เรื่องที่ยากลำบากที่สุดในธรรมปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์
เป็นเรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อ เรื่องที่ยากลำบากที่สุดในธรรมปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ นั้นคือ .ความเชื่อ. ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของท่านนั้นเอง
ถ้าท่านหนีมันออกมาได้เมื่อไร ท่านก็จะพ้นจากกองทุกข์ได้ทันที
เมื่อท่านเชื่อสิ่งใด สิ่งนั้นจะจมลึกอยู่ในส่วนลึกของจิตใจแม้ตังท่านเองก็ไม่รู้ เมื่อท่านได้ฟังหรือได้อ่านเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อที่อยู่ในจิตใจ ถ้ามันตรงกัน ท่านก็จะยิ้มและพยักหน้าและยินดีและว่า เรื่องนี้ถูก เรื่องนี้ดี เรื่องนี้เป็นจริง
ในทำนองตรงกันข้าม ถ้าท่านได้ยินหรือได้อ่านเรื่องที่ขัดแย้งกับเรื่องที่ท่านเชื่ออยู่ในจิตใจ ท่านก็จะหน้าเสียพร้อมส่ายหน้าและว่าเรื่องนี้มั่วนิ่ม เรื่องนี้เป็นเท็จ เป็นเรื่องมุสา เป็นข่าวโคมลอย เป็นสิ่งที่ผิด
ท่านไม่รู้ตัวเลยว่า ท่านกำลังเป็นหุ่นกระบอกไปแล้วที่มีอวิชชาเป็นตัวชักหุ่นที่ท่านเป็นตัวหุ่นนั้นเสียเอง
ในพุทธประวัติมีกล่าวไว้ เมื่อปัญจวัคคีย์ที่เฝ้าดูแลเจ้าชายสิทธัตถะที่กำลังทรมานกายอย่างหนัก เพื่อการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต่อมาเจ้าชายได้คิดใหม่เนื่องด้วยพิณ 3 สาย ก็กลับมาเสวยพระกายาหารอีก พอเหล่าปัญจวัคคีย์เห็นดังนั้น ต่างก็ลงความเห็นว่า บัดนี้เจ้าชายกลับมามักมากในกามคุณอีก ไม่มีทางบรรลุธรรมขั้นสูงสุดเป็นแน่ ต่างก็พากันหนีจากไป นี่เพราะความเชื่อในสมัยนั้นที่ว่า การจะเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ ต้องทรมานกายให้ลำบาก ต้องไม่กินอาหาร เมื่อปัญจวัคคีย์เห็นสิ่งทีเป็นอยู่ตรงกับกับความเชื่อของตน จึงรับไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ในแวดวงกรรมฐานของไทยก็เช่นกัน มีการปลูกความเชื่อมากมายลงในหมู่ชนชาวไทย ว่าการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์ ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น จนกลายเป็นความเชื่อนิยมไปแล้ว ซึ่งถ้าผมเขียน ผมก็จะกลายเป็นคนนอกคอก คนทำลายศาสนา ไปทันที รู้ทั้งที่รู้ แต่ผมเขียนไม่ได้ ท่านต้องใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองว่ามีเรื่องอันใดบ้าง
ในอดีต มีพระดังๆ ที่มีคนศรัทธามากขนาดกล่าวขวัญกันว่าท่านเหล่านั้นคือพระอรหันต์ มีคนขึ้นกราบไหว้มากมาย รูปหนึ่งเคยอยู่เมืองกาญจนบุรี บัดนี้หนีไปห่มเขียวอยู่อเมริกา รูปหนึ่งอยู่ราชบุรี ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน รูปหนึ่งอยู่นนทบรี ตอนนี้ผมก็ไมทราบว่าอยู่ที่ไหน ท่านทั้ง 3 ต่างก็ต้องฏีกา การเสพย์เมถุนธรรม มีเมียมีลูก ในเวลาต่อมา คนทีศรัทธาในอดีต ก็เพราะความเชื่อที่ร่ำลือกันมา ปากต่อปากนั้นเอง
ในขบวนการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ เมื่อท่านฝึก.จิตรู้.จนตื่นตัว การรู้ด้วย .จิตรู้. นี่คือการรู้ที่บริสุทธิเหมือนเด็กทารก ( ที่ยังไม่มีคำสอนใด ๆ ยัดเยียดลงในสมองของเด็กนั้น ) ไร้การเชือในสิ่งที่รับรู้ว่า อันนี้ใช่แล้ว หรือว่าอันนี้ไม่ใช่ ถ้าท่านรู้แล้วตัดสินว่าถูกแล้ว ว่าใช่แล้ว นั่นเป็นขบวนการของอวิชชาที่ไปเกิดการตัดสินในสังขารขันธ์ ไม่ใช่ใน.จิตรู้.
ความยากอยู่ตรงนี้ครับ เพราะเรา ๆ ท่าน ๆ มักคุ้นเคยกับการตัดสินผิดถูกเสมอ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า การตัดสินผิดถูกนี้ ไม่ใช่เป็นอย่างที่ท่านตัดสินเลย เพราะสิ่งที่ท่านตัดสินต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งทีท่านล้วนคิดไปเองจากสังขารขันธ์ทั้งสิ้น
แล้วรู้ที่ไม่มีอวิชชา คือรู้โดยไม่ตัดสินลงความเห็นใด ๆ ที่เรียกกันว่า รู้เฉย ๆ รู้ซื่อ ๆ รู้โง่ ๆ นั้นแหละ
เมื่อท่านอ่านถึงตรงนี้ ท่านก็อาจจะตัดสินไปแล้วว่า บทความนี้มั่วนิ่ม เป็นเท็จ เชื่อไม่ได้ เป็นสิ่งที่ผิด เป็นบทความพวกนอกศาสนา ก็ได้ครับ
ตามสบายครับท่าน ผมเพียงแต่ฝากไว้ให้ท่านพิจารณาด้วยปัญญา อย่าได้เชื่อผม เพราะถ้าเชื่อผม นั้นก็คือมีการตัดสินไปแล้วครับท่าน
เสียงปีนสั้นมีหรือจะดังกว่าเสียงปืนใหญ่ - นี่ก็ตือการตัดสินอีกเช่นกัน ท่านมองตัวอย่างที่ผมยกไว้นี้ออกหรือไม่
หมายเหตุ บทความนี้ เป็นบทขยายความในบทความก่อนหน้าในเรื่อง รู้แบบธรรม รู้แบบโลก ฉบับชาวบ้าน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=11-2009&date=18&group=5&gblog=26
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:31:39 น. |
Counter : 956 Pageviews. |
|
|
|