|
|||||
วันสบายที่ปลายด้ามขวาน @ นราธิวาส (EP1) หายหน้าหายตาไปนานเลย สวัสดีค่ะ หลายทริปเหลือเกินช่วงนี้ตั้งแต่เชียงราย มานราธิวาส ไปเชียงใหม่ ลงเบตง เพื่อน ๆ เริ่มปวดหัว เวลาทักมาต้องถามก่อนว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของโลก กลับมานั่งเขียนบล็อกทุกทริปนะ แต่ไม่จบซักกะทริป ให้มันได้อย่างงี้สิ ขอเริ่มด้วยนราธิวาสนะคะ นราธิวาสไม่ใช่ทริปแรกของช่วงห่างหายในครั้งนี้ แต่อยากมาขอคำแนะนำด้วยค่ะ เราไม่เคยลงไปทางใต้แบบนี้มาก่อน เคยไปกระบี่ ตรัง โดยซื้อแพคเกจ ก็อยู่แต่บนเกาะ ในทะเล และทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว แต่หลังจากไปที่นราธิวาสนี้ เรารู้สึกว่าที่นี่น่าสนใจทั้งสถานที่และวัฒนธรรม ถ้าใครมีข้อมูลอื่น ๆ แนะนำ เรายินดีมาก ๆ ค่ะ ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ เมื่อแอร์เอเชียปล่อยตั๋วโปรฯ เราอยากลองไปในที่ ๆ ไม่เคยไปบ้าง ตั๋วไป-กลับนราธิวาสเลยมาอยู่ในมือ เดินทางช่วงหยุด 4 วันปลายเดือนก่อน ก็รู้อยู่ว่าเป็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่... ดันลืมเรื่องราวทั้งหมด เออ... ลืมได้ไง แล้วที่นึกขึ้นได้ว่าเป็น 3 จังหวัดชายแดนนี่เพราะพอตอนจองตั๋วเสร็จ ปิดคอมฯ ดูทีวีกำลังเคลิ้มจะหลับ เอ๊า...มีข่าวยิงกัน 1 จุด กับวางระเบิดเล็ก ๆ อีก 1 จุด
อื้มม... ฝันดีเลยทีเดียวคืนนั้น
เอาเหอะ จองไปละแถมได้ตั๋วถูก ไม่ไปก็กระไร (จริง ๆ คืองก ) หาข้อมูลสุดชีวิต เจอข้อมูลที่เที่ยวที่กินเยอะเลยทีเดียว... และทั้งหมดเป็นไปในทางที่ดีถึงดีมาก ตายเป็นตายล่ะงานนี้ แต่สิ่งที่ในเน็ตไม่ได้บอก (อาจจะเป็นมารยาทเรื่องการโปรโมทโฆษณา) คือ การเดินทางระหว่างเมือง เรางมหาไม่เจอข้อมูลรถสาธารณะ แต่ไปเจอรถตู้ที่รับส่งสนามบิน เค้าเลยให้น้องอีกเจ้านึงที่เป็นบริการรถเช่าโทรกลับหาเรา น้องที่ให้บริการรถเช่าที่นราธิวาสชื่อน้องวาสนา มีบริการทั้งรถยนต์ รถตู้ รถบัส น้องน่ารักมาก ๆ ค่ะ พูดจาน่ารัก เป็นกันเอง และให้คำแนะนำดีมาก ๆ มากกว่านั้นคือราคาโอเค หลังจากคุยกันครั้งแรกกับน้องวาสนา เราเปลี่ยนไฟลท์ไปเร็วขึ้นอีก 1 วัน ยอมเสียเงินค่าเปลี่ยนตั๋ว รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เราขออนุญาตแนะนำไว้เลยนะคะ ปกติเราจะเช่ารถขับเอง ที่นี่ถึงจะมีข้อมูลในทางที่ดีเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย แต่ในการเที่ยวคนเดียวเราเลยขอคนขับด้วย ย้ำว่าขอเป็นคนไว้ใจได้และเป็นคนในพื้นที่เท่านั้น น้องจัดให้ทุกอย่างตามขอ ประทับใจมากค่ะ
เรามาถึงสนามบินนราธิวาสเวลาเที่ยงกว่า ๆ เราชอบนะสนามบินที่นี่ สะอาด เป็นระเบียบ ทันสมัย น่าจะยังใหม่อยู่พอสมควร เป็นสนามบินที่อยู่ใกล้ทะเลมาก สัมผัสได้ถึงลมทะเลเลยทีเดียวค่ะ
รถที่จองไว้คือพรุ่งนี้ ไม่ใช่ว่างกนะคะ แต่คนไปไหนมาไหนชอบทำอะไรคนเดียวอย่างเราก็อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง บ่ายนี้เลยอยากเดินชมเมืองคนเดียว วันนี้ก็ต้องนั่งรถตู้เข้าเมืองล่ะค่ะ บูธ shuttle van อยู่ในโถงผู้โดยสารขาเข้าแถว ๆ ที่รับกระเป๋าเลยค่ะ ยังไม่ต้องออกมาด้านนอก ปกติเราไม่โหลดกระเป่า เดินตรงลิ่วออกมาด้วยความเคยชิน เกือบเดินเลยออกไปแล้ว ราคารถตู้เข้าเมือง 80 บาทค่ะ ขอพี่คนขับนั่งข้างหน้าพี่เค้าก็ยิ้มใจดี เปิดประตูให้ รถส่งที่โรงแรม เช็คอินเสร็จถามน้องที่โรงแรมว่าแถวนี้ทานข้าวที่ไหนได้บ้าง น้องบอก "ร้านก๋วยเตี๋ยวเซียนหยง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรมเลย แต่เนื่องจากเป็นตอนเที่ยง โต๊ะเต็ม เราเลยรอบ่าย เข้าไปทานปรากฎว่าของหมดเหลือแต่ลูกชิ้นเนื้อ ดูไม่น่าทานเนอะ แต่อร่อยมาก ว่าด้วยร้านนี้ เพราะอร่อยและเราชอบก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เราเลยไปทานอีก เกาเหลาเนื้อพี่เค้าสุดยอดมาก พี่เจ้าของร้านฮามากอ่ะ เข้าไปวันแรกนี่เงียบ หน้าตาไม่พูดไม่คุย ใครอย่ามายุ่งกับฉัน แต่เอาเข้าจริง ๆ พี่อย่างตลก และถ้าพี่จะยังจำหนูได้ หนูก็จะอยากจะบอกว่า... พี่สุดยอดของความเป็น legend เลย
จากโรงแรม น้องที่โรงแรมแว้นไปส่งเราที่ "หาดนราทัศน์" เพราะไม่มีรถประจำทาง และถ้าจะไปด้วยวินมอเตอร์ไซค์ก็ต้องเรียก เราขี้เกียจรอ จะเดินไป น้องเลยไปส่งค่ะ ดูน้ำใจเค้าสิ
ตรงนี้มีหมู่บ้านชาวประมง เห็นภาพการซ่อมแซมเรืออยู่บ้าง เราว่าที่นี่เหมือนเป็นที่รวมตัวของเด็กวัยรุ่นอยู่นะ เพราะเห็นเด็กวัยรุ่นขับมอเตอร์ไซค์มาเป็นกลุ่ม ๆ เลยค่ะ เมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล เดินยังไม่ทันจะทั่วฝนก็เริ่มลงเม็ด เราเลยเดินกลับ ระหว่างทางผ่าน "ตลาดสดบาเละฮีเล" น้องที่โรงแรมบอกว่าตอนเย็นจะมีตลาดนัด เราโฉบเข้าไปดูก็เห็นแม่ค้าเพิ่งเริ่มตั้งร้านค่ะ ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมผ่านมัสยิด ผ่านร้านขายเครื่องแต่งกายมุสลิม ก็แปลกตาดีค่ะ เดินเพลิน ๆ ถึงโรงแรมแล้ว เอาจริง ๆ ก็ไม่รู้สึกไกลนะคะ เดินหลบมอเตอร์ไซค์วิ่งบนฟุตบาธหรือแผงลอยข้างทางในกรุงเทพฯไปขึ้นรถไฟฟ้ายังจะเหนื่อยซะกว่า เราชอบนะที่นี่ ยังมีตึกแบบเก่า มีตึกไม้ บ้านไม้ ไม่วุ่นวาย สบายตา
อาหารเย็นวันนี้ทานที่ ร้านข้าวต้มอั้งม้อ ค่ะเดินนิดเดียวจากโรงแรม อย่างที่ทราบกันว่าร้านนี้มีประวัติโดนวางระเบิดเมื่อ พ.ศ.2547 ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงพีคมากของความขัดแย้ง เจ้าของร้านจะย้ายไปทำกิจการที่อื่น แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเลยตัดสินใจอยู่ทำกิจการต่อ อาหารอร่อยเลย เราสั่งขาหมูกับจับฉ่าย จับฉ่ายเนี่ยอยากจะซื้อกลับกรุงเทพฯมาก เรานั่งทานไปก็ดูผู้คนไป... ไหนล่ะผู้คน?!? ไม่ค่อยเห็นผู้คน อาจจะเพราะฝนยังไม่หยุดสนิทและเป็นตอนเย็นแล้ว แต่แถวนี้ร้านทองเยอะมาก และมีคนเยอะหลายร้านเลย เปิดกันจนเย็น เพราะเมื่อตอนเย็นฝนตกจนชุ่มฉ่ำ คืนนี้เลยนอนหลับสบาย
ตื่นมาเช้ามืดด้วยเสียงอาซานจากมัสยิด 2 ที่ เค้าไม่ได้เปิดดังลั่นเมืองหรอกนะคะ ก็เปิดเบา ๆ นี่แหละแต่ด้วยความที่ไม่คุ้นก็เลยตื่น ออกมารับความเย็นที่ระเบียงเจอภาพนกนางแอ่นบินว่อนเมืองในยามเช้า มองไปอีกด้านเห็นยอดเขาที่มีหมอกปกคลุม มันสวยมาก ๆ เรายิ้มออกมาให้กับภาพที่สวยงามนี้
รีบอาบน้ำเพื่อจะออกไปตลาดตอนเช้า เดินไปเรื่อย ๆ ทางหอนาฬิกา ก่อนถึงน่ะค่ะจะมีตลาดเช้า คนเยอะมาก เห็นเมืองเงียบ ๆ ในตอนบ่ายแต่ตอนเช้าไม่เงียบเลย จริง ๆ จะมีตลาดอีกทีนึงชื่อ ตลาดบางนาค ของจะเยอะกว่า คุณภาพดีกว่า แต่ก็จะแพงกว่าค่ะ เราผ่านนะคะ แต่ฝนตกหนักมากและแถว ๆ นั้นไม่มีที่จอดรถ เลยไม่ได้แวะค่ะ
ด้วยความที่มีแต่ของสด และร้านอื่น ๆ ก็ยังไม่เปิด เราเลยใช้บริการพี่วินกลับมาที่ตลาดบาเละฮีเล และที่นี่เราได้สิ่งนี้มาค่ะ สะเต๊ะกับข้าวอัด ที่เค้าว่ากันว่ามาที่นี่ต้องทานนะ อืมม... เราว่ามันไม่เหมือนข้าวนะ แต่เหมือนแป้งหวาน ๆ ตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมมากกว่า ส่วนของที่ทานด้วยเค้ามีขาย 2 อย่างค่ะ อย่างนึงเป็นไก่สะเต๊ะอย่างรูปข้างบน มีน้ำสะเต๊ะให้ซึ่งก็หวานเข้าไปอีก และอีกอย่างนึงเป็นมะพร้าว ถั่วป่น ๆ อะไรประมาณนี้ อันนี้ออกหวาน ๆ เค็ม ๆ แต่สิ่งที่เราประทับใจคือเราเห็นสะเต๊ะมีแค่ 2 ไม้เล็ก เราเลยไปดูร้านข้าง ๆ ซึ่งขายข้าวแกง... (เอาจริง ๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือขายข้าวแกง ) เป็นข้าวหลายอย่าง มีหม้อแกงแล้วมันคืออะไรบ้างก็ไม่รู้ งงและเอ๋อมาก แล้วเราถามว่ามันคืออะไรบ้าง พี่คนขายก็พยายามตอบนะคะ แต่เราฟังเค้าไม่เข้าใจอ่ะ... แต่เค้าพยายามตอบ พยายามอธิบาย ยิ้มแย้ม เราได้ไก่ทอดมาชิ้นนึง 10 บาท พี่น่ารักมากอ่ะ ขอถ่ายรูปอาหารพี่เค้าก็ให้ถ่ายน่ารัก (นี่ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯโดนด่าไปแล้ว อย่ามายืนบังหน้าร้านงี้ )
น้องวาสนามาที่โรงแรมตามเวลานัด พร้อมกับแนะนำพี่คนขับชื่อแบมัง เราเรียกเค้าว่าพี่มัง พี่มังสุภาพและน่ารักมาก สองวันนี้เราอยู่กับพี่มังเราได้อะไรจากพี่มังเยอะมาก คำถามแรกหลังจากแนะนำตัวกันเสร็จ... "พี่คะ ที่นี่โอเคใช่มั้ยถ้าจะขับรถไปนู่นนี่เนี่ย" (คือถ้าไม่โอเคหนูจะนอนเฝ้าโรงแรมก็ได้นะ) พี่มังขำ... ไม่มีอะไรหรอก เราก็เชื่อด้วยนะ เชื่อคนง้ายง่าย
ที่แรกที่จะไป คือ "มัสยิดตะโละมาเนาะ" ซึ่งมัสยิดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ อ.บาเจาะ คือชื่อนี่นะ วันแรกเราไม่คุ้นเล้ยยยย แล้วแต่ละชื่อแบบ...
มัสยิดนี้มีชื่อที่ติดอยู่ด้านหน้าตามป้ายว่า มัสยิดวาดีลฮูเซ็น เป็นมัสยิดที่ทำด้วยไม้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2167 และเนื่องจากตั้งอยู่ในหมู่บ้านตะโละมาเนาะ ก็เลยจะเรียกกันด้วยชื่อหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้สมัยก่อนเป็นหมู่บ้านที่มีคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยมือจำหน่าย ตอนนี้มัสยิดนี้ก็ยังใช้งานอยู่นะคะ วันที่เราไปเป็นวันเสาร์ มีเด็ก ๆ ไปเรียนและทำกิจกรรมกันอยู่ก็เลยห้ามรถเข้า ซึ่งเราว่าดีไม่งั้นรถนักท่องเที่ยวคงเยอะน่ะ มีห้องให้ละหมาดนะ เยี่ยมชมข้างในได้ เห็นว่าจัดประมาณพิพิธภัณฑ์ คนไทยพุทธอย่างเราเข้าได้นะคะ แต่ต้องขออนุญาตจากโต๊ะอิหม่ามก่อน
เราชอบนะ มันดูขลังดี การออกแบบชวนให้นึกถึงสมัยก่อน เด็ก ๆ พักจากเรียนเล่นกันสนุกสนานเชียวค่ะ
ข้าง ๆ กัน คือ "กุโบร์" หรือ สุสานของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม เราก็ยืนดู พี่เค้าก็เล่า ๆ คนที่เสียชีวิตจะฝังภายใน 24 ชั่วโมงนู่นนี่ อันใหญ่ ๆ นั่นน่าจะเป็นของเจ้าเมืองอะไรประมาณนี้ คือสารภาพว่าไม่ได้ฟัง มัวแต่ดูแพะที่เดินไปมาแถวนั้น พี่เค้าก็ขำ ไม่เป็นไร ไม่ฟังใช่มั้ย ผ่านอีกกุโบร์นึงพี่ก็จอดรถติดกุโบร์ ชี้ ๆ สอน ๆ วงกลม ๆ เป็นผู้ชาย วงไม่กลมเป็นของผู้หญิง อันใหญ่ ๆ นั่นของเจ้าเมืองนู่นนี่นั่น.......
ค่ะ หนุเข้าใจละค่ะ แต่ที่หนูไม่เข้าใจคือทำไมเราต้องมายืนดูสุสานที่ข้างล่างมีคนไม่มีชีวิตฝังอยู่ด้วยอ้า?? พี่ก็ขำอีก คนที่นี่หัวเราะง่ายดีแฮะ
จากตะโละมาเนาะ พี่เค้าจะพาไปน้ำตกปาโจ ซึ่งมันต้องผ่าน อ.ยี่งอ เป็นบ้านพี่เค้า พี่พาไปเลี้ยงข้าวแกงร้านประจำด้วยนะ เราบอกไม่เป็นไรพี่เค้าก็ไม่ยอม คือจะเลี้ยง แอบคิดในใจว่าจะเลี้ยงให้อิ่มหมีพีมันก่อนจะพาไปเชือดหรือเปล่าฟระ?? แต่มันเป็นข้าวแกงที่อร่อยมาก รสกลมกล่อมมากค่ะ เคยได้ยินว่าอาหารใต้เผ็ด แต่ที่นี่ไม่เผ็ดมากนะ พึคกว่านั้นคือก่อนที่จะออกมาเราย้ำกับพี่เค้าว่าห้ามพาหนูไปทางลัดและสวนยาง พี่ก็ไม่พาไปสวนยาง แต่พี่พาเข้าสวนเงาะ สวนลองกอง ของพี่เค้าเฉยเลยหลังจากเลี้ยงข้าวเราแล้ว มันเป็นสวนง่าย ๆ บ้าน ๆ ไม่ได้จะเอาไปขายเอากำไรเป็นธุรกิจอะไร แต่มันหวานมาก ทำไมพี่ใจดีงี้อ่ะ รู้สึกปลื้มคนที่นี่เหลือเกินจนอยากจะเปลี่ยนแพลนมาปีนต้นลองกองแทน...ไม่ได้ใช่มั้ยอ่ะ??
แวะ "น้ำตกปาโจ" เราไม่ใช่สายน้ำตกนะคะ แต่มันอยู่ไม่ไกลจากตะโละมาเนาะก็เลยแวะก็ได้ ที่นี่มีใบไม้สีทองที่พบที่เดียวในโลก ก็คือแถบ เทือกเขาบาโด แห่งนี้ เราชอบนะ ดูเป็นป่าสีเขียวที่ร่มรื่น มีกลิ่นหอมของดินและป่า ด้วยความที่ไม่ได้แพลนก่อนเลยอยู่ที่ชั้นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งพี่มังและหลายคนที่เคยไปบอกว่าน่าเสียดายเพราะชั้นบน ๆ จะสวยมาก
หลังจากนั้นพี่มังพาเราไป อ.ตากใบ ระหว่างนั่งรถเราจะเห็นป้ายบอกทางใช่มั้ย แต่ละชื่อนี่นะ.......
แต่... หลังป้ายชื่อที่ดูดุดันเหล่านี้มีแต่ความอ่อนโยน... เชื่อเราสิ
ที่ตากใบ เราจอดพักที่ "สะพานคอยร้อยปี" ค่ะ สะพานนี้เชื่อมไปถึง "เกาะยาว" ค่ะ ที่มีชื่อเรียกแบบนี้เพราะตอนแรกเป็นสะพานไม้ ทางชาวบ้านขอให้สร้างเป็นสะพานปูน ซึ่งกว่าจะสร้างเสร็จนี่ใช้เวลานานมากกกก พี่มังบอกว่าสะพานไม้ข้าง ๆ นี่ก็เป็นสะพานไม้ใหม่นะ ก่อนหน้านี้เป็นเหมือนสลิงน่ะค่ะ เวลาข้ามรู้สึกถึงความแกว่ง ไม่ได้แข็งแรงแบบนี้หรอก และเมื่อมาถึงนี่แล้วก็ต้องข้ามสิคะ ด้วยความที่เป็นตอนเที่ยง แดดเปรี้ยงเลยแหละแต่ไม่ร้อนนะคะ มีลมพัดมาเย็น ๆ ตลอดเวลา ทะเลนี้คือฝั่งอ่าวไทย และด้วยความที่เป็นเกาะที่เงียบเลยยืนฟังเสียงคลื่นเพลินเลย
สัญลักษณ์ของเกาะนี้คือธงชาติไทยที่ปักไว้ที่ชายหาดสินะ แต่วันนี้เค้ามัดธงไว้ เลยไม่ปลิวสะบัดน่ะค่ะ เจอแพะน่ารัก นราธิวาสมีแพะเยอะมาก แล้วน่ารักทั้งนั้นเลยนะ ขนเรียบสวยเป็นมันเชียวค่ะ ชอบตัวนี้สุด เราเดินตามเค้าเพื่อถ่ายรูป เค้าคงรำคาญเลยหยุดมอง อ้าา... ไม่เคยมีแพะเป็นของตัวเอง เดาอารมณ์ไม่ถูก แต่ถอยห่างก่อนน่าจะดี เค้าร้องเรียกให้เข้าไปหาซะงั้น เราแวะไป "วัดชลธาราสิงเห" ซึ่งมีอีกชื่อนึงว่า วัดพิทักษ์แผ่นดินไทย ที่มีชื่อนี้เพราะถือเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์กรณียกดินแดนให้อังกฤษสมัยรัชกาลที่ 5 ทางเราใช้วัดนี้เป็นข้อต่อรองการแบ่งเขตดินแดนไม่ให้เสียไปมากกว่านี้น่ะค่ะ
พี่มังเล่าว่าที่ตรงนี้คนเฒ่าคนแก่เชื่อว่าที่ใต้ถุนมีงูเผือกตัวใหญ่อาศัยอยู่และจะออกมาทักทายเฉพาะวันที่มีงานบุญ อืมม... ที่ไหนก็มีเรื่องเล่าเนอะ แล้วเราก็ชอบฟังด้วยนะ
มีศาลาให้นั่งเล่นเย็นใจริมน้ำ จะให้อาหารปลาก็ได้นะคะที่นี่
จะไป "ด่านตาบา" อยากไปดูวิถีชีวิตของผู้คนที่ด่าน แต่หาที่จอดรถไม่ได้ก็เลยย้อนกลับมาที่ตลาดน้ำยะกัง ระหว่างทางผ่าน "อุทยานแห่งชาติอ่าวมะนาว" แวะหน่อยก็ได้ แพะเยอะชะมัด คนน้อยนะคะที่นี่ อาจเพราะเพิ่งบ่าย ๆ และวันนี้ไม่ได้มีกิจกรรมพิเศษอะไร ถึงอย่างนั้นก็เห็นคนมาเที่ยวอยู่บ้าง เค้าก็ชมทะเล ถ่ายรูปกันแบบน่ารัก ๆ นะ เงียบ ไม่มีเกรียน ไม่กวนใคร เราชอบจัง หลังจากนั้นผ่าน "วัดเขากง" ซึ่งมีพระพุทธรูปใหญ่ที่สุดของภาคใต้ "พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล" ประดิษฐานอยู่ ที่นี่ไม่อยู่ในแพลนแต่แวะหน่อยก็ได้... แล้วเมื่อไหร่จะถึงตลาดน้ำยะกัง?? พี่มังเล่าว่าวัดนี้มี หลวงปู่ปอเลาะ ที่เดิมนับถือศาสนาอิสลาม แต่ย้ายศาสนามาบวชเป็นพระที่นี่
แต่ในที่สุดก็ถึง... "ตลาดน้ำยะกัง" เป็นตลาดที่ขายขนมพื้นบ้าน เปิดวันศุกร์และเสาร์ เวลา 12.00 - 20.00 น. มันช่างเป็นสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก เราไม่เคยเห็นขนมหรืออาหารพวกนี้มาก่อน รู้สึกเหมือนความรู้รอบตัวง่อยมาก มาถึงก็ตื่นตาตื่นใจด้วย ขนมบาตาบูโระ คืออะไร ทำไมถูก?? ขนมบาตาบูโระเป็นแผ่นแป้งมีไส้กุ้งป่น มะพร้าวขูด เส้นมะละกอสับ อะไรประมาณเนี้ย เวลาทานก็ราดน้ำกะทิปรุงรส มันอุ่น ๆ น้องคนขายบอกว่าอุ่น ๆ นี่แหละอร่อยมาก อ้าา... เหรอคะ แต่มันทานไงง่ะ ตักเข้าปากได้เลยเหรอ?? น้องหัวเราะ สงสารน้องมากอ่ะต้องมาสอนวิธีทาน หลังจากบาตาบูโระแล้วก็สารพัดของกินล่ะค่ะคราวนี้ ละแซ ที่เปรียบเหมือนเป็นขนมจีนของคนแถบนั้น เราชอบขนมจีนแกงเขียวหวานไก่มาก ที่ร้านนี้ก็มีขายนะ แต่นาทีนี้ต้องละแซเท่านั้นค่ะ เป็นแป้งม้วนตัดเป็นชิ้น ๆ เวลาทานราดน้ำเหมือนน้ำขนมจีนนี่แหละค่ะ มีส่วนผสมของปลา บอกเลยว่าอร่อยมาก ผ่าน กรือโป๊ะ ก็ซื้ออีก มันอร่อยมากกก กรอบนอกนุ่มใน สุดยอด พี่มังซื้อ ขนมเจาะรู มาให้ชิม พี่เค้าบอกว่าแต่ก่อนตอนเด็ก ๆ เค้าจะใช้ขนมนี้ในงานบุญ เป็นแป้งทอดรสชาติหวาน ๆ ค่ะ ก็อร่อยดี อยากซื้ออย่างอื่นอีก แต่แบบว่าแค่นี้ก็ทานไม่หมดแล้ว อิ่มมากค่ะ มีดนตรีสดเล่นด้วยนะคะที่นี่ ทานจนเย็น ฝนเทลงมาหนักเลย คิดว่ากลับดีกว่า ตอนจะกลับ ผ่านร้านขายบาตาบูโระอีก น้องคนขายเป็นห่วงถามว่าทานได้มั้ย เราบอกอร่อยเลย แต่ชิ้นใหญ่มาก พี่ทานไม่หมด น้องยิ้มหวานโล่งใจห่วงว่าจะทานไม่ได้ ทำไมน้องน่ารักจังเลยอ่ะ น่ารักมากอ่ะคนที่นี่ กลับมาถึงในตัวเมืองเย็นเลย เห็นเค้าเริ่มจัดงาน พี่มังบอกว่าคืนนี้มีงานฉลองวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ถ้าอยากมางานก็ได้นะ เราก็อยากไปอยู่นะ แต่เกรงใจพี่เค้า เพราะถ้าเรามาเค้าก็ต้องมาคอยรับ-ส่ง พรุ่งนี้จะออกไปนอกเมืองด้วย วันนี้ก็ตะลอนมาทั้งวันแล้ว เลยให้พี่เค้ากลับไปพักผ่อนดีกว่า เรามองจากระเบียงโรงแรม ได้ยินเสียงเพลงดังเลยค่ะ มีสปอตไลท์ด้วยนะ เราว่าที่นี่เค้าก็ไม่ได้จะแลดูน่าสยดสยองอะไรเหมือนในข่าวเสนอมั้ยอ่ะ แต่ด้วยความที่เค้าก็เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่คนส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม ที่กิริยามารยาทการแต่งกายก็จะเรียบร้อยหน่อย มันก็เป็นแบบนี้แหละ ซึ่งเราชอบนะ เป็นเมืองเล็กที่สงบ ยังคงไว้ด้วยวัฒนธรรมแต่ความเจริญก็มีมาถึง เราเห็นบ้านจัดสรรประกาศขายด้วย ราคาสวยเลยแหละ แต่ที่เราประทับใจมากที่สุด... เห็นจะไม่พ้นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยไมตรีของคนที่นี่ค่ะ... เราหลงรักมาก เขียนซะยาวเลย เรื่องของวันต่อไปขอขึ้น EP ใหม่นะคะ...
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 18 สิงหาคม 2561 เวลา:3:55:45 น.
ให้เต็มสิบดาวเลยครับทริปนี้ ผมอยากไปมาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมว่ามีอะไรน่าเที่ยวเยอะ แต่ยอมรับเลยว่ากลัว คุณเมโลดี้กล้าหาญมากเลยครับสุดยอดจริงๆ
โดย: IFINDNOI (Ces ) วันที่: 19 สิงหาคม 2561 เวลา:21:31:59 น.
|
melody_bangkok
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่บางครั้งก็มีโลกส่วนตัวสูงมากมาย แต่ในบางครั้งก็พยายามจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในโลกส่วนตัวของคนอื่น... :P ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ... ^^ All Blog
Friends Blog
Link |
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |