ทิฐินักปฏิบัติ
เมื่อท่านคิดจะคุยเรื่องธรรมกับใคร ท่านสมควรชั่งใจให้ดี เพราะถ้าท่านไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบัน เขาจะไม่มีวันฟังท่าน พูดไปดี ๆ ก็จะเกิดปัญหาโต้เถียงกันขึ้น นี่คือทิฐินักปฏิบัติครับ
ในอดีตที่ผ่านมาตลอดเกือบ 25 ปีแห่งการเข้าสู่วงการปฏิบัติธรรม ช่วงใหม่ ๆ ผมกำลังหาหนทาง กำลังหากัลยาณมิตร กำลังหาอาจารย์สอน แต่ผมไม่ข้าใจเลยว่า เวลาผมไปถามเรื่องธรรมกับเหล่านักธรรมรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นแม่ คนเหล่านี้ทำไมช่างใจจืดใจดำเสียจริง พอเราอ้าปากถาม เขาก็จะบอกว่าไม่ทราบแล้วเดินหนีไปทันที ผมมีแต่ท้อใจ และ ท้อใจ
เมื่อผมพบพระอาจารย์ทีสอนผม จนผมเข้าใจเรื่องธรรมปฏิบัติ ผมเฝ้าฝึกฝน จนรู้เข้าใจเรื่องแล้ว ผมนึกถึงอดีตที่ผ่านมาถึงเหล่านักธรรมใจจืดพวกนั้นที่ผมเจอ เมื่อมีใครมาถามธรรมกับผม ผมก็เพียรพยายามที่จะอธิบายให้เขาฟัง เพราะผมเข้าใจจิตใจตอนนั้นของผมดีว่าเป็นอย่างไร ผมเลยคิดว่า คนที่มาถามผม จิตใจเขาก็เหมือนกับผมในตอนนั้น แต่คนแล้วคนเล่าที่ผมเฝ้าเพียรอธิบายให้เขาเข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การโต้เถียงในธรรมที่คุยกัน จนผมอ่อนใจ ผมเลยเข้าใจแล้วครับว่า ทำไมเหล่านักธรรมรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นแม่ จึงเดินหนีทันทีเมื่อมีใครมาถามธรรมกับพวกเขา ผมเข้าใจแล้วจริง ๆ
จิตใจผมเปลี่ยนจากผู้มากด้วยน้ำใจที่คิดจะเผยแผ่พระธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมมาพุทธเจ้า กลายเป็นคนใจจืดใจดำเฉกเช่นนักธรรมรุ่นพี่ไปแล้ว
จากที่เคยตอบข้อสงสัยในเวปบอร์ดต่างๆ ผมก็เลิกตอบ เพราะผมเห็นว่า การตอบในเวปบอร์ดมีแต่จะสร้างปัญหาให้ และไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ผมหันมาเขียน blog ที่นี่คือบ้านของผมเอง ใครไม่สนใจไม่ต้องเข้ามาอ่านก็ได้ ใครทีอ่านแล้ว เขียนไม่ดี ผมก็มีสิทธิลบทิ้งได้ทันที ผมเองยังเห็นประโยชน์ของ blog ที่ให้ผมเผยแผ่ธรรมปฏิบัติแก่สาธารณชนต่อไปได้
พระอาจารย์ที่สอนผม เคยเตือนผมว่า อย่าไปยุ่งกับใคร โดยเฉพาะคนทีไม่รู้เรื่อง เพราะพูดอย่างไร เขาก็จะไม่เข้าใจ ไม่มีประโยชน์ นี่คือความจริงที่ผมประจักษ์ในคำสอนของพระอาจารย์แล้ว
ธรรมแท้นั้น ที่จริงพูดหรือเขียนอะไรออกมาไม่ได้เลย ไม่รู้จะเขียนอย่างไรดี ก็คงต้องเงียบไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามจะทำใน blog ก็คือ การไขปัญหาวิธีการปฏิบัติแก่ผู้ที่ต้องการจะให้ผมช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่ถ้าเรื่องสภาวะธรรม ผมพยายามจะเลี่ยงเลี่ยงไม่ตอบครับ
เมื่อสภาวะแห่งอนัตตายิ่งเด่นชัดชึ้น การเขียนใด ๆ ก็ยิ่งยากลำบากและถ้าเขียนไปจริง ๆ ก็จะมีแต่ปัญหาที่จะตามมา เพราะสิ่งที่จะแสดงมันจะขัดแย้งในทิฐิแห่งนักปฏิบัติท่านอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ถึงขั้นรับไม่ได้ เพราะธรรมแท้ มันเป็นสิ่งที่หลุดโลก เป็นสิ่งทีอยู่เหนือโลก อะไรที่หลุดโลก อะไรที่เหนือโลก โลกย่อมไม่เข้าใจ ย่อมไม่ยอมรับ ถ้าผมเขียนไปแล้วไปขัดกับตำราเข้า ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริงแห่งธรรม มันจะได้ประโบนชน์อันใดแก่ผู้อ่านเล่า ในเมื่อทิฐิที่เขาสร้างขึ้นมาเอง มันเต็มแน่นอยู่ในสัญญาของเหล่านักปฏิบัติอยู่เต็มเปี่ยม
ทิฐินักปฏิบัติ ต้องการและยอมรับได้ แต่เรื่องที่ตรงกับทิฐิของเขาเท่านั้น
การที่เขาเข้ามาถาม ไม่ใช่ต้องการความรู้ในธรรม แต่เขาต้องการแนวร่วมในหมู่คนที่มีทิฐิตรงกับเขาเท่านั้น สำหรับในสิ่งทีไม่ตรง เขาก็พร้อมจะโต้แย้ง โดยเอาทิฐิแห่งตนเป็นที่ตั้ง
ผมคาดเดาว่า นี่คือสาเหตุที่ทำให้พุทธศาสนาที่ว่าจะอยู่ได้ 5000 ปี ก็เพราะทิฐินักปฏิบัตินั้นเอง นักปฏิบัติรุ่นพี่ รุ่นแม่ รุ่นพ่อ ที่เขาเข้าใจ จึงเก็บตัวเงียบ ปล่อยให้สัตว์โลกหลงไปกับทิฐิแห่งตน
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม !
ที่ผมเขียนออกมานี้ ก็เป็นทิฐิของผมเช่นกันครับท่าน !
ธรรมแท้ เขียนออกมาไม่ได้ เพราะมันไร้สัญญา ไร้สังขารแล้ว
แนะนำอ่าน สิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมด ล้วนมาจากสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=11-2009&date=13&group=5&gblog=23
Create Date : 20 พฤศจิกายน 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:44 น. |
Counter : 1069 Pageviews. |
|
|
|
ดีใจที่ได้พบคนคิดแบบนี้ จุฬาภินันท์ไม่ใช่นักปฏิบัติ แต่เป็นคนที่ปฏิบัติธรรม จนเข้าสู่ระดับอรหันต์แล้ว
ยินดีแลกเปลี่ยนทุกความเห็นค่ะ ขอแอดไว้นะคะ