ถึงพวกมันจะมีตา แต่ไม่มีหัวใจจึงไม่ใยดีต่อแววตาแห่งความเจ็บปวดของร่างที่หายใจเหนื่อยอ่อนบนพื้นกระดานฉันกัดฟันแน่นเมื่อความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์ น้ำตาหลั่งรินอาบแก้มเพราะความกลัวหัวใจเต้นระริก ตัวสั่นเทิ้ม พวกมันเป็นใครกันถึงได้กระทำการกับฉัน คนที่ไร้ทางสู้มีแค่มือเปล่า
อยู่เฉย ๆ เดี๋ยวก็ดีเอง
คำพูดของชายร่างหนา สูงใหญ่มีหนวดเคราขึ้นตามแนวแนวกราม ดวงตาเรียวชี้ขึ้น ขนานไปกับเส้นคิ้ว หนึ่งในสองของผู้บุกรุกเตือนฉันด้วยใบหน้าเหยียดและฉันรู้จักมันดี
พลตรีผยอง มันยืนมองฉันด้วยสายตาเวทนาไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่ฉันเคยยกมือไหว้ทำความเคารพจะมีจิตใจสกปรกได้ถึงเพียงนี้เสียดายความนับถือที่เคยมีให้
ไอ้เลว แกทำ... ทำแบบนี้ทำไม...ฉันพยายามออกแรงถาม ที่ปลายตายังปากกระบอกปืนเล็งมาไม่มีที่ท่าจะลดระดับ
ไอ้ผยองยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากตัวเอง จุ๊ๆ แม่หนู แม่หนู พูดจาให้ไพเราะหน่อนสิจ๊ะฉันไม่อยากปลิดชีวิตเด็กนักเรียนแพทย์ที่ชาติกำลังขาดแคลนอย่างเธอหรอกนะแค่เธอนอนนิ่ง ๆ ผ่อนลมหายใจ ช้า ๆ ก็ช่วยให้ไม่ตายเร็ว เธอเรียนแพทย์ น่าจะรู้ดี
ฉันนอนหงายกัดฟันอดทนกับความเจ็บกดมือลงบนบาดแผลหวังให้เลือดที่ไหลทะลักล้นจนเปลี่ยนเสื้อสีนักศึกษาขาวเป็นสีแดงฉานพี่มั่น... ปากเรียกหาพี่ชายเสียงเบา แต่ใจหนึ่งก็อยากให้เขาหนีไปน้ำตาแห่งความเจ็บปวดหลั่งริน
นี่น่ะหรือความเจ็บของคนที่ถูกยิงหากไม่ได้รู้สึกด้วยตัวเอง ก็คงไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ป่วยบางคนถึงทนพิษบาดแผลไม่ไหวฉันนอนหงาย หายใจให้ช้าลง แต่สายตายังมองที่ปลายปืนด้วยจิตใจหวาด นิ้วชี้ของมือใหญ่อูมยังเตรียมพร้อมประจำการในตำเหน่งไกหากได้รับคำสั่งจากนาย มันคงลั่นกระสุนใส่ฉันทันทีให้กลิ่นเขม่าของดินปืนลอยล่องในอากาศ
เสียงกระทืบบันไดไม้ดังใกล้เข้ามา...
ฉันสะลึมสะลือตื่นขึ้นภายในห้องเพดานสีเทา กลิ่นแอมโมเนียฉุนกึกแตะจมูกปลุกประสาทการรับรู้ให้ฟื้นขึ้นทีละนิด
ที่นี่คือโรงหมอ พี่มั่นฉันมารักษาตัวที่นี่ด้วยความทุลักทุเลหลังจากที่ไอ้ผยองพาร่างใหญ่ของมันกับพวกออกไปอะไรคือสิ่งที่พวกมันต้องการแล้วทหารระดับชั้นพลเรือนอย่างพี่มั่นไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนพวกนั้น
แต่ในบทสนทนามีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ฉันประหวั่นพรั่นพรึงมีคนตาย พวกเขาพูดถึงความตายของนักข่าว
ใช่ มันอยู่กับกูอยู่ที่นี่
เสียงกระซิบกระซาบที่ได้ยินทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้แต่ร่างกายของฉันยังคงแข็งทื่อจากฤทธิ์ยาชาที่ยังเหลืออยู่จึงหลับตารอเวลาให้สารเคมีในร่างกายเสื่อมสลายอานุภาพของมัน
กูทำตามที่มึงบอกแล้วที่เหลือก็คอยดูกัน
มึงไม่ต้องให้อะไรกูไม่รับ และถึงกูจะเกลียดไอ้เดโชแค่ไหน กูก็ไม่อยากให้ใครตะ...
เสียงกระซิบเงียบไปทดแทนด้วยเสียงย่ำเท้าที่ใกล้เข้าในทีแรกฉันไม่รู้ทำไมต้องใจสั่น แต่เจ้าของเสียงกระซิบนั้นก็ให้คำตอบฉันได้ในวินาทีต่อมาเปลือกตาของฉันถูกเลิกขึ้น เป็นเหตุให้ดวงตาตอบสนองแสงไฟฉายที่ส่องกระทบอัตโนมัติ
เขาดับไฟฉายใช้สองแขนค้ำเตียงผู้ป่วยขนาบร่างสั่นของฉัน จ้องเขม็ง เอ่ยถามเสียงเบา เธอ...ได้ยินอะไรบ้าง
ฉันเม้มปากส่ายหน้า ดวงตาคงฉายแววความหวาดกลัวชัดเจน ชายที่ใส่เสื้อคลุมผ่าตัดสีเขียวจึงคลี่ยิ้มบางดี ไม่ได้ยินอะไรก็ดี
เขายกแขนทั้งสองขึ้นหันหยิบถาดโลหะยกขึ้นให้ฉันดูลูกกระสุนเปื้อนเลือด เฉียดกระเพาะไปนิดเดียวเท่านั้นไอ้ล่ำยังแม่นปืนเหมือนเดิม
นั่นเขากำลังชื่นชมคนที่ส่งลูกปืนวิ่งผ่าผนังช่องท้องของฉันอยู่หรือรอยยิ้มที่มุมปากทำให้ฉันระแวง พี่ชายของฉันอยู่ไหน ฉันรีบถามหาคนของฉัน
มันนั่งรอเธออยู่ข้างนอกถอดเสื้อคลุมออกแล้วคว้าถาดโลหะใส่กระสุนขึ้นไว้ในมือ แล้วเหมือนจะผลักประตูออกไปแต่เอี้ยวหน้าปรายตามองฉันแวบหนึ่งราวกับมีบางสิ่งคลางแคลงอยู่ในใจ เธอจะได้ยินหรือไม่ได้ยินอะไรก็แล้วตาม...แต่เราไม่อาจเชื่อทุกสิ่งได้แค่หูฟัง
คำพูดที่ไม่รู้จุดประสงค์การพูดแน่ชัดความถูกทิ้งไว้ในห้องหลังเขาก้าวออกไปฉันกลับมานอนหงายมองเพดานอีกครั้งนาฬิการุ่นโบราณอายุมากกว่าสองปีแกว่งตุ้มของมันเป็นจังหวะ จากซ้ายไปขวาจากขวามาซ้าย การแกว่งไปมาสลับขั้วสลับข้างส่งผลให้ฟันเฟืองหมุนส่งเข็มนาทีให้เดินหน้าต่อไป
กลไกนาฬิกาตุ้มโบราณเคยเป็นมายังไงความคิดของคนรุ่นใหม่ก็เป็นแบบนั้น ไม่เคยมีตรงกลาง มีแต่ซ้ายกับขวานักศึกษาแพทย์อย่างฉันก็เช่นกัน
นักศึกษาอย่างพวกเราต้องแสดงความชัดเจน!
คำประกาศของนักศึกษาผู้ต่อต้านรัฐบาลดังทั่วจัตุรัสเสรีชัยในวันก่อนเหตุการณ์แตกหักของแผ่นดิน
ท่ามกลางฝูงชนที่เรียกร้องการทบทวนนโยบายรวมรัฐกับเมแกนของรัฐไทยะบุรีภายใต้การนำของนายพันเดโชฉันเดินตามหมู่ชนคอยยกเครื่องมือบันทึกภาพเก็บภาพการเคลื่อนขบวนของผู้นำคนรุ่นใหม่ที่กำลังป่าวประกาศความคิดของตนผ่านเครื่องขยายเสียงติดรถระบบต้นแรงดึงดูดโลกลอยเหนือพื้นดิน
เห็นความมุ่งมั่น สัมผัสแรงฮึกเหิมและยินเสียงอุดมการณ์
ฉันมองเหล่าแขนของนักสู้ปัญญาชนชูขึ้นเพื่อแสดงสัญลักษณ์สายรัดข้อมือพิราบขาวผ่านเลนส์ช่างเป็นภาพที่ปลุกปั่นหัวใจให้อยากวางกล้องลงแล้วชูแขนทั้งสองตาม
ทว่า... นั่นเป็นสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์พาไปที่จากภาพหน้าเลนส์แต่ความคิดของฉันที่อยู่หลังเลนส์นั้น สวนทางกับพวกเขาโดยสิ้นเชิง
เสียงข้อความเข้าดังจากเครื่องรับสัญญาณโทรศัพท์ในรูปแบบนาฬิกาข้อมือฉันก้มลงมองเห็นข้อความถูกส่งเป็นภาพนิ่ง จึงเดินเลี่ยงออกจากฝูงชน หามุมลับตา
ฉันกดปุ่มดูภาพถ่ายจากหน้าจอนาฬิกาให้ภาพจากเครื่องรับสัญญาณฉายในมวลอากาศคลี่ยิ้มเมื่อเห็นจุตรัสเสรีชัยที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่มวลชนคล้ายกับดวงนางฟ้ากำลังมองลงมายังพื้นดิน
มุมกล้องมุมสูงนี้ดูสงบแตกต่างจากมุมกล้องแสนวุ่นวายที่ฉันอยู่มากนัก
ข้างล่างเป็นไงบ้าง
ไฟกำลังลุกเลยล่ะ ข้างบนล่ะเป็นไงตอบเขาไปแล้วอมยิ้มเมื่อใช้สองนิ้วขยายภาพจากมุมกล้องของเขาดู ในหมู่ฝูงชนมีตัวฉันเองกำลังยกกล้องส่องในมุมที่แตกต่าง
เย็นอย่างกับน้ำแข็ง ปลายสายตอบกลับมา
ฉันอมยิ้มขำขัน พวกเขาไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือ
นิ่งอย่างเดียว คงจะปล่อยให้พวกนั้นเดินเรียกร้องไปก่อน ตอนนี้กำลังเจรจาเงื่อนไขรวมรัฐกับผู้นำเมแกนท่าทางจะเครียดหนัก
ฉันพ่นลมหายใจก้าวขาพาตัวเองออกห่างจากเสียงโห่ร้องเซ็งแซ่เพื่อได้ยินเสียงปลายทางมากกว่านี้ นายพันจะทำแน่ใช่ไหมแล้วผู้นำเมแกนเขายื่นข้อเสนออะไรบ้าง
ปลายทางหัวเราะในลำคอให้ฟังแต่ไม่มีคำตอบ ฉันลอบยิ้ม รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรคราวนี้จะให้ฉันทำอะไรอีกล่ะครั้งก่อนฉันก็จดเลคเชอร์วิชากายภาพทั้งเทอมให้นายแล้วนะ
ก็...ไม่มากไม่มาย...
ฉันพ่นลมหานใจส่ายหน้ากับตัวเองอย่างระอา เพราะเสียงนั้นดูมีลับลมคมนัย จะให้ทำอะไรก็ว่ามา
ฉันอยากให้เธอ...
ฉันเงี่ยหูฟังเดินให้ห่างจากเสียงฝูงชนมากที่สุด
คบ...กับ... ฉัน...
นี่...นาย...
ฉันชอบเธอนะมิ่ง
แต่เรา...เป็นเพื่อนกัน หัวใจฉันเต้นแรงและดังกว่าเสียงผู้นำปัญญาชนตรงกลางจัตุรัสนั่น
ฉันไม่เคยคิดกับเธอแค่เพื่อนมานานแล้ว...และเธอก็คงไม่สังเกต เขาเงียบไปชั่วอึดใจ มิ่ง...เราคบกันนะ
ฉัน... เสียงของฉันหายไปอ้ำอึ้งกับความคิดของตัวเอง
ถ้าเธอยังไม่แน่ใจ...ในวันที่ไทยะกับเมแกนรวมชาติกัน... วันนั้นเธอให้คำตอบฉันได้ไหม
ฉันสูดหายใจเข้าถามตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเพื่อนนักเรียนแพทย์คนนี้เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนชั้นปีแรก ให้ความช่วยเหลือกันและกันมาตลอดสนิทกันมาก เคยเมาหัวราน้ำมาด้วยกัน เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันเคยขึ้นวอร์ดด้วยกันเช้าชนเช้า ความสัมพันธ์ที่เรามีให้กันและกันมันเรียกว่าเพื่อนหรือไม่
ความหมายแววตาห่วงใยคู่นั้นท่อความหมายอะไรตลอดมาฉันไม่เคยรู้หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้กันแน่...
ภาพเคลื่อนไหวจากอุปกรณ์รับสัญญาณภาพที่ข้อมือฉายออกกลางอากาศเป็นภาพชายหนุ่มที่กำลังขอเลื่อนตำเหน่งเพื่อนไปสู่คนรัก
เขากำลังขยับปากช้าๆ เป็นคำพูดธรรมดา ๆ ที่ชายหนุ่มทุกคนอยากบอกผู้หญิงที่ไหลหลง แม้สัญญาณภาพจะขาด ๆหาย ๆ ตามการรบกวนของคลื่นแสงอาทิตย์ แต่ฉันก็อ่านปากของเขาได้
แต่...คำสามคำที่เขาเอ่ยออกมา กลับเป็นคำสามคำสุดท้ายในชีวิต
บรึ้ม !!!
อ๊ากกก !!!
กรี๊ด !!! ฉันกรีดร้องดัง ไม่นะ ไม่ขากระตุกวิ่งตรงดิ่งไปยังตึกใหญ่อันเป็นที่ทำการเจรจาการรวมชาติระหว่างไทยะบุรีกับเมแกนเห็นควันสีดำทะมึนลอยโขมงออกมา
เมื่อหลังเสียงระเบิดกึกก้องและเพลิงร้อนของมันลามไหม้ร่างของชายหนุ่มในสัญญาณภาพขาด ๆ หาย ๆ ดิ้นทุรนทุรายขอความช่วยเหลือ
มีผู้บุกรุก!
พวกชุมนุมบุกรุก !
เสียงจากคลื่นโทรศัพท์ยังดังต่อเนื่องสลับกับเสียงครวญครางขอความช่วยเหลือฉันวิ่งด้วยความเร็วทะลุฝ่าฝูงชนทีเดินกันอย่างสับสนวุ่นวาย ในอกร้อนรนปากตะโกนบอกขอความช่วยเหลือ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย มีคนเจ็บอยู่ในตึกสันติช่วยด้วย !
ทว่าทั้งเสียงพูดผ่านเครื่องขยายเสียงและเสียงของขบวนต่อต้านดังกลบเสียงของฉันให้เบาเท่าเสียงลมเปลวเพลิงจากตึกกระพือหนัก เสียงความวุ่นวายภายนอกก็โหมลามไปทั่วจัตุรัสเหล่าปัญญาชนผู้ตื่นตระหนกต่างวิ่งกันสับสนอลหม่านไร้ทิศทาง
บรึ้ม !!!
กรี๊ดดด !!!
ฉันย่อตัวก้มหลบเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนที่ตรงหน้าไฟสีส้มลุกลามไปทั่วอาณาบริเวณ
บรึ้ม !!!
เสียงระเบิดครั้งที่สองตามมาไม่ห่างคลื่นฝูงชนกระเด็นแตกกระจายตามพลังของเสียงกัมปนาท เพลิงไฟท่วมจากทุกทิศเสียงกรีดร้องดังรอบตัว ฉันกัดฟันลุกขึ้นวิ่งฝ่าด่านสวนทางมนุษย์ผู้มีปัญญาหัวใจหลุดลอยไปหาเขาที่กำลังร้องเรียกหาโหยหวนทรมาน
รอก่อนฉันกำลังไปช่วย ฉันร้องตะโกนบอกเขา ไม่รู้ว่าจะได้ยินไหมเมื่อขบวนประท้วงอย่างสันติเปลี่ยนเป็นการจลาจลเต็มรูปแบบ
ไอ้เดโชไอ้เดโชมันส่งหน่วยปราบจลาจลมาฆ่าพวกเรา !
ไอ้พวกต่อต้านบุกรุกเข้ามา !
ใครกันที่บุกรุกใครกันที่บงการจลาจล และใครกันที่ต้องการให้เกิดการแตกแยก ฉันไม่สนใจอีกต่อไปในหัวตอนนี้คือการไปช่วยเขา
เสียงเรียกหาหายไปหัวใจของฉันก็เช่นกัน รถหุ้มเกราะมากมายออกมาขวางกั้นกำแพงมนุษย์หุ้มเกราะสีดำตั้งด่านหนา ใบหน้าของพวกเขาเหล่ามนุษย์ติดอาวุธช่างถมึงทึงปลายปืนทุกกระบอกถูกยกขึ้นพร้อมเพรียง เสียงใบพัดของแมลงปอเหล็กดังทั่วน่านฟ้า
แต่เสียงเพรียกหาของเขา
มิ่...ง...
ผู้ชายที่ฉันเพิ่งรู้ตัวว่ารักก็สูญสิ้นดับหายไปชั่วนิรันดกาล
ฉันเงยหน้าร้องไห้กับท้องฟ้าหากบนนั้นมีใครก็ตามที่เฝ้ามองอยู่ อยากให้รู้ว่าคนบนแผ่นนี้กำลังร่ำไห้ร้องหาสันติสุขท่ามกลางไฟสงคราม
ฉันสะดุ้งเมื่อมีความอุ่นเกิดที่ปลายนิ้วและลามขึ้นมากอบกุมเต็มมือ ฉันสะบัดมือตัวเองจากการเกาะกุมมองมือหยาบหนาแรงจนกระปุกยาในมือตกยาน้ำสมานรอยแผลที่บรรจุภายในหกนองเต็มพื้นเตียง ทว่าเจ้าของมือยังไม่ยอมหยุดเขาใช้แขนแกร่งรวบตัวฉันเข้ากอดรัด
อย่าแตะต้องตัวฉันสั่งด้วยเสียงขึงขังกับแววตาจริงจัง
คงไม่น่าเกรงขามพอสำหรับผู้ชายคนนี้นายไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้ ถ้านายยังไม่ปล่อย ฉันบอกได้เลยโทษการล่วงละเมิดเพศตรงข้ามมันร้ายกว่าทะเลาะวิวาทนัก
รอยยิ้มที่กดตรงมุมปากนั่นทำให้ฉันของขึ้นเขาต้องสื่อความหมายแทนคำพูดว่าอยากท้าทายโทษสถานหนัก ปล่อยบอกเสียงเขียวอีกครั้ง เบนหน้าหลับตาหนีปลายจมูกโด่งเปื้อนสีที่เคลื่อนเข้ามา
อิ๊ด...อึ๋ง
คำพูดที่พยายามกลั่นออกจากช่องปากไร้ลิ้นถึงจะไม่เป็นคำที่ทำให้ฟังแล้วโรแมนติกอย่างในหนังฝรั่งมังค่า แต่ก็ทำให้หัวใจของผู้หญิงแข็งนอกอ่อนใจอย่างฉันเขว
ฉันไม่ใช่มิ่งคนเก่าที่จะให้นายหลอกใช้ง่ายปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ผลักไสใบหน้าที่ฉาบด้วยสีขาวของเขาให้ออกห่าง ปล่อยฉันได้แล้วถ้าเจ้าอิรวะดีรู้ว่านายแตะตัวฉัน นายจะเดือดร้อน
ไอ้อัว
ฉันส่งเสียงฮึดฮัดนายไม่กลัว แต่ฉันกลัว
อัวอั๋นอายอื๋อ
ฉันลอบยิ้มในใจนายตายน่ะสิดี แต่ไม่ตายแล้วลำบากให้ฉันต้องรักษาพยาบาลไปตลอดชีวิต
คำขู่นี้คงถูกใจผู้ชายนิสัยหยาบมากกว่าที่จะหวั่นเกรงจมูกโด่งนั้นจึงกดที่ต้นคอซุกไซ้หนักจนฉันครางประท้วง หยุดนะพี่เห่าเมียพี่คือซุน ไม่ใช่ฉัน อย่าทำกับฉันแบบนี้อีก
เขาจึงยอมหยุดปลายจมูกที่ซุกซนแต่ลมหายใจอุ่นนั่นยังเป่าใกล้ต้นคอทั้งไอร้อนผะผ่าวจากเนื้อกายเขาทำให้เนื้อตัวของฉันร้อนขึ้น
ซุนอยู่ที่เขตวังด้านในเป็นเขตหวงห้าม ถ้าไม่ใช่คนวังหลวงก็ไม่มีใครได้เข้าไป ฉันบอกสิ่งที่คิดว่าเขาต้องการรู้เป้าหมายของผู้ชายนี้จะเป็นอะไรได้ถ้าไม่มาตามหาผู้หญิงของตัวเอง แต่เขาเงียบไปนานไม่มีเสียงเล็ดลอดจากปากนอกจากเสียงทอดถอนลมหายใจ จึงหันสายตากลับไปมองเห็นแววตาอาทรในดวงตากร้านโลก
พี่รู้แล้วว่าซุนไม่ได้ตั้งใจหักหลังพี่พี่อภัยเธอแล้วใช่ไหม ไม่ควรเลยที่ฉันจะพูดแทนผู้หญิงอีกคนที่เขายกขึ้นเป็นภรรยาส่วนฉันเป็นเพียงความรักที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในห้องลับลึกสุดใจ
เขาปล่อยแขนออกแล้วลุกขึ้นจากเตียงไปเท้าแขนที่ขอบหน้าต่างจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมนักเดินทางราคาถูกจะมีทิวทัศน์อะไรให้น่ามอง มีแต่เสียงคนเมาเคล้าเสียงเพลงจากสถานบันเทิงเริงรมย์ที่มีไว้บริการชายกำหนัดตามเขตชายแดนการค้าเสรีร่วมกับการค้าประเวณีที่ทำกันอย่างลับหลบสายตาผู้ตรวจการของเจ้าอิระวดี
แสงสลัวของไฟหัวเตียงราคาถูกส่องให้เห็นรอยแดงเป็นแนวยาวเต็มแผ่นหลังแกร่งหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปอาจเจ็บแสบจนขยับตัวไม่ไหว แต่กับชายคนนี้ เห่าดงผู้ที่ไม่เคยขยาดต่อความเจ็บรูปแบบใด ๆ
ฉันลุกขึ้นจากเตียงมองด้านหลังร่างสูงใหญ่ จดจำภาพให้ติดตาขึ้นใจก่อนจะเดินออกจากห้องพักโดยไม่เอ่ยคำลาเห่าดงอาจมาที่นี่เพื่อมาตามทวงคืนรักเก่าส่วนนายอีกคนนั้นมาที่นี่เพื่อเหตุผลอะไรความสงสัยทำให้ฉันมาหยุดเท้าที่หน้าห้องเสวยพระกระยาหาร
ได้ยินเสียงพระสรวลภายในก็อุ่นใจที่กลับมาทันก่อนที่เจ้าจะทรงออกจากห้องเสวยแล้วเรียกใช้งานฉันรีบเดินกลับเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว เปิดลิ้นชักตู้ไม้แกะสลักออกหยิบเอากระเป๋าหนังที่ลอบหยิบมาได้ระหว่างที่เห่าดงกับเพื่อนของเขากำลังชุลมุนตะลุมบอนที่ค่ายชายแดน
แม่มิ่งแม่มิ่งอยู่ในนั้นหรือเปล่า
ฉันสะดุ้งเฮือกรีบเก็บซองสีน้ำตาลเก่า ๆ กลับเข้ากระเป๋า แล้วยัดมันกลับเข้าไปในตู้ตามเดิม
โปรดพระราชทานอภัยที่หม่อมฉันให้เจ้าทรงรอฉันเปิดประตูไม้ ย่อเข่าถวายบังคม
ดูเจ้าร้อนรนเพิ่งกลับมาจากข้างนอกหรือ
ฉันก้มหัวหลีกทางให้เจ้าเสด็จเข้ามาให้ห้อง ส่วนฉันย่อตัวหมอบตรงที่ประตู เพคะฝ่าบาทหม่อมฉันออกเยี่ยมอาการคนไข้ ยังไม่ได้อาบน้ำจึงไม่ได้เข้าไปเข้าเฝ้าเจ้าที่ห้องเสวย
เรื่องนายใบ้นั่นถ้าไม่ใช่แม่มิ่งขอ ฉันคงจะสั่งให้โบยจนครบโทษ แม่มิ่งเป็นคนใจอ่อนรู้ก็รู้แล้วยังจะขอดูการทำโทษอีก เสียงพระราชดำรัสคล้ายตำหนิ
เพราะหม่อมฉันไม่ดีจึงทำให้เจ้าเดือดร้อนพระทัย แต่หม่อมฉันเห็นว่าเพื่อนของนายใบ้เป็นคนจากสมาพันธ์เขาอาจนำความไปบอกพวกของเขาแล้วจะทำให้เจ้าต้องทรงวุ่นวายขึ้นไปอีก
ถ้าแม่มิ่งคิดแบบนั้นฉันก็ขอบใจที่เป็นห่วง
ปลายพระบาทใกล้เข้าเกือบจรดปลายเส้นผมของฉันแต่ยังไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ เกรงว่าจะทรงจับสังเกตจากดวงตาหวั่น กดทรงพระหัตถ์เบาๆ บนศีรษะอย่างที่ทรงทำเสมอที่เสด็จมาที่ห้อง
แม่มิ่ง...แม่มิ่งเคยบอกว่ามาอยู่กับฉัน จะเป็นข้ารับใช้ของฉันแลกกับชีวิตใหม่ของแม่มิ่งและแม่ซุนฉันยังจำได้ และคิดว่าแม่มิ่งกับแม่ซุนจะทิ้งชีวิตเก่าไว้หลังกำแพงเมืองนั่นแล้วแม่มิ่งคือหมอหลวงในอาณัติของฉัน ส่วนแม่ซุนเป็นสนมเอกของฉัน หวังชีวิตใหม่ที่ฉันมอบให้จะทำให้ลืมทุกอย่างได้
หม่อมฉันไม่เคยลืมวันแรกที่ระเห็จมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารฝ่าบาทและมิ่งเชื่อว่าพระสนมก็คงคิดเช่นนั้น
ดีอย่าให้ฉันผิดหวัง
ฝ่าบาทก้าวออกจากธรณีประตูฉันยังคงหมอบแนบพื้นจนกว่าจะได้ยินเสียงประตูห้องพระบรรทมปิดลง บรรยากาศจึงปลอดโปร่งขึ้นจนอยากสูดลมหายใจเต็มปอดฉันมองไปที่ตู้ไม้สลักอีกครั้ง กระเป๋าหนังใบนั้นยังคงเก็บอย่างมิดชิด ส่วนเจ้าของกระเป๋านั้นคงกำลังกระวนกระวายใจอยู่ที่เรือนรับรองแขกเมืองเขาคงเฝ้ารอให้ของสำคัญกลับสู่อ้อมอกใจแทบขาด
ฉันพาร่างตัวเองไปที่เตียงนั่งกอดเข่าครุ่นคำนึงถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่อดีตอันทุกข์ทนระหว่างลี้ภัยแต่เป็นอดีตที่เคยใช้ชีวิตที่ภูผายา
บ้านเกิดเมืองนอนที่คงไม่มีโอกาสได้กลับไปนอนหนุนตักมารดา
ฉันกลายเป็นต้องโทษการเมืองของไทยะบุรีด้วยข้อหาคบคิดกับก่อกบฏ เป็นภัยต่อความสงบ ฉันหวนคิดถึงคำพูดของหมอ
เราไม่อาจเชื่อทุกสิ่งได้แค่หูฟัง
พวกเขาเชื่อคำพูดพกลมศาลของไทยะไม่มีเอกภาพพอที่จะตัดสินใจเองได้การพึ่งกฎหมายของสมาพันธ์กลายเป็นสิ่งการันตีความดีงามว่าพวกเขามีความยุติธรรมพอแล้ว ความยุติธรรมที่มาจากความเห็นชอบของผู้ตั้งตนอวดอ้างว่าเห็นแก่มนุษยชน
ทว่าในมุมมองของฉัน มันคือการเห็นแก่ตัว จะมองให้ตัวเองสูงหรือต่ำก็อยู่ความพอใจจะปรับมุมกล้องหาภาพถูกใจแม้ตัวแบบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยก็ตาม
ภาพจากนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าในวันนั้นยังตราตรึงในหัวเสียงสุดท้ายของชายหนุ่มที่บอกรักฉันยังฝังลึกในหัวใจ เขาตายจากโลกไปก่อนที่จะได้รู้ว่าไม่มีวันรวมชาติของเมแกนและไทยะบุรีเกิดขึ้นมีแต่วันรวมรัฐของสมาพันธ์ต่างหากที่จะอยู่ยืน
การรวมชาติที่ฉันเคยคิดว่าจะช่วยให้แผ่นดินสงบสุขเป็นแค่ฉากบังหน้าของพวกผีแร้งที่กำลังจ้องมองฝูงหมาขี้เรื้อนกัดกันให้ต่างฝ่ายต่างตายลงจมกองเลือดแห่งสงครามแล้วสุดท้ายผู้ที่ยืนเหนือศพเหล่านั้นจะได้เป็นผู้ลิ้มลองซากเนื้อตายช้า ๆ
หากหมอยังอยู่ฉันอยากจะบอกหมอว่า ฉันได้ยินเสียงกระซิบของหมอ ฉันรู้ว่าคำสุดท้ายก่อนที่เสียงหมอจะหายไปอะไรแม้ว่าสุดท้ายแล้ว เราจะยืนกันคนละฝ่าย แต่เราก็ไม่อยากให้ใครตายเหมือนกัน และฉันรู้ดีว่ากระสุนที่หมอเหนี่ยวไกยิงพี่ชายฉัน
มันไม่ได้ถูกจุดสำคัญเลยแม้แต่น้อย
เจิมๆๆๆ
ซะงั้น
ไม่ได้โดนจุดสำคัยเลย