สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับการทูลเกล้าฯ เครื่องอิสริยาภรณ์จากรัฐทิโรลในออสเตรีย



วันที่ 17 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีไดัเสด็จพระราชดำเนิน เยือนเมืองอินส์บรุค สาธารณรัฐออสเตรีย ตามคำเชิญของรัฐสภารัฐทิโรล เพื่อทรงเข้ารับการทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องอิสริยาภรณ์ โกรสเซ่อ ทิโรลเลอร์ อาดเลอร์ ออร์เดนส์ (Großer Tiroler Adler-Orden) จากนายแฮร์วิก ฟาน ชตา (Mr.Herwig van Staa) ประธานรัฐสภาทิโรล โดยประธานรัฐสภาฯ ได้กล่าวชื่นชมที่ได้ทรงริเริ่มและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและรัฐทิโรลทั้งในด้านต่าง ทั้งด้านการศึกษาวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเศรษฐกิจการค้า ซึ่งได้มีบริษัทของรัฐทิโรลไปลงทุนที่ไทยรวมถึงพระปรีชาสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศ รวมถึงภาษาเยอรมัน ซึ่งเป็นที่เลื่องลือถึงรัฐทิโรลและได้ทรงมีพระราชดำรัสตอบเป็นภาษาเยอรมันว่า ทรงเปรียบรัฐทิโรลเป็นเสมือนบ้าน และทรงปรารถนาที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์นี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความร่วมมือระหว่างไทยและรัฐทิโรลในด้านต่าง ล้วนเป็นประโยชน์สำหรับสองฝ่าย สำหรับเครื่องอิสริยาภรณ์ที่ได้รับนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างไทยกับรัฐทิโรล และประชาชนชาวทิโรล

เครื่องอิสริยาภรณ์ โกรสเซ่อ ทิโรลเลอร์ อาดเลอร์ ออร์เดนส์ (Großer Tiroler Adler-Orden) เป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ลำดับสูงสุดที่รัฐทิโรลมอบให้แก่ชาวต่างชาติที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและสร้างคุณประโยชน์ในด้านต่าง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงใช้โอกาสนี้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการดำเนินงานของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ เมืองอินส์บรุค ซึ่งเริ่มเปิดทำการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2560เพื่อเสริมความสัมพันธ์ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรม รวมถึงภารกิจด้านกงสุลและการคุ้มครองดูแลคนไทยที่อยู่ในรัฐทิโรล หลังจากนั้น ได้เสด็จฯ เยือนสถาบันการตรวจคัดกรองด้านเวชศาสตร์แห่งออสเตรีย (Austrian Drug Screening Institute - ADSI) แห่งมหาวิทยาลัยอินส์บรุค และทรงรับฟังการดำเนินงานของสถาบันฯ ซึ่งมุ่งศึกษาวิจัยสมุนไพรชนิดต่าง เพื่อประโยชน์ในการผลิตยารักษาโรค อาหารเสริม และเครื่องสำอางค์ต่าง โดยปัจจุบัน สถาบัน ADSI มีความแลกเปลี่ยนกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยรังสิต


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2560 5:43:11 น.
Counter : 297 Pageviews.  

การประชุม OSCE Conference on Youth and Security โดยพ.ต.อ.(พิเศษ) ชัยทัศน์ รัตนพันธ์ุ



การประชุม OSCE Conference on Youth and Security ภายใต้หัวข้อ “Working with Youth for Youth: Strengthening security and cooperation online”  เมือง Malaga ราชอาณาจักรสเปน

สเปนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม OSCE Conference on Youth and Security ภายใต้หัวข้อ“Working with Youth for Youth: Strengthening security and cooperation online” ระหว่างวันที่๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เมือง Malaga ราชอาณาจักรสเปน

การประชุมฯ มีวัตถุประสงค์ให้เยาวชน (อายุ ๑๘-๒๙ ปี) จากประเทศสมาชิก OSCE และประเทศหุ้นส่วนเพื่อความร่วมมือได้มีโอกาสหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นที่เกี่ยวกับเยาวชนและความมั่นคง โดยจะเน้นการหารือในมิติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น กลุ่ม ตามหัวข้อ ดังนี้ () Youth, Peace and Security () Youth and social media: countering radicalization and extremism () Cybersecurity and the economic impact of malware () Youth Environmental Platforms: creating a sustainable world () Promoting tolerance and countering disinformation online และ () Youth Political Participation ทั้งนี้ การหารือ ทั้ง กลุ่มจะจัดในเวลาเดียวกัน และผู้เข้าร่วมจะสามารถเลือกเข้าร่วมการหารือได้เพียง กลุ่ม

• ผู้เข้าร่วมประชุมควรสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี โดยผู้จัดจะรับผิดชอบค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าเดินทางระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมในเมือง Malaga และขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมรับผิดชอบค่าเดินทางระหว่างประเทศด้วยตนเอง

• ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้าร่วม โปรดส่งประวัติย่อมาที่ asemthailand@gmail.com ภายในวันที่ ๑๒เมษายน ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ประเทศไทยสามารถส่งผู้เข้าร่วมประชุมได้ คน

อนึ่ง องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe – OSCE)  ก่อตั้งขึ้นในยุคสงครามเย็นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้านความมั่นคงใน ด้านหลัก คือ ) ด้านการเมืองและการทหาร ) ด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม และ ) ด้านความมั่นคงในมิติมนุษย์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรียปัจจุบันมีสมาชิก ๕๗ ประเทศ และประเทศหุ้นส่วนเพื่อความร่วมมือ (Partners for Cooperation) อีก ๑๑ประเทศ แบ่งเป็นฝ่ายเมดิเตอร์เรเนียน ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย อียิปต์ อิสราเอล จอร์แดน โมร็อกโกและตูนิเซีย ฝ่ายเอเชีย ประเทศ ได้แก่ อัฟกานิสถาน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย.

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 22 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 22 พฤษภาคม 2560 3:13:27 น.
Counter : 356 Pageviews.  

ติดกล้องหน้ารถยนต์ ได้ส่วนลด'เบี้ยประกัน' แล้ว มีผลตั้งแต่ 19 พ.ค.60



ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งนายทะเบียน เรื่องให้ใช้อัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ สำหรับรถยนต์ ที่ติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดภายในรถ ได้รับส่วนลดร้อยละ 5-10 ของเบี้ยประกันภัยสุทธิ มีนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง มีเงื่อนไขให้แสดงหลักฐานภาพถ่ายการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด เพื่อเอาประกันในเวลาทำสัญญาประกันภัย และต้องติดตั้งไว้ตลอดระยะเวลา มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ 19 ..2560 เป็นต้นไป.


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 21 พฤษภาคม 2560 14:43:28 น.
Counter : 238 Pageviews.  

เด็กไทยคว้า 3 รางวัล จากบนเวทีประกวดโครงการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก “อินเทล ไอเซฟ 2017”



เด็กไทยกวาด 3 รางวัลในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก The Intel International Science and Engineering Fair 2017 (Intel ISEF) จากโครงการ การย่อยสลายโฟมด้วยหนอนนกยักษ์,พัฒนาเซลล์สารกึ่งตัวนำสำหรับกำจัดสีย้อมอุตสาหกรรม,สารควบคุมวงจรการเกิดโรคใบหงิกในมะเขือเทศพันธุ์สีดา

 

เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2560 - นายสุวรงค์ วงษ์ศิริ รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวถึงการนำเยาวชนไทย 12 ทีมเดินทางไปเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก The Intel International Science and Engineering Fair 2017 (Intel ISEF) โดยการผลึกกำลังของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กับสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระหว่างวันที่ 14 – 19 พฤษภาคม 2560 ที่นครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ในปีนี้เยาวชนไทยคว้ารางวัลจากเวทีนี้ได้ 3 รางวัล

สำหรับรางวัลที่ได้รับ ได้แก่ 1. รางวัลที่ 4 สาขาสัตวศาสตร์ จากโครงงาน “การย่อยสลายโฟมโดยตัวอ่อนแมลงปีกแข็งชนิด Zophobasmorio (หนอนนกยักษ์)” ซึ่งเป็นผลงานของนางสาวนุชวรา มูลแก้ว และนางสาวจิตรานุช ไชยราช นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง

2. รางวัลที่ 4 สาขาเคมี จากโครงงาน “การพัฒนาเซลล์สารกึ่งตัวนำสำหรับกำจัดสีย้อมอุตสาหกรรมในสภาวะคลื่นแสงวิสิเบิลโดยกระบวนการโฟโตอิเล็กโตรคะตะไรซิส” ผลงานของนางสาวปรียาภรณ์ กันดี นางสาวณิชากรณ์ เขียวขำ และนางสาวพิมพ์โพยม สุดเจริญ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี

3. รางวัลสเปเชี่ยล อวอร์ด ด้านนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สาขาพืชศาสตร์ ซึ่งมอบให้โดย มอนซานโต้ (Monsanto Company) บริษัทยักษใหญ่ข้ามชาติด้านเกษตรเคมีและเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตร หนึ่งในผู้สนับสนุนการประกวดของเวทีนี้ โดยโครงงานที่ได้รับรางวัลนี้คือ “สารชีวภาพของสารสกัดหยาบจากหญ้าสาบแร้ง ควบคุมสาเหตุวงจรการเกิดโรคใบหงิกในมะเขือเทศพันธุ์สีดา” ผลงานของนางสาวนฤภร แพงมา นางสาวจรรยพร โกฏิมนัสวนิขย์ และนายวิชชากร นันทัยเกื้อกูล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาขอนแก่น (ฝ่ายมัธยมศึกษา) มอดินแดง

นายสุวรงค์ฯ กล่าวต่อไปว่า ทั้ง 3 รางวัลที่เด็กไทยคว้ามาได้ในปีนี้ ยืนยันได้ถึงความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของคนไทยที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผ่านเวทีที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดเวทีหนึ่งของโลก ขอขอบคุณในความพยายามและความทุ่มเทของเยาวชนและครูอาจารย์ทุกคนที่ร่วมเดินทางมาปฏิบัติภารกิจเพื่อสร้างชื่อให้กับประเทศไทยในครั้งนี้ ไม่ว่าทีมใดจะได้หรือไม่ได้รางวัล แต่ก็ถือได้ว่าทุกคนได้ทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทยได้อย่างดีเยี่ยมที่สุดแล้ว

นางสาวนุชวรา มูลแก้ว กล่าวว่า โครงงาน “การย่อยสลายโฟมโดยตัวอ่อนแมลงปีกแข็งชนิด Zophobasmorio (หนอนนกยักษ์)” ที่มาจากการที่พวกตนเห็นว่าปัญหาด้านมลพิษจากขยะมีมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะขยะประเภทโฟม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 100 ปี กว่าจะย่อยสลายได้ จึงอยากหาวิธีการกำจัดโพลีสไตรีนโฟมโดยการย่อยสลายด้วยกระบวนการทางชีวภาพ และได้ ศึกษาจากงานวิจัยพบว่า แบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของหนอนนกสามารถย่อยสลายพลาสติกโพลีสไตรีนได้ โดยหนอนนกเป็นตัวอ่อนของแมลงปีกแข็งชนิด Tenebriomolitor อยู่ในวงศ์ Tenebrionidae ซึ่งพวกตนก็ได้พบว่าในท้องถิ่นจังหวัดลำปางก็มีตัวอ่อนของแมลงปีกแข็งชนิด Zophobasmorio (หนอนนกยักษ์) ซึ่งอยู่ในวงศ์ Tenebrionidae เช่นเดียวกัน จึงได้นำมาศึกษาทดลองจนพบว่า หนอนนกยักษ์สามารถกินและย่อยสลายโพลีสไตรีนโฟมและยังทำให้โครงสร้างโพลีสไตรีนโฟมเปลี่ยนไปได้ ซึ่งจะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหามลพิษที่เกิดขึ้น โดยการย่อยสลายด้วยกระบวนการทางชีวภาพ

ด้านนางสาวปรียาภรณ์ กันดี อธิบายถึงความเป็นมาของโครงงาน “การพัฒนาเซลล์สารกึ่งตัวนำสำหรับกำจัดสีย้อมอุตสาหกรรมในสภาวะคลื่นแสงวิสิเบิลโดยกระบวนการโฟโตอิเล็กโตรคะตะไรซิส” ว่า การปล่อยน้ำเสียหลังจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอมักพบการเจือปนของสีย้อม เป็นเหตุให้เกิดปัญหาในการกำจัดสีย้อม เนื่องจากสีย้อมมีโมเลกุลขนาดเล็ก ไม่สามารถกำจัดได้อย่างทั่วถึง ซึ่งกระบวนการกำจัดแบบเดิม เช่นการใช้แบคทีเรียและสารเคมีที่มีต้นทุนสูงและไม่สามารถใช้ซ้ำใหม่ได้ซึ่งเกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมระยะยาว พวกตนจึงได้พัฒนาขั้วไฟฟ้าเซลล์สารกึ่งตัวนำในการกำจัดสีย้อมอุตสาหกรรมในช่วงคลื่นวิสิเบิล โดยกระบวนการโฟโตอิเล็กโตรคะตะไรซิส (Photoelectrocatalysis) ซึ่งพบว่า มีประสิทธิภาพในการกำจัดสีย้อมสูง สามารถใช้งานซ้ำใหม่ได้ และยังเป็นการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทดแทนได้อีกด้วย

ในส่วนของ โครงงาน “สารชีวภาพของสารสกัดหยาบจากหญ้าสาบแร้ง ควบคุมสาเหตุวงจรการเกิดโรคใบหงิกในมะเขือเทศพันธุ์สีดา” นายวิชชากร นันทัยเกื้อกูล กล่าวว่า เพื่อลดการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช พวกตนจึงหาสารจากพืชวงศ์ Compositae ที่มีการรายงานฤทธิ์ทางชีวภาพว่าสามารถกำจัดไวรัส แมลง และวัชพืช ได้ และพบว่า “หญ้าสาบแร้ง” เป็นพืชที่เหมาะต่อการนำมาทำเป็นสารชีวภาพ โดยสารชีวภาพของสารสกัดหยาบจากหญ้าสาบแร้ง มีสารที่สามารถควบคุมสาเหตุวงจรการเกิดโรคใบหงิกเหลือง ในมะเขือเทศพันธุ์สีดาได้ ซึ่งจะสามารถลดการใช้สารเคมีสังเคราะห์ในการกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร เป็นการช่วยลดต้นทุน รวมถึงอันตรายจากสารเคมีที่จะเกิดต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมได้

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 21 พฤษภาคม 2560 11:08:49 น.
Counter : 380 Pageviews.  

One Belt One Road : จีนกับการสร้างเส้นทางสายไหมทางบกและทะเลขึ้นมาใหม่ : โดย เอนก เหล่าธรรมทัศน์



Fb เพจ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas ได้เขียนไว้ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2560 ว่า.....การประชุมสุดยอดของผู้นำหกสิบกว่าประเทศในเรื่อง One Belt One Road ย่อว่า OBOR ซึ่งจีนเป็นเจ้าภาพและหัวเรือใหญ่ เพิ่งจะจบสิ้นลง เนื้อหาการประชุมเป็นความริเริ่มร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า "เส้นทางสายไหมทางบก" (ย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า One Belt) กับ "เส้นทางสายไหมทางทะเล" (เรียกย่อว่า One Road) ขึ้นมาใหม่

 

ไทยเราแม้จะไม่มีนายกรัฐมนตรีไปร่วม แต่ก็ได้ส่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปร่วม วันนี้ผมขอขยายความและให้ความเห็นเพิ่มเกี่ยวกับ OBOR ซึ่งจะสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกยุคบูรพาภิวัตน์ที่มีจีนเป็นมหาอำนาจอันดับสองของโลก

แม้อเมริกามหามิตรยังเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกอยู่ในวันนี้ แต่ก็อยู่ห่างเราออกไปไกล ที่จริงอยู่ไกลเราที่สุดก็ว่าได้ในโลก เวลาก็ห่างกับเราอยู่ถึง 12 ชั่วโมง ในขณะที่จีนนั้น เวลาห่างจากเราเพียงสองชั่วโมง จัดเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง อยู่ห่างเราไปนิดเดียว จุดเหนือสุดของเราห่างจากจุดใต้สุดของจีน ถ้าวัดเป็นเส้นตรง คงจะราวร้อยกิโลเมตรเท่านั้นเอง

ในอดีตอันไกลโพ้นมาจนถึงเมื่อราวร้อยห้าสิบปีที่แล้วนี้ จีนได้อาศัยเส้นทางสายไหมทางบกและทะเลมาสร้างความร่ำรวยและยิ่งใหญ่ เชื่อมโยงผ่านการค้าทางไกล เข้ากับสามทวีป คือเอเชีย-ยุโรป-อัฟริกา อย่างใกล้ชิด

เส้นทางสายไหมทางบกมีมาไม่ต่ำกว่าสองพันปีแล้ว เส้นทางนี้ทำให้จีนส่งผ้าไหมแพรพรรณ ชา ถ้วยโถโอชาม เซรามิก เครื่องปั้นหรือเครื่องเคลือบดินเผา กระเบื้อง ไปขายยังดินแดนที่ปัจจุบันเป็นเอเชียกลาง เอเชียใต้ อิหร่าน ตุรกี แถบคอเคซัส ยูเครน โปแลนด์ รัสเซีย ประเทศยุโรปตะวันออก ยุโรปใต้ ไปจนถึงยุโรปตะวันตกได้อย่างค่อนข้างสะดวก

ยามใดที่จีนเข้มแข็งมีศูนย์กลางอำนาจชัดเจน ทางสายไหมก็รับใช้พ่อค้า นักเดินทาง นักลำเลียง สัตว์ต่าง โดยเฉพาะอูฐ ได้อย่างดี ขนส่งสินค้า ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก หรือกลับกัน ได้เป็นอย่างดี แต่ ยามใดที่บรรดา"อนารยชนจากทุ่งหญ้า"เหนือขึ้นไป เข้ามายื้อแย่งหรือรบกวนเส้นทางนี้ การค้าทางไกลเชื่อมโยงเอเชียกับยุโรปนี้ ก็พลอยต้องหยุดหรือชะงักไป ยามที่อนารยชนถูกจีนปราบลง หรือ กลับกัน พวกนี้ยึดครองจีนได้สำเร็จ "เส้นทางสายไหมทางบก" ที่ซบเซาไปจากสงครามก็จะพลันฟื้นขึ้นมาอีก

ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานหลายพันปี เส้นทางสายไหมทางบกนี้ ไม่เพียงจะนำการค้า พ่อค้า พระ นักสอนศาสนา จากแผ่นดินทางตะวันตกมาให้จีน หากยังนำกองทัพ กองทหาร โดยเฉพาะทหารม้าที่ปราดเปรียวมาก และยิงธนู รวมทั้งธนูไฟ เก่ง"ปานเทพ" รุกเคลื่อนมายึดครองจีนได้เป็นพักๆเสมอ และแต่ละ"พัก" นี้ บางครั้งก็นานนับหลายศตวรรต เหตุฉะนั้น แนวคิดยุทธศาสตร์แต่ดั้งเดิมของจีนคือสร้างกำแพงยักษ์ยาวเหยียดคลุมทั้งประเทศยืนตระหง่านต้านศัตรูจากทางเหนือ ยิ่งกว่านั้น ในตอนหลัง พระจักรพรรดิและเมืองหลวงก็ต้องขยับขึ้นสูงมาประทับและตั้งมั่นอยู่ที่นครปักกิ่ง เตรียมรับศึกจากอนารยชนฝ่ายเหนือ

นั่นคือประวัติศาสตร์หลายพันปีตราบจนปลายศตวรรษที่ 18 อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 จีนกลับต้องเผชิญหน้ากับ "ศัตรูใหม่" ทางทะเล เส้นทางสายไหมทางทะเลบัดนี้นำมาซึ่งสินค้าจาก"ตะวันตก"พร้อมๆกับนำมาซึ่งกองเรือกลไฟฝรั่งทำด้วยเหล็กกล้าและติดปืนใหญ่ที่สามารถสยบปืนใหญ่ทุกกระบอกทุกประเภทที่จีนมีอยู่ได้สบายมือ เส้นทางสายไหมทางทะเล จากที่เคยนำความรุ่งเรืองมาให้จีน กลับนำภัยพิบัติมาเยือน จน เกือบสิ้นชาติสิ้นอารยธรรม เหตุวิกฤตใหญ่นี้เกิดอยู่ในราวกลางศตวรรษที่ 19 (จากสงครามฝิ่น) ถล่มทำลายบ้านเมือง และผลาญชีวิตผู้คนไปหลายสิบล้าน ทอดยาวมาจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 จึงได้ยุติลง ประเทศจีนใหม่สถาปนาได้สำเร็จ และประชาชาติจีนได้ลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

เส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล" นั้น ที่จริงแล้ว ก็คือการขยายตัวในทางการค้า ทางเกษตรกรรม ทางอุตสาหกรรม การลงทุน และ การเงิน ของจีน ไปสู่ "ทั่วโลกเก่า" อย่างมี "มหายุทธศาสตร์" จีนทำ OBOR ขึ้นมาด้วยความซาบซึ้งต่อประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหม และ ก็ ด้วยความเข้าใจในภูมิ-ยุทธศาสตร์ และ ภูมิ-รัฐศาสตร์ของโลกในยุค "บูรพาภิวัตน์" ด้วย

ถ้าจีนทำได้สำเร็จ คือ ไม่ใช่เอาแต่ตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่แค่หว่านเงิน ไม่ใช่แค่แจกหรือขอโครงการ หากด้วยการร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมทุน กับมหาอำนาจอื่นๆ และบรรดาประเทศบนเส้นทางสายไหม ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก รวยหรือจน จีนก็จะเป็นขั้วอำนาจใหญ่ในซีกตะวันออกของเส้นทางนี้ แต่จะว่าไปนี่ก็เป็นเพียงก้าวที่หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องยากนัก ที่ยากกว่าและสำคัญกว่า คือ จีนต้องใช้ปัญญา อดทน รอคอยได้ ยืดหยุ่นพลิกแพลง เฉลียวฉลาดและรับฟังประเทศอื่น ๆเสมอ ยอมแก้ไขบรรดาแผนการและโครงการได้เสมอ เช่นนั้นแล้ว จีนอาจจะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่ทั้งสาม "ทวีปเก่า" ของโลกล้วนยอมรับนับถือ

ถ้าทำได้ จีน ที่เพิ่งจะสร้าง "อภินิหาร" ให้โลกเห็นในการกระโดดใหญ่ก้าวพ้นจากความยากจนล้าหลังมาได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ ก็อาจจะสร้าง "อภินิหาร"รอบใหม่ได้อีก คือสามารถโดดเดี่ยวอเมริกา มหามิตรของเรา และ มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกให้จมติดที่หรือให้วนเวียนอยู่แต่ใน "ทวีปใหม่" อันเป็นที่ตั้งเท่านั้น

ในศตวรรษที่ 20 นั้น โลกได้เห็นสหรัฐใช้ยุทธศาสตร์ใหญ่ เอาทะเลและมหาสมุทรมาล้อมจีน ล้อมโซเวียต และล้อม "ยูเรเชีย" ซึ่งศัพท์คำหลังสุดนี้หมายถึงแผ่นดินใหญ่ที่รวมยุโรปกับเอเชียเอาไว้ด้วยกัน แต่ ติดตามต่อไปเถิด ศตวรรษที่ 21 นึ้ อาจเห็นจีนประสบความสำเร็จใช้ "เส้นทางสายไหมทางบกและทะเล" หรือ ใช้ ยุทธศาสตร์ One Belt One Road หรือ OBOR นี้ ตะล่อม หรือ รวบรวมเอาเอเชีย อัฟริกา ยุโรป เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมกับที่โดดเดี่ยวอเมริกาให้กลายเป็น "ประเทศสุดท้าย" เลียนแบบสำนวนของทรัมป์ แต่พลิกหัวเป็นหางเสีย คือ ทำให้เกิด "America Last" อเมริกาจะได้รับดอกผลแต่น้อย แต่ช้า ช้าที่สุด จากโลกใหม่ที่จีนจะออกแบบด้วยยุทธศาสตร์ One Belt One Road หรือ OBOR นี้เอง

ในเวลานี้ แน่นอน จีนย่อมจะพร่ำบอก และยืนยันต่อใครๆ ว่า OBOR ของตนนั้น ไม่ใช่ยุทธศาสตร์โลก อย่างมากก็เป็นเพียง soft power คล้ายกับการเดินเรือของแม่ทัพเจิ้งเหอที่ท่องสมุทรไปมาสองทวีปเอเชีย-อัฟริกาตะวันออกในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 เท่านั้น จีนจะชี้เสมอว่า OBOR นั้น เป็นเพียงเรื่องเศรษฐกิจ เป็นเพียงความร่วมมือกับนานาประเทศ จีนไม่ได้คิดจะรวมกำลังกับใคร มิพักต้องไปพูดถึงการรวมสามทวีป เพื่อจะโดดเดี่ยวอเมริกา แต่ อย่าลืม ในขณะนี้จีนเข้มแข็งขึ้นปีต่อปีเดือนต่อเดือนในทางการทหาร เมื่อเดือนที่แล้วเอง ก็ปล่อยเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สองลงสู่น่านน้ำ มีข่าวจีนจะเปิดฐานทัพเรือนอกประเทศเป็นครั้งแรกในจิบูตี จีนทำเครื่องบินไอพ่นรบล่องหนได้แล้ว ทำเครื่องบินไอพ่นโดยสารขนาดใหญ่ได้แล้ว ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีนคำนวณได้มากและเร็วที่สุดในโลก แล้ว ขีปนาวุธจีนที่ยิงจากชายฝั่ง จากเรือเร็วลำเล็กตามชายฝั่ง หรือยิงขึ้นมาจากเรือดำน้ำ สามารถทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐได้อย่างง่ายดาย บรรดาเรื่องเหล่านี้ ทำให้เราประมาทไม่ได้ว่าจีนกำลังทำอะไร และจะทำอะไรกับเส้นทางสายไหม บก-ทะเล นี้ อยู่

การภายหน้าจะเป็นอย่างไร จีนจะทำเฉพาะตามที่พูดหรือเปล่า ต้องตามไปดูด้วยกัน แต่ก็ต้องตามอ่านตามคิดไปด้วย โลกเรามาถึงช่วงเวลาที่บรรดาศัพท์ใหม่ แนวคิดใหม ทฤษฎีใหม่กระบวนทัศน์ใหม่ มีมากเหลือเกิน ในวันนี้ One Belt One Road หรือ OBOR อาจสำคัญไม่น้อยไปกว่า "ฉันทามติวอชิงตัน" หรือ World Bank หรือ IMF ในยุคนี้เราจะสนใจแต่เพียงว่า " Trump ว่ายังไง ทำอะไร" รวมทั้ง " America First" คืออะไร หรือ ว่า "Brexit" จะนำมาซึ่งอะไร หรือ "E- Commerce" จะขยายตัวเร็วแค่ไหนหรือ เรื่องประเภท "Cyber-" ทั้งหลาย แค่นั้น เห็นจะไม่ได้เสียแล้ว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2560    
Last Update : 21 พฤษภาคม 2560 8:10:01 น.
Counter : 283 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.