รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา

บทความที่ผมจะเขียนนี้ ไม่เหมาะสำหรับคนใหม่ที่เพิ่งฝึกฝน เพราะท่านจะอ่านแล้วไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ผมจะเขียนขึ้นเพื่อใครสักคนที่ได้พากเพียรฝึกฝนมามากพอสมควรแล้วและสามารถเข้าใจได้เมื่อได้อ่าน

ก่อนที่ท่านจะมาถึงจุดนี้ ท่านต้องผ่านการฝึกฝนจนกระทั้ง.จิตรู้.เกิดแล้ว และตั้งมั่นได้แล้ว ถ้าท่านยังไม่มีคุณสมบัตินี้ ผมแนะนำให้อ่านเรื่อง ตัวอย่างการรู้กายใน blog ของผม แล้วก็ลงมือฝึก ฝึก ฝึก ทุกวัน ฝึกมาก ๆ จน.จิตรู้ เกิดก่อน และ จิตรู้ตั้งมั่นก่อน ขอให้ท่านอย่าใจร้อน การข้ามขั้นไม่ทำให้ท่านไปเร็วขึ้น แต่กลับเป็นว่า ท่านจะเสียเวลาเปล่า

เมื่อท่านฝึกสติสัมปชัญญะดังที่ผมเขียนไว้ใน blog เรื่องตัวอย่างการรรู้กาย ท่านจะสังเกตตัวเองได้ว่า ในขณะที่ท่านกำลังฝึกอยู่ แล้วถ้าวันไหนฝึกดี ขอให้ท่านสังเกตตัวเองว่า วันนี้จิตใจท่านจะสดใส และ จิตท่านจะว่องไว รับรู้อะไร อะไร ได้เร็วดี จิตใจท่านอาจมีความสุข หรือ อาจเฉย ๆ ก็ได้ นี่แสดงว่า จิตท่านพร้อมแล้วที่จะยกจิตเข้าสู่วิปสสนาหลังการฝึกฝนแล้ว ขอให้ท่านยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาทันที อย่าได้รีรอ

การยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาทำอย่างไร

วิธีการก็คือ ขอให้ท่านปล่อยจิตให้เป็นอิสระครับ อย่าไปบังคับจิตให้รับรู้อะไร ซึ่งถ้าท่านฝึกมาดีแล้ว จิตรู้ ท่านตั้งมั่น เมื่อจิตถูกปล่อยให้เป็นอิสระ จิตรู้ จะทำงานของเขาเองเป็นอิสระเพราะไร้การบังคับนั้นเอง ปล่อยให้จิตรู้ เขารู้อะไรก้ได้ ที่เป็นไปของเขาเอง ไม่ต้องไปบังคับว่า ต้องรู้อย่างโน้น ต้องรู้อย่างนี้ แต่ในธรรมชาติของคนที่ยังไม่ถึงที่สุดของทุกข์ เมื่อจิตเป็นอิสระ จิตมักจะคิดครับ ( ถ้าท่านฝึกมาดี จิตรู้จะเห็นจิตคิดได้ ถ้าท่านยังฝึกมาไม่ดีพอ จิตรู้จะถูกจิตคิดดูดเข้าไปผสม ถ้าเป็นว่า จิตรู้ ถูกจิตคิดดูดเข้าไปผสมเมือ่ไร วิปัสสนา ก็จบเห่ทันที ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยวิธีนี้แล้ว ) เมื่อจิตมันคิด ให้จิตรู้ เฝ้าดูจิตคิดนั้นไป
เรื่อย ๆ ไม่ต้องไปห้ามมันหยุดคิด เฝ้าดูมันคิดไปเรื่อย ๆ ถ้ามันหยุดคิด ก็ช่างมัน ถ้ามันคิดใหม่ก็ช่างมัน มันจะคิดเรื่องอะไรก็ช่างมัน เรื่องดี ก็ช่างมัน เรื่องเลวก็ช่างมัน ปล่อยมันคิดโดยจิตรู้เฝ้าดูมันไปเรื่อย ๆ นี่คือเรียกว่า การเฝ้าดูโดยไม่แทรกแซง ครับ

การปฏิบัติแบบนี้ เป็นเพียงแค่ จิตรู้ เห็นการทำงานของจิตตสังขาร อันเป็นหนึ่งในขันธ์ 5 เรียกว่า จิตพิจารณาขันธ์ ครับ ขอให้จิตพิจารณาขันธ์แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการสะสมทางปัญญาไว้ก่อน เมื่อจิตพิจารณาขันธ์เป็นการสะสมไว้แล้วมาก ๆ แล้ววันดี คืนดี จิตท่านจะมีการโผล่งตัวออกมาอีกทีหนึ่งของปัญญา เป็นว่า จิต เข้าใจ ขันธ์แล้วว่า ขันธ์ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา แต่เป็นเพียงธรรมชาติอย่างหนึ่ง และเกิดการปล่อยวางขันธ์ได้

จะเห็นว่า การพิจารณาขันธ์ 5 นี้ ไม่ใช่การนึกคิดแบบที่คนธรรมดาเข้าใจกันเลย แต่กลับเป็นว่า จิตรู้ เฝ้าตามดู การทำงานของขันธ์ 5 โดยไม่แทรกแซงนั้นเอง

อนึ่ง ถ้าท่านปล่อยจิตให้เป็นอิสระ แล้ว แต่กลับเป็นว่า จิตท่านว่าง ๆ เฉย ๆ อยู่ ไม่คิดสักที เรื่องนี้พอบอกได้ 2 นัยยะ คือ นัยยะแรก ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว หรือ ว่า นัยยะ 2 ท่านบังคับจิตอยู่ ไม่ได้ปล่อยจิตให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่ท่านมองไม่ออกว่ากำลังบังคับจิตอยู่ ซึ่งอาการหลังนี้ ที่บังคับจิตไว้โดยไม่รู้ตัว เป็นกุญแจสำคัญทีนักปฏิบัตตกม้าตายไปมากต่อมากว่า ทำอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าถึงการปล่อยวางในขันธ์ 5 ได้สักที

เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านจะเห็นได้ว่า การปฏิบัตินั้นควรดำเนินไปอย่างไร เพื่อให้ถึงการพ้นทุกข์ตามหลักการของสติปัฏฐาน 4
ถ้าท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์ อย่าได้เที่ยวประกาศให้ใครต่อใครฟังไปว่า จิตท่านว่างเสียเหลือเกิน เดี๋ยวคนที่เขารู้เรื่องจะอมยิ้มเอาได้ครับ



Create Date : 22 กรกฎาคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:58:49 น. 11 comments
Counter : 2942 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะคุณนมสิการ

เมื่อวานนี้มันเริ่มจะเห็นคำตอบตรงรู้กับเห็นแล้วค่ะ พอมาอ่านเจอที่คุณนมสิการบอกว่า ไม่ต้องไปใส่ใจกับตรงนี้มาก ก็โอเค.ค่ะ เราสร้างสติด้วยการเคลื่อนไหวให้ต่อเนื่องต่อไปดีกว่า... ตรงที่เราหัดด้วยการเคลื่อนไหวนี้ได้ผลดีตรงที่สามารถทำอะไรไปด้วย แล้วก็ภาวนาไปด้วย เพราะว่ามาอยู่วัด พระอาจารย์ก็ใช้ให้ทำงานโน่นงานนี่ตลอดเลยค่ะ จะมีเวลาทำตามรูปแบบจริงๆ ก็หลังทุ่มนึงไปแล้ว เลยมีความรู้สึกว่า เราได้ภาวนาทั้งวัน ซึ่งก็ถูกตามหลักของพระอาจารย์เหมือนกันว่า ท่านบอกว่า ให้ทำงานไปพร้อมกับภาวนาไปด้วย

ตอนนี้ก็กำลังสะสมที่มันเห็นสิ่งที่เกิด และดับไปอยู่ค่ะ

มีโอกาสจะเข้ามารายงานภาวนาให้ทราบเป็นระยะๆค่ะ

อนุโมทนา


โดย: kaoim IP: 119.31.65.185 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:16:31 น.  

 
ถ้าเราจะภาวนาไปด้วยในระหว่างทำงานที่ไม่ได้ใช้ความคิด เช่น การกวาดวัด การซักผ้า การถูศาลา ให้ทำได้ แต่ให้ทำช้าลงกว่าปรกติเล็กน้อย การทำช้าลงกว่าปรกติเล็กน้อย จะเป็นการฝึกฝนการปฏิบัติพร้อมไปกับการทำงานดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ในขณะทำงาน อย่าได้ใจลอย ทำไปช้า ๆ กว่าปรกติ ทำไปสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ

นี่เป็นการภาวนาอย่างหนึ่งเหมือนกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:27:09 น.  

 
กำลังต้องการข้อมูล
แบบนี้อยู่มากทีเดียวคะ
แค่ สมาธิ ยังไม่เป็น สมาธิเลยคะ
วิปัสนา คงอีกไกล ทีเดียว


โดย: บุปผาลีลาวดี วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:35:06 น.  

 
สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ
เมื่อช่วงเข้าพรรษาได้มีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนที่บวชอยู่วัดป่าแถวๆป่าละอู ปฎิบัติตามคำสอนของหลวงปู่ฉลวย เมื่อก่อนก็ดูจิตคิดอะไร กายทำอะไร ก็เหมือนปกติที่ชอบทำกัน และชอบนั่งไม่ชอบเดิน แต่พอมาที่นี้เน้นเดินช่วงละสองชั่วโมง ทำให้มีสมาธิมากขึ้น แต่เวลาปกติท่านสอนให้ตัดกิเลส ไม่ตามใจ อยากได้ อยากกินอะไร ต้องไม่ให้ แต่ตอนนี้เพิ่งทำได้อย่างเดียวคือ ไม่ตามใจในการกินมื้อเย็นแต่กิเลสตัวอื่นตัดยากมาก ถ้าพัฒนาไปได้แล้วจะมาเล่าให้ฟังค่ะ อยากให้ลองมาหัดไม่ตามใจกิเลสกันดูค่ะ สนุกเหมือนกันนะค่ะ


โดย: นุ่มณอ่อนนุช วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:54:10 น.  

 
ตอบคุณ บุปผาลีลาวดี
คุณเคยหัดขี่จักรยานไหมครับ ผมเชื่อว่าคงเคยนะครับ
การหัดขี่จักรยานจะเหมือนกับการฝึกจิตทุกประการ
ใหม่ ๆ ย่อมล้มลุกคลุกคลานเป็นธรรมดา ล้มก็ลองใหม่ ให้เป็นแบบนี้ ให้ล้มจนรู้ว่าการไม่ล้มคืออย่างไร มีเทคนิคอย่างไร แล้วต่อไปก็จะไม่ล้มอีก แต่ถ้าเราล้มแล้วไม่หาเหตุแห่งการล้ม หรือ เลิกหัดขี่ไปเลย ก็จะไม่สามารถขี่จักรยานได้เลยตลอดชีวิต



โดย: นมสิการ วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:45:17 น.  

 
ตอบ คุณ นุ่มณอ่อนนุช
กิเลสตัดยากมากครับ ต้องใช้ความเพียร ความถูกต้องในการตัด จึงจะตัดได้ถาวร

การเดินจงกรมที่ถูกต้อง เป็นการฝึกสติที่ดีครับ
เพราะการเดินเป็นธรรมชาติของคนอยู่แล้ว

มีอะไร ก็นำมาเล่าให้ฟังกันได้ครับ เป็นประสบการณ์สำหรับท่านอื่น ๆ ได้ การกระจายประสบการณ์ทั้งด้านผิดและด้านถูก จะทำให้มีการพัฒนาการปฏิบัติในประเทศให้เจริญมากขึ้นได้


โดย: นมสิการ วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:49:50 น.  

 
เมื่อก่อนสนใจเรื่องบ้านเพราะกำลังสร้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มลงตัวก็หันมาตั้งใจปฎิบัติมากขึ้น วันพระก็ไปค้างที่วัดจนที่บ้านคิดว่าจะไปอยู่วัดแล้วค่ะ วัดป่าตามต่างจังหวัดที่ยังไม่ดังแนะนำว่าให้ลองไปดูค่ะ สำหรับท่านที่สนใจ เพราะคนน้อยพอติดขัดท่านสามารถชี้แนะได้เลย

ตอนเดินจงกรมเกิดเห็นเป็นโครงกระดูก แต่ในใจมีแต่ความสงสัยว่าเห็นจริงหรือเปล่า พอเดินเสร็จจะเป็นการมานั่งรวมเพื่อสนทนากันตอนแรกก็ไม่กล้าบอกใคร สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่าให้ทุกคนฟัง ก็เลยได้รับการชี้แนะจากท่านอาจารย์และยังต่อยอดให้จิตเราไปได้ไกลกว่าที่คิดมาก จึงได้คิดว่าการได้ปฎิบัติกับบุคคลที่เก่งอย่างใกล้ชิดเป็นวาสนาของเราจริงๆ เพราะถ้าให้เราปฎิบัติเองก็เหมือนการงมที่เจออะไรแต่ละทีช้ามาก


โดย: นุ่มณอ่อนนุช วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:01:15 น.  

 
การเห็นโครงกระดูก มีได้ 2 ลักษณะกล่าวคือ
เป็นนิมิตที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติ หรือ ไม่ก็เป็นทิพยจักษุ
ซึ่งผู้ปฏิบัติจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเป็นแบบไหน

การเกิดนิมิตนั้นไม่จำเป็นต้องหลับตา ลืมตาก็เห็นได้เช่นกัน ผมกล้ายืนยันนิมิตในขณะปฏิบัติที่ลืมตาว่าเป็นไปได้จริง

ครูบาอารจารย์มักกล่าวไว้ว่า ผู้เห็นนิมิต เห็นจริง แต่นิมิต ไม่ใช่ของจริง มันเป็นเพียง จิตตสังขารอย่างหนึ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นเป็นภาพได้

ถ้าคุณ นุ่มณอ่อนนุช มีครูอาจารย์อยู่แล้ว ก็ขอให้ครูอาจารย์แนะนำทางที่ถูกที่ควรในการปฏิบัติต่อไปครับ
การเล่นกับนิมิต ต้องมีครูอาจารย์ที่ชำนาญและเข้าใจแนะนำจึงจะไปได้ดี

สำหรับผู้ไร้ครูอาจารย์แนะนำ ถ้านิมิตเกิด ผมแนะนำให้อย่าได้สนใจ เอาใส่ใจ ให้ขว้างทิ้งไปเลย เพราะถ้าไปปฏิบัติอะไรกับนิมิตเข้า ถ้าเราไม่เข้าใจดีพอ จะเป็นผลเสียแก่ตนเอง ในความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติ



โดย: นมสิการ วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:14:38 น.  

 
ผมเป็นน้ำพร่องแก้วที่เจือสี เข้ามาเจอน้ำใสเลยขอเติมสักนิดเพื่อสีจะได้จางลง
ลุงเษม(ปล่อยวาง...อย่างรู้เท่าทัน)


โดย: lungsem IP: 112.142.150.127 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:23:26 น.  

 
สวัสดียามดึกครับ ลุงเษม


โดย: นมสิการ วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:12:04 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:19:59:14 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.