จิตมีกำลังแบบสมถะ จิตมีกำลังแบบวิปัสสนา
ในแวดวงกรรมฐานในประเทศไทย คำสอนที่ว่า ก่อนทำวิปัสสนานั้น ต้องทำสมถะเพื่อให้จิตมีกำลังเสียก่อน ในบทความนี้ ผมจะมาแสดงให้ท่านรู้ครับว่า คำสอนที่ว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร ขอให้ดุรูปครับ
เมื่อท่านทำสมถะไม่ว่ารูปแบบใด จะปรากฏออกมาดังรูปข้างบน ( รู้แบบสมถะ ) .จิตรู้.นั้นจะถูกตรึงแน่นด้วยเส้นสีแดง ( ซึ่งก็คือตัณหา การยึดติด ) กับ วัตถุที่จิตไปจับติดอยู่ คำว่า วัตถุที่จิตไปจับติดอยู่ ก็เช่น ที่ปลายจมูก ที่ท้อง เมื่อท่านดูลมกระทบที่จุดนั้น หรือ พวกเพ่งท้องเหนือสะดือ 2 นิ้วที่สำนักดังเขาสอนกันอยู่ หรือไปเพ่งหน้าผาก (ตาที่สาม ) หรือ ไปเพ่งเท้าในขณะเดินจงกรม หรือไปเพ่งมือในขณะที่เคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน
เมื่อมีการกระทำเพื่อการบังคับจิตให้ติดแน่นกับวัตถุ ไม่ยอมให้จิตหนีพรากไปไหน ย่อมต้องเป็นอัตตาตัวตนที่เข้ากระทำและเป็นความอยากที่จะกระทำ ซึ่งก็คือตัณหา ดังนั้น จึงเกิดตัณหาขึ้นเป็นแรงยึดจิต ( เส้นสีแดง ) เข้ากับวัตถุ
ยิ่งจิตแนบแน่นกับวัตถุมากเท่าใด นั่นแสดงว่า ตัณหายิ่งเข็มแข็งประดุจกาวตราช้างที่มีอนุภาพยิ่ง
เมื่อตัณหายิ่งเข็มแข็ง จิตยิ่งถูกตัณหาผูกมัดไว้ ทำให้จิตไม่เกิดปัญญารู้แจ้งในทางธรรม
ดังนั้น การกระทำสมถะ จึงไม่อาจเข้าถึงอริยสัจจธรรม ดังที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงทราบดีเมื่อคราวไปเรียนกับดาบส 2 รูป (ดังที่มีกล่าวไว้ในพุทธประวัติ )
..................
ทีนีมาดูกรณีของวิปัสสนา ดังรูปด้านล่างเส้นไข่ปลา (เส้นประ )
ในกรณีของวิปัสสานานั้น จิตรู้ จะไม่ติดหนึบกับวัตถุดังกรณีของสมถะ แต่.จิตรู้. จะเป็นอิสระจากวัตถุโดยสิ้นเชิง .จิตรู้.ที่เป็นอิสระนั้น จะรู้สภาวะธรรมที่เกิดตามอายตนะต่างๆ คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตใจ ในแง่ทฤษฏีแล้ว การรู้ของจิตรู้ จะรู้ได้ครั้งละ 1 อย่าง แต่ในแง่การปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติจะพบเองก็คือ จิตรู้ จะรู้ได้พร้อม ๆ กันทุก ๆ อายตนะ
ในวิปัสสนา การที่จิตมีกำลังนั้น ทางภาษาพระเรียกว่า จิตตั้งมั่น ซึ่งจิตที่ตั้งมั่นนั้นจะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์แบบจากวัตถุอันเป็นการสัมผัสผ่านทางระบบประสาททางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตใจ จิตรู้ จะรู้การสัมผัสที่เกิดขึ้น แต่จะไม่เข้าไปจับยึดกับวัตถุที่สัมผัสนั้นๆ นี่คืออาการของจิตที่มีกำลังทางวิปัสสนา
เมื่อจิตรู้ไม่จับยึดกับวัตถุที่เป็นอารมณ์ของจิต อารมณ์ของจิตจะแสดงไตรลักษณ์อันเป็นธรรมชาติให้จิตรู้ได้เห็น ทำให้จิตรู้เกิดปัญญา คลายความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ลงไปในขั้นต้น และถึงขั้นการตัดการยึดติดอย่างถาวรในขั้นปลาย อันเป็นการดับทุกข์ใจได้อย่างถาวร
ในแง่การฝึกฝนจิตตั้งมั่นแบบวิปัสสนานั้น คือ ฝึกเพียงความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติอยู่เสมอ ๆ ให้ติดเป็นนิสัย เมื่อเป็นนิสัยแล้วจิตก็จะตั้งมั่นเป็นวิปัสสนาเอง ( บางพระอาจารย์จะเรียกว่า การมีปรกติเจริญสติปัฏฐาน )
...........................
ท่านจะเห็นว่า ในคำสอนของครูอาจารย์นั้น ถ้าท่านไม่เข้าใจ ไปตีความผิดในแง่การปฏิบัติ ท่านจะหลงเข้าสู่สมถะทันที แล้วท่านก็จะไม่มีทางพบธรรม
ผมฟังซีดีธรรมมามากหลายอาจารย์ ผมพบว่า อาจารย์ส่วนใหญ่ทีสอน จะสอนเพียงว่า .ให้มีสติ รู้กาย รู้ใจ. บ้าง .ให้มีสติอยู่กับตัวบ้าง. นี่คือคำสอนที่ดูเหมือนจะปั้มกันออกมาดังเหรียญกระษาปณ์ของรัฐบาล ซึ่งไม่มีการชี้แนะให้ว่า สติรู้กาย รู้ใจ นั้นมีลักษณะอาการอย่างไร ถ้าท่านตีความผิด หรือเข้าใจผิด ท่านก็จะพบกับเหรียญกระษาปณ์ปลอมเข้าอย่างจัง แล้วคิดว่า นี่คือเหรียญของจริง แล้วท่านก็จะหลงทางไปกับวังวนของสมถะ หาทางพ้นทุกข์ไม่พบเลย
.................................... เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงทราบจุดนี้ดี ครั้นเมื่อตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ทรงสอนการเจริญวิปัสสนาให้แก่ชาวพุทธ อันเป็นมรดกแก่ชาวพุทธเพื่อการพ้นทุกข์ทางใจอย่างถาวร
........................................ บทความนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง ว่าท่านควรเจริญจิตตภาวนาอย่างไร เพื่อดำเนินตามรอยบาทพระศาสดา
Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552 |
|
10 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:33:21 น. |
Counter : 3241 Pageviews. |
|
|
|
เช่นเมื่อเย็นนี้ หนูเห็นป้าข้างบ้าน ที่มักจะปล่อยหมามาอึหน้าบ้านคนอื่น (บ้านหนู) กำลังฉีดน้ำ ไล่ลูกหมา ของอีกบ้านเพื่อไม่ให้ไปฉี่บ้านตนเอง ตอนแรกหนูรู้สึก ป้ะที่บ้านตัวเองให้หมาไปฉี่บ้านคนอื่น แต่หมาบ้านคนอื่นฉีดน้ำไล่กะลังจะอ้าปากเล่าให้แม่หนูฟัง หนูก็รู้สึกว่า มันไม่ใช่สาระอะไรเพราะก็ไม่เกี่ยวกับเรา ก็รู้สึกเฉยๆ ประมาณนี้หรือเปล่าค่ะ