อย่างนี้คือเพ่งกายทั้งกายหรือเปล่าครับ
มีคำถามมาจากนักปฏิบัติท่านหนึ่ง ที่ผมเห็นว่า น่าสนใจ จึงขอนำมาแสดงความเห็นส่วนตัวของผมไว้ดังนี้
คำถามที่ 1. ... การที่รู้สึกถึงกายเคลื่อนไหวทั้งกาย แต่มันเหมือนมองมาจากบริเวณส่วนหัว นี่เป็นการเพ่งกายทั้งกายหรือปล่าวครับ
ความเห็นของผม...
การเห็น กาย หรือ เวทนา หรือ จิต ด้วยสติปัฏฐานแบบวิปัสสนายิก นั้น จะเป็นการเห็นด้วยการ .ไม่จงใจ .ที่จะเห็น แต่เป็นการ .เห็นได้เอง .ด้วยกำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
สำหรับการเห็นกายแบบวิปัสสนายานิกนั้น จะเห็นแบบแว๊บ ๆ ไม่ใช่เห็นได้ตลอด ผมขออธิบายคำว่า เห็นแบบแว๊บ ๆ ให้กระจ่างอีกหน่อย ก็คือ คำว่า เห็นแว๊บ ๆ นี้ คือ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง (อย่าลืมว่าต้องเป็นการเห็นที่เป็นไปเอง ไม่ใช่จงใจที่จะเห็นด้วย ) และการเห็นแต่ละช่วงอาจสั้นเป็นเสี้ยววินาที หรือ อาจนานเป็นนาทีก็ได้ แล้วแต่โอกาสในแต่ละขณะ
แต่ถ้าเป็นการจงใจที่จะเห็น นี่เป็นการเพ่งจ้องแน่นอนครับ
สรุปคำถามข้อนี้ก็คือ การปฏิบัติแบบวิปัสสนายานิก ถ้าจงใจทีจะเห็น ก็เป็นการเพ่งจ้อง ถ้าไม่จงใจ แต่เห็นได้เองแบบแว๊บ ๆ ก็ไม่ใช่การจ้อง การเห็นได้เองนั้น เกิดจากกำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ
หมายเหตุ ถ้าเป็นสมถยานิก ผู้ปฏิบัติต้องเพ่งครับ เพ่งให้มาก จนเกิดินิมิต แล้ว เล่นนิมิตนั้นโดยย่อ ขยาย นิมิตนั้น
คำถามที่ 2.... เป็นแบบเดียวกับที่จะทำให้เกิด จิตรู้ ในแบบที่เพ่งไว้ หรือป่าวคับ ถ้าใช่ ผมควรฝึกแบบนี้ดีไหมคับ (จำได้ว่าพี่ก็เคยมีจิตรู้แบบเป็นดวงๆ เพราะเพ่งมาก่อน)
ความเห็นส่วนตัว.... เรื่องนี้ ผมขอตอบตามที่ผมพบและปฏิบัติมาในอดีตก็แล้วกัน ซึ่งอาจเหมือน หรือ ไม่เหมือนนักปฏิบัติท่านอื่นก็ได้ ครับ
เมื่อผู้ปฏิบัติใหม่ ๆ แบบที่เรียกว่า ข้ามาคนเดียว ไร้ครูอาจารย์ใกล้ชิดแนะนำสั่งสอน ย่อมต้องลองผิดลองถูกเสมอในการปฏิบัติ เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจในการปฏิบัตินั่นเอง ผมเองก็อยู่ในสภาวะแบบนี้เช่นกัน ผมมองย้อนไปในอดีตที่ผ่านมาของผม ผมไม่เข้าใจเลยว่า อย่างไรคือเพ่ง อย่างไรคือไม่เพ่ง ดังนั้น ผมปฏิบัติ ก็จะมีทั้งเพ่งและไม่เพ่งครับ ลองไปลองมา ผิด ๆ ถูก ๆ ล้มลุกคลุกคลานไปเรื่อย ๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น วันหนึ่ง จิตรู้ มันก็หลุดออกมาจากอามรมณ์ได้เอง ถึงแม้จิตรู้ จะหลุดออกมาได้เองแล้ว ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เพ่ง ไม่เพ่ง ต่างกันอย่างไรในตอนนั้น
แต่ในตอนนี้ ผมมีความเห็นว่า ถ้าผุ้ปฏิบัติเดินได้ถูกต้องเลยว่า ไม่เพ่ง จะช่วยทำให้ จิตรู้ นั้นเกิดและแยกตัวออกได้เร็วกว่าการเพ่ง ยิ่งถ้าผู้ปฏิบัติเข้าใจดีว่า อย่างไรคือเพ่ง อย่างไรคือไม่เพ่ง การปฏิบัติก็จะยิ่งรุดหน้าไปได้เร็วมาก ๆ ด้วยครับ
ขอให้อ่านเรื่อง รูปฌาน ฉบัยชาวบ้านอ่านตามที่ผมเข้าใจ ใน blog ของผมเพิ่ม จะได้เห็นภาพของจิตรู้ ที่แยกออกจากอารมณ์นี่เป็นอย่างไร
คำถามที่ 3... ช่วงหลังๆ มานี่เวลารู้ว่ามีโทสะ แต่ที่ใจมันไม่ไหว เหมือนไม่โดนกระทบเลย นี่เป็นแบบเดียวกับการที่รู้แบบจิตมันแยกออกมารู้ หรือป่าวคับ
ความเห็นส่วนตัว... ถ้ารู้ว่ามีโทสะ นี่คือใจมันไหวแล้วครับ ถ้าใจไม่ไหว จิตใจจะต้องเฉย ๆ เป็นอุเบกขาครับ ถ้าผู้ปฏิบัติมี .จิตรู้. ที่แยกตัวออกจากอารมณ์ได้แล้ว และ จิตรู้ ตั้งมั่นพอ เมื่อโทสะ เกิด จิตรู้ จะเห็น โทสะ นี้ทันที เห็นได้จริง ๆ ครับด้วยจิตรู้ ถ้าโทสะ นี้แรกมากที่สามารถชนะ ความตั้งมั่นของจิตรู้ได้ จิตรู้ จะถูกมันดึงเข้าไปด้วย และ จิตรู้จะหายไป ส่วนโทสะนั้นจะคงอยุ่ ไม่หายไป ตอนนี้ ผู้ที่เกิดโทสะ ก็จะมีอาการแล้วครับ เช่นหน้าแดง มือสั่น ปากสั่น หัวใจเต็นแรง ด้วยความโกรธ เป็นต้น
แต่ถ้า จิตรู้ มีกำลังตั้งมั่น ที่มีกำลังมากกว่า โทสะ เมื่อ โทสะ เกิด จิตรู้ จะเห็น โทสะ นี้ แล้ว โทสะนี้ก้จะสลายไปเอง เพราะจิตรู้ ตั้งมั่นมากกว่า ตอนนี้ ผุ้ปฏิบัติ จะเห็นไตรลักษณ์จริง ๆ ของโทสะ ได้ เห้นมันเกิด เห็นมันแปรเปลี่ยน เห็นมันหยุด แสะสลายไป การเห็นด้วยจิตรู้แบบนี้ คือ เห็นด้วยวิปัสสนาแล้ว
ขอให้อ่านเรื่อง ชักกะเบ่อ ใน blog ของผมเพิ่มเติมครับ
Create Date : 18 สิงหาคม 2552 |
|
11 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 19:31:45 น. |
Counter : 1273 Pageviews. |
|
|
|
การสร้างเหตุ คือ การฝึกที่ถูกต้องของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนเกิดความตั้งมั่นดั้งมั่นอย่างแน่วแน่แล้ว
ผลของ สัมมาสมาธิ ที่ตั้งมั่นนี้ มันจะนำพาให้เกิด วิปัสสนาปัญญา ญาณปัญญา ตามมาเอง ซึ่งผู้ปฏิบัติไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่เกิด มันต้องเกิดแน่ ๆ ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามสติปัฏฐาน 4
จะเห็นว่า ใน blog ของผม ผมจะเน้นอบู่เสมอ ๆ ถึงการปฏิบัติที่ถูกต้อง ผมจะมีบอกไว้หลายแห่ง และมีตัวอย่างการฝึก กายานุปัสสนา ไว้ใน blog ด้วย ส่วนอย่างอื่น อันเป็นผล มันจะเกิดเอง ซึ่งเรื่องผลนี้ ผมจะเขียนถึงเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ผู้ฝึกฝน ได้รู้ว่า ถ้าเกิดผลอบ่างนี้แล้ว แสดงว่า ได้ก้าวหน้าขึ้นมาแล้ว ถ้าเกิดอบ่างนี้ แสดงว่า เดินผิดทางแล้ว
อุปมาเหมือน เราต้องการเดินทางไปเชียงใหม่ เราต้องรู้ว่าจะเดินทางไปทางไหน ถึงจะใกล้ ไปได้เร็วที่สุด แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา เดิน เดิน เดิน เข้าไป ก็จะถึงเชียงใหม่อีก
แต่ถ้าเราไม่รู้ทาง เดียวเดินไปทางนี้ เดียวไปทางโน้น ก็ได้ครับ แต่จะเสียเวลาไปเปล่า ๆ ทำให้ใช้เวลานานเกินไป กว่าจะถึงเชียงใหม่ ยิ่งถ้าเกิดการท้อใจว่า เดินอย่างไร ก็ไม่ถึงเชียงใหม่สักที เลยหยุดเดินไปเลย อย่างนี้ ก็น่าเสียดายครับ
อย่างไรเสีย ขอให้ผู้ที่ถามมา เน้นการฝึกฝนที่ถูกต้องด้วยครับ และ อย่าท้อถอย