชุ่มชื้น และใช้ยากันแดด ปกป้องผิวไหม้แดดต่อไป

4. ให้อาบน้ำเย็น และงดการขัดหรือลอกผิว

5. ให้ดื่มน้ำสะอาดมากๆเพื่อลดความร้อน

6. รับประทานวิตามิน ซี หรือ สารต้านอนุมูลอิสระอื่นจากผัก น้ำผลไม้หรือผลไม้สดมากๆ

7. หากมีผื่น หรืออาการแสบร้อน ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม

เพียงแค่การเตรียมตัวที่เหมาะสม ก่อนไปทะเลหน้าร้อนนี้ คุณก็สามารถลดการเกิดปัญหาผิวพรรณที่จะตามมาได้ ขอให้เที่ยวให้สนุก เดินทางปลอดภัยกันทุกคน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2560 20:43:03 น.
Counter : 399 Pageviews.  

"มูลนิธิเมาไม่ขับ" ชวนคนไทยเปิดไฟหน้ารถ รณรงค์สัปดาห์ความปลอดภัยทางถนน 8-14 พ.ค.นี้



นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า ​ในระหว่างวันที่ 8-14 พฤษภาคม 2560 องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้เป็นสัปดาห์ความปลอดภัยทางถนน โดยเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกได้จัดกิจกรรมเชิญชวนประชาชนในประเทศของตน หยุดพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่ยานพาหนะ เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งในปีนี้องค์การสหประชาชาติ ได้ย้ำเน้นถึงเรื่องความเร็วเป็นหลัก โดยใช้สโลแกนว่า SAVE LIVES SLOW  DOWN ทั้งนี้ มูลนิธิเมาไม่ขับ จึงอยากขอเชิญชวนรณรงค์ให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะทุกคนร่วมกันเปิดไฟหน้ารถตอนกลางวัน ตลอดสัปดาห์เพื่อแสดงออกถึงสัญลักษณ์ในการลดพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่รถบนท้องถนน

นายแพทย์แท้จริง เปิดเผยอีกว่า  มูลนิธิเมาไม่ขับ ยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐ ภาคเอกชน อาทิ องค์การสหประชาชาติ เจษฎา เทคนิค มิวเซียม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ บริษัท เอพี ฮอนด้า จำกัด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ฯลฯ จัดกิจกรรมปล่อยขบวนรณรงค์สัปดาห์ความปลอดภัยทางถนน ในวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2560 เวลา 9.00 น. ที่หน้าอาคารสำนักงานองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ โดยมีขบวนรณรงค์ประกอบด้วย อาทิ รถยนต์โบราณ จากเจษฎา เทคนิค มิวเซียม รถจากศูนย์ ขับขี่ปลอดภัย บริษัท เอพี ฮอนด้า จำกัด รถกู้ภัยจากมูลนิธิฯ รถจากกลุ่มอาสาจักรยาน

เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวด้วยว่า สำหรับรถที่เข้าร่วมทุกคันจะเปิดไฟหน้ารถ เพื่อร่วมแสดงออกถึงสัญลักษณ์ในการรณรงค์สัปดาห์ความปลอดภัยทางถนน เพื่อร่วมกับประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติทั่วโลก โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อเชิญชวนประชาชน ร่วมกันหยุดพฤติกรรมเสี่ยงในการขับขี่ยานพาหนะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ขับขี่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อก ขับรถย้อนศร ง่วงแล้วขับ ทั้งนี้ มูลนิธิเมาไม่ขับขอเรียนเชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนกิจกรรมในครั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ด้วยการเปิดไฟหน้ารถของตัวเองในวันที่ 8-14 พฤษภาคม 2560 เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2560 18:12:51 น.
Counter : 453 Pageviews.  

กทม.เชิญชวนทุกภาคส่วน ร่วมประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอ



วันที่ 5 พ.ค. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการถวายความจงรักภักดี และแสดงความอาลัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ จึงมอบหมายให้สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร จัดทำดอกไม้จันทน์พร้อมเปิดสอนแก่ประชาชน โดยเป็นดอกไม้จันทน์ที่ประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น เปลือกข้าวโพด ผักตบชวา ใบตองแห้ง ใบยางพารา กระดาษสา ฯลฯ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ถึง 5 พ.ค.2560 มีประชาชนจิตอาสาร่วมจัดทำดอกไม้จันทน์เพื่อถวายพ่อหลวง ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง รวมทั้งสิ้น 9,894 คน จำนวนดอกไม้จันทน์ 43,434 ดอก

พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กทม.ยังได้เปิดสอนการทำดอกไม้จันทน์ที่โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร จำนวน 10 แห่ง ระหว่างวันจันทร์–ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-15.00 น. ประกอบด้วย

1. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ดินแดง 1) เขตดินแดง โทร. 0 2246 1592

2. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ดินแดง 2) เขตดินแดง โทร. 0 2246 5769

3. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (บางรัก) เขตบางรัก โทร. 0 2236 6929

4. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (บ่อนไก่) เขตปทุมวัน โทร. 0 2251 7950

5. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (คลองเตย) เขตคลองเตย โทร. 0 2350 1344

6. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (อาทร สังขะวัฒนะ) เขตทุ่งครุ โทร. 0 2246 3653

7. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (กาญจนสิงหาสน์ฯ) เขตตลิ่งชัน โทร. 0 2410 1012

8. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ม้วน บำรุงศิลป์) เขตลาดพร้าว โทร. 0 2514 1840

9. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (หลวงพ่อทวีศักดิ์ฯ) เขตหนองแขม โทร. 0 2429 3573

10. โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (หนองจอก) เขตหนองจอก โทร. 0 2326 6531         

ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 ศูนย์ ประกอบด้วย

1. อาคารโกลด์มาร์เก็ต เขตจตุจักร เปิดสอนวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-14.00 น. โทร. 08 2582 8055

2. ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร อาคารศูนย์การค้าไอที สแควร์ เขตหลักสี่ เปิดสอนวันเสาร์-อาทิตย์ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. โทร. 08 4166 7694

3. ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร พระราม 3 (วัดด่าน) เขตยานนาวา เปิดสอนวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. โทร. 09 2365 5590

4. ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร วัดรางบัว เขตภาษีเจริญ เปิดสอนวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. โทร. 08 4166 7694

5. ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร ตลาดนัดธนบุรี (สนามหลวง 2) เขตทวีวัฒนา เปิดสอนวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. โทร. 09 1738 7226

"ในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือประชาชนที่ประสงค์จะบริจาควัสดุธรรมชาติที่สามารถนำมาประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ หรือจัดทำดอกไม้จันทน์มามอบให้กรุงเทพมหานครสำหรับประชาชนที่มาร่วมพระราชพิธีฯ เพิ่มเติม สามารถรวบรวมดอกไม้จันทน์นำมาส่งได้ที่กองส่งเสริมอาชีพ สำนักพัฒนาสังคม กทม. (ดินแดง) เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช"ผู้ว่าฯกทม. กล่าว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2560 15:12:47 น.
Counter : 409 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.