รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
19 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

การเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ทำไมต้องใช้มือเพื่อลูบที่หน้าอก

มีผู้ถามมาว่า..
ดิฉันได้ไปฝึกเจริญสติ ที่บ้านอารีย์ สงสสัยเรื่องการปฏิบัติค่ะ คือ การสร้างจังหวะมือ ในจังหวะที่ 7คือ เคลื่อนมือไปที่หน้าอกนั้น ตอนที่ทำอยู่บ้านจะยกมือลอยๆขึ้นไปที่หน้าอก แต่พระอาจารย์ท่านใช้มือลูบแนวขึ้นไปตามลำตัว

จึงขอสอบถามว่าถ้าคุ้นเคยกับการยกมือลอยๆขึ้นอยู่แล้วนั้น จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือไม่คะ ขอสอบถามอาจารย์ด้วยค่ะ

............................
มาดูความเห็นของผมดังนี้ครับ

การเจริญสัมมาสติแบบหลวงพ่อเทียนนั้น ท่านสอนให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกถึง .อาการเคลื่อนไหวของมือ. + ให้รู้สึกถึงอาการสัมผัสที่เกิดขึ้นในขณะฝึกฝน.

******
การรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว จะเบา ถ้ากำลังสติอ่อน จะรับรู้ไม่ได้
การรู้สึกถึงการลูบลำตัว จะแรง ถึงแม้กำลังสติอ่อน ก็ยังสามารถรู้สึกได้
******

ในคนใหม่ ๆ ที่เพิ่งเริ่มเข้ามาฝึกฝน ส่วนมากกำลังของสติจะอ่อนมาก
เมื่อกำลังสติอ่อนมาก การจะรับรู้ความรู้สึกถึงการเคลือนการไหวแทบจะรู้สึกไม่ได้เลยเพราะจะเบา ดังนั้น ในวิธีการของหลวงพ่อเทียนนี้ ท่านได้ค้นคิดวิธีการที่จะทำให้คนใหม่ ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นสามารถรับรู้ความรู้สึกได้ ซึ่งก็คือ การมีจังหวะการสัมผัสที่แรงในการฝึก ซึ่งก็คือ จังหวะทีใช้ฝ่ามือลูบขึ้นไปตามลำตัว การลูบแบบนี้ เป็นการสัมผัสที่แรง ดังนั้น คนใหม่ ๆ ที่เพิ่งเข้ามาฝึกวันแรกเลย หรือกำลังสติจะอ่อนแค่ไหน ก็ย่อมจะรับรู้ความรู้สึกนี้ได้อย่างแน่นอน เมื่อผู้ฝึกรับรู้ความรู้สึกนี้ได้บ่อยๆ กำลังของสติก็จะค่อย ๆ มีการพัฒนาขึ้นไปเองเรื่อยๆ อย่างเงียบ ๆ

เมื่อกำลังแห่งสติมากขึ้น ผู้ฝึกก็จะสามารถรับรู้ความรู้สึกที่แรงได้ (เช่น การสัมผัสที่ลูบลำตัว ) และ ความรู้สึกที่เบา ๆ ได้ (เช่นจังหวะที่เคลื่อนมือขึ้นหรือลง ) ผู้ปฏิบัติก็จะรู้สึกได้ด้วย เมื่อผู้ฝึกฝนรู้สึกได้ ก็จะมีการพัฒนาของกำลังสติ ต่อเนื่องไปอีกเรื่อย ๆ

แต่ถ้าวิธีการของหลวงพ่อเทียน ไม่มีจังหวะในการลูบลำตัว (เพื่อการรู้ความรู้สึกที่แรง ๆ ) การพัฒนาการกำลังของสติจะยากมาก ๆ สำหรับคนใหม่ ๆ ที่เข้าใมฝึกฝน จนถึงอาจะจะไม่มีการพัฒนาได้เลย

สรุปที่ผู้ถามมาก็คือว่า ตอนนี้ท่านที่เข้าไปฝึกสามารถรับรู้อาการเคลื่อนไหวได้หรือไม่ ถ้ารู้สึกได้ถึงอาการเคลื่อนไหวได้อยู่เสมอแล้ว จะฝึกต่อไปโดยไม่สัมผัสลูบไปที่หน้าอกก็ได้ครับ เพียงแต่ฝึกเคลื่อนไหวของมือต่อไปเรื่อย ๆ อย่างที่คุณกำลังฝึกแบบนี้อยู่

แต่ถ้า ตอนนี้ยังรับรู้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของมือยังไม่ได้ หรือ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แสดงว่า กำลังสติยังไม่ดีนัก ผมแนะนำให้มีการลูบทีหน้าอกด้วยครับ เพื่อให้รับรู้ความรู้สึกที่แรง ๆ ด้วย กำลังสติจะได้มีการพัฒนาครับ

ผมเข้าใจครับ ในผู้ฝึกบางคนที่เป็นหญิง การลูบลำตัวแบบนั้น อาจรู้สึกไม่ดีนักเพราะเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ จึงจะเลี่ยงโดยการเคลื่อนมือไปโดยไม่สัมผัสกับลำตัว เพียงแต่เคลื่อนลอย ๆ ไป

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ทีจะฝากไว้ให้พิจารณานะครับ
การสัมผัสที่แรง ๆ เช่น การลูบลำตัวทีหลวงพ่อเทียนสอนไว้ใน 14 จัวหวะ หรือ การลูบแขน หรือ การลูบขา ดังทีผมเขียนไว้ในเรื่อง ตัวอย่างการฝึกเพือการรู้กาย //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2009&date=30&group=1&gblog=20

ถ้าลูบไปเรื่อย ๆ นะครับ จะเข้าใจความไม่ใช่ตัวตนได้เป็นอย่างดี
นั้นก็คือ รู้จักสักกายทิฐิ ขึ้นมาได้ มันง่ายอย่างไม่น่าเชื่อครับ

ส่วนจังหวะการหยุดเป็นจังหวะ ของหลวงพ่อเทียน จะทำให้เข้าใจ ความว่าง
ความไม่มีจิตได้

หลวงพ่อเทียนท่านซ่อนเอาไว้ แบบไม่บอกลูกศิษย์ นอกจากคนที่ขยันฝึกไปเรื่อย ๆ ตามที่หลวงพ่อสอน ก็จะมองออกเอง เข้าใจได้เอง ถ้าเพียงมาฝึกเล่น ๆ ตามเพื่อนมา สัก เดือน สองเดือน แล้วเลิกไป ก็จะมองไม่ออกครับ

อย่าลืมนะครับ นี่เพียงความเห็นส่วนตัว ที่ผมฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเองครับ




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2552
16 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:55 น.
Counter : 1421 Pageviews.

 

ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

 

โดย: หนิง IP: 124.121.219.226 19 พฤศจิกายน 2552 17:06:34 น.  

 

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: kaoim IP: 110.49.150.104 19 พฤศจิกายน 2552 23:34:51 น.  

 

ถามคุณนมสิการเรื่องจิตที่คิดปรุงแต่งค่ะ

คือตอนฝึกใหม่ๆ เนี่ยพอรู้ทันความคิด มันก็จะดับไปใช่ไหมคะ

ทีนี้พอฝึกไปๆ ความคิดมันห่างๆออกไป เวลาจิตคิด เราก็เห็นว่าคิด แล้วก็ไม่ได้สนใจ มันก็คิดต่อไปๆ
ก็รู้ว่ามันไหล ก็รู้อีกว่ามันคิดต่อ

ทีนี้สงสัยว่า การที่เราไม่ได้เห็นความคิดดับไปนี่ เป็นเพราะ

1.จิตไม่มีกำลังพอ 2.สติไม่เกิดขึ้นจริง เลยไม่ตัด หรือ
3.เป็นอย่างที่หลวงพ่อท่านว่าเห็นความคิดเหมือนสายน้ำไหลผ่านไปผ่านมาคะ

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: โอ๊ต IP: 10.20.44.28, 203.146.104.42 20 พฤศจิกายน 2552 13:45:30 น.  

 

1 คือตอนฝึกใหม่ๆ เนี่ยพอรู้ทันความคิด มันก็จะดับไปใช่ไหมคะ
>> ส่วนใหญ่ คนที่ฝึกใหม่ ๆ ยังมีการยึดติดอยู่ พอมีความคิดเกิด ความยึดติดในจิตใจ จะทำให้ไปจ้องความคิดที่เกิดนั้นทันที เมื่อไปจ้องมันเข้า มันก็จะหยุดคิดครับ
นักปฏิบัติบางคน เช่นกันพยายามจ้องหาความคิด เพราะหลวงพ่อเทียนสอนให้ดูความคิด พอไปจ้องหา ความคิดมันก็ไม่เกิดครับ เช่นเดียวกัน

2. ทีนี้พอฝึกไปๆ ความคิดมันห่างๆออกไป เวลาจิตคิด เราก็เห็นว่าคิด แล้วก็ไม่ได้สนใจ มันก็คิดต่อไปๆ
ก็รู้ว่ามันไหล ก็รู้อีกว่ามันคิดต่อ
>> การที่คิดต่อไป ไม่ใช่หมายความว่า มันไหลตามความคิดนะครับ ถ้ามันไหลตามความคิด จะเกิดอาการที่ไม่เห็นความคิดครับ อย่างนี้คือไหลแล้ว (การไม่เห็นความคิด ก็คือสิ่งที่หลวงพ่อเทียนพูดว่า การเข้าไปในความคิด ที่เกิดในปุถุชนที่ไม่ได้ฝึกฝน คนพวกนี้ จะไหล หรือ จะจมอยู่กับความคิดเสมอ แต่ไม่เห็นความคิด )

3 ทีนี้สงสัยว่า การที่เราไม่ได้เห็นความคิดดับไปนี่ เป็นเพราะ

1.จิตไม่มีกำลังพอ 2.สติไม่เกิดขึ้นจริง เลยไม่ตัด หรือ
3.เป็นอย่างที่หลวงพ่อท่านว่าเห็นความคิดเหมือนสายน้ำไหลผ่านไปผ่านมาคะ
>> ตรงนี้จะมี 2 ระยะครับ
ระบะแรก ที่ความคิดไม่หยุดคิด แต่ผู้ฝึกจะยังเห็นความคิดได้อยู่ เขาจะหยุดความคิดก็ได้ หรือไม่หยุดความคิดก็ได้
ในช่วงนี้ สาเหตุตามที่ผมเดา อาจเป็นว่า กำลังสัมมาสติยังปานกลางอยู่ แต่ไม่อ่อนครับ เพราะเขายังเห็นความคิดได้ โดยที่ความคิดไม่สามารถดึง .จิตรู้. ของเขาเข้าไปผสม จิตรู้ จึงยังเห็นความคิดที่เกิดอยู่ต่อไป แต่กำลังสัมมาสติก็ไม่แรงกล้าพอที่จะหยุดความคิดได้ทันที .(.ขอให้อ่านระยะที่สองต่อไป ซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน...)

ระยะที่สอง คนพวกนี้กำลังแห่งสัมมาสติจะแรงกล้า พอความคิดเกิด มันจะหยุดทันที บางทีความคิดยังไม่ทันเกิด เขาก็จะรู้ได้ว่า มีความคิดกำลังจะเกิดแล้ว แล้วเขาจะรู้สึกได้ถึงพลังงานอะไรเล็ก ๆ ที่มันโผล่มายิก ๆ อยู่ แล้วความคิดก็หยุดลงไปทันทีโดยทียังไม่เกิดออกมาให้รู้ว่า เรื่องที่คิดคือเรื่องอะไร

นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นจริงอย่างที่ผมเขียน ขอให้พิจารณาด้วยปัญญาในการอ่าน

 

โดย: นมสิการ 20 พฤศจิกายน 2552 14:13:43 น.  

 

ขอบคุณคุณนมสิการค่ะ (มาตอบเร็วจัง)

ระบะแรก ที่ความคิดไม่หยุดคิด แต่ผู้ฝึกจะยังเห็นความคิดได้อยู่ เขาจะหยุดความคิดก็ได้ หรือไม่หยุดความคิดก็ได้


- เข้าใจว่า นอกจากกำลังไม่มาก แล้วส่วนนึงเพราะยังมีความอยากที่จะคิดในเรื่องนั้นๆต่อ จึงไม่ได้หยุด ปล่อยให้ความคิด ดำเนินต่อไป ทั้งๆที่เห็นว่าความคิดมีอยู่

ช่วงนี้เห็นความคิดแบบนี้บ่อยมากเลยค่ะ ก็นั่งดูมันคิดไป บางทีก็ขำๆ เวลาเห็นจิตมันทำงาน (จิตแอบไปสวดมนต์ - เผลอคิด - สวดมนต์ - รู้) แต่ไม่ค่อยรำคาญเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะออกแนวเหนื่อยจังแทน เวลาเห็นจิตมันแว๊บๆๆ ระหว่างรู้-เผลอ


ระยะที่สอง คนพวกนี้กำลังแห่งสัมมาสติจะแรงกล้า พอความคิดเกิด มันจะหยุดทันที

อันนี้เคยเป็นบางเวลาค่ะ แบบ เผลอคิด-รู้ตัว-เผลอคิด-รู้ตัว-เริ่มจะเผลอคิด รู้ซะก่อน ไม่ทันแปลเลยดับไป


มีอีกเรื่องนึงที่สงสัยคือ ตอนเริ่มฝึกเนี่ย 2 เดือนแรกเนี่ยเห็นความคิดก่อนเลย ต่อมาก็เห็นจิตที่มันโกรธ หงุดหงิด ไม่ชอบใจ แต่จิตที่มีความอยาก / ความพอใจเนี่ยกลับดูไม่ค่อยจะออกเลยค่ะ ตอนนี้ก็พยายามดูตัวนี้อยู่ แต่แบบสงสัยมากเลยค่ะ ว่าทำไมมันเป็นแบบนี้

ขอบคุณคุณนมสิการอีกครั้งค่ะ ได้ความเข้าใจมากขึ้นค่ะ

_/\\_



 

โดย: โอ๊ต IP: 10.20.44.28, 202.44.210.31 20 พฤศจิกายน 2552 14:46:06 น.  

 

ที่คุณเล่ามา แสดงว่า การปฏิบัติของคุณกำลังไปได้ดีแล้ว
ขอให้ฝึกฝนต่อไป

เรื่องความคิดที่มันเกิดเอง ตอนนี้ผมก็ไม่ใส่ใจมันเท่าใด มันเกิดก็ช่างมัน มันไม่เกิดก็ช่างมัน เพราะผมเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับขันธ์ 5 เลยปล่อยมันให้เป็นอิสระของมันเอง ผมไม่บังคับมันด้วยครับ มันอยากคิด ก็ให้มันคิดไป มันอยากหยุดคิด ก็ให้มันหยุดไป

เรื่องความอยาก ตัวนี้มันมาเนียนครับ เห็นได้ยาก
แต่จากประสบการณ์ของผม ก่อนที่คุณเห็นตัวอยากนี้
คุณต้องรู้จักสภาวะความว่างของจิตใจได้ก่อน

เมื่อคุณรู้จักสภาวะแห่งจิตใจได้แล้ว คุณจะรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า ความไม่มีอะไรอยู่ พอความอยากมันโผล่มา มันจะเห็นได้ เพราะในความว่าง มันจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เราจะสังเกตเห็นได้ แต่ว่า อย่าไปพยายามหามัน เพราะจะหาไม่พบ แต่ให้ฝึกสัมมาสติต่อไปเรื่อยๆ พอกำลังสัมมาสติมีกำลังสูงขึ้นแล้ว คุณจะเข้าใจและเห็นได้เอง แต่ใช้เวลาให้กับตนเองด้วย อย่าไปเร่ง แต่ให้ขยันมีความเพียรอยู่เสมอ ๆ แล้วมันจะเป็นไปเอง นี่คือกุญแจการภาวนาอย่างหนึ่ง ที่จะสำเร็จได้ด้วยความเพียรที่ไม่ตั้งใจภาวนาครับ

เช่นกันครับ นี่เป็นความเห้นส่วนตัว กรุณาอ่านและพิจารณาด้วยปัญญา

คุณฝึกมาแนวหลวงพ่อเทียนหรือครับ หรือ แนวไหน ?

 

โดย: นมสิการ 20 พฤศจิกายน 2552 17:47:32 น.  

 

ผมลืมไปหน่อยหนึ่ง

การภาวนาเพื่อการหลุดพ้นนั้น ให้ภาวนาด้วยการไม่เอาอะไรเลย เราไม่ต้องการความว่าง ไม่ต้องการที่จะเห็นอะไรทั้งสิ้น นีคือจิตใจที่ว่างเปล่าที่ไม่ต้องการอะไร
ธรรมชาติแท้มันจะปรากฏออกมาให้เห็นได้ ผมคาดว่า ถ้าคุณภาวนาได้ถึงอย่างที่คุณเล่ามา คุณน่าจะเห็นธรรมชาติแท้ตัวนี้ได้แล้ว

ธรรมชาติแท้ ที่ไร้ตัวตน ไม่มีกาย ไม่มีแขน ไม่มีขา ไร้จิตใจ มีแต่ความรู้สึกที่รับรู้ที่สภาวะมันเกิดแล้วมันลอย ๆ อยู่ ไม่รู้อยู่ที่ไหนกันแน่ คุณจะรับรู้ได้เอง อย่าไปจ้องหา อย่าไปพยายามทำให้เกิด เพราถ้ามีการทำอะไรขึ้นมา เจ้าธรรมชาติแท้นี้ จะหายไปทันที

พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเราคุ้นเคยกับสภาวะแท้นี้บ่อย ๆ จิตใจเราจะเคยชิน และจะรู้ได้ว่า การไม่ต้องทำคืออย่างไร
เมื่อเราจะตาย เราจะเข้ามาสู่สภาวะแท้นี้ได้ทันที เมื่อตาย เมือไร การเกิดก็ไม่มีอีกต่อไปครับ

 

โดย: นมสิการ 20 พฤศจิกายน 2552 18:00:57 น.  

 

คุณนมสิการคะ

เรื่องความว่างของจิตเวลาเจริญสติในชีวิตประจำวัน เคยเห็นค่ะ เป็นบางที ส่วนใหญ่จะเห็น
ความปรุงแต่งมากกว่า จะไปเห็นชัดตอนทำสมถะ จิตว่างๆ ไม่จับลมหายใจ คำบริกรรม
มันจะไปว่าง สงบ แล้วก็รู้อยู่อย่างนั้น นานๆ จะรวมวูบลงไปทีนึง

ก็ยังเคยสงสัยว่าตัวเองไปทำสมถะแบบละเอียด แบบเพ่งความว่าง เพ่งตัวรู้เข้ารึเปล่า แต่เดือนที่แล้ว
ไปส่งการบ้าน พอถามถึงสมถะ หลวงพ่อท่านก็บอกให้ทำต่อไปอย่างที่ทำค่ะ

ไม่ได้ฝึกแนวหลวงพ่อเทียนค่ะ แต่ดูจิตหลงไปคิดตอนสวดมนต์ แล้วก็ตอนนั่งสมาธิ จะเห็นความคิด
ผุดมาเรื่อยๆ ในชีวิตจริง-พอพูดให้น้อยๆ ก็ไปเห็นจิตคิดโน่นคิดนี่ ช่วงไหนไปอยู่วัด/เข้าคอร์สมา-
สมถะแรงเยอะ นั่งฟังเสียงจิตพูดแจ้วๆก็มีค่ะ เล่นเอางงเลย -*-

++ มีแต่ความรู้สึกที่รับรู้ที่สภาวะมันเกิดแล้วมันลอย ๆ
ใช่ค่ะ เดี๋ยวนี้เวลารู้มันรู้แบบลอยๆ แบบผิวๆ บางทีจิตหลงคิด-สติเข้าไปตัด แล้วรู้ตัวแว๊บนึง
อ้าว...หลงคิด

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ

^__^

 

โดย: โอ๊ต IP: 125.24.76.250 22 พฤศจิกายน 2552 11:39:26 น.  

 

นี่คงเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า
ฝึกอย่างไรก็ตาม ผลจะออกมาเหมือนกัน

 

โดย: นมสิการ 22 พฤศจิกายน 2552 12:36:15 น.  

 

อย่างที่คุณโอ๊ตเล่ามา เวลาสมถะแรง จะเห็นจิตมันพูดหรือคิดแจ้วๆเลย อาการอย่างนี้ผมจะเป็นช่วงที่กำลังเพ่งหรือใช้สมาธิอย่างหนักอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบจริงๆจังๆ เช่น ขับรถหลงทางแล้วกำลังหาทางออก หรือนั่งทำงานที่เร่งๆ เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ความคิดมันจะเกิดขึ้นเอง เรื่องราวที่เราคิดอยู่บ่อยๆจะประดังออกมา มันจะพากษ์ออกมาเอง แต่ความคิดแบบนี้ไม่เกี่ยวกับเรืองที่กำลังทำเลย
...แต่ ผมสงสัยว่า การที่เรารู้แบบนี้เป็นผู้ดูหรือเข้าไปในความคิดกันแน่ครับ เพราะมันไปรู้เรื่องราวที่ผุดขึ้นมาเอง แต่มันก็ห้ามไม่ให้รู้ก็ไม่ได้

 

โดย: virut IP: 172.16.21.104, 119.46.99.2 23 พฤศจิกายน 2552 11:56:54 น.  

 

ในความเห็นของผมนะครับ

เมื่อเราปฏิบัติ เพียงรู้สภาวะก็พอ ไม่ต้องหาเหตุผลว่า นี่เป็นแบบผู้ดู หรือ แบบการเข้าไปในความคิด

เมื่อสภาวะมันเกิด มันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน เพียงรู้
แล้วเมื่อมันหยุดไป ก็เพียงรู้ แค่นี้ก็พอครับ

เมื่อเราปฏิบัติไปเรื่อยๆ การเห็นจะชัดมากขึ้นทุก ๆ ที จนเราเข้าใจมันได้เอง โดยไม่ต้องไปคิดเช่นกันว่า นี่คืออะไรกัน

 

โดย: นมสิการ 23 พฤศจิกายน 2552 13:08:38 น.  

 

อีกอย่างหนึ่ง เหตุการณ์ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องไปนึกถึงมันอีก คือ ผ่านแล้วผ่านไปเลย ให้รู้อยู่ในปัจจุบันนะครับ

 

โดย: นมสิการ 23 พฤศจิกายน 2552 13:19:58 น.  

 

อาจารย์คะ เวลาสร้างจังหวะมือ ขณะทำเหมือนจะรู้เฉพาะเวลาเคลื่อนมือ แต่จังหวะหยุด มันไม่รู้ได้ชัดค่ะ ถ้าเวลาผ่านไปนานๆ จะชำนาญขึ้น จนตัวเราจะรู้จังหวะหยุดไปเองหรือไม่คะ

 

โดย: หนิง(มังคุดม่วง) IP: 124.121.220.187 25 พฤศจิกายน 2552 18:12:58 น.  

 

ใช่ครับ ใหม่ ๆ จะเป็นอย่างนี้ก่อน
ที่สำคัญคือ ต้องมีความรู้สึกตัว ด้วยครับ

 

โดย: นมสิการ 26 พฤศจิกายน 2552 1:22:53 น.  

 

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: หนิง IP: 124.120.212.42 26 พฤศจิกายน 2552 13:04:03 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 18:47:43 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.