นิยาย ท้องฟ้าพาใจ ตอนที่ 3 พาใจเช็คอีเมล์อีกครั้ง นุราเพื่อนของเธอยังไม่ตอบเมล์กลับมา นุราจ๋าเธอเดินทางท่องเที่ยวตามประสาเศรษฐีจนพอใจแล้ว เมื่อใดมีเวลาพักการใช้เงินตรา อ่านอีเมล์ของฉันที พาใจต้องการย้ายออกจากบ้านหลังนี้ โดยเร็ว เธอตกลงใจไม่ยุ่งเรื่องของคฤหาสน์นั้นอย่างเด็ดขาด เธอจะไปให้ไกล ระแวงเหลือเกินว่าหาก ยังอยู่ในละแวกเดียวกันคงมิวายทักทายกันจนได้ ไม่ว่าใครในบ้านหลังนั้นก็ตาม ถือว่าเป็นการเข้ายุ่งโดยปริยาย นุราเป็นเพื่อนแท้จริงของเธอ เธอจะทิ้งบ้านที่เพื่อนให้ช่วยดูแลไปโดยไม่บอกกล่าวนั้น ทำไม่ได้ นุราจ๋า รีบตอบกลับอีเมล์ฉันเสียเถอะ จะให้ฉันทำอย่างไร เพื่อนเอ๋ยเธอมีบ้านหลังอื่นๆ ให้ฉันเข้าไปดูแลแทน บ้านหลังนี้ อีกหรือไม่ หากมีช่วยเพื่อนคนนี้ประหยัดค่าเช่าได้อย่างมากเหลือ หากไม่ พาใจต้องยอมเสียค่าเช่าหาที่พักใหม่ เพื่อจะได้ไปไกลๆ จากวงศาตาแก่นั่น “พาใจ” เสียงเรียกพลันเธอปิดหน้าจออีเมล์ลง “พี่วานพิมพ์จดหมายให้ฉบับนะ ขอด่วนเลย” เจ้านายอีกคนของเธอถือกระดาษมีลายมือตวัดวางไว้บนโต๊ะไม่สนใจว่าบนโต๊ะเธอ เต็มไปด้วยกระดาษ เขียนด้วยลายมือีกหลายแผ่น “ขอบใจนะจ๊ะ” เจ้านายสาวส่งยิ้มหวานก่อนเดินหายไปจากสายตา ‘เจ้านายหลายคนเหลือเกินนะเรา’ เธอพึมพำกับตน เธอเป็นธุรการคนเดียวที่มีคนอยากใช้งานมากที่สุด ทำไมนะ เธอไม่ปฏิเสธงานไปบ้าง ทำดีคนอื่นก็ได้ดี ทำไม่ดีก็มีคนว่า งานมากงานน้อย เงินเดือนก็เท่าเดิม เลือกงานน้อยไม่ดีกว่าหรือพาใจ เธอพร่ำในใจโดยไม่เคยตอบคำถามตัวเองได้สักครั้ง ก้มหน้าทำงาน จนกระดาษทุกแผ่น หลายเป็นไฟล์จดหมาย หลังจากส่งอีเมล์ ให้เจ้านายแต่ละคน แล้ว เธอจึงมีเวลา ละสายตามองโดยรอบ พนักงานกลับบ้านหมดแล้ว เธอดูนาฬิกาบอกเวลาหกโมงกว่า เธอขยับตัวยื่นหน้ามองไปที่ห้องผู้จัดการ ไฟสว่าง อยางน้อยเธอไม่ได้มีงานเต็มโต๊ะคนเดียว พาใจเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน เสียงฝีเท้าทำให้ เธอมองอีกครั้ง ผู้จัดการเดินมาหาเธอ “จะกลับแล้วเหรอ” ชายสูงวัยกล่าวทัก พาใจได้แต่ยิ่มน้อยๆตามประสา เด็กไม่กล้าคุยกับเจ้านายตัวจริงแม้เห็นผู้จัดการทุกวันก็เถอะ การสั่งงานจะผ่านมาจากหัวหน้าของเธออีกที การคุยกับตรงๆทำให้ประหม่าอยู่บ้าง “กลับแล้วคะ” ผู้จัดการถือโอกาสนี้คุยกับพาใจ “พรุ่งนี้เธอต้องย้ายไปทำงานที่ชั้นบนนะ ไปพบคุณปกรณ์ฝ่ายบุคคลเขาจะจัดการเรื่องทุกอย่าง” พาใจงุนงงกับคำสนทนาของผู้จัดการ “ย้าย” “ใช่ ย้าย พรุ่งนี้ผมจะประกาศกับทุกคนที่นี่เอง ผมอยากคุยกับคุณก่อน” ผู้จัดการทำเหมือนเรื่องย้ายงาน เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับพาใจทุกวัน สนทนาจบก็ทำท่า จะกลับเข้าห้องไป “คือจะให้หนูย้ายไปทำอะไรละคะ” แจ้งย้ายงานกระทันหัน พาใจพอรับได้ งานที่เธอทำก็ไม่ได้มีสาระสำคัญกับแผนกสักเท่าไร แต่ย้ายไปทำหน้าที่ อะไรตำแหน่งไหน ตามมารยาทควรบอกกันก่อนอย่างน้อยก็ วันสองวันไม่ใช่ บอกตอนนี้พรุ่งนี้เริ่มงานใหม่ “งานไม่ยากเกินความสามารถหรอกน่า ไม่ต้องกังวล ชั้นบนนะชั้นบน” ผู้จัดการชี้นิ้วขึ้นเพดาน อนุมานชั้นบน ตอบซ้ำเหมือนไม่อยากตอบ หรือเธอต้องไปถามกับคุณปกรณ์ในวันพรุ่งนี้ จะทำอย่างไรดี เธอเบือนหน้าครุ่นคิด ครั้นหันจะถามต่อ ชะโงกหน้ามองหา ก็เห็นห้องผู้จัดการปิดไฟ และเจ้าของห้อง หายตัวไป เขาหนีคำถามเธอเป็นแน่ ทิ้งให้ในหัวพาใจเต็มไปด้วยคำถาม เธอขับรถกลับบ้าน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว ตลอดทางคิดว่าการย้ายงานตามที่ผู้จัดการคุยกับเธอ ย้ายไปทำอะไร เป็นลูกน้องใคร ว่าไปชั้นบน เป็นชั้นของบรรดาผู้บริหาร หรือจะให้เธอเป็นเลขา ถ้าใช่ก็บบอกว่าย้ายไปเป็นเลขา ก็สิ้นเรื่อง ทำไมต้องพูดล้บลมคมนัย พาใจชักหงุดหงิด เธอไม่ชอบให้ใครรู้ชีวิตของเธอล่วงหน้า เธอเท่านั้นจะเป็นคนกำหนดชีวิตของตัวเธอเอง ใกล้ถึงบ้าน เธอสังเกตุเห็นเยื้องหน้าประตูบ้าน มีรถจอดอยู่ หมู่บ้านนี้ไม่เคยมีการจอดรถหน้าบ้าน โดยยิ่งหน้าบ้านคนอื่น บ้านแต่ละหลังมีพื้นที่จอดรถเหลือเฟือ พาใจไม่สนใจ กดรีโมทเปิดประตู เธอมองรอยบุบและสีถลอกที่รั้ว รอยที่เธอต้องรีบเรียกช่างมาซ่อมให้เรียบร้อย พาใจเธอรับค่าซ่อมมาแล้ว หนึ่งล้านบาท จำไม่ได้หรือ เสียงเคาะกระจกรถ ทำเธอตกใจ หันไปพบว่าเป็นชายหนุ่มที่เธอไปบ้านเขาเมื่อหลายวันก่อน เธอลดกระจกลงอย่างไมตรี ยิ้มเล็กน้อยแสดงความยินดีที่ได้พบอีกครั้ง และเขายังไม่ทำร้ายตัวเอง “ผมมีเรื่องคุยกับคุณ” เสียงชายหนุ่มไม่ยินดี ทำเธอดึงยิ้มกลับ เขามิใช่หนุ่มสิ้นหวังที่เธอพบ ชายคนนี้คือหลานตาแก่เจ้าคฤหาสน์หลังนั้น พาใจเลี่อนกระจกรถขึ้น ไม่ปรารถนาสนทนาด้วย เขาเห็นเช่นนั้น ก็พลานโมโห ทุบกระจกเรียกให้คุยกับเขา “คุณ คุณ ผมพูดกับคุณอยู่นะ” พาใจเลื่อนรถได้เล็กน้อย ก็จำต้องเยียบเบรค เพราะหลานตาแก่ รุดยืนขวางหน้ารถไว้ แถมทุบ กระโปรงรถ เรียกเธอมิหยุดหย่อน “ลงมาคุยกับผมเดี๋ยวนี้” เขาส่งเสียงดังหน้าแดงอารมณ์เกรียวกราด พาใจคิดไปว่าก็น่ามองอยู่ เขาทุบรถสองสามครั้งก็หยุด ร่างเทวดาคงปรากฏ “เอาละคุณฟังนะ ผมมาคุยกับคุณเอง ผมสัญญาว่าคุณจะไม่เข้าไปยุ่งกับบ้านหลังนั้น” เขาชี้ไป สุดถนนเป็นอันรู้กันว่า คือคฤหาสน์หลังใหญ่ เขาจ้องหน้ารอปฏิกิริยาโต้ตอบ พาใจครุ่นคิดสักพักลดกระจกลง “ฉันฟังอยู่” “ผมว่าตรงนี้ไม่เหมาะ” ทั้งสองมาที่ทะเลสาบของหมู่บ้าน เขาเชิญเธอนั้งเก้าอี้สาธารณะ แต่เธอปฏิเสธ “คุณจะคุยกับฉันไม่นาน” พาใจบอกให้เขาใช้เวลาน้อยนิดที่เธอให้เร็วที่สุด เธอไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องใดๆอีก เขาที่ดึงเธอมาจากหน้าบ้านกลับไม่ยอมพูดขึ้นมาเฉยๆ นิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พาใจมองหน้าเขา เธอไม่มีเวลาเหลือเฟื้อให้กับเรื่องไร้สาระ เขาจะดึงตัวเธอมาทำไม ‘โอ้ย’ เธอร้องในใจ เธอไม่ยอมตกเป็นสิ่งของไร้ชีวิตจิตใจของคนในคฤหาสน์นั้นอีก เธอเดินกลับ เขาที่ดึงเธอมาก็ได้แต่ มองเธอเดินจากไป จะให้เขาพูดอะไรดีเล่าในเมื่อสิ่งที่เขาพูดนั้นมันจะเกิดผล ตามมาอย่างไรเขา ไม่อาจคาดเดา สิ่งที่อยากพูดมันค้านกับการกระทำของเขาเมื่อสักครู่ ผู้หญิงหน้าเงิน แต่หากเขาไม่พูด เขาจะมีตราผิดติดตัว หางตาเธอเห็นชายหนุ่มวิ่งมาขวางเธอไว้ พาใจหยุดเดิน เลี่ยงทางไม่มองหน้าเขา เธอไม่อยากมอง “ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็ตามให้ผมช่วย ผมยินดี” เธอได้ยิน แต่เดินผ่านเขาไปราวกับเขาไม่มีตัวตน คนยินดี จำต้องเดินตาม “ผมภานุภาพ อิทธิลักษณ์ ผมเป็นคนเดียวที่ช่วยคุณได้ ผมไม่ขออะไรตอบแทน แม้คุณอยาก เสนอก็ตาม” พาใจรีบเดินให้พ้น แต่มิวายเขายังตามเธอมา “จะเดินหนีทำไม ฟังผมก่อน คุณฟังความจริงไม่ได้ใช่ไหม” ชายหนุ่มโมโหอีกครั้ง เขามีเจตนาดี แต่คนที่เขาปฏิบัติด้วย เดินหนีอย่างเขาเป็นวิญญานร้าย บางที เธอคงช่วยเหลือตัวเองได้ เธอมีมารยามากมาย บัดเดี๋ยวแสร้งหัวเราะ บัดเดี๋ยวร้องไห้ เขาเองไม่รู้ว่าการเดินหนี เป็นมารยาขอเธออีกหรือเปล่า “ผมจะพูดครั้งสุดท้าย” พาใจเดินไม่สนใจสิ่งรอบตัว คนอะไรเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มิอยู่กับรองกับรอย “ผมยืนดีช่วยคุณทำงานใหม่ โดยไม่มีข้อแม้ใด” เขาตะโกนไล่หลัง เธอเดินกลับขึ้นรถ ขับออกไป เธอได้ยินทั้งหมด เขามีทั้งเจตนาดีและร้ายต่อเธอก็จริง แต่ทำไม ต้องให้เจตนาร้ายชี้นำเล่า ทำไมไม่ปล่อยให้เจตนาดีนำทางบ้าง การอยากให้ใครสักคนรับความช่วยเหลือมันต้องปรนด้วยเจตนาดีมิใช่หรือ เธอมีเรื่องวุ่นวายมากพอในช่วงนี้ สมองน้อยๆของเธอสั่งให้ขับรถจากมา |
บทความทั้งหมด
|