พระพุทธเจ้า องค์พระมหาฤษี มิได้ตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายจักเศร้าหมอง ด้วยรูปกายที่เศร้าหมอง และเมื่อรูปกายบริสุทธิ์ สะอาดแล้ว จะบริสุทธ์สะอาด แต่ตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายจักเศร้าหมองด้วยจิตใจที่หมองเศร้า และจะบริสุทธิ์ เมื่อจิตใจบริสุทธิ์ (ถ้าจิตใจไม่บริสุทธิ์สะอาด คือ ยังมีราคะ โทสะ โมหะ มัจฉริยะ อวิชชา เป็นต้น อยู่ในความคิด ในทางพระพุทธศาสนา ถือว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์) จิต จิตนี้ประภัสสร (ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมอง เพราะอุปกิเลสที่จรมา มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติของมันเอง มิใช่เป็นสภาวะที่แปดเปื้อน สกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองนั้น เป็นของแปลกปลอมเข้ามา ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจดจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
สมบัติทั้งปวง...ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งปวง หรือ ของอะไรทั้งหมดเกิดจากของเดิมที่มีอยู่ ดินหนุนดิน (พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต)
ความจริงที่แท้...ถ้าเธอปรารถนาเห็นความจริง จงอย่าได้ยึดถือความเห็นที่คล้อยตามหรือขัดแย้ง การดิ้นรนระหว่างสิ่งที่ตัวเองชอบกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ เป็นเชื้อโรคร้ายแห่งจิตใจ จงอย่ายึดถือสิ่งใด แต่ดำรงอยู่ในความรู้แห่งปรัชญา เป็นอิสระจากเครื่องกีดขวางอันหลอกลวง ขจัดความกลัวที่เกิดจากสิ่งนั้นและเข้าถึงนิพพานอันแจ่มกระจ่างที่สุด (ธรรมะมหายาน)
การดับทุกข์...ตทังคนิโรธ ความดับด้วยองค์นั้นๆ เช่น เมื่อมีเมตตา กรุณาเกิดขึ้น ความโกรธและความคิดพยาบาท คือความคิดเบียดเบียนย่อมดับไป เมื่อ อสุรสัญญา คือครบกำหนดว่าไม่งามเกิดขึ้น ราคะ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ 5 ย่อมดับไป รวมความว่า ดับกิเลสด้วยองค์ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
ความเหงา...ทำอย่างไรดีกับชีวิตที่ไม่มีเขา เพราะมันเหงาเกินจะทนได้ ! ปล่อยวางความเหงาไปเสีย หันมาใช้ชีวิตอย่างคนมีสติ (แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต)
การให้อภัย...เมื่อเรียนรู้เกี่ยวกับความเกิด ความดับ และ จิตใจเราไม่วุ่นวายกับการสร้างภาพพจน์ การปกป้องภาพพจน์ตัวเอง ไม่ต้องคอยเป็นห่วงว่าคนอื่นมองเราอย่างไร เมื่อไม่คิดชนะคนอื่น จิตใจของเรามีสติอยู่ในปัจจุบัน การที่เราเคยโกระคนนั้น คนนี้ แล้วเคยพูดกับตัวเองว่าไม่มีวันให้อภัยเขาได้เลย ทำไม ! ทำไมจะให้อภัยเขาไม่ใด้ ชีวิตเราสั้นเกินไปที่จะผูกโกรธหรือปล่อยจิตใจเราเศร้าหมอง (ชยสาโร ภิกขุ)
การท่องเที่ยวของอวิชชา...เราได้ท่องเที่ยวไป จากหนทางมืดหนึ่ง สู่หนทางมืดอีกอันหนึ่ง โลกนี้มืดยิ่งนัก สัตว์โลกส่วนใหญ่เป็นผู้มืดบอด มีน้อยคนที่มีปัญญาเห็นแจ้ง และมีคนจำนวนน้อยที่ไปสวรรค์ เหมือนนกที่ติดข่ายแล้ว ที่รอดพ้นจากข่ายนายพรานได้นั้นมีน้อยนัก โลกนี้มืดยิ่งนัก มืดอยู่ด้วยอวิชชา และความหลงผิด หาใช่ความมืดของอากาศโลกไม่
...ปัญญานั้นถูกความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายทับถมเอาไว้แต่เมื่อเราสามารถปล่อยวางและกล้าเสียสละความยินดีในสิ่งไร้แก่นสารสาระ ปล่อยวางความคิดเรื่อยเรื่อยเปื่อยไป เมื่อนั้นความคิดสร้างสรรค์ก็มีโอกาสบังเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเอง อารมณ์รุนแรงครอบงำจิตใจเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเป็นความยากได้ ความโกรธ ความน้อยใจ ความกล้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ปัญญาจะดับไปทันที การเจริญด้วยปัญญามีเงือนไขอยู่ที่ความสงบของจิตใจและความรู้ต้ว
มรณะสติ...เพราะบุคคลไม่เคยเจริญมรณะสติภาวนา เมื่อถึงมรณะสมัยย่อมถึงความสะดุ้ง หวาดกลัว ปานประหนึ่งว่าได้เห็นอสรพิษร้าย ส่วนบุคคลผู้ได้เผชิญมรณะสติภาวนาอยู่เสมอ ย่อมไม่กลัว ไม่สะดุ้ง เมื่อความตายไกล้เข้ามา ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน แต่ความตายเป็นสิ่งแน่นอน (ชยสาโร ภิกขุ)
ชีวิตที่ขาดทุน...ในทีสุดร่างกายเขาก็ถึงความแตกดับจริงๆและย่อยยับสูญสลายไป แม้แต่แมลงวันและหนอนยังไม่เกรงใจ โลกีย์ทรัพย์สมบัติทีหามาได้ทั้งหลายก็ต้องปล่อยวาง ยกเว้นบุญกุศลที่ตนเองสร้างไว้ด้วยจิตเมตตา กรุณา อันบริสุทธิ์ถือเป็นอริยทรัพย์ที่จะติดตนไป ถ้าเราไม่ใด้แสวงหรือสะสมไว้ชีวิตนี้ก็ขาดทุน ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวถึงคนอายุยืนไว้สองกรณีว่า
1.พวกเขาอยู่เสวยสุขจากผลบุญที่ทำไว้ และ
2.พวกเขาอยู่รับทุกข์จากผลกรรมที่สะสมมา
ดังนั้นชีวิตสามารถเลือกได้อย่างที่คุณอยากเป็นไป
ที่ว่า
เศรษฐีเรือนนอก คิดเอาไว้แล้วยังครับ
ยังไม่ get ค่ะ