การเจริญวิปัสสนาในอิริยาบทนั่งนิ่ง
อิริยาบทนั่งนิ่ง เป็นอิริยาบทที่ผมเห็นคนไทยปฏิบัติกันมาก แต่ส่วนมากที่นั่งนิ่งกันมักจะนั่งนิ่งแบบฤาษีสมัยพุทธกาล คือ นิ่งด้งรูปปั้นที่ไร้ชีวิตจิตใจ บังคับจิตและบังคับกายให้ดิ่งให้นิ่งไม่ไหวติง ไร้สติสัมปชัญญะ แล้วก็คิดว่า ตนเองกำลังปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่ แต่ที่แท้ ท่านเข้าใจผิดแล้วครับ มาลองอ่านดูการเจริญวิปัสสนาในอิริยาบทนั่งนิ่งกันครับ 1 การนั่งนิ่ง ไม่จำเป็นต้องนั่งท่าขัดสมาธิ จะนั่งท่าไหนก็ได้ นั่งพื้น นั่งเก้าอี้ นั่งห้อยขา นั่งไข้วขา นั่งไขว่ห้าง จะนั่งอย่างไรก็ได้ที่ท่านนั่งอยู่ที่บ้านนั้นแหละ ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรเลย เอาเป็นว่า นั่งอย่างไรก็ได้ ที่ท่านถนัดและสบาย การนั่งนิ่งนี่ไม่ใช่หมายความว่า จะต้องนิ่งด้งรูปปั้น จะขยับตัวก็ได้ ถ้าคันก็เกาได้ ถ้าเมื่อย ก็เปลี่ยนท่าทางได้ จะทำอะไรก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าคุยกับใครเท่านั้น เวลานั่ง ให้ลืมตาตามปรกติ ไม่ต้องปิดตา ห้องไม่ต้องเงียบ จะมีเสียงของวิทยุ ทีวี เสียงเด็กเล่นกัน เสียงรถยนต์วิ่งไปมา เสียงสุนัขเห่า ถ้าให้ดี ก็เปิดพัดลม ให้มันส่ายไปมา โดยให้ลมนั้นสัมผัสตัวท่านได้แต่เบา ๆ อย่าให้พัดลมนิ่ง พัดมาที่ท่านตลอด แต่ให้ตัวท่านโดนลมบ้าง ไม่โดนลมบ้าง เป็นดีที่สุด หมายเหตุ พัดลมพัดส่ายไปมา ในความเห็นของผม เป็นสิ่งที่ดีมากในการฝึกฝนครับ เพราะลมที่มากระทบกายเบา ๆ เป็นจังหวะการส่าย เป็นการกระตุ้นสติ ที่ดีมากครับ ท่านอาจสงสัยว่า เป็นห้องแอร์ได้ไหม ในความเห็นของผม ถึงแม้เป็นห้องแอร์ แต่ขอให้มีการกระทบสัมผัสลมได้ แบบกระทบบ้าง ไม่กระทบบ้าง จะดีกว่าครับ 2. เมื่อท่านจัดการตามข้อ 1 ได้แล้ว ก็ลงมือปฏิบัติเลยครับ วิธีปฏิบัติก็ง่าย ๆ มาก ครับ นั่งตามสบาย ไม่ต้องคิดอะไร นั่งเฉย ๆ รู้สึกตัวอยู่ครับ ปฏิบัติได้ไหมครับ ข้อนี้ 3. เมื่อท่านนั่งตามข้อ 2 แล้ว เมื่อท่านรู้สึกตัว ตาท่านจะต้องมองเห็นได้อยู่ แต่ให้เพียงลืมตาธรรมดา แต่ไม่ให้จ้องสิ่งใด หูท่านยังได้ยินเสียงรอบ ๆ ตัวไหมครับ ถ้าพัดลมพัดมาโดนกาย ก็รู้สึกถึงได้ไหมครับ ถ้าท่านตอบว่า ตามองเห็นได้ หูได้ยินเสียงได้ ลมพัดจากพัดลมมาโดนกายก็รู้สึกถึงได้ ก็แสดงว่าใช้ได้แล้วครับ นี่คือท่านกำลังมีความรู้สึกตัว 4. เมื่อท่านนั่งตามข้อ 2 และ 3 อยู่นี้ ให้นั่งเฉย ๆ สบาย ๆ ท่านไม่ต้องทำอะไรครับ ให้นั่งสบายจริง ๆ ที่ฝรั่งเรียกว่า Relax นั่นเอง ท่านไม่มีกิจอะไรต้องทำมาก เมื่อท่านนั่ง ๆ ไป ขอให้ท่านสังเกตตัวเอง ท่านจะเห็นได้ว่า เดียวท่านจะเกิดเผลอขึ้นมา เดียวท่านจะใจลอยไปคิดเรื่องโน่นเรื่องนี้ขึ้นมา ได้เอง ถ้าท่านรู้ตัวกลับมารู้สึกตัวใหม่อีกแบบข้อ 3 สักครู่ ท่านก็จะคิด จะใจลอยอีก มันเป็นอย่างนี้สลับไปสลับมาอยู่เสมอ นี่คือ การเจริญวิปัสสนาแล้วครับ หมายเหตุ ตามตำราพระไตรปิฏก การปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์นั้น จะมีวิธีการปฏิบัติได้ 3 แนวทาง คือ 1 ใช้สมถนำหน้าวิปัสสนา 2.ใช้วิปัสสนานำหน้าสมถ 3 ใช้สมถและวิปัสสนาควบคู่กันไป ขอให้อ่านดูได้ที่ ยุคนัทธวรรค ยุคนัทธกถา //www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=7564&Z=7861&pagebreak=0 5.การที่รู้ว่า เดียวท่านไปคิด เดียวท่านใจลอย นี่คือการรู้ความไม่เที่ยงแห่งจิตใจของท่าน ในเบื้องต้นที่ท่านฝึก ถ้าท่านเป็นคนใหม่ ท่านจะใจลอยเก่ง จิตท่านจะหนีไปคิดได้เก่ง ถ้าท่านรู้ได้ถึงอาการอย่างนี้ของจิตใจท่านได้ นี่แสดงว่า ท่านนั่งได้ดีครับ แต่ถ้าท่านนั่งแล้ว จิตนิ่งสนิท ไม่ไหวติง ไม่คิดเลย ไม่รุ้เรื่องรู้ราวอะไรรอบ ๆ ตัวเลย แสดงว่า จิตท่านนิ่งดิ่งเป็นการนั่งสมาธิแบบฤาษีแล้วครับ ถ้าถามว่า ดีไหม ก็ตอบว่า ดีสำหรับฤาษี แต่ไม่ดีสำหรับการปฏิบัติสำหรับการหลุดพ้นแบบพุทธศาสนาครับ 6. ถ้าท่านเป็นมือเก่าในการปฏิบัติ ที่จิตรู้ เกิดแล้ว พอท่านนั่ง ท่านจะเห็นความคิดมันเกิด มันตั้งอยู่ แล้วหยุดไปได้ ท่านอาจเห็น จิตท่านมันไหลแว๊บไปในตอนที่ท่านเกิดเผลอขึ้น นี่คือ ท่านเห็นไตรลักษณ์ของจิตของ ท่านแล้ว ขอให้เห็นไตรลักษณ์แบบนี้ไปมาก ๆ มันจะสะสมเป็นปัญญาในการรู้แจ้งต่อไป 7.ท่านอาจสงสัยว่า ทำให้ผมบอกให้ลืมตา ทั้งที่สำนักไหน ๆ ก็สอนให้หลับตา ทำใมผมบอกว่าให้มีเสียงรอบ ๆ ในเมื่อสำนักไหน ๆ ก็ต้องการที่เงียบสนิท ที่ไร้เสียง ที่ผมบอกให้ลืมตา ให้มีเสียงรอบ ๆ เพื่อเป็นการล่อจิตให้เผลอครับ ตาที่เห็น เสียงที่ได้ยิน จะเป็นตัวล่อให้จิตเผลอ จิตไหลไป เมื่อจิตเผลอ จิตไหลไป แล้วท่านรู้ มันเป็นวิปัสสนาครับ เมื่อท่านฝึก ใหม่ ๆ จิตท่านจะเผลอเก่ง จิตไหลไปเก่ง เมื่อท่านรู้แล้ว ให้กลับมาที่ข้อ 3 ใหม่ ให้เป็นอย่างนี้เสมอ ๆ เมื่อจิตท่านเผลอ และ กลับมาที่ข้อ 3 ใหม่ นี้บ่อย ๆ มันจะเป็นประสบการณ์ตรงของท่านเอง ซึ่งจะเป็นการพัฒนาตนเองให้จิตท่านกลับมารู้สึกตัวได้ง่ายขึ้น ไวขึ้นในอนาคต ซึ่งถ้าเปรียบทางโลก ก็เหมือนว่า ท่านมาหัดว่ายน้ำ ท่านควรที่จะหัดจากของจริง ก็คือลงว่ายน้ำไปเลย เมื่อท่านว่ายน้ำใหม่ ๆ มันจะจมบ้าง สำลักน้ำบ้าง แล้วต่อ ๆ ไป ท่านก็จะว่ายน้ำเก่ง แต่ถ้าท่านต้องการเรียนว่ายน้ำ แต่ไม่หัดลงน้ำ แต่กลับไปวิ่งจ๊อกกิ่ง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ชาตินี้ท่านก็จะว่ายน้ำไม่เป็นครับ 8. การปฏิบัติแบบนี้ จะได้ผลก็ต่อเมื่อ ท่านต้องไม่ใช้จิตของท่านทำอะไร คือต้องให้จิตเป็นอิสระ ไร้การบังคับครับ เพราะถ้าท่านใช้จิตของท่านทำอะไรสักอย่าง จิตจะวุ่นกับสิ่งที่มันกำลังทำ เลยทำให้จิตท่านไม่รู้เมื่อเกิดเผลอขึ้นมาครับ ขอให้อ่านเรื่องประกอบ คือเรื่อง . วิปัสสนา ทำอย่างไร . ที่ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=02-07-2009&group=1&gblog=51 9. ท่านอาจสงสัยว่า ผมมีเขียนเรื่องตัวอย่างการรู้กาย โดยการลูบแขน แล้วในนี้ ผมเขียนเรื่องนั่งนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่ต้องลูบแขน อย่างไหนถูกในการปฏิบัติ ซึ่งผมจะบอกท่านว่า ใช้ได้ทั้งคู่ครับ แต่การลูบแขนนั้น จะเป็นการฝึกสติพร้อมวิปัสสนาไปในตัว การรู้สึกถึงการไหวของมือ การรู้สึกถึงการสัมผัสของการลูบ เป็นการปลุกสติของท่านให้มีกำลังขึ้นเป็นอย่างดี และการที่ทานต้องมาคอบลูบแขนอยู่ จะเป็นตัวล่อให้ท่านเกิดเผลอ เกิดใจลอยขึ้นมานั้นเองครับ ในความเห็นส่วนตัว อยู่ที่ความถนัดของคนที่จะฝึกฝน เพราะบางคนว่า การฝึกทีมีการเคลื่อนไหว เป็นสิ่งยากสำหรับคนใหม่ แต่บางคนก็ว่า การฝึกที่นั่งนิ่ง เป็นสิ่งยากสำหรับคนใหม่ แต่ไม่ว่าแบบใด ถ้าท่านฝึกเริ่มต้นแบบใดแบบหนึ่งแล้วจนชำนาญ ท่านจะไปได้ดีทั้ง 2 แบบ คือ ทั้งนิ่ง ทั้งเคลื่อนไหว อย่างใดก็ได้ทั้งสิ่น ไม่มีข้อแตกต่างกันเลย แต่ในความเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งอาจผิดก็ได้ การฝึกการเคลื่อนไหวทีมีการสัมผัสดังเช่นการฝึกลูบแขนที่ผมเขียนไว้ น่าจะสงผลการปฏิบัติได้เร็วกว่า การนั่งนิ่งครับ การฝึกแบบเคลื่อนไหว จะเข้าได้ดีมากกว่าในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ที่ต้องทำมาหากินอยู่ ต้องทำโน่นทำนี่เลี้ยงชิวิต ซึ่งถ้าท่านฝึกการลูบแขนจนชำนาญ ต่อไปในชีวิตประจำวันที่ท่านต้องทำโน่นทำนี่เสมอ ๆ ในการทำมาหากิน มันจะเป็นฝึกของจริงในชีวิตประจำวันเลย หรือ ฝึกโดยไม่ต้องฝึกนั้นเองครับ ก็คือ ทำงานไปด้วย ฝึกไปด้วย แบบ 2 In 1 หมายเหตุ ถ้าท่านฝึกแบบ สมถนำวิปัสสนา ท่านจะใช้ฝึกแบบนี้ไม่ได้นะครับ แต่ท่านต้องไปนั่งนิ่ง สร้างนิมิตก่อน อ่านเรื่องนี้ประกอบครับ ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2009&date=21&group=1&gblog=61
Create Date : 23 สิงหาคม 2552
14 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:29:55 น.
Counter : 1536 Pageviews.
โดย: kaoim IP: 110.49.140.250 23 สิงหาคม 2552 9:14:41 น.
โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 9:42:20 น.
โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 10:02:16 น.
โดย: บั๊กคุง 23 สิงหาคม 2552 11:48:41 น.
โดย: บัว IP: 118.174.78.50 23 สิงหาคม 2552 11:58:23 น.
โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 12:30:40 น.
โดย: นมสิการ 23 สิงหาคม 2552 12:33:49 น.
โดย: บัว IP: 118.174.149.42 23 สิงหาคม 2552 13:23:18 น.
โดย: da IP: 124.120.11.89 23 สิงหาคม 2552 17:51:23 น.
โดย: kaoim IP: 58.10.90.39 23 สิงหาคม 2552 18:17:51 น.
โดย: บัว IP: 118.174.122.218 24 สิงหาคม 2552 13:37:39 น.
โดย: บัว IP: 118.174.129.141 25 สิงหาคม 2552 11:31:22 น.
โดย: มือใหม่ ไม่ยอมล็อกอิน IP: 192.168.2.103, 119.42.95.164 24 กันยายน 2552 9:05:08 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 19:31:05 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
ในข้อสาม ถ้าอย่างคนที่ไม่ได้เจริญสติ เขาก็น่าจะรู้สึกถึงลมที่มาสัมผัส หูได้ยินเสียงโทรทัศน์ที่เปิดอยู่ มือก็พิมพ์คอมพ์ไป ตรงนี้ถือเป็นความรู้สึกตัวด้วยหรือเปล่าคะ แล้วมันแตกต่างจากคนที่ฝึกเจริญสติตรงไหนคะ
ถามเผื่อมีใครสงสัยน่ะค่ะ