รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
12 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
การปล่อยวาง .ทุกข์. ตามลำดับเป็นอย่างไร

บทความนี้ จะได้เล่าถึงอาการปล่อยวาง.ทุกข์.เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมได้เจริญสติสัปมชัญญะอย่าถูกต้องว่า จะออกมาเป็นลำดับอย่างไร

1.ก่อนอื่น ท่านสมควรเข้าใจคำว่า .ทุกข์. กันก่อนว่าคืออะไร
ในขันธ์ทั้ง 5 ( ร่างกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) นี่มันแปรเปลี่ยนตลอดเวลา มันเป็นไตรลักษณ์ ( ใครที่อ่านบทความเกี่ยวกับพุทธศาสนามา ก็จะพบคำนี้อยู่เสมอ ๆ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ว่า ทุกข์นั้นตืออย่างไร )
แต่ตัวที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์ใจ ก็คือ เมื่อมันเกิดแปรเปลี่ยนแล้วท่านไปยึดมันไว้ ไม่ให้มันแปรเปลี่ยนต่างหาก (ตำรา เรียกการยึดนี้ว่า ตัณหา)
มาดูตัวอย่างกัน
สมมุติว่า ทำกำลังเดินอยู่ตามถนนแล้วเผอิญมีคนมาเหยียบเท้าท่าน แหมช่างเม่นเสียจริง เข้าตรงตาปลาเสียด้วย ท่านเจ็บจนน้ำตาไหล ท่านเกิดโกรธขึ้นมา ตรงปี่เข้าไปกระชากเสื้อคนที่มาเหนียบเท้าท่าน....

ทุกข์ เกิดมี 2 ขณะ คือ ทุกข์กายที่เจ็บเพราะถูกเหยียบ อันนี้เป็นทุกข์เวทนา
ทุกข์ใจ คือ อาการโกรธ จิตไปยึดอาการโกรธนั้นเข้า ทำให้สิ่งที่อ่านมาในตำราว่า ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แต่นี่ท่านไปยึดสังขารอันเป็นความโกรธเข้าแล้ว ทำให้ท่านทุกข์ ความโกรธเลยไม่ยอมดับไปเพราะการไปยึดติดนี้

2.ทุกข์ใจในคนนั้น มันจะมาจากการยึดติด จิตตสังขาร !!!
ที่เกิดการยึดติด เพราะไม่เห็นจิตตสังขาร เมื่อไม่เห็นจิตตสังขาร ก็เกิดการไม่ยอมรับว่า จิตตสังขาร เป็นไตรลักษณ์อย่าแท้จริง ทั้งที่ปากพร่ำพูดอยู่เสมอตามตำราว่า ขันธ์5 ไม่เที่ยง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แต่จริง ๆ ก็ไม่อาจไม่ยึดมั่นถือมั่นได้เลย

3.ถ้าท่านได้ฝึก กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในทางที่ถูกต้อง หรือ ใครก็ตามที่ฝึกการลูบแขนดังที่ผมเขียนไว้ในบทความเรื่องตัวอย่างการรู้กาย มาพอสมควรแล้ว ถ้าท่านสังเกตให้ดี ท่านจะสังเกตได้ว่า ขณะที่แขนเคลื่อนไป จะเกิดการรู้สึกถึงการไหวได้เบา ๆ ในขณะที่ท่านลูบแขนอยู่จะมีความรู้สึกได้แรงขึ้น ถ้าวันไหน จิตตสังขาร (จิตปรุงแต่ง) มันเกิดขึ้น ท่านลองสังเกตดูว่า จะมีพลังงานเกิดขึ้นที่มันไหวเบา ๆ คล้าย ๆ กับการไหวเมื่อท่านกำลังเคลื่อนแขน ถ้าท่านฝึกมาอย่างถูกต้อง ไม่เพ่งจ้องในขณะฝึก รู้การไหวอย่างเบา ๆ ได้เองแล้ว ท่านจะเริ่มรู้สึกได้ถึงการไหวของจิตตสังขารได้แล้วละ

4.ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ครับ จิตตสังขาร เปรียบเหมือนไฟไหม้ฟาง ถ้าท่านเริ่มเห็นควันไฟเกิดแล้วไปดับ ท่านจะดับได้ไม่ยากเลย ถ้าท่านช้าไปเพียงนิดเดียว ไฟไหม้ฟางเป็นกองใหญ่ ท่านจะดับมันไม่ได้เลย อันว่าจิตตสังขารก็เช่นกัน เมื่อมันเริ่มเกิด ถ้าสติสัมปชัญญะของท่านไวมากพอ ท่านเห็นได้ทันทีที่มันเกิดหรือเริ่มไหว จิตตสังขารจะหยุดไปเองโดยอัตโนมัติ (โดยที่ท่นไม่ต้องไปทำอะไรเลย ) เพราะมาจากอำนาจของสัมมาสมาธิที่แนบแน่นมั่นคง ประกอบกับความรวดเร็วของสัมมาสติที่จับอาการไหวของจิตตสังขารได้ทัน
แต่ถ้าท่านเป็นมือใหม่ การตรวจจับของสัมมาสติยังไม่รวดเร็วนัก เมื่อจิตตสังขารเกิดขึ้น สัมมาสติตรวจจับไม่ทัน จิตตสังขารได้เติบใหญ่จนเอาไม่อยู่
มันก็เลยไม่ยอมดับไปง่าย ๆ ทำให้เกิดการยึดติดและทำให้ท่านเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่ท่านอย่าได้ท้อใจไป การที่ท่านเริ่มเห็นจิตตสังขารได้ ถึงแม้ว่าจะเห็นได้ช้าไป แต่นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่า การปฏิบัติของท่านกำลังจะเกิดผลออกมาแล้วครับ ขอให้ท่านหมั่นฝึกฝนต่อไปอีกแบบเดิม อย่าไปเปลี่ยนแบบ กำลังสัมมาสติของท่านจะค่อย ๆ เร็วขึ้นไปเรื่อย ๆได้เอง

5. เมื่อท่านได้ขยันฝึกซ้อม พัฒนากำลังสัมมาสติไปมากขึ้น สัมมาสติจะเริ่มไวขึ้นและการจับการเกิดของจิตตสังขารได้เร็วขึ้น สัมมาสมาธิเริ่มมั่นคงมากขึ้นที่สามรถดับจิตตสังขารได้เองแบบอัตโนมัติได้บ่อยขึ้น
อาการนี้จะเป็นประสบการณ์ให้แก่จิตของท่านเอง จิตท่านจะเห็นได้จริง ๆ แล้วว่า จิตตสังขาร นั้นไม่เที่ยง มันเป็นไตรลักษณ์ ถ้ามันอยู่นาน ท่านจะไปยึดแล้วเป็นทุกข์ ใหม่ ๆ จิตท่านจะเห็นแบบนี้ แต่จิตมันไม่รู้เรื่องครับ มันเห็นก็จริงแต่ไม่เข้าใจ เปรียบเหมือน ไก่เห็นพลอย แต่ไม่เข้าใจว่านี่คือพลอย อะไรปานนั้น

6.ท่านฝึกต่อไปเรื่อย ๆ อีก จิตท่านเห็นจิตตสังขารแปรเปลี่ยนไปได้ตามธรรมชาติของมันเอง สัมมาสติสัมมาสมาธิก้มีกำลังแก่กล้าที่หยุดจิตตสังขารไม่ให้เติบโตได้ก็จริง แต่จิตท่านก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี
จิตท่านต้องเห็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เห็นบ่อย ๆ แพ้กิเลสบ้าง ชนะกิเลสบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ ไป ๆ มา ๆ แบบนี้ บ่อย ๆ
แล้ววันไหน ที่จิตใจท่านโล่งสบายดี มันจะเกิดปรากฏการปฏิวัติทางจิตแก่ท่าน จิตมันจะโผล่งปัญญาออกมาอีกทีหนึ่ง มันจะโผล่งมาเอง โดยที่ท่านไม่รู้ตัว ไม่อาจบอกได้ว่า โผล่งตอนไหน โผล่งเพราะอะไร
การโผล่งออกนี้จะเป็นปัญญาอย่างแท้จริงของจิต ที่ให้จิตรู้จริงเสียที
เมื่อจิตโผล่งออกมา จิตจะเข้าใจได้เอง การโผล่งนี้รวดเร็วปานฟ้าแลบ เร็วมาก แต่จิตท่านจะรู้ได้เอง
การโผล่งออกมาของจิตนี้ จะทำให้จิตท่านปล่อยวาง จิตตสังขาร ได้มากขึ้น
เพราะการรู้ การเข้าใจ การยอมรับ ความเป็นธรรมชาติของจิตตสังขารว่า ที่แท้เจ้าตัวทุกข์ใจ นี้ก็คือไตรลักษณ์ มันไม่เที่ยง แล้วจะไปยึดมันทำไมกัน
(อันนี้จะเป็นของจริง ที่ไม่ใช่การท่องจำใครเขามาเสียที )
ถ้าท่านยังไม่ถึงทีสุดแห่งทุกข์ ขันธ์ 5 อย่างไรก็ต้องเป็นทุกข์ตามไตรลักษณ์ แต่ถ้าจิตท่านปล่อยวางเสียอย่าง ทุกข์มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้เอง ตามไตรลักษณ์ แล้วท่านจะเห็นขันธ์ 5 เป็นทุกข์ แต่ท่านจะไม่ทุกข์ไปกะม้นด้วย

7.ท่านจะเห็นว่า ขบวนการปล่อยวาง ทุกข์ นั้นต้องมาจากการเห็น ทุกข์ จริง ๆ ว่าเป็นอย่างไร เห็นมาก ๆ เห้นแล้วจะเข้าใจใน ทุกข์นั้น แล้วจะปล่อยวางได้เพราะจิตเห็น จิตเข้าใจจริง ๆ แต่ถ้าท่านยังไปทำให้จิตนิ่ง จิตว่าง โดยไม่เห็นจิตตสังขาร จิตท่านจะปล่อยวางทุกข์ได้อย่างไร นี่คือความต่างระหว่าง สมาธิแบบฤาษี กับ สัมมาสมาธิ ในพุทธศาสนา

ผมอยู่ในวงการปฏิบัติธรรมมานาน เห็นอะไรก็มากในการปฏิบัติ เดินผิดทางไปก็นานแสนนาน ผมจึงนำบทความนี้มาแสดงให้ท่าน ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนปผ่นเสียงตกร่อง เพื่อให้ท่านเข้าใจจริง ๆ ว่า การเลือกเดินสายปฏิบัตินั้น อย่างไร สมควรเดิน อย่างไร ไม่สมควรเดิน เพราะผิดทาง ท่านจะเสียเวลาเปล่า ๆ

เอาละ เมื่อท่านรู้แล้ว ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเอาเองครับ




Create Date : 12 มิถุนายน 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:44:12 น. 11 comments
Counter : 1114 Pageviews.

 
"ถ้าท่านเริ่มเห็นควันไฟเกิดแล้วไปดับ ท่านจะดับได้ไม่ยากเลย ถ้าท่านช้าไปเพียงนิดเดียว ไฟไหม้ฟางเป็นกองใหญ่ ท่านจะดับมันไม่ได้เลย "

ให้ข้อคิดสะกิดใจค่ะ หลายครั้งก็เป็นแบบนี้ค่ะ ปล่อยให้มันไหม้กองโตเลยล่ะ


โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:9:28:05 น.  

 
ขอบคุณครับ อย่าหยุดแสดงธรรมน่ะครับ ผมจะเก็บไว้อ่านตามลำดับการปฏิบัติ รู้ก่อนก็รู้สึกเป็นอุปสรรคเหมือนกัน
เลยไม่ได้อ่านทั้งหมด เคยรู้รูป รู้นาม และเข้าใจในการปฏิบัติเบื้องต้นแล้ว แต่กำลังยังอ่อนเกินไป อนุโมทนาบุญและฝากตัวป็นศิษย์ด้วยครับ


โดย: ช.ช้าง IP: 202.28.124.35 วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:15:48:25 น.  

 
เรียนคุณ ช.ช้าง IP: 202.28.124.35 วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:15:48:25 น.

เรื่องเขียน blog นี้ ถ้านึกเรื่องที่เป็นประโยชน์ได้ ก็จะเขียนไว้ให้อ่านกัน โดยผมจะเน้นถึงวิธีการฝึกมากกว่าตัวสภาวะ
แต่ตัวสภาวะก็อาจจำเป็นต้องกล่าวไว้บ้างเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อให้ท่านที่เข้ามาอ่านได้ทราบแนวทางการฝึกฝนเพื่อให้ตรงทางครับ ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่กล่าวถึงครับ เพราะ สภาวะเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น คนที่ไม่รู้ อ่านไปก็ไม่เข้าใจครับ

อย่าได้ถือเป็นศิษย์เลยครับ เป็นกัลยาณมิตรกันดีกว่าครับ

ผมกำลังคิดอยู่ว่า ถ้ามีผู้สนในแนวทางการฝึกแบบทีผมแสดงไว้ คือ การเคลื่อนการไหว ไม่นั่งนิ่ง และได้ลองฝึกดู เช่นการลูบแขนไปแล้วสัก 5 - 6 เดือน ประมาณ ธันวาคม ผมอาจหาสถานที่เพื่อพบปะกัน แล้วให้สอบถามข้อสงสัยในการปฏิบัติกันครับ เพราะจะได้ตรวจสอบตนเองว่า มาได้ถูกทางหรือไม่ ถ้ามีคนสนใจครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 12 มิถุนายน 2552 เวลา:23:42:13 น.  

 
แวะเข้ามาฟังธรรมค่ะ


โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 13 มิถุนายน 2552 เวลา:1:22:19 น.  

 
สาธุ...


โดย: 12ปันนา IP: 58.9.56.120 วันที่: 13 มิถุนายน 2552 เวลา:5:27:57 น.  

 
เป็นข้อเสนอแนะที่ดีค่ะ ถ้ามีโอกาสได้พบปะสนทนากัน อย่างน้อยก็ขอให้มีโอกาสได้ปฏิบัติไปสักระยะนึงเพื่อให้เห็นผลน่ะค่ะ

เผื่อได้ book คุณปูไว้ล่วงหน้าน่ะค่ะ ดีไหมคะคุณปู


โดย: kaoim IP: 58.10.90.55 วันที่: 13 มิถุนายน 2552 เวลา:6:38:20 น.  

 
IP คุณปู เธออยู่ต่างประเทศครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 13 มิถุนายน 2552 เวลา:7:28:02 น.  

 
เรียนคุณนมสิการ

พอจะจับความรู้สึกเวลาที่จิตมันเกิดการปรุงแต่งเป็นลักษณะเบาๆ เหมือนกับที่รู้สึกที่กายเคลื่อนไหวแล้วค่ะ พยายามเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดสติทั้งการเดิน การทำงานต่างๆ บางครั้งก็มีเพ่ง บางครั้งก็ลืมตัวลืมใจไปเลย

อ้อ...คุณปูเธออยู่อเมริกาค่ะ เพื่อนของ kaoim เองค่ะ แนะนำให้คุณปูมาสนทนากับคุณนมสิการเองน่ะค่ะ เธอคงจะมีโอกาสได้กลับมาเมืองไทยบ้างน่ะค่ะ


โดย: kaoim IP: 58.10.90.55 วันที่: 13 มิถุนายน 2552 เวลา:8:04:03 น.  

 
ยินดีด้วยครับ ที่คุณสามารถจับการปรุงแต่งได้บ้างแล้ว
ให้ฝึกต่อไปครับ ฝึกเหมือนเดิม แล้วจิตรู้ จะมีกำลังมากขึ้น แล้วจะจับความรู้สึกการปรุงแต่งได้เก่งขึ้นเองครับ

อย่าได้กังวลกับการเพ่ง การลืมตัว นี่เป็นธรรมชาติของการฝึกทีต้องมี ต้องเกิดขึ้นกันทุกคน เมื่อฝึกไปมาก ๆ เข้า อาการนี้ จะค่อย ๆ ลดลงไปเองครับ ถ้ากังวลมากไปกับการเพ่ง การลืมตัว ก็จะเกร็ง ไม่เป็นธรรมชาคิเสียเปล่า ๆ การฝึกก็จะยิ่งติดขัดครับ

จำไว้นะครับ การฝึก ต้องสบาย ๆ ครับ อย่าเกร็ง ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ถ้าผิดไปเพราะหลงลืม เพราะเพ่ง ไม่เป็นไรครับ เมื่อรู้ตัวว่าหลงลืม ว่าเพ่ง ก็ให้ปรับใหม่ ไม่ต้องไปกังวลอะไรเลย เหมือนเด็กอ่อนที่หัดเดิน ถ้าเขาล้ม แล้วลุกใหม่ ล้มแล้วลุกใหม่ นี่คือประสบการณ์ ถ้าเราไปดุเขาว่า ต้างไม่ล้มเลย เด็กเขาจะไม่หัดเดิน แล้วต่อไปจะเดินไม่ได้ครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 13 มิถุนายน 2552 เวลา:8:22:42 น.  

 
ขอบคุณในไมตรีจิตครับ ถ้าได้พบปะกันก็คงเป็นการเพิ่มกำลังในการปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป ก็ดีเหมือนกับครับ ผมก็ยังเป็นผู้เริ่มต้นอยู่ กัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญครับ ขออนุโมทนาในจิตเมตตาด้วยครับ


โดย: ช.ช้าง IP: 202.28.124.35 วันที่: 13 มิถุนายน 2552 เวลา:8:46:59 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:19:44:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.