ทุกข์เกิดแล้ว จัดการอย่างไรดี
มีคำถามจากนักปฏิบัติ ผมขอนำมาแสดงไว้ดังนี้
วันนี้มีเรื่องมารบกวนพี่อีกครั้ง
ช่วงหลังมานี่ ผมเริ่มรู้สึกเป็นกลางต่อความคิดหลายๆ แบบมากขึ้นมาก (นานๆ ทีจะเห็นเป็นแค่อะไรสักอย่างไหวๆ ขยุกขยิก แล้วดับ แต่ส่วนใหญ่จะหลงไปคิดนิดนึงแล้วถึงขาด มันเลยตีความได้ว่า ความคิดดี ไม่ดี หรือคิดทั่วๆ ไป ก็เริ่มจะเป็นกลางกับมัน สักแต่ว่าเห็น)
พอผมเห็นความคิด แบบเป็นกลางไปเรื่อยๆ เข้า ผมสังเกตได้ว่า บางความคิด แม้เกิดขึ้นมาแวปเดียว คือแม้ผมจะมารู้มันในขณะต่อมาได้แล้วก็ตาม มันเหมือนฝากความทุกข์ไว้ที่อก ซึ่งผมคิดว่า ผมก็ไปรู้ไอความทุกข์นั้นนะ (ตรงนี้ผมโง่เง่าจริงๆ คนทั่วไปเวลาทุกข์ก็รู้สึกได้หมดแหล่ะ เพียงแต่ว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำ หลังจากนั้น) แต่มันยังคงทุกข์อยู่อีกสักพักครับพี่ แต่ ตอนแรกผมไม่รู้ ผมก็ว่าทำไมมันไม่ดับ หรือมันไม่เห็นความทุกข์นี้เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เหมือนเห็นความคิด คือมันยังรู้สึกว่าผมกำลังทุกข์อยู่นั่น
แต่ตอนหลัง พอเจอบ่อยๆ เข้า มันเหมือนกับว่า จริงๆ ไอ้ตัวความทุกข์นั้น มันก็มีอยู่ครับ ที่อกวูปหนักๆ มันมีอยู่ มันก็ทุกข์น่ะพี่ แต่ผมไม่พอใจ ไม่ชอบมัน ผมไม่ทันตัวนี้ คืออดทนดูๆ ไป เข้า มันเห็นว่า ความทุกข์ที่แนบอยู่กับอกนั้นก็มีอยู่ ความไม่ชอบหรือสงสัยก็มีอยู่(ต่างหาก) ความคิดเข้ากระทำก็อยู่(ต่างหาก)
ทีนี้มันก็แยกได้แค่นั้นครับพี่ มันติดตรงที่ ไอ้ความทุกข์นั้น มัน "มีความรู้สึก" ว่าเป็น "ผม" แนบอยู่เต็มเปี่ยม (ตอนแรกผมนึกว่า "เรา" เกิดจากความคิด-สัญญาเท่านั้น)
ผมจึงอยากถามพี่ว่า 1- ไอ้ตรงนี้มันต้องเกิดจิตรู้ก่อนหรือป่าวครับพี่ ถึงจะเห็นทุกอย่าง แยกกันอยู่หมดเลย ลงไตรลักษณ์ได้หมดเลย 2- ส่วนความทุกข์ที่ผมต้องรับผลไปสักพัก คือวิบากใช่มั้ยพี่ 3- ที่ผมตามรู้มา ถือว่ากำลังมาถูกทางแล้วไหมครับ
..............................................................
ความเห็นของผมเป็นดังนี้ครับ
สภาวะทุกข์นั้น จะเริ่มมาจากความคิดที่มีการปรุงแต่งในลักษณะของการชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ แต่คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบไม่ชอบใจ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ทั้งชอบใจและไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น เมื่อเกิดการปรุงแต่งแล้ว และรู้ได้ช้า หรือ ที่เรียกกันว่า รู้ไม่เท่าทัน การปรุงแต่งนั้นก็จะเข้าครอบงำจิตใจไปแล้ว ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการทุกข์ขึ้นมาได้ครับ
เมื่อเรารู้สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นแล้ว ว่า เป็นเพราะการรู้ไม่เท่าทันทุกช์เกิดนั้นเอง วิธํการจัดการ ก็คือ ต้องฝึกฝนให้มากในสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ซึ่งผมขอแนะนำว่า เมื่อทุกข์เกิดและจิตถูกครอบงำด้วยการปรุงแต่งอยู่ อย่าไปดูจิตที่เป็นทุกข์ เพราะจะสลัดทุกข์ไม่ออก วิธีการฝึกฝนควรมาลงที่กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฝึกกายานุปัสสนาสติปัฏฐานให้มากเข้าไว้ แล้วจิตที่ถูกการปรุงแต่งครอบงำ จะค่อยๆ จางออกไป จางออกไป ทำให้ความทุกข์ในใจออกจะค่อย ๆ ลดลงได้ จิตใจก็จะค่อย ๆ สดใสขึ้นได้ ในเวลาเดียวกัน การฝึกกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็จะเป็นการเพิ่มศักยภาพของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ให้ว่องไว และตั้งมั่นมากขึ้น
ขอตอบคำถามในที่ถามมา
1 การเห็นไตรลักษณ์ ต้องเห็นด้วยจิตรู้ จึงจะแจ่มแจ้งแก่จิตเอง ถ้าจิตรู้ไม่เกิดขึ้น จิตรู้จะไม่เห็นไตรลักษณ์ทีแท้จริง แต่ผู้ปฏิบัติจะเป็นการคาดตะเนเอา หรือ คิดเอาเองในเรื่องไตรลักษณ์ จิตรู้ จะมาได้ก็มาจากการฝึกสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนแนบแน่นมีกำลัง แล้วจิตรู้ จะแสดงศักยภาพออกมาให้ผู้ปฏิบัติสัมผัสพลังของมันได้เอง
2 ใช่วิบากหรือไม่ ผมไม่ทราบครับ แต่เรือ่งทุกข์นั้น ในคนทีมีกิเลสตัณหาอยู่ในจิตใจ ต้องมีทุกข์แน่นอนครับ เพราะตัณหาก็คือการยึดติด พอทุกข์เกิดแล้ว ตัดได้ช้า ทำให้ตัดไม่ขาด จิตที่มีตัณหาก็ยึดทุกข์นั้นทันที
3. ข้อนี้ ความเห็นของผมจะไม่เหมือนกับพระอาจารย์บางท่านครับ ผมเห็นว่า ถ้าจิตยังไม่มีกำลังตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิแล้ว การตามรู้ ตามดู จะมีแต่การยึดติดในทุกข์ครับ ยิ่งเป็นปัญหาให้แก่ผู้ปฏิบัติ เพราะจิตจะถูกการปรุงแต่งครอบงำ แล้วเป็นทุกข์ตลอดเวลา เหมือนจิตกินอาหารพิษเข้าไปนั้นเอง ขอให้อ่านเรื่อง กินให้อ้วน
ผมมีความเห็นว่า การปฏิบัตินั้น การตามรู้ ตามดู จะทำได้ก็ต่อเมื่อ จิตรู้ เขาเกิดแล้วและตั้งมั่นดีแล้ว ครับ ซึ่งจิตรู้ มีกำลังแล้วเขาจะหยุดการปรุงแต่งได้ และเห็นไตรลักษณ์ของการปรุงแต่งนั้น ๆ อันเป็นปัญญาให้แก่จิต ข้อนี้ขอให้อ่านเรื่อง อะไรคือ "รู้แต่ไม่รู้อะไร."
************ ถ้าผมอธิบายตรงไหนไม่ชัดเจน ขอให้ถามเพิ่มได้ครับ
Create Date : 29 สิงหาคม 2552 |
|
18 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:27:43 น. |
Counter : 1310 Pageviews. |
|
|
|
ถ้ามันรู้อะไรเข้า ก็จะติดอันนั้นทันที
รู้แต่ไม่รู้อะไร One know he know in