Contrast
contrast คือความแตกต่างระหว่าง 2 ระดับ เช่น ในจอ Monitor ก็คือ ความแตกต่างระหว่างสีขาวสุดและสีดำสุด
สำหรับในจิตใจ contrast คือ ความแตกต่างระหว่าง .จิตกระเพื่อม. และ .จิตไม่กระเพื่อม. ครับ
วันที่ผมพบอาการ .จิตไม่กระเพื่อม.ว่าเป็นอย่างไร ก่อนหน้าเพียงไม่กี่วินาที .จิตผมกระเพื่อมอย่างแรง. ผมจำไม่ได้แล้วว่า กระเพื่อมด้วยเหตุอันใด เพราะเหตุการณ์มันผ่านไปนานมากแล้ว
พอจิตมันกระเพื่อมอย่างแรง .จิตรู้. เข้าไปเห็นอาการจิตกระเพื่อมนี้ทันทีอย่างอัตโนมัติ เมื่อ จิตรู้ เห็นจิตกระเพื่อมนี้ จิตกระเพื่อมก็หยุดลงทันทีเช่นกัน เกิดอาการ .จิตไม่กระเพื่อม.ขึ้น จิตรู้ ก็เข้าไปเห็น .อาการจิตไม่กระเพื่อม.นี้เหมือนกัน ผมถึงกับร้องอ๋อในใจ มันเป็นอย่างนี้เอง วันแรกที่ผมเห็น .จิตไม่กระเพื่อม. ผมจะเห็นอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วรุ่งขึ้น ก็ไม่เห็นอีก แล้วต่อมาก็เห็นได้อีก และก็ไม่เห็นอีก สลับไปมาอย่างนี้อยู่เสมอ ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมันว่าจะต้องเห็นมันหรือไม่ มันจะเห็นก็ช่าง ไม่เห็นก็ช่างมัน ผมไม่แคร์มันเลย
ทีนี้ อาการจิตเงียบ ที่ผมเขียนไว้เรื่อง จิตเงียบ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=11-2009&date=10&group=5&gblog=20
มันไม่เหมือน จิตไม่กระเพื่อม เพราะจิตไม่กระเพื่อมมีลักษณะเหมือนความว่างทีพบเข้า แต่ จิตเงียบ มันอีกแบบ อธิบายยาก ไม่รู้จะเขียนอย่างไร จิตมันเงียบ มันเย็น ไร้อารมณ์ วันนี้ผมไปธุระในเมืองกรุง ผมขึ้นรถเมล์ไป สมัยเมื่อก่อนผมใจดีมาก ผู้หญิงขึ้นรถมา ผมก็ลุกให้นั่งเสมอ แต่วันนี้ ผมเห็นแล้วก็เฉย ๆ ไม่มีความคิดจะลุกให้นั่งเลย ผมก็นั่งของผมไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจอะไร แต่จิตเงียบ ยังคงตัวอยู่ตลอดเวลา
ผมเข้าใจเองว่า การพัฒนาของกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความคิดในคนได้ เมื่อก่อนคิดอย่างหนึ่ง พอปฏิบัติไป มีทิฐิอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือไม่มีทิฐิ สมองกลวงโบ๋ ว่างเปล่า มีแต่จิตเงียบปรากฏอยู่ ตาก็มองเห็นอยู่ หูก็ได้ยินอยู่ เหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ว่า เห็นแล้วสมองไม่คิดต่อ ก็เท่านั้น เมื่อไม่คิดต่อ ก็ไม่มีปฏิกริยาออกมาครับ
ผมขอสรุปเอาเองว่า.... เส้นทางการเดินแห่งมรรค ผ่านการพัฒนาของจิตรู้ เริ่มจาก ที่เข้าไปเห็น จิตตสังขาร อยู่เนื่อง ๆ (จิตกระเพื่อม ) >> แล้ว >> ก็ไปพบ จิตไม่กระเพื่อม >> แล้วก็ไปพบ >> จิตเงียบ
ผมเข้าใจได้อีกอย่างหนึ่งว่า ที่มีผู้กล่าวว่า การเห็นธรรมต้องไม่มีความคิด ซึ่งคำกล่าวนี้ จะว่าถูกก็ได้ ไม่ถูกก็ได้ ที่ว่าไม่ถูก ก็คือ ถ้าไปบังคับให้มันไม่คิด มันจะไม่มีการพัฒนาของจิตรู้ เพราะการพัฒนา จิตรู้ ต้องไปเห็นจิตกระเพื่อมมันเป็นจิตตสังขารก่อน ที่ว่าถูก ก็คือ เมื่อจิตเงียบ เกิดแล้ว มันจะไม่คิดของมันเอง แต่ไม่ได้ไปสั่งให้มันไม่คิด แค่จะคิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้ ซึ่งสภาวะมันต่างกัน
ตอนนี้ ผมเข้าใจอีกอย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่การไปตามรู้ ตามดู รูปนาม แต่การปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการพัฒนากำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ต่างหาก เมื่อพัฒนาสัมมาสติ สัมมาสมาธิ การเห็นรูปนาม เป็นเพียงปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในการพัฒนากำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ถ้าใครเข้าใจได้ตรง ก็จะเข้าสู่ทางได้เร็วกว่า ที่เขียนอย่างนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาจะโต้แย้งกับคำสอนของใคร เพียงแต่ ผมมองตัวเองจากอดีตที่ผ่านมาของผม และ ผมต้องการจะบอกคนใหม่ที่เผอิญเข้ามาอ่านในบทความนี้ว่า สิ่งที่ผมพบนั้น นั่นมันเป็นอย่างไร ซึ่งนี่คือ สัมมาทิฐิ ในมรรค 8 คือ การมีความเห็นที่ตรงต่อการเดินทางเข้าสู่มรรค
เมื่อยิ่งเดินไปไกล ก็ยิ่งพบสิ่งที่ยากจะอธิบายเข้าไปทุกที
แต่ผมเชื่ออีกอย่างหนึ่วว่า เมื่อเราขึ้นรถเมล์ถูกสาย เราต้องไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้แน่ เปรียบเหมือน การมี สัมมาทิฐิ ที่ตรง ย่อมนำพาผู้ปฏิบัติเข้าสู่ทางแห่งมรรคได้อย่างแน่นอน ครับ
การพัฒนาการมี step ของมัน อย่าได้คิดทำอะไรเพื่อจะข้ามขั้น เพราะยิ่งมีการกระทำ ยิ่งห่างไกลอริยมรรคออกไปทุกที ไม่ต้องทำ แต่ให้มีความเพียรใน สัมมาสติ สัมมาสมาธิ แบบไม่ต้องทำนั้นเองครับ จึงจะเข้าสู่ทาง
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:32:33 น. |
Counter : 916 Pageviews. |
|
|
|