รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 

การเจริญวิปัสสนาในอิริยาบทนั่งนิ่ง

อิริยาบทนั่งนิ่ง เป็นอิริยาบทที่ผมเห็นคนไทยปฏิบัติกันมาก แต่ส่วนมากที่นั่งนิ่งกันมักจะนั่งนิ่งแบบฤาษีสมัยพุทธกาล คือ นิ่งด้งรูปปั้นที่ไร้ชีวิตจิตใจ บังคับจิตและบังคับกายให้ดิ่งให้นิ่งไม่ไหวติง ไร้สติสัมปชัญญะ แล้วก็คิดว่า ตนเองกำลังปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่ แต่ที่แท้ ท่านเข้าใจผิดแล้วครับ

มาลองอ่านดูการเจริญวิปัสสนาในอิริยาบทนั่งนิ่งกันครับ

1 การนั่งนิ่ง ไม่จำเป็นต้องนั่งท่าขัดสมาธิ จะนั่งท่าไหนก็ได้ นั่งพื้น นั่งเก้าอี้
นั่งห้อยขา นั่งไข้วขา นั่งไขว่ห้าง จะนั่งอย่างไรก็ได้ที่ท่านนั่งอยู่ที่บ้านนั้นแหละ ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรเลย เอาเป็นว่า นั่งอย่างไรก็ได้ ที่ท่านถนัดและสบาย
การนั่งนิ่งนี่ไม่ใช่หมายความว่า จะต้องนิ่งด้งรูปปั้น จะขยับตัวก็ได้ ถ้าคันก็เกาได้ ถ้าเมื่อย ก็เปลี่ยนท่าทางได้ จะทำอะไรก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าคุยกับใครเท่านั้น เวลานั่ง ให้ลืมตาตามปรกติ ไม่ต้องปิดตา ห้องไม่ต้องเงียบ จะมีเสียงของวิทยุ ทีวี เสียงเด็กเล่นกัน เสียงรถยนต์วิ่งไปมา เสียงสุนัขเห่า
ถ้าให้ดี ก็เปิดพัดลม ให้มันส่ายไปมา โดยให้ลมนั้นสัมผัสตัวท่านได้แต่เบา ๆ อย่าให้พัดลมนิ่ง พัดมาที่ท่านตลอด แต่ให้ตัวท่านโดนลมบ้าง ไม่โดนลมบ้าง เป็นดีที่สุด

หมายเหตุ พัดลมพัดส่ายไปมา ในความเห็นของผม เป็นสิ่งที่ดีมากในการฝึกฝนครับ เพราะลมที่มากระทบกายเบา ๆ เป็นจังหวะการส่าย เป็นการกระตุ้นสติ ที่ดีมากครับ ท่านอาจสงสัยว่า เป็นห้องแอร์ได้ไหม
ในความเห็นของผม ถึงแม้เป็นห้องแอร์ แต่ขอให้มีการกระทบสัมผัสลมได้ แบบกระทบบ้าง ไม่กระทบบ้าง จะดีกว่าครับ

2. เมื่อท่านจัดการตามข้อ 1 ได้แล้ว ก็ลงมือปฏิบัติเลยครับ
วิธีปฏิบัติก็ง่าย ๆ มาก ครับ นั่งตามสบาย ไม่ต้องคิดอะไร นั่งเฉย ๆ รู้สึกตัวอยู่ครับ ปฏิบัติได้ไหมครับ ข้อนี้

3. เมื่อท่านนั่งตามข้อ 2 แล้ว เมื่อท่านรู้สึกตัว ตาท่านจะต้องมองเห็นได้อยู่ แต่ให้เพียงลืมตาธรรมดา แต่ไม่ให้จ้องสิ่งใด หูท่านยังได้ยินเสียงรอบ ๆ ตัวไหมครับ ถ้าพัดลมพัดมาโดนกาย ก็รู้สึกถึงได้ไหมครับ
ถ้าท่านตอบว่า ตามองเห็นได้ หูได้ยินเสียงได้ ลมพัดจากพัดลมมาโดนกายก็รู้สึกถึงได้ ก็แสดงว่าใช้ได้แล้วครับ นี่คือท่านกำลังมีความรู้สึกตัว

4. เมื่อท่านนั่งตามข้อ 2 และ 3 อยู่นี้ ให้นั่งเฉย ๆ สบาย ๆ ท่านไม่ต้องทำอะไรครับ ให้นั่งสบายจริง ๆ ที่ฝรั่งเรียกว่า Relax นั่นเอง ท่านไม่มีกิจอะไรต้องทำมาก เมื่อท่านนั่ง ๆ ไป ขอให้ท่านสังเกตตัวเอง ท่านจะเห็นได้ว่า
เดียวท่านจะเกิดเผลอขึ้นมา เดียวท่านจะใจลอยไปคิดเรื่องโน่นเรื่องนี้ขึ้นมา
ได้เอง ถ้าท่านรู้ตัวกลับมารู้สึกตัวใหม่อีกแบบข้อ 3 สักครู่ ท่านก็จะคิด จะใจลอยอีก มันเป็นอย่างนี้สลับไปสลับมาอยู่เสมอ
นี่คือ การเจริญวิปัสสนาแล้วครับ

หมายเหตุ ตามตำราพระไตรปิฏก การปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์นั้น จะมีวิธีการปฏิบัติได้ 3 แนวทาง คือ 1 ใช้สมถนำหน้าวิปัสสนา 2.ใช้วิปัสสนานำหน้าสมถ 3 ใช้สมถและวิปัสสนาควบคู่กันไป ขอให้อ่านดูได้ที่
ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา
//www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=7564&Z=7861&pagebreak=0

5.การที่รู้ว่า เดียวท่านไปคิด เดียวท่านใจลอย นี่คือการรู้ความไม่เที่ยงแห่งจิตใจของท่าน ในเบื้องต้นที่ท่านฝึก ถ้าท่านเป็นคนใหม่ ท่านจะใจลอยเก่ง จิตท่านจะหนีไปคิดได้เก่ง ถ้าท่านรู้ได้ถึงอาการอย่างนี้ของจิตใจท่านได้ นี่แสดงว่า ท่านนั่งได้ดีครับ แต่ถ้าท่านนั่งแล้ว จิตนิ่งสนิท ไม่ไหวติง ไม่คิดเลย ไม่รุ้เรื่องรู้ราวอะไรรอบ ๆ ตัวเลย แสดงว่า จิตท่านนิ่งดิ่งเป็นการนั่งสมาธิแบบฤาษีแล้วครับ ถ้าถามว่า ดีไหม ก็ตอบว่า ดีสำหรับฤาษี แต่ไม่ดีสำหรับการปฏิบัติสำหรับการหลุดพ้นแบบพุทธศาสนาครับ


6. ถ้าท่านเป็นมือเก่าในการปฏิบัติ ที่จิตรู้ เกิดแล้ว พอท่านนั่ง ท่านจะเห็นความคิดมันเกิด มันตั้งอยู่ แล้วหยุดไปได้ ท่านอาจเห็น จิตท่านมันไหลแว๊บไปในตอนที่ท่านเกิดเผลอขึ้น นี่คือ ท่านเห็นไตรลักษณ์ของจิตของ
ท่านแล้ว ขอให้เห็นไตรลักษณ์แบบนี้ไปมาก ๆ มันจะสะสมเป็นปัญญาในการรู้แจ้งต่อไป

7.ท่านอาจสงสัยว่า ทำให้ผมบอกให้ลืมตา ทั้งที่สำนักไหน ๆ ก็สอนให้หลับตา ทำใมผมบอกว่าให้มีเสียงรอบ ๆ ในเมื่อสำนักไหน ๆ ก็ต้องการที่เงียบสนิท ที่ไร้เสียง ที่ผมบอกให้ลืมตา ให้มีเสียงรอบ ๆ เพื่อเป็นการล่อจิตให้เผลอครับ ตาที่เห็น เสียงที่ได้ยิน จะเป็นตัวล่อให้จิตเผลอ จิตไหลไป เมื่อจิตเผลอ จิตไหลไป แล้วท่านรู้ มันเป็นวิปัสสนาครับ เมื่อท่านฝึก ใหม่ ๆ จิตท่านจะเผลอเก่ง จิตไหลไปเก่ง เมื่อท่านรู้แล้ว ให้กลับมาที่ข้อ 3 ใหม่ ให้เป็นอย่างนี้เสมอ ๆ เมื่อจิตท่านเผลอ และ กลับมาที่ข้อ 3 ใหม่ นี้บ่อย ๆ มันจะเป็นประสบการณ์ตรงของท่านเอง ซึ่งจะเป็นการพัฒนาตนเองให้จิตท่านกลับมารู้สึกตัวได้ง่ายขึ้น ไวขึ้นในอนาคต ซึ่งถ้าเปรียบทางโลก ก็เหมือนว่า ท่านมาหัดว่ายน้ำ ท่านควรที่จะหัดจากของจริง ก็คือลงว่ายน้ำไปเลย เมื่อท่านว่ายน้ำใหม่ ๆ มันจะจมบ้าง สำลักน้ำบ้าง แล้วต่อ ๆ ไป ท่านก็จะว่ายน้ำเก่ง แต่ถ้าท่านต้องการเรียนว่ายน้ำ แต่ไม่หัดลงน้ำ แต่กลับไปวิ่งจ๊อกกิ่ง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ชาตินี้ท่านก็จะว่ายน้ำไม่เป็นครับ

8. การปฏิบัติแบบนี้ จะได้ผลก็ต่อเมื่อ ท่านต้องไม่ใช้จิตของท่านทำอะไร คือต้องให้จิตเป็นอิสระ ไร้การบังคับครับ เพราะถ้าท่านใช้จิตของท่านทำอะไรสักอย่าง จิตจะวุ่นกับสิ่งที่มันกำลังทำ เลยทำให้จิตท่านไม่รู้เมื่อเกิดเผลอขึ้นมาครับ ขอให้อ่านเรื่องประกอบ คือเรื่อง . วิปัสสนา ทำอย่างไร .
ที่ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=02-07-2009&group=1&gblog=51

9. ท่านอาจสงสัยว่า ผมมีเขียนเรื่องตัวอย่างการรู้กาย โดยการลูบแขน แล้วในนี้ ผมเขียนเรื่องนั่งนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ต้องลูบแขน อย่างไหนถูกในการปฏิบัติ
ซึ่งผมจะบอกท่านว่า ใช้ได้ทั้งคู่ครับ แต่การลูบแขนนั้น จะเป็นการฝึกสติพร้อมวิปัสสนาไปในตัว การรู้สึกถึงการไหวของมือ การรู้สึกถึงการสัมผัสของการลูบ เป็นการปลุกสติของท่านให้มีกำลังขึ้นเป็นอย่างดี และการที่ทานต้องมาคอบลูบแขนอยู่ จะเป็นตัวล่อให้ท่านเกิดเผลอ เกิดใจลอยขึ้นมานั้นเองครับ ในความเห็นส่วนตัว อยู่ที่ความถนัดของคนที่จะฝึกฝน
เพราะบางคนว่า การฝึกทีมีการเคลื่อนไหว เป็นสิ่งยากสำหรับคนใหม่ แต่บางคนก็ว่า การฝึกที่นั่งนิ่ง เป็นสิ่งยากสำหรับคนใหม่
แต่ไม่ว่าแบบใด ถ้าท่านฝึกเริ่มต้นแบบใดแบบหนึ่งแล้วจนชำนาญ ท่านจะไปได้ดีทั้ง 2 แบบ คือ ทั้งนิ่ง ทั้งเคลื่อนไหว อย่างใดก็ได้ทั้งสิ่น ไม่มีข้อแตกต่างกันเลย

แต่ในความเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งอาจผิดก็ได้ การฝึกการเคลื่อนไหวทีมีการสัมผัสดังเช่นการฝึกลูบแขนที่ผมเขียนไว้ น่าจะสงผลการปฏิบัติได้เร็วกว่า การนั่งนิ่งครับ การฝึกแบบเคลื่อนไหว จะเข้าได้ดีมากกว่าในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ที่ต้องทำมาหากินอยู่ ต้องทำโน่นทำนี่เลี้ยงชิวิต ซึ่งถ้าท่านฝึกการลูบแขนจนชำนาญ ต่อไปในชีวิตประจำวันที่ท่านต้องทำโน่นทำนี่เสมอ ๆ
ในการทำมาหากิน มันจะเป็นฝึกของจริงในชีวิตประจำวันเลย หรือ ฝึกโดยไม่ต้องฝึกนั้นเองครับ ก็คือ ทำงานไปด้วย ฝึกไปด้วย แบบ 2 In 1

หมายเหตุ ถ้าท่านฝึกแบบ สมถนำวิปัสสนา ท่านจะใช้ฝึกแบบนี้ไม่ได้นะครับ
แต่ท่านต้องไปนั่งนิ่ง สร้างนิมิตก่อน อ่านเรื่องนี้ประกอบครับ ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2009&date=21&group=1&gblog=61




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2552
14 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:29:55 น.
Counter : 1536 Pageviews.

 

เรียนถามข้อแตกต่างระหว่าง คนที่เจริญสติกับคนที่ไม่ได้เจริญสติค่ะ

ในข้อสาม ถ้าอย่างคนที่ไม่ได้เจริญสติ เขาก็น่าจะรู้สึกถึงลมที่มาสัมผัส หูได้ยินเสียงโทรทัศน์ที่เปิดอยู่ มือก็พิมพ์คอมพ์ไป ตรงนี้ถือเป็นความรู้สึกตัวด้วยหรือเปล่าคะ แล้วมันแตกต่างจากคนที่ฝึกเจริญสติตรงไหนคะ

ถามเผื่อมีใครสงสัยน่ะค่ะ

 

โดย: kaoim IP: 110.49.140.250 23 สิงหาคม 2552 9:14:41 น.  

 

ในคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักเรื่องของ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และไม่เคยฝึกฝน เช่นคนทั่ว ๆ ไป ถึงแม้มีการสัมผัสขึ้น เขาก็จะไม่รู้ครับ เพราะตอนสัมผัสนั้น จิตใจของเขาอยู่กับการไม่มีสติ โดยไปจมอยู่กับงานที่กำลังทำอยู่นั้น หรือ ว่า จมไปกับสิ่งที่เขาสนใจอยู่ เช่น สนใจ เรื่องราวของทีวี ที่กำลังดู เป็นต้น หรือ ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่ถ้ามีสัมผัสอย่างแรง ๆ เขาจะรู้ได้แต่รู้แบบมีตัวตนขึ้นมา ตัวอย่างเช่น ถ้าคนทั่วๆไป เมื่อถูกด่า เขาจะรู้ตัวว่า ตัวเขาถูกด่า เขาโกรธแล้ว แต่คนที่รู้เรื่องสติปัฏฐาน นั้น เขาจะรู้ว่ามีการกระทบเกิดขึ้นของเสียงมากระทบหู เขารู้ว่า จิตเขากำลังมีการปรุงแต่งขึ้นแล้ว แต่คนทั่ว ๆ ไปที่ไม่มีสติ จะไม่รู้ขบวนการเกิดกระทบ ขบวนการเกิดจิตปรุงแต่งขึ้นมา เขารู้ตอนมันเกิดขึ้นมานั้นเอง คือ รู้ได้ช้ากว่า คนที่ผ่านการฝึกฝนมา

อีกประการหนึ่ง คนทีไม่มีสติ จะรู้ได้ในสิ่งที่เกิดแรง ๆ กับเขาเป็นบางครั้ง แต่การกระทบสัมผัสจริง ๆ มีตลอดเวลา
แต่เป็นการกระทบสัมผัสที่บา ๆ แต่
เขากลับไม่รู้เลย ยกเว้นแต่ว่า เขาจะมาเพ่งจ้องเป็นพิเศษจึงจะรู้ได้ แต่คนที่เขาฝึกมาดี เขาไม่ต้องเพ่งจ้องเลย เขาก็รู้อยู่บ่อย ๆ ถึงการสัมผัสที่เกิดขึ้นที่มีอยู่ตลอดเวลา มันต่างกันตรงนี้ครับ การรู้สัมผัสตลอดเวลาที่เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ แสดงว่า จิตตื่นตัวอยู่ เมื่อจิตตื่นตัวอยู่ จิตก็จะรุ้ได้ถึงการปรุงแต่งแห่งจิตตสังขารได้ ซึ่งการหลุดออกจากทุกข์ ก็คือ การรู้เท่าทันจิตตสังขาร แต่คนที่ไม่ได้ฝึกมา เขาจะไม่มีทางรู้ทีนจิตตสังขารได้เลย ทำให้คนพวกนี้ มีทุกข์อยู่ตลอดเวลา เพราะเขาจะรู้ว่า ตัวเขาเองก็คือจิตตสังขารนั้นเอง

ไม่ทราบว่า ตอบตรงสิ่งที่ถามหรือไม่ครับ ถ้าไม่ตรง ถามใหม่ได้ครับ

 

โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 9:42:20 น.  

 

คนทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้ฝึกสติมาจะมีอาการดังนี้-
รู้ได้ในการสัมผัสที่แรง ๆ
รู้ได้ช้า เกิดแล้วจึงจะรู้ตามหลังมา
รู้ได้น้อยครั้ง นาน ๆ รู้สักที
รู้ ไม่ต่อเนื่อง การไม่รู้มีมากกว่า
ไม่เห็นจิตปรุงแต่ง กลายเป็นว่า เป็นตัวฉันทั้งหมด
หลงคิด จิตไหลออก ตลอดเวลา

฿฿฿฿฿฿฿฿

คนที่ฝึกสติมาดีแล้ว จะมีอาการดังนี้ -
รู้ได้ต่อเนื่อง
รู้ได้ทั้งการกระทบที่เบา ๆ และแรง ๆ
รู้มากกว่าการไม่รู้
นาน ๆ จะเผลอสักที
รู้ได้เร็ว เรียกว่า เกิดปุ๊บรู้ปั๊บทันที
จิตตั้งมั่น ไม่ไหลออก ไม่หลงคิด หรือ ถ้าเกิด ก็นาน ๆ ครั้งเกิดสักทีหนึ่ง
รู้เท่าท้นจิตปรุงแต่ง
เข้าใจสภาวะธรรมว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

 

โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 10:02:16 น.  

 

เมื่อก่อนผมก็ติดฝึกรูปแบบรู้ลมหายใจแบบนั่งนิ่งแล้วหลับตา แล้วต้องไปนั่งที่ๆ เงียบสงัด ไม่มีอะไรรบกวนหรือรอให้เงียบก่อนถึงจะนั่งอะไรทำนองนี้เลย
แต่ผมสังเกตได้หลายครั้งว่า ถ้ามีอาการง่วงหน่อยๆ เวลานั่งหลับตา มันจะง่ายต่อการลงไปสู่การหลับได้ ซึ่งมันเหมือนวูปๆ หลับไปแวปนึง ถึงแม้มันตื่นขึ้นได้ทุกที แต่ผมก็ว่าไม่ดีแล้ว และบางทีก็รู้สึกปวดๆ เกร็งๆ ที่บริเวณลูกตาด้วยครับ เหมือนมันหลับตาแล้วคงไปเพ่งตรงนั้นโดยไม่รู้ตัว

แล้วพอดีวันนึง ผมได้อ่านหนังสือของคุณดังตฤณ จากตอนนี้คับ
//www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&catid=35%3Adungtrins-secret&id=46%3A2009-05-25-15-09-39&Itemid=1

ทีนี้เวลาฝึกรูปแบบแบบรู้ลมหายใจ ผมก็เริ่มลืมตาบ้าง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องนั่งเอาขาขัดกันเสมอไป นั่งแบบให้รู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายที่สุด สบายที่สุด ผลก็คือ หลายครั้งมันรู้สึกสบายขึ้น ไม่อึดอัด เกร็ง เหมือนตอนก่อนๆ นี้ อาการปวด เกร็งที่ลูกตาก็ไม่เกิดอีก ทำให้ผมนึกถึงครั้งที่เวลาผมไปเที่ยวตามทะเล หรือเวลาไม่สบายใจขึ้นมา ผมจะชอบมองทะเลหรือท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ แต่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า มองแล้วรู้สึกสบายใจเสมอเลยครับ มองแบบไม่ได้โฟกัสสิ่งใด

แต่ยังไม่ถึงขนาด จัดให้มีผัสสะกระทบเยอะๆ อย่างที่พี่แนะนำ
เดี๋ยวจะลองดูนะคับ

เออ มีเรื่องจะเล่าให้พี่ฟังว่า วันก่อนมีตอนนึงที่ผมว่ารู้สึกตัวได้ดีที่สุดตั้งแต่เคยฝึกมาเลยคับ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นตอนที่ผมไปนั่งรอรถเมล์ ตอนกลางคืน ทั้งเพิ่งเลิกงาน เพลียก็เพลีย เสียงรถจากข้างถนนกับคนเดินก็เต็มไปหมด แถมป้ายรถเมล์อยู่ข้างๆ ผับ มีคนไปเที่ยวเดินผ่านหน้าผมตลอดเลย แต่ไม่น่าเชื่อว่า ณ ที่ๆ มีความวุ่นวายผสมสิ่งให้จิตใจหลงใหลไปมองไปฟังมากมายขนาดนี้ แต่กลับรู้สึกตัวได้ดีมากๆ คับ ซึ่งหลังจากวันนั้น มันก็ไม่เป็นอีกเลย ใจมันรู้สึกเสียดาย และอยากให้ดีแบบนั้นเหมือนกันคับ ก็หมั่นตามรู้ต่อไปคับพี่

 

โดย: บั๊กคุง 23 สิงหาคม 2552 11:48:41 น.  

 

จากที่ว่า

คนที่ฝึกสติมาดีแล้ว จะมีอาการดังนี้ -
รู้ได้ต่อเนื่อง
รู้ได้ทั้งการกระทบที่เบา ๆ และแรง ๆ
รู้มากกว่าการไม่รู้
นาน ๆ จะเผลอสักที
รู้ได้เร็ว เรียกว่า เกิดปุ๊บรู้ปั๊บทันที
จิตตั้งมั่น ไม่ไหลออก ไม่หลงคิด หรือ ถ้าเกิด ก็นาน ๆ ครั้งเกิดสักทีหนึ่ง
รู้เท่าท้นจิตปรุงแต่ง
เข้าใจสภาวะธรรมว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ขอถามอีกว่า

ยังต่อยอดจากที่กล่าวมานี้ได้อีกหรือไม่คะ

ขอถามอีกข้อค่ะ(คงไม่รบกวนเกินไปนะคะ)

ขอโค๊ดทำลิ้งค์ด้วยค่ะ

 

โดย: บัว IP: 118.174.78.50 23 สิงหาคม 2552 11:58:23 น.  

 

ในสภาวะต่อยอดจากนี้ไปก็คือ สภาวะของสุญญาตา
ขอให้ลองอ่านเรื่อง
ภาพเปรียบเทียบสภาวะจิต 3 แบบ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=06-2009&date=07&group=1&gblog=31

 

โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 12:30:40 น.  

 

สภาวะที่คุณบั๊กคุงเล่ามานั้น มันมาให้พบแล้ว มันจะหายไป มันเป็นธรรมดา ถ้าอยาได้อีก มันยิ่งไม่มา แต่ถ้าฝึกต่อไปเรื่อย ๆ สักวันมาจะมาอีก และ จะอยู่ได้นานขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเป็นเพื่อนกับเราครับ

 

โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 12:33:49 น.  

 

ขอบคุณค่ะคุณมนสิการ
เห็นภาพแล้วก็เข้าใจแล้วค่ะ
แปลกใจเหมือนกันเมื่อก่อนดูแล้วไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้มองไปก็เข้าใจแล้ว

ที่จะถามเรื่องโค๊ดคือ

เวลาที่เราต้องการทำลิ้งค์ไปยังแหล่งที่มา
ต้องเขียนโค๊ดนำหน้าว่าอะไรบ้าง

ขอบคุณค่ะสำหรับคำตอบ

 

โดย: บัว IP: 118.174.149.42 23 สิงหาคม 2552 13:23:18 น.  

 

when you need
the miracal ask GOD
for it and you will find out
that the only miracal that have in the
World Is Our GOD as he does to me

 

โดย: da IP: 124.120.11.89 23 สิงหาคม 2552 17:51:23 น.  

 

ขอบคุณค่ะ ตอบได้ตรงที่ถามแล้วค่ะ

 

โดย: kaoim IP: 58.10.90.39 23 สิงหาคม 2552 18:17:51 น.  

 

ขอบคุณค่ะ สำหรับโค๊ด

แต่ลองนำไปทำดูหลายครั้งก็ไม่ได้
เลยลองใส่( “ ) ตรง URL name
ปรากฏว่าได้ค่ะ



 

โดย: บัว IP: 118.174.122.218 24 สิงหาคม 2552 13:37:39 น.  

 

ขออภัยคุณนมสิการด้วยค่ะ
โค๊ดของคุณถูกแล้วค่ะ
เมื่อวานลองผิดลองถูกอยู่หลายอัน
เลยจำสับสน
วันนี้ไปดูอีกครั้งที่โพสท์ไปคือโค๊ดที่คุณบอกค่ะ

 

โดย: บัว IP: 118.174.129.141 25 สิงหาคม 2552 11:31:22 น.  

 

สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูเข้ามาทำความเข้าใจค่ะ
แวะมาบอกว่า หนูก็ยังทำอยู่ค่ะ
และรู้สึกว่า เข้าใจมากขึ้นถึงสิ่งที่อาจารย์เขียนค่ะ

 

โดย: มือใหม่ ไม่ยอมล็อกอิน IP: 192.168.2.103, 119.42.95.164 24 กันยายน 2552 9:05:08 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:31:05 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.