ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ-อุมงค์เสลา-โยนกนาคพันธ์ ในพัฒนาการสร้างเมืองใหม่และรัฐใหม่ในอุษาคเนย์
ในหนังสือ ข้อเท็จจริง ว่าด้วยชนชาติขอม ของ จิตร ภูมิศักด์ ได้กล่าวถึงพัฒนาการสร้างบ้านแปงเมืองของชุมชนโบราณว่า เริ่มรับวัฒนธรรมต่างประเทศจากจีนและอินเดีย จากเมืองท่าค้าขายบริเวณปากแม่น้ำโขงแถวเมืองออกแก้วหรือเมืองโพธิสารหลวง (พุทธศตวรรษที่7 )แล้วขยายขึ้นมาตามลำน้ำโขงที่เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำสายหลักมุ่งสู่ดินแดนเมืองเศรษฐปุระ( พุทธศตวรรษที่10)ปราสาทวัดภู จำปาศักด์ ลาวใต้ สู่เมืองสุวรรณโคมคำ (พุทธศตวรรษที่13 ) จ. เชียงราย มุ่งขึ้นสู่เมืองล้านช้าง ถึงยูนนานประเทศจีนและรัฐชานในพม่า
หลักฐานทางรัฐชานระบุว่าเจ้าของเดิมรัฐชานคือ ละว้า ซึ่งชาวไทยใหญ่เรียก ล้า หรือ ว้า ชาวไทยใหญ่มีคำพังเพยว่า สางส้างฟ้า ล้าสร้างหลิน แปลว่า เทวดาสร้างฟ้า ละว้าสร้างดิน คำกล่าวนี้เป็นบันทึกความทรงจำที่ว่าชนชาติละว้าเป็นเจ้าของดินแดนมาก่อนคนไต เฉพาะที่เมืองเขมรัฐ หรือ เชียงตุงนั้นมีประเพณีว่า เมื่อเจ้าฟ้าใหม่ขึ้นครองเมือง พิธีราชาภิเษกขึ้นหอคำต้องจัดให้พวกละว้าไปนั่งกินข้าวกินปลาอยู่บนหอคำก่อน แล้วเจ้าฟ้าจึงขึ้นไปใช้แส้ขับไล่ ประเพณีนี้รักษาประวัติไว้อย่างดีว่า เดิมทีเมืองเชียงตุงนี้เป็นบ้านเมืองของพวกละว้าและพวกไตเข้ามาพิชิตภายหลัง พงศาวดารเมืองยอง (ตะวันออกของเชียงตุง ติดกับสิบสองปันนา) ก็มีเล่าว่าเดิมเมืองยองเป็นเมืองของพวกละว้า ซึ่งไตเรียกว่าพวกตำมิละ (ทมิฬ) พวกละว้าเคยกู้เมือง ปราบไตเป็นเมืองขึ้นได้ 28 หัวเมือง รวมทั้งเชียงตุงและเชียงรุ้ง ที่เมืองยองยังมีโบราณวัตถุของบ้านเมืองละว้าโบราณ เป็นทรากเสาหินแท่งหิน
ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำกล่าวว่า มีพวกกรอมจากนครอินทปัตย์/โพธิสารหลวงเดิม อพยพครัวขึ้นไปสมทบ วันละพันสองพันครัวมิได้ขาด ตลอดเวลาสามปีมีคนประมาณแสนครัวเรือน(ขอมอพยพมาครั้งนี้คงไม่ได้มาบุกเบิกทำไร่นาอย่างแน่นอน สันณิษฐานว่าขอมอพยพมาตั้งนิคมใหม่เพื่อแสวงหาทองคำ เงิน รัตนชาติ ของป่าต่างๆแถบลุ่มแม่น้ำโขง-แม่น้ำกก มุ่งขึ้นสู่รัฐชานไทยใหญ่ในพม่า ดำเนินการล่าส่วย ตีเมืองขึ้นเอาทาสแรงงาน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นยุคตื่นทองคำและแสวงหาทรัพยากรต่างๆ ส่งไปยังเมืองแม่อินทปัตย์ และส่งไปจำหน่ายยังจีน-อินเดีย ) เมืองสุวรรณโคมคำ ภายหลังเกิดขัดแย้งกับนครอินทปัตย์และแยกตัวเป็นอิสสระ ตำนานกล่าวว่าเมืองนี้รุ่งเรืองมากกว่าอินทปัตย์ และ มีฐานะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมของชนชาติในภาคเหนือ อาณาเขตเมืองสุวรรณโคมคำมีดังนี้
1.ทิศเหนือ-มีปากหนองแสเป็นแดน น่าจะเป็นทะเลสาปเอ๋อห่าย ในมณฑลยุนนาน
2. ทิศใต้-มีฝายนาคเป็นแดนหรือแก่งหลีผีสุดแดนลาวใต้
3. ทิศตะวันออก-มีน้ำแตกเป็นแดน น่าจะเป็นแม่น้ำแท้หรือแม่น้ำดำ ในเวียตนามเหนือ
4. ทิศตะวันตก-มีน้ำตูเป็นแดน คือแม่น้ำตู้ในภาคเหนือรัฐชานหรือที่ตั้งเมืองแสนหวี
.... ดินแดนแคว้นล้านนาแต่เดิมเป็นบ้านเมืองของพวกกรอม และพวกนี้ผิวดำจึงเรียกอีกอย่างว่ากรอมดำ ...พวกกรอมจากปากแม่น้ำโขงขึ้นไปตั้งเมืองสุวรรณโคมคำ เป็นเมืองหลวงทางเหนือ และดินแดนประเทศลาวทั้งหมด ต่อมาเมื่อเมืองสุวรรณโคมคำทลายน้ำลงไปแล้ว พวกกรอม/ขอม เป็นจำนวนมากอพยพหนีไปหมด เหลือแต่พวกละว้า/มิลักขุ อาศัยอยู่ตามซอกห้วย(แสดงว่าขอมกับละว้าเป็นคนละพวกกัน)
บริเวณสบกก ที่น่าจะเป็นที่ตั้งเมืองสุวรรณโคมคำ จ.เชียงราย
ภาพจาก //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=04-2013&date=04&group=44&gblog=67
บริเวณทีน่าจะเป็นที่ตั้งเมืองอุมงคเสลา ต้นแม่น้ำกก อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
ภาพจาก//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tuk-tukatkorat&month=04-2013&date=02&group=44&gblog=65
ตำนานสิงหนวัติกุมาร กล่าวว่าเมือสร้างเมืองนาคพันธ์สิงหนวัติกุมารขึ้นนั้น ที่บริเวณล้านนามีพวกพื้นเมืองเดิมอยู่สองพวกใหญ่คือ ละว้า/มิลักยู กับ ขอม พวกละว้ายอมอ่อนน้อมโดยดี แต่พวกขอมมีเจ้านายปกครองอยู่ทีเมืองอุมงคเสลา (บริเวณต้นแม่น้ำกก) ต้องยกทัพไปปราบเอาเป็นเมืองส่วย (ในอดีตบ้านเมืองต่างๆไม่ใด้แบ่งกันเป็นเขตแดนแต่แบ่งแยกกันตามชนชาติ/เผ่า) ตามตำนานเล่าว่าพวกขอม เป็นพวกมีบ้านเมือง มีอารยธรรมมาแต่ดึกดำบรรพ์ จึงมีมานะกระด้างแข็ง ไม่ยอมออ่นน้อม ส่วนพวกละว้านั้นวิ่งไขว่อยู่ตามซอกห้วยราวเขา มีขุนหลวง เป็นหัวหน้าแยกกันเป็นกลุ่มๆ / หัวหน้ากลุ่มโคตร ขอม กับ ละว้า มีระดับพัฒนาสังคมคนละชั้น ขอมพัฒนามาถึงขั้นชาวเมือง รู้จักสร้างปราสาทหิน ละว้ายังล้าหลังเป็นชาวป่าชาวดอย ซึ่งตำนานเรียกเหยียดเป็นมิลักขุ (ชาวป่า) ชาวไทยล้านนาคลุกคลีกับทั้งละว้าและทั้งขอม เมื่อเขาแยกสองพวกนี้ต่างกัน เราเห็นจะต้องเชื่อเขา... ภายหลังจากที่เมืองสุวรรณโคมคำทลายลงแม่น้ำโขงไปแล้ว ตำนานบอกว่ามีพวกขอมหนีขึ้นไป ยุนนานมาก
อวสานแห่งเมืองสุวรรณโคมคำ ตำนานกล่าวว่าในยุคหลัง วงศ์พระยากรอมดำแห่งเมืองอุมงคเสลาได้มาครองเมืองสุวรรณโคมคำ มีมานพหนึ่งขึ้นไปค้าถึงที่นั้น พระยกรอมดำก็ริบสินค้าเสียสิ้น แล้วสั่งให้เอามานพ ( น่าจะเป็นคนไทกลุ่มสิงหนวัติกุมาร เป็นเสรีชนที่สามัคคีกันไม่ยอมส่งส่วยและเสียภาษีมหาโหดในยุคนั้น)ไปปล่อยเสียฟากแม่น้ำขลนทีทิศตะวันตกหนพายัพโพ้น มานพก็ไปตั้งนิคมทำไร่ขึ้นใหม่ที่เกาะดอนทรายแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำขลนทีฝ่ายทิศตะวันตก ระยะไกลแต่เวียงสุวรรณโคมคำ 4000 วา / 8 กม. และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่อยู่ที่นั่น น่าจะเกิดสงครามปลดแอกในภายหลัง (เพราะพวกไทเป็นพวกรักอิสสระ) ภายหลังนางนาคภรรยาได้นำเรือค้าตามสามีขึ้นมาถึงเมืองสุวรรณโคมคำ พาสามีล่องหนีอำนาจพระยากรอมดำกลับสู่ลาวใต้บ้านเมืองของตน พญานาคผู้พ่อได้ทราบความก็โกรธแค้น จึงเรียกเอาบริวารของตนประมาณได้แสนโกฏิขึ้นมาสู่ชมพูทวีป แล้วพร้อมกันขุดควักฝั่งแม่น้ำขลนทีลัดไปทางทิศตะวันออกเมืองสุวรรณโคมคำ กระทำให้เมืองนี้พังทลายทันที่...เรื่องนี้ฟังได้ว่าในยุคหลังเมืองสุวรรณโคมคำได้มีการค้าทางเรือติดต่อกับเมืองกรอมใหม่ที่ลาวใต้และมีเรื่องขัดผลประโยชน์กัน ในระหว่างนั้นเองเกาะดอนใหญ่บริเวณริมฝั่งโขงฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสุวรรณโคมคำ ได้ถูกน้ำเซาะเข้าไปในช่องแคบด้านประชิดฝั่งพังตลิ่งพินาศเข้าไปจนล่มจมลงไปในน้ำทั้งเมือง...แต่กาลนั้นมา เมืองสุวรรณโคมคำก็รกร้างไม่มีผู้คน และ ในเขตพระราชวังนั้นก็กลายเป็นแม่น้ำท่าหลวงไป เลยได้ชื่อท่าโคมคำ แต่บัดนั้นมา และ มีแต่พวกมิลักขยู อยู่ตามซอกห้วยราวเขา มีปู่เจ้าหลวงกูบคำเป็นใหญ่แก่เขาทั้งหลายในที่นั้น
อ่านเพิ่มเติม //www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?f=14&t=71&start=10