ธรรมะที่หยั่งรู้ได้ยาก…มองพุทธอภินิหารในแง่วิทยาศาสตร์จาก พระธรรมเทศนา หลวงพ่อชา สุภัทโท
 

ดวงตาเห็นธรรม…สมเด็จพระบรมศาสดาก่อนตรัสรู้นั้น  ท่านไปรับข้าวจากนางสุชาดา  เมื่อทรงฉันเสร็จแล้ว ก็ทรงลอยถาดลงในน้ำ  ธรรมดาน้ำมันไหลลง ท่านได้ทรงอธิษฐานจิตว่าถ้าหากว่าจะได้ตรัสรู้พระอนุตตระสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้ไหลลอยไปเหนือน้ำ   ความจริงถาดก็คือความเห็นชอบของพระองค์ท่านนั่นแหละ  ผู้รู้หรือพุทธภาวะของท่านที่เกิดขึ้นมาจากการพิจารณาแล้วนั้น  ไม่ได้ปล่อยไปตามใจของสัตว์  แต่ไหลขึ้นไปทวนกระแสใจของท่าน  ทวนขึ้นไปหมดทุกอย่าง  ไม่ได้ไปฟังเสียงใคร  ฉะนั้น พระธรรมเทศนาของพระองค์จึงทวนใจของพวกเราจนทุกวันนี้  โลภท่านก็ว่าไม่โลภ  โกรธท่านก็ว่าไม่ให้โกรธ ให้ทำลายมัน  อยากหลงก็ไม่ให้หลง ให้ทำลายมัน  มีแต่เรื่องทำลายมันอย่างเดียว  ฉะนั้น  สมเด็จพระบรมศาสดาของเราจึงทรงเชื่อแน่ว่าจิตของท่านนั้นทวนกระแสขึ้นไปนั้นเอง  มันทวนกระแสสัตว์โลก สิ่งที่ว่าสกลร่างกายสวยท่านว่าไม่สวย  โลกอันว่าสกลร่างกายเป็นของเรา  ท่านว่าไม่ใช่ของเรา  อันนี้ว่าเป็นแก่นเป็นสาร  ความเห็นชอบอย่างนี้  เหนือสัตว์โลกขึ้นไป  สัตว์โลกนั้นตามลงมากับน้ำ

                   ต่อมาท่านรับหญ้าคาจากโสตถิยะพราหมห์แปดกำมือ  ท่านทรงทำอิษฐานเป็นบรรลังก์เพื่อนั่งสมาธิว่า  ถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ทรงลุกขึ้น  แล้วท่านก็ตรัสรู้ที่นี้   ถ้าจะกล่าวเป็นธรรมาธิษฐานแล้ว  หญ้าคาคือโลกธรรมแปดนี่แหละ มีลาภเสื่อมลาภ  มียศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ สรรเสริญ นินทา เหล่านี้แหละ  โลกธรรมแปดประการ  หญ้าคาแปดกำมือ  ฟังแต่ชื่อมันซิ  หญ้าคา คาอะไร   นักบวชของเราเมื่อบวชเข้ามาก็มา”คา”  สิ่งเหล่านี้แหละ มาคาลาภ มาคาสรรเสริญ มาคาทุกข์ โลกทั้งหลายมาคาอยู่ที่นี่หมด  สมเด็จพระศาสดาจึงทรงอธิษฐานเป็นบัลลังก์นั่งทับลงไปด้วยสมาธิธรรม อาการที่นั่งทับคือสมาธิ นั่งทับคือจิตของท่าน  เหนื่อกว่าโลกธรรม  จิตในขณะนั้นเป็นโลกุตตรธรรมทับโลกียธรรมไว้  แต่ก็ยังเกิดเป็นมารต่างๆมาหลอกล่อ  ซึ่งความจริงเป็นอาการของจิตนั่นเอง  จนกระทั่งท่านได้ตรัสรู้ธรรม  ก็ได้ชนะมารในที่นั้น  ชนะคือชนะโลกนี่เอง  ไม่ใช่ชนะอะไรอื่นไกล  ฉะนั้นจึงทรงเจริญมรรคในที่นั้น  มรรคจึงฆ่าโลกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น

อ่านเพิ่มเติม //www.84000.org/tipitaka/picture/f00.html

ตรัสรู้แล้ว   พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา  ๗ 
วัน  คำว่า 'เสวยวิมุติสุข'  เป็นภาษาที่ใช้สำหรับท่านผู้ทรงหลุดพ้นแล้ว  ...ลูกสาว
พระยามารซึ่งเคยยกทัพมาผจญพระพุทธเจ้าเมื่อตอน  ก่อนตรัสรู้เล็กน้อยแต่ก็พ่ายแพ้ไป  ได้ขันอาสาพระยามารผู้บิดาเพื่อประโลมล่อพระพุทธเจ้าให้ตกอยู่ในอำนาจของพระยามารให้จงได้     ลูกสาวพระยามารมี  ๓ คน  คือ  นางตัณหา  นางราคา  และนางอรดี

ทั้งสามนางเข้าไปประเล้าประโลมพระพุทธเจ้าด้วยกลวิธีทางกามารมณ์ต่างๆ   เช่น   เปลื้อง
ภูษาอาภรณ์ทรงออก  แปลงร่างเป็นสาวรุ่นบ้าง  เป็นสาวใหญ่บ้าง  เป็นสตรีในวัยต่างๆ  บ้าง  แต่พระพุทธเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้วไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติแม้แต่ลืมพระเนตรแลมอง

เรื่องธิดาพระยามารประโลมพระพุทธเจ้าก็เป็นปุคคลาธิษฐาน  ถอดความได้ว่า  ทั้งสามธิดา
พระยามารนั้น  ล้วนหมายถึงกิเลสทั้งนั้น  อย่างหนึ่งคือความยินดี  อีกอย่างหนึ่งคือความยินร้ายหรือความเกลียดชัง   ความยินดีส่วนหนึ่งแยกออกเป็นตัณหา   คือความอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด     อีกส่วนหนึ่งเป็นราคาหรือราคะ    คือความใคร่หรือกำหนัด     ความเกลียดชังหรือยินร้ายออกมาในรูปของอรดี   อรดีในที่นี้คือความริษยา ความที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระอาการผิดปกติ  แม้แต่ทรงลืมพระเนตรนั้น  ก็หมายถึงว่า  พระพุทธเจ้าอยู่ห่างไกลจากกิเลสดังกล่าวมาโดยสิ้นเชิงนั่นเอง




Create Date : 07 สิงหาคม 2556
Last Update : 7 สิงหาคม 2556 23:38:42 น.
Counter : 2263 Pageviews.

1 comments
  
ขอบคุณค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 12 สิงหาคม 2556 เวลา:13:22:25 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

surya21
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 50 คน [?]



New Comments
สิงหาคม 2556

 
 
 
 
1
2
3
5
6
8
9
10
15
16
17
18
19
20
22
23
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog