ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...
บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้
เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง
**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **
คำตอบ .. ทุกข์อริยสัจจ์ นั้น ถ้าจะกล่าวด้วยภาษาไทยง่าย ๆ แบบชาวบ้านให้เข้าใจกันก็คือ สภาพของร่างกายและจิตใจของคนเรานั้นเอง
ที่คนเราปรกติเป็นทุกข์ เพราะว่า คนเข้าใจว่า ทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ร่างกายหรือจิตใจนั้น มันเป็นร่างกายหรือจิตใจของเรา เมื่อร่างกายหรือจิตใจเป็นทุกข์ คนก็จะทุกข์ตามไปด้วยเพราะความเข้าใจนั้น
ในทุกข์อริยสัจจ์ข้อที่ 1 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ทุกข์อริยสัจจ์นั้น เพื่อให้พุทธบริษัทได้เห็นความเป็นจริงว่า อันว่า ร่างกายและจิตใจ นั้นที่แท้ม้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา อันเป็นการเปิดตาปัญญาทางธรรมให้รู้แจ้งในเรื่องนี้
การเฝ้ารู้ทุกข์อริยสัจจ์อยู่เนือง ๆ จะทำให้เข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง ว่า ร่างกายและจิตใจ นั้นมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย
ถ้าเปรียบในทางโลก ก็เหมือนกับการเฝ้าดูพฤติกรรมของสัตว์ในสารคดี BBC ที่มีการเฝ้าดูติตตามพฤติกรรมอยู่นาน จนเข้าใจฟฤติกรรมของสัตว์ที่เฝ้าดูนั้นได้ในที่สุด
คำถามที่ 6 ทำไมต้องละ ตัณหา อันเป็นสมุทัย
คำตอบ..ตัณหา เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจ จะเปรียยได้เหมือนตนตาดี ที่ถูกผ้ามาปิดตาไว้ ทำไห้มองอะไรไม่เห็นเลย การเฝ้าดูทุกข์อริยสัจจ์ดังคำถามที่ 5 นั้น ต้องเฝ้าดูในขณะที่ดวงตาแจ่มใส นั้นคือจิตใจไร้ตัณหา จึงจะเห็นสภาพที่แท้จริงของร่างกายและจิตใจที่ชัดเจนได้
อนี่ง ตัณหา ที่ปิดบังจิตใจ เมื่อเกิดขึ้นจิตใจแล้ว ก็จะทำให้ผู้คนที่ถูกตัณหาครอบงำอยู่ ยากยิ่งที่จะสลัดทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมาได้ ทำให้ทุกข์ใจที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ได้นาน
ถ้าได้สลัดตัณหาออกจากจิตใจได้ การตั้งอยู่ของทุกข์ใจ ก็จะอยู่ไม่ได้เองตามกฏแห่งไตรลักษณ์ที่ทุกข์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปเองตามธรรมชาติ เมื่อมันเกิดขึ้น มันก็จะดับไปเอง ความรวดเร็วแห่งการดับทุกข์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับคน ๆ นั้นเองว่า สามารถที่จะสลัดตัณหาออกไปได้เร็วเพียงใด ถ้าเขาสลัดได้เร็ว ทุกข์ก็จะเสือมสลายไปเร็ว ถ้าเขาสลัดได้ช้า ทุกข์ก็จะเลื่อมสลายไปช้า ถ้าเขาสลัดไปไม่ได้เลย ทุกข์ก็จะค้างคาอยู่ในใจเขาไปนานแสนนาน
ผมหวังว่า คำอธิบายนี้ คงทำให้ท่านเข้าใจอริยสัจจ์ 4 ได้ชัดเจนขึ้น และได้นำความเข้าใจนี้ ไปปฏิบัติได้ตรงทางเพื่อการพ้นทุกข์ทางใจได้อย่างถูกต้องต่อไป