|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ชายชราชาวไทย - ลุงถิง
ลุงถิง
สมัยก่อนที่หาดใหญ่ช่วงหลายปีก่อน (ประมาณร่วมสามสิบกว่าปีก่อน) ยังไม่มีบริการรถเก็บขยะจากเทศบาลเมืองหาดใหญ่ (สมัยนั้น) ทำให้ทุกบ้านที่มีขยะต้องนำไปทิ้งรวมที่ถังเก็บขยะ หรือแอบไปโยนทิ้งไว้แถวบริเวณที่มีคนนำขยะไปทิ้งกันมาก ๆ หรือนำไปทิ้งที่ถังขยะบริเวณตลาดสดหรือตลาดชีกิมหยง หรือนำไปทิ้งที่กองขยะแถวสถานีรถไฟหาดใหญ่ นี่เป็นปัญหาส่วนหนึ่งของคนในเมืองหาดใหญ่สมัยหนึ่ง ที่แถวบ้านใกล้สถานีชุมทางรถไฟหาดใหญ่ ก็จะมีชายไทยวัยกลางคน ชอบนุ่งขาสั้น ใส่เสื้อสีขาวหม่น สวมหมวกบ้างไม่สวมบ้าง ขาทั้งสองข้างมีลักษณะเป็นแผลเป็นสีแดงคล้ำแห้งกรัง ลักษณะเวลาเดินคือก้าวไปทีละก้าว แต่เวลาก้มตัวลงไปหยิบของต้องค่อย ๆ นั่งย่อเข่าลง แล้วนั่งพับเพียบเรียบร้อยจึงจะหยิบของได้ แกมารับจ้างเก็บขยะหลังบ้านของทุกครัวเรือนแถวนั้น ในอัตราถ้าจำไม่ผิดเดือนละสิบห้าบาทต่อหลัง ซึ่งก็มีบ้านเรือนที่แกรับบริการไม่น้อยกว่าร้อยหลังคาเรือนขึ้นไป
ไม่ทราบประวัติความเป็นมาหรือที่อยู่ของแกเลย ทราบแต่ที่บ้านเรียกแกว่า ลุงถิง แกจะมาเก็บขยะที่หลังบ้านรถไฟวันละสองรอบ บ้านตึกแถวที่ดินเช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทย จะมีประตูเปิดออกหลังบ้านได้ คนหาดใหญ่สมัยนั้นชอบมีทางเข้าออกหลังบ้านได้ หรือเว้นหลังบ้านไว้มีพื้นที่โล่งเล็กน้อย ช่วงนั้นถังขยะหลังบ้านคนแถวนั้นก็จะเป็นลังไม้สี่เหลี่ยม ตีเป็นกรอบลังแล้วทิ้งขยะลงในลังไม้ดังกล่าว เพื่อให้ลุงถิงมาเก็บขยะไปทุก ๆ วัน คือ รอบเช้าก่อนเก้านาฬิกา และรอบเย็นประมาณสี่ถึงห้าโมงเย็น พร้อมกับรถเข็นที่ต่อขึ้นมาเป็นคอกสี่เหลี่ยมและใช้ล้อรถจักรยาน เพื่อผ่อนแรงรถเข็นให้เข็นของได้ง่ายขึ้น ขยะที่แกเก็บได้ บางอย่างก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ หรือขายต่อเป็นของ Recycle ให้กับร้านค้าต่อไป ส่วนนี้คือรายได้แฝงของแกส่วนหนึ่ง
มีข้อน่าสังเกตคือ รถเข็นของแกจะทำความสะอาดสม่ำเสมอ ไม่มีกลิ่นสกปรกหรือเน่าเหม็นแต่อย่างใด มาทราบทีหลังคือ หลังจากเก็บขยะแล้ว แกก็จะไปคัดแยกขยะ เพื่อนำไปขายหรือใช้ประโยชน์ต่อบางส่วน แต่ส่วนมากมักจะขายไปมากกว่า แล้วทำความสะอาดรถเข็นของแกให้เรียบร้อย ก่อนไปรับจ๊อบ (งาน) ที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ โดยทำหน้าที่เป็น Porter คือ คนขนของให้กับคนเดินทางที่สถานีรถไฟ เพียงช่วงจากชานชาลาสถานีรถไฟหาดใหญ่ถึงบริเวณจอดรถด้านล่าง
สำหรับพวกเศษอาหาร บ้านแถวรถไฟก็จะแยกถังทิ้งไว้ต่างหาก เพราะจะมีคนเลี้ยงหมูขี้พร้า (หมูพื้นเมือง) มาขอรับไปต้มกับหยวกกล้วย ผสมรำ เพื่อนำไปเลี้ยงหมูต่อไปจำนวนหลายคน (ต้องแบ่งสายกันในเรื่องเศษอาหาร) และมักจะมีขาประจำ พูดง่าย ๆ ว่า ขาใครขามัน ไม่มีการแย่งชิงกันหรือข้ามเขตในเรื่องเศษอาหารเหล่านี้
ต่อมาแกก็รับเลี้ยงเด็กชายคนหนึ่ง ทราบแต่ว่าแม่เด็กทิ้งไว้ให้แกรับเลี้ยง แกก็นำติดรถเข็นมาเก็บขยะทุกวัน จนกระทั่งเด็กชายคนนี้เข้าโรงเรียน ก็ไม่ค่อยได้เห็นอีกว่ามาเก็บขยะกับแกอีก หรืออาจจะอายก็เป็นได้ที่มาเก็บขยะกับลุงจน ๆ
มีช่วงหนึ่งที่หาดใหญ่ มีการทำถ่ายภาพยนตร์ เรื่อง ชุมทางหาดใหญ่ (เจอโปสเตอร์แล้ว) ดาราที่นำแสดงคือ มิตร ชัยบัญชา เพชรา เชาวราษฏร์ ภาพจาก https://www.thaifilm.com
มีการแสดงการปล้นและยิงกันบนถนนธรรมนูญวิถี ช่วงระหว่างถนนรัถการกับถนนนิพัทธ์อุทิศ 1 เป็นช่วงสายสั้น ๆ ประมาณ 15 คูหา ซึ่งบริเวณนั้นมีร้านทองจำหน่ายอยู่ฝั่งซ้ายมือจากสถานีรถไฟหาดใหญ่ มีร้านค้าสินค้าเบ็ดเตล็ดแทรกอยู่จำนวนหนึ่งรวม 15 คูหา (ถ้าความจำไม่ผิดพลาดในส่วนนี้) สมัยนั้นถ้าจำไม่ผิดมีร้านทองรูปพรรณอยู่สี่ร้าน (ปัจจุบันมีมากกว่านี้) มีตรอกกั้นระหว่างร้านทองกับร้านถ่ายรูปโปจิน ส่วนฝั่งขวามือไม่มีร้านขายทองรูปพรรณเลย เป็นร้านหมอฟัน ร้านเสื้อผ้าของจีนสองร้าน ของคนอินเดียหนึ่งร้าน ร้านนาฬิกา ร้านรองเท้าบาจา ตรอกเล็ก ๆ ร้านอาหารมุสลิม ร้านหมอฟัน(ไม่ค่อยเปิด) ร้านกาแฟ ร้านนาฬิกา ร้านของชำ (ถ้าจำไม่ผิดเพราะเดินผ่านบ่อยก่อนไปโรงเรียนร่วมห้าปีกว่า)
แต่ที่จำได้แม่นคือ โรงแรมศรีทักษิณอยู่ใกล้ ๆ กับหัวมุมด้านฝั่งขวา ข้ามถนนรัถการมาจากโรงแรมรถไฟหาดใหญ่สมัยก่อน เปิดร้านขายอาหารและกาแฟข้างล่างโรงแรม เป็นที่ชุมนุมนักนิยมพระเครื่องของหาดใหญ่สมัยนั้น หลังบ่ายโมงก็จะมีขบวนรถไฟเข้าหาดใหญ่อีกสองสายเอง นอกจากนั้นก็จะเป็นรถสินค้าซึ่งไม่เกี่ยวกับการขนคนเดินทาง ที่โรงแรมก็จะเริ่มเปิดโต๊ะกาแฟเป็นชุมนุมนักนิยมพระเครื่องกัน
หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ชุมทางหาดใหญ่ ได้ถ่ายทำเสร็จและเข้าฉายไม่นานนัก ก็เช่นกันสมัยนั้นคนหาดใหญ่ไปดูการถ่ายหนังกันมาก จนผู้กำกับการแสดงต้องขอร้อง ไทยมุง ว่าอย่ามุงกันมาก ทำให้ในภาพยนต์จะมีไทยมุงโผล่มาจำนวนหนึ่ง การไดดูก็คือ คอยดูว่าตนจะมีรูปหน้าโผล่ในฉากบ้างไหม หรือตื่นเต้นที่มีการฉายเรื่องเกี่ยวกับหาดใหญ่
คล้อยหลังไปไม่กี่เดือนมากนัก ก็มีงานเข้าเกิดขึ้นมา กล่าวคือ มีโจรกลุ่มหนึ่งได้ไปเช่าโรงแรมนอนและดูลาดเลา ร้านทองฝั่งตรงข้ามจากโรงแรมศรีทักษิณ และกะวันเวลาปล้นช่วงรถไฟสายกรุงเทพฯ เข้าถึงหาดใหญ่ ประมาณเวลาสี่โมงเช้า (สมัยนั้น) หรือสิบนาฬิกา ช่วงที่ปล้นตอนเช้า ได้ฟังจากคำบอกเล่าอีกทีหนึ่ง ได้เข้าไปปล้นร้านทองถึงสองร้านโดยแบ่งโจรเป็นสองสาย โจรที่ปล้นมีจำนวนห้าคน มีการทุบตู้กระจกแล้วรวบรวมเพชรพลอยและทองออกมา บางส่วนก็ตกหล่นอยู่หน้าร้านทองแถวนั้น จนทำให้ร้านทองปัจจุบันต้องใส่ลูกกรงหรือตะแกรงเหล็ก เพื่อให้ยากสำหรับโจรในการรวบรวมทองออกมา มีการยิงปืนขู่จำนวนสองถึงสามนัด ช่วงนั้นชาวบ้านร้านตลาดบอกเห็นจ่าจราจร จ่าตุ้ย ขับรถจักรยานยนต์คันใหญ่ผ่านแล้วก็เลยไป สักพัก ชุดตำรวจจากหาดใหญ่ก็มาล้อมที่บริเวณสายถนนธรรมนูญวิถี หลังจากมีเสียงปืนดัง ร้านค้าขายละแวกนั้นก็ปิดร้านกันหมดแล้ว โชคดีมากที่วันนั้นรถไฟเข้าสายมาก ทำให้มีการยิงต่อสู้กัน ผลคือ โจรผู้ร้ายตายคาที่สามศพ และมีการแขวนเชือกล้อมบริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดมาตรวจตรา เป็นข่าวอาชญากรรมที่ดังมากในสมัยนั้น
ส่วนโจรอีกสองคนวิ่งเข้าทางตรอกทางสัญจร ของคนบ้านพักรถไฟกับชาวบ้านที่รู้จักทางลัด ที่อยู่ช่วงป้ายเขตรถไฟสองข้างฝั่งซ้ายขวา ทำให้ปัจจุบันตรอกที่แต่เดิมเป็นทางสัญจรของคนหาดใหญ่ต้องปิดตาย เพราะป้องกันโจรภัยที่วิ่งหลบหนีเป็นทางเข้าออกฉุกเฉิน เพื่อหนีการจับกุมของตำรวจหรือชาวบ้าน คนหนึ่งหนีไม่รอดถูกจับได้ที่ใกล้แถวสะพานลอย แต่อีกคนหนึ่งหนีข้ามรางรถไฟไปหลบอยู่แถวใกล้ ๆ บริเวณบ้านพักรถไฟ ซึ่งก็อยู่หลังสถานีตำรวจภูธรอำเภอหาดใหญ่ หรือที่เรียกว่าหลังอู่ หลบอยู่ได้นานเป็นอาทิตย์ทีเดียว หรือภาษิตกำลังภายใน ที่ยิ่งอันตราย ยิ่งเป็นที่ปลอดภัย แต่ถูกจับได้ภายหลังเพราะมีการนำทองไปขาย โดยโจรรายนี้มอบทองรูปพรรณกับเพชรพลอยให้เจ้าของบ้าน แล้วให้เจ้าของบ้านที่ไปหลบอยู่นำไปขายเป็นทุนเพื่อรอการหนีต่อไป จึงทำให้ถูกจับได้ในที่สุดเพราะรูปพรรณและตำหนิที่ร้านทองแจ้งไว้ ส่วนนายตำรวจที่แจ้งเกิดในสมัยนั้นถ้าจำไม่ผิดคือ พตท.สล้าง บุนนาค
หลังจากการปล้นร้านทองไม่นานมากนัก ร้านค้าก็เริ่มเปิดดำเนินการตามปรกติ ก็เริ่มมีตำรวจมาเฝ้าร้านทองจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ส่วนลุงถิงก็ยังเก็บขยะตามปรกติ แต่ตอนนี้แกก็ไม่ทำหน้าที่เป็น Porter อีกแล้ว ประมาณว่าไม่ต่ำกว่าสองเดือน แกจะนั่งเขี่ยเศษดินเศษทรายละแวกถนนหน้าร้านทองรูปพรรณ บางครั้งก็ยกแผ่นซีเมนต์ที่วางปิดท่อระบายน้ำออก แล้วลอกขี้ดินออกมากองบนฟุตบาท เพื่อเขี่ยหาเพชรพลอยที่ตกหล่นอยู่ในขี้ดินแถวนั้น บางครั้งก็นำกองดินใส่ถุงแล้วใส่รถเข็นรุนออกจากบริเวณนั้น ทราบว่าแกเขี่ยพบเพชรพลอยได้ไปจำนวนหนึ่งพอสมควร โดยการขายกลับให้กับร้านทองสองห้องแถวนั้น หลังจากเสร็จสิ้นโครงการเฉพาะกิจ แกก็กลับมาทำงานตามเดิมในตำแหน่ง porter ต่อ
ถัดมาไม่กี่ปีเทศบาลเมืองหาดใหญ่ ก็เริ่มมีการบริหารจัดการรถเก็บขยะตามบ้านแล้ว ธุรกิจของแกก็ต้องเลิกแล้วกันไปในที่สุด เพราะไม่จำเป็นต้องจ่ายสองต่ออีกแล้ว (จ่ายให้กับแก แล้วต้องจ่ายให้เทศบาลอีก) ส่วนที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ ก็มีการจัดระเบียบสังคม มีการประมูลหรือระบุคนที่สามารถเข้าไปทำหน้าที่เป็น Porter ได้ ทำให้อาชีพของแกก็หมดไปโดยปริยาย สุดท้ายก็ไม่ทราบข่าวคราวของแกอีก ก็เหมือนกับคนสามัญชนทั่วไป ที่ยากไร้และไม่มีเงินมีทองมากมายก่ายกอง ก็กลายเป็นคนไร้ชื่อ ไร้นาม จะไปไหนมาไหน หรือหายไปไหนก็ไม่มีใครสนใจมากนัก เป็นเรื่องชีวิตของคนธรรมดาสามัญในท้องถิ่น
เขียนจากความทรงจำในอดีตที่ผ่านมา ถึงคนที่บ้านเกิดคนหนึ่งที่เคยพบเคยเจอ
Create Date : 15 กันยายน 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 6 กันยายน 2562 13:10:37 น. |
Counter : 1742 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ravio 15 กันยายน 2552 22:04:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
สงขลา Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]
|
เกิดหาดใหญ่ วัยเด็กเรียนหนังสือโรงเรียน Catholic คณะ Salesian มีนักบุญประจำโรงเรียน Saint Bosco, Saint Savio ชอบอ่านหนังสือ godfather เกี่ยวกับ Mafio ของพวกซิซีเลียน เคยเล่นเกมส์ Mario แล้วได้คะแนนนำเลยนำสระโอมาต่อท้ายชื่อเป็น Ravio ได้กลิ่นอายแบบ Italino เคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนวิชาชีพทำมาหากิน แต่ไม่ใช่วิชาที่ชื่นชอบมากนัก เรียนอยู่กว่าเจ็ดปี ต้องกลับมาทำงานเป็นกรรมกรที่บ้านเกิด จนเริ่มเกิดความหลงรักชีวิตบ้านนอก และวิถีชิวิตชุมชนท้องถิ่นที่ตนอยู่และไปร่วมวงเสวนา
เกิดเดือนมีนาคม แต่ลัคนาราศรีตุลย์ ชอบไปทุกเรื่อง สุดท้ายทำอะไรที่ได้เรื่องไม่กี่เรื่อง แต่ส่วนมากมักไม่ได้เรื่อง
ชอบขับรถยนต์ท่องเที่ยวชมภูเขา ป่าไม้ น้ำตก แต่ไม่ชอบทะเลหรือชายหาด เพราะรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อคิดถึงชีวิตตนเองที่มาเปรียบเทียบกับสองสิ่งสองอย่างนี้ รู้สึกว่ามนุษย์เป็นเพียงชีวิตที่เล็กน้อยมากที่มาอยู่อาศัยในโลกใบนี้
ชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยวใน Internet ชอบเดินทางท่องเที่ยวแถว ในละแวกท้องถิ่นบ้านเกิด นาน ๆ ครั้งจะขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ หรือไปหาซื้อหนังสือแถวสยามสแควร์ ถิ่นเก่าที่อยู่และที่เรียน
|
|
|
|
|
|
|
|