รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
27 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

การเจริญสติปัฏฐานก็เพื่อให้เห็นทุกข์อริยสัจจ์

การเกิดเป็นทุกช์ การแก่ชราเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยเป็นทุกข์ การพลัดพรากสิ่งทีรักเป็นทุกข์ การพบสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ ...นี่คือ ทุกข์อริยสัจจ์

ดูเหมือนว่า ทุกข์อริสัจจ์ข้างต้นนั้น ใคร ๆ ก็รู้จักแล้วแต่ไฉนจึงไม่อาจหลุดไปจากกองทุกข์เหล่านี้ได้ ที่เป็นดังนี้เพราะปุถุชนไม่เห็นทุกข์อริยสัจจ์ตามความเป็นจริง เลยเข้าใจไปว่า ทุกข์เหล่านั้นเป็นของตน ตนเองเป็นผู้ทุกข์

ในการเห็นทุกข์อริยสัจจ์ของอริยชน เป็นการเห็นด้วย .จิตรู้. อันเกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน อันมาจากการพัฒนาของความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เมื่อจิตรู้ตั้งมั่น การเห็นทุกข์อริยสัจจ์ของผู้เจริญสติปัฏฐานย่อมแตกต่างออกไปจากปุถุชน

การเห็นด้วย.จิตรู้. นั้น จิตรู้ จะแยกตัวออกมาจากกองทุกข์ที่เกิดขึ้น
ทำให้ .จิตรู้. เห็นได้ชัดว่า กองทุกข์นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เมื่อจิตรู้เห็นดังนั้น ทุกข์ที่เกิดขึ้น ก็สักแต่ว่าเป็นธรรมชาติของขันธ์ 5 ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ในการพัฒนาการของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะเหมือนกับเด็กที่กำลังหัดเดิน เขาย่อมล้มบ้าง ยืนได้บ้าง เซบ้าง นี่เป็นปรกติของการพัฒนา
กำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ แต่ปัญหาของผู้ปฏิบัติในการเจริญสติปัฏฐานก็คือ ความใจร้อน ที่ต้องการหลุดออกจากกองทุกข์โดยเร็วที่สุด แต่มันก็ไม่อาจเป็นไปดังใจได้หวังได้เลย

การเห็นกองทุกข์ด้วยจิตรู้ จะทำให้เกิดการเบื่อหน่ายในขันธ์ 5
ไม่ต้องการจะยึดขันธ์ 5 เกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5
นี่คือแนวทางการปฏิบัติจะมาแบบนี้ ดังนั้น อย่าไปหนีกองทุกข์ของขันธ์ 5 แต่ผู้ปฏิบัติกลับต้องเข้าไปเจาะลึกในกองทุกข์ของขันธ์ 5
จนเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 แล้ว จิตรู้ ก็จะไม่ทุกข์ไปกับขันธ์ 5

การเห็นกองทุกข์นั้น ในการปฏิบัติสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น ไม่ต้องไปแยกแยะวิเคราะห์ในกองทุกข์เลย ให้เห็นเฉย ๆ เท่านั้น ก็ใช้ได้แล้ว เหมือนท่านไปดูสัตว์ร้ายในสวนสัตว์ ท่านยืนนอกกรงของสัตว์ร้าย เห็นสัตว์ร้าย แต่สัตว์ร้ายไม่สามารถทำร้ายท่านได้

ท่านไม่ต้องไปสนใจด้วยว่า วันนี้เผลอสติไปกี่ครั้ง วันนี้เห็นกองทุกข์กี่ครั้ง วันนี้จิตส่งออกนอกไปกี่ครั้ง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะสิ่งเหล่านั้น มันผ่านไปแล้ว มันทำอะไรไม่ได้ ท่านต้องอยู่กับปัจจุบัน ก็คือ การมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่เห็นกองทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างสด ๆ แล้วก็ปล่อยมันผ่านไป ก็เท่านั้น

ท่านอย่าหลงไปกับความเคยชินทางโลก ทีท่านต้องเข้าไปวิเคราะห์หาสาเหตุต่างๆ ต้องรู้รายละเอียดมากมาย แต่ในทางธรรม ท่านไม่ต้องไปแบบนั้น ให้รู้ให้เห็นกองทุกข์เท่านั้นเป็นพอครับ

ธรรมชาติของจิตรู้ มันผ่องใสอยู่ของมันอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องไปทำอะไรให้มันผ่องใสเลย เพียงมันเกิดขึ้นและตั้งมั่นอยู่เท่านั้น
ถึงแม้ว่า จิตรู้ยังประกอบด้วยอวิชชา แต่เมื่อมันไม่ทุกข์ ท่านจะเอาอะไรไปกว่านี้อีกครับ

เขียนมาซะยาว ผมขอสรุปประเด็นไว้สั้น ๆ ดังนี้
1 ท่านต้องเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิให้จิตรู้ตั้งมั่น เพื่อให้จิตรู้ เห็นกองทุกข์ทีเกิดขึ้น เมื่อเห็นแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องไปสนใจวิเคราะห์อะไรในกองทุกข์เลย
2 เมื่อจิตรู้เห็นกองทุกข์มาก ๆ เข้าก็จะเกิดการเบื่อหน่ายในกองทุกข์ เบื่อหน่ายในขันธ์ 5 แล้ว ก็จะเกิดการปล่อยวางในขันธ์ 5 อันเป็นกองทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นเอง
3 จิตรู้เพียงเห็นแต่กองทุกข์เฉย ๆ เห็นแบบสด ๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องไปใส่ใจนึกถึงมัน เพราะมันผ่านไปแล้ว มันทำอะไรไม่ได้




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2552
12 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:21 น.
Counter : 1018 Pageviews.

 

มาทักทายขอรับกระพ้มมม (^^')

 

โดย: onedermore 27 พฤศจิกายน 2552 12:57:30 น.  

 

ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะแนวทางนะคะ

จะติดตามอ่านต่อไปค่ะ

 

โดย: Wonopy 27 พฤศจิกายน 2552 12:59:29 น.  

 

ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันค่ะ

จุฬาภินันท์ขอเพิ่มอีกหน่อย - สติปัฎฐาน ๕ เพื่อเห็นอริยสัจ ๔ แล้วยังเห็นเหตุและผลของการกระทำด้วยค่ะ

 

โดย: Chulapinan 28 พฤศจิกายน 2552 16:32:26 น.  

 

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: มังคุดม่วง 28 พฤศจิกายน 2552 20:38:25 น.  

 

อาจารย์คะเพิ่งกลับมาจากไปวังน้ำเขียวค่ะ ได้ไปเที่ยวทีไรไม่ได้เจริญสติทุกทีเลยค่ะ เสียดายเวลาเหมือนกัน ใจมันเพลินไปเรื่อยเลยค่ะ สติไม่มาเลยค่ะ

 

โดย: มังคุดม่วง 29 พฤศจิกายน 2552 20:59:42 น.  

 

นี่คือความเชื่อ การยึดติดอย่างหนึ่งในนักปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์อย่างหนึ่ง

ในการปฏิบัตเพื่อการพ้นทุกข์นั้น เหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว ให้ปล่อยมันทิ้งไป ไม่ต้องไปสนใจอะไรกับมันเลย มันจะเผลอสติ มันจะมีสติ หรือ อะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น ทิ้งมันไป ไม่ต้องไปใส่ใจมัน

เรื่องการเผลอสติก็เช่นกัน มันเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง มันก็สักแต่ว่าเป็นสภาวะธรรม เดียวมันเผลอ เดียวมันก็ไม่เผลอ มันจะสลับไปมาอย่างนี้เองสำหรับที่กำลังฝึกฝน ถ้าคุณไปใส่ใจมันว่า ไม่ต้องการให้เผลอ นี่จะเป็นการสร้างความกังวลใจขึ้นมาสำหรับจิตใจตนเอง
ลองนึกดู ในอดีต เมื่อยังไม่รู้จักการเผลอสติ คือ อะไร คน ๆ หนึ่งจะเผลอสติทั้งวัน แต่เขาก็ไม่ทุกข์ แต่พอมาเรียนรู้การมีสติ การเผลอสติ ทีนี้ พอเผลอสติขึ้นมาหน่อย ก็เกิดทุกข์ทันที

การเข้าใจในการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะถ้าเข้าใจไม่ตรง ก็จะเกิดการยึดติด และเป็นทุกข์ใจมากขึ้น

การปฏิบัติธรรม ขอให้ทำใจให้สบาย ๆ นึกในใจครับว่า " มันอย่างไร ก็ได้ " แล้วจิตใจจะปล่อยวาง และจะไม่ทุกข์

การปฏิบัติเพื่อจะพ้นทุกข์ มิใช่หรือ ถ้าปฏิบัติแล้วทุกข์ จะไปปฏิบัติไปทำไมกัน

 

โดย: นมสิการ 30 พฤศจิกายน 2552 5:11:51 น.  

 

อย่าเอาความเชื่อของตนเองมาตัดสินใจอะไรสักอย่างที่พบเห็น

//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8601493/Y8601493.html

นี่เป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับการติดสินโดยใช้ความเชื่อของตนเอง ถ้าไม่ตรงกับความเชื่อของตน จะผิด ถ้าตรงกับความเชื่อของตนจะไม่ผิด

แถมจะดูแคลนคนอื่นไปเสียอีก ! ว่านี่หรือนักปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ต้องการโอ้อวด ที่ต้องใส่ชุดขาวตลอด พูดทีหนึ่ง ก็ต้องยกมือมาจีบนิ้วแถวหน้าอก
แสดงความเคร่งให้คนอื่นได้เห็น นี่คือ สีลพรตปรามาส โดยแท้ ที่นักปฏิบัติพยายามจะทำลายมันเพื่อเข้าสู่โสดาบันภูมิ แต่ตนเองไม่รุ้เลยว่า ตนเองนั้นยึดติดกับมันอย่างเต็มที่ไปแล้ว

การปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์นั้น ก็เพื่อความเป็นปรกติในคน มีหน้าที่อย่างไร ก็ทำไปตามหน้าที่ ไม่ต้องไปแสดงออกให้ใครเขารุ้ว่า ฉันนี่คือนักปฏิบัติธรรม ไม่สร้างอะไรที่แปลกประหลาดกว่าคนทั่ว ๆ ไป

แนะนำอ่าน
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=08-2009&date=15&group=1&gblog=74

 

โดย: นมสิการ 30 พฤศจิกายน 2552 5:19:56 น.  

 

ธรรม พูดจริงมากไป ก็แต่จะมีคนรังเกียจ เพราะล้วนไม่ตรงกับความเชื่อของคนฟัง

ดังนั้น นักปฏิบัติจึงพูดน้อย เพราะพูดมาก ก็ไร้ประโยชน์ แล้วจะพูดไปทำไมกัน ปล่อยให้สัตว์โลกดำเนินชีวิตไปตามกรรมของเขาเอง

ผู้คนโดยมาก จึงมักได้ยินได้ฟังในสิ่งทีตนเองเชื่อว่าถูกต้องแล้ว โดยสิ่งทีได้ยินได้ฟังนั้น ก็อาจไม่ถูกความจริงแห่งธรรมชาติ แต่เป็นเพียงถูกต้องตามความเชื่อของผู้ฟังเท่านั้น

ทางโลก Marketing ลูกค้าต้องมาก่อน ทำอะไรก็ได้ให้ลูกค้าพอใจ แล้วเขาจะซื้อสินค้า

ธรรม Marketing พูดอะไรก็ได้ อย่าพูดในสิ่งทีผู้ฟังไม่พอใจ แต่ให้พูดในสิ่งที่ผู้ฟังพอใจ แล้วเขาจะร่วมทำบุญด้วยมาก ๆ

คารมณ์อันหวานดุจน้ำผี้ง คือ ยาพิษที่ซ่อนอยู่ในหัวใจ ที่เจ้าของหัวใจยอมดื่มเข้าไปอย่างเต็มใจ

 

โดย: นมสิการ 30 พฤศจิกายน 2552 5:27:02 น.  

 

ขอบคุณอาจารย์ที่เตือนสติค่ะ จริงเลยค่ะที่บอกว่าแต่ก่อนไม่รู้จักการเผลอสติ ก็ไม่ทุกข์

เรื่องใส่ชุดขาว สมัยก่อนที่ยังไม่สนใจเรื่องธรรมมะ ก็คิดอยู่ค่ะว่าทำไมคนปฏิบัติธรรมต้องใส่เป็นสีขาว เท่านั้น สีอื่นที่ไม่ฉูดฉาดไม่ได้เหรอ ตอนนี้เวลาไปฝึกอยู่สองแห่ง(ไม่ได้ไปวัด) ก็ไม่ได้ใส่สีขาวเลยค่ะ แต่ใส่เสื้อให้เรียบร้อยก็พอ

ไปฝึกแค่ไม่กี่ครั้ง ดิฉันก็เพิ่งพบว่าคนปฏิบัติธรรมมะ บุคลิกแปลกๆก็มีอยู่หลาย คือแต่ก่อนจะคิดว่าคนปฏิบัติธรรมคงจะสงบนิ่งทั้งกาย ใจ มีแต่คนจิตใจดีทั้งนั้น จริงๆ ก็ทำให้คิดได้ว่าทุกๆที่ก็ต้องมีคนต่างๆกันไปไม่ใช่ว่าอยู่ที่ปฏิบัติธรรมต้องเจอแต่คนนิ่งๆเท่านั้น

เคยฟังซีดี อ.กำพล อ.ก็พูดค่ะว่าบางคนปฏิบัติธรรม ไม่ยอมพูดจากับใคร ใครถามอะไรก็ไม่ตอบ ทำเป็นนิ่งเงียบ วางท่า อ.กำพลบอกว่า ให้พูดได้ตอบได้ อันนี้เหมือนที่อาจารย์(นมสิการ)เขียนไว้เลยค่ะ

 

โดย: มังคุดม่วง 30 พฤศจิกายน 2552 7:21:04 น.  

 

สาธุ อนุโมทนากับคำแนะนำข้างบนค่ะ

เมื่อคืนเก้าก็ได้เข้าไปอ่านกระทู้ที่คุณนมสิการพูดถึง อ่านแล้ววิบแรก ก็คันๆใจ แต่แล้วก็มีสติขึ้นมา ก็เลยปล่อย อ่านแล้วก็อ่านไปเฉยๆ ตอนแรกอยากจะเขียนตอบไปเหมือนกันค่ะ แต่มันคิดขึ้นมาได้ว่า ทิฐิ มันสร้างภาพความเป็นตัวตน ประกาศความเป็นตัวตนได้ทุกตัวอักษร เราต้องหัดที่จะอ่าน แล้วก็ปล่อยวางด้วย

ขอบคุณคุณครูมากค่ะ

 

โดย: เก้า (kaoim ) 30 พฤศจิกายน 2552 9:04:10 น.  

 

แวะมาทักทายครับ ได้อ่านบทความแล้วครับ

 

โดย: ศิรัสพล 1 ธันวาคม 2552 10:51:31 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 18:45:22 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.