การเจริญสติปัฏฐานก็เพื่อให้เห็นทุกข์อริยสัจจ์
การเกิดเป็นทุกช์ การแก่ชราเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยเป็นทุกข์ การพลัดพรากสิ่งทีรักเป็นทุกข์ การพบสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ ...นี่คือ ทุกข์อริยสัจจ์
ดูเหมือนว่า ทุกข์อริสัจจ์ข้างต้นนั้น ใคร ๆ ก็รู้จักแล้วแต่ไฉนจึงไม่อาจหลุดไปจากกองทุกข์เหล่านี้ได้ ที่เป็นดังนี้เพราะปุถุชนไม่เห็นทุกข์อริยสัจจ์ตามความเป็นจริง เลยเข้าใจไปว่า ทุกข์เหล่านั้นเป็นของตน ตนเองเป็นผู้ทุกข์
ในการเห็นทุกข์อริยสัจจ์ของอริยชน เป็นการเห็นด้วย .จิตรู้. อันเกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน อันมาจากการพัฒนาของความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เมื่อจิตรู้ตั้งมั่น การเห็นทุกข์อริยสัจจ์ของผู้เจริญสติปัฏฐานย่อมแตกต่างออกไปจากปุถุชน
การเห็นด้วย.จิตรู้. นั้น จิตรู้ จะแยกตัวออกมาจากกองทุกข์ที่เกิดขึ้น ทำให้ .จิตรู้. เห็นได้ชัดว่า กองทุกข์นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อจิตรู้เห็นดังนั้น ทุกข์ที่เกิดขึ้น ก็สักแต่ว่าเป็นธรรมชาติของขันธ์ 5 ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ในการพัฒนาการของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะเหมือนกับเด็กที่กำลังหัดเดิน เขาย่อมล้มบ้าง ยืนได้บ้าง เซบ้าง นี่เป็นปรกติของการพัฒนา กำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ แต่ปัญหาของผู้ปฏิบัติในการเจริญสติปัฏฐานก็คือ ความใจร้อน ที่ต้องการหลุดออกจากกองทุกข์โดยเร็วที่สุด แต่มันก็ไม่อาจเป็นไปดังใจได้หวังได้เลย
การเห็นกองทุกข์ด้วยจิตรู้ จะทำให้เกิดการเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 ไม่ต้องการจะยึดขันธ์ 5 เกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 นี่คือแนวทางการปฏิบัติจะมาแบบนี้ ดังนั้น อย่าไปหนีกองทุกข์ของขันธ์ 5 แต่ผู้ปฏิบัติกลับต้องเข้าไปเจาะลึกในกองทุกข์ของขันธ์ 5 จนเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 แล้ว จิตรู้ ก็จะไม่ทุกข์ไปกับขันธ์ 5
การเห็นกองทุกข์นั้น ในการปฏิบัติสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ไม่ต้องไปแยกแยะวิเคราะห์ในกองทุกข์เลย ให้เห็นเฉย ๆ เท่านั้น ก็ใช้ได้แล้ว เหมือนท่านไปดูสัตว์ร้ายในสวนสัตว์ ท่านยืนนอกกรงของสัตว์ร้าย เห็นสัตว์ร้าย แต่สัตว์ร้ายไม่สามารถทำร้ายท่านได้
ท่านไม่ต้องไปสนใจด้วยว่า วันนี้เผลอสติไปกี่ครั้ง วันนี้เห็นกองทุกข์กี่ครั้ง วันนี้จิตส่งออกนอกไปกี่ครั้ง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะสิ่งเหล่านั้น มันผ่านไปแล้ว มันทำอะไรไม่ได้ ท่านต้องอยู่กับปัจจุบัน ก็คือ การมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่เห็นกองทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างสด ๆ แล้วก็ปล่อยมันผ่านไป ก็เท่านั้น
ท่านอย่าหลงไปกับความเคยชินทางโลก ทีท่านต้องเข้าไปวิเคราะห์หาสาเหตุต่างๆ ต้องรู้รายละเอียดมากมาย แต่ในทางธรรม ท่านไม่ต้องไปแบบนั้น ให้รู้ให้เห็นกองทุกข์เท่านั้นเป็นพอครับ
ธรรมชาติของจิตรู้ มันผ่องใสอยู่ของมันอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องไปทำอะไรให้มันผ่องใสเลย เพียงมันเกิดขึ้นและตั้งมั่นอยู่เท่านั้น ถึงแม้ว่า จิตรู้ยังประกอบด้วยอวิชชา แต่เมื่อมันไม่ทุกข์ ท่านจะเอาอะไรไปกว่านี้อีกครับ
เขียนมาซะยาว ผมขอสรุปประเด็นไว้สั้น ๆ ดังนี้ 1 ท่านต้องเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิให้จิตรู้ตั้งมั่น เพื่อให้จิตรู้ เห็นกองทุกข์ทีเกิดขึ้น เมื่อเห็นแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องไปสนใจวิเคราะห์อะไรในกองทุกข์เลย 2 เมื่อจิตรู้เห็นกองทุกข์มาก ๆ เข้าก็จะเกิดการเบื่อหน่ายในกองทุกข์ เบื่อหน่ายในขันธ์ 5 แล้ว ก็จะเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 อันเป็นกองทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นเอง 3 จิตรู้เพียงเห็นแต่กองทุกข์เฉย ๆ เห็นแบบสด ๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องไปใส่ใจนึกถึงมัน เพราะมันผ่านไปแล้ว มันทำอะไรไม่ได้
Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552 |
|
12 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:21 น. |
Counter : 1018 Pageviews. |
|
|
|