กาหรือหงส์ ตอน ๓๒
กาหรือหงส์ ตอน ๓๒อิสราเดินสาละวนไปมารอบคุณอุ่นเรือนและมะยมด้วยสีหน้าท่าทางที่เริงร่ากว่าปกติทุกวัน ชักชวนคุยเรื่องนี้เรื่องโน้นไม่หยุด จนคุณอุ่นเรือนเริ่มเห็นว่าเกะกะและหมั่นไส้อิสราขึ้นมาบ้างแล้ว อดแซวไปไม่ได้ว่า“ หนุ่ม ๆ ออกไปรอที่โต๊ะอาหารจะได้มั้ยจ๊ะ อยู่แถวนี้รูสึกจะทำตัวเกะกะจังเลย ““ โธ่แม่ก็อย่าเพิ่งแซวกันเองสิครับ ผมอยากช่วยเพื่อนก็เท่านั้นเอง ใช่มั้ยครับมะยม ““ จ๊ะ ๆ “ ผู้ถูกพาดพิงก้มหน้าก้มตายัดไข่ใส่ไส้หมูเพื่อทำเป็นลูกรอก เมื่อเป็นระวิง เหมือนตั้งใจจะไม่ให้ได้ยินประโยคเมื่อสักครู่ จนคุณอุ่นเรือนต้องมายืนแทรกกลางระหว่างสองหนุ่มสาวที่คนหนึ่งเอาแต่จ้อง อีกคนหนึ่งก็เขินบิดไปมาจนตัวจะพันกันเป็นเกลียวอยู่รอมร่อแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาเพื่อได้ยินเสียงรถยนต์คุ้นหูดังเข้ามาให้ได้ยินถึงในห้องครัว ...” ลำยองไปดูสิว่าคุณวันวิสาขึ้นมาบนเรือนหรือยัง ““ เจ้าค่ะคุณผู้หญิง “ คุณอุ่นเรือนมองตามคนใช้สาววัยกะเต๊าะไปด้วยความรู้สึกสะดุดอารมณ์ที่สนุกสนานเมื่อครู่ไปเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลเกินกว่าเด็กสาวอยู่ข้าง ๆ จะสังเกตไม่ได้ ...“ แม่ว่าเราเร่งมือทำกับข้าวกันดีกว่า วันนี้ดูท่าบ้านเราจะมีแขกสำคัญมาบ้าน ““ ใครมากันครับแม่ “ อิสราเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ด้วยความไม่รู้จริง ๆ“ ไม่มีใครมาหรอกจ๊ะลูก แม่หมายถึงวันวิสากับแขกประจำของบ้านเรา ““ อ้อ ! งั้นเหรอครับ ... ลูกว่าเราหาอะไรกินที่ในครัวนี่ดีกว่ามั้ยครับแม่ ““ อุ๊ยไม่ได้หรอกจ๊ะอิส ทำอย่างนั้นน่าเกลียดตายเลย ท่านพ่อจะรอพวกเราเก้อนะสิ .. ยิ่งวันนี้แม่ไปเรียนท่านแล้วว่าจะทำแกงจืดลูกรอกที่ทรงโปรดมากที่สุดให้รับประทานด้วยแล้ว พวกเราต้องเข้าร่วมโต๊ะด้วยแน่นอน ““ อ้าวงั้นก็เซ็งเลยสิ ยิ่งคนไม่อยากจะเจอหน้าอยู่ด้วยร่วมโต๊ะ สงสัยงานนี้มีเฮอีกแน่ “ อิสราบ่นอุบคล้ายจะบอกผ่านไปยังสาวหน้าคมที่ยืนนิ่ง ๆ อยู่เงียบ ๆสาละวนตักน้ำแกงข้างเตาไฟ ส่วนคุณอุ่นเรือนส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ไม่อยากจะนึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าว่าจะออกมาในรูปแบบใด ...แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่คุณอุ่นเรือนกังวล เพราะเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารที่มีท่านชายปกรณ์เทวานั่งเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ พร้อมด้วยวันวิสา พลอยใส อิสรา มะยมและคุณอุ่นเรือน ดูสงบเรียบร้อยไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด กระทั่งทุกคนต่างแยกย้ายกันไปตามมุมของตนเองนั่นแหละถึงทำให้ผู้อาวุโสถอนหายใจอย่างโล่งใจไปอีกครั้ง .... วันวิสากับพลอยใสเดินขึ้นบันใดหินอ่อนที่วนเป็นเกลียวขึ้นไปสู่ชั้นบนด้วยอาการนิ่งเงียบจนน่าประหลาดใจ .... ตรงกันข้ามกับอิสราและมะยมที่พากันเดินเลี่ยงออกมาจากโต๊ะอาหาร แล้วตรงไปยังชิงช้าใต้ต้นพฤกษ์ใหญ่ทรงสร่างสูงด้วยจิตใจโล่งโปร่งสบาย ๆ เหมือนบรรยากาศที่สายลมพัดเอื่อยรายรอบด้วยกรุ่นกลิ่นมวลดอกไม้นานาชนิดที่แข่งขันประชันประโคมกันอย่างเต็มที่ในตอนนี้ ..“ เฮ้อ ! โล่งอกไปที นึกว่าจะมีการของขึ้นที่โต๊ะอาหารซะแล้ว น่ากลัวจริง ๆ..”“ ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีกแน่นอน ... ยิ่งตอนที่วันวิสากับพลอยเดินเข้ามาที่โต๊ะด้วยสีหน้าทะมึนตึงขนาดนั้น ดูแล้วงานนี้มีแต่พังกับพัง แต่ก็ผิดคาดแหะ ... แม่เสือไม่ยักกะออกฤทธิ์”“ นั่นสิผมก็ยังคาดไม่ถึงว่าสองคนนั่นจะมาในมาดนิ่งสงบความเคลื่อนไหวขนาดนี้ ดูไม่ชอบมาพากลอย่างไงพิลึก สงสัยกำลังเตรียมการณ์ทำงานใหญ่อะไรสักอย่าง” คนร่างสูงออกความเห็นพร้อมขยับกระเถิบเข้าไปนั่งข้างสาวหน้าคมที่ทำท่ากระเถิบหนีด้วยความเขินอายตามกิริยาหญิงที่ควรจะเป็น ...“ คิดดีดีไว้ก่อนดีกว่านะอิส เค้าอาจจะมีเจตนาดีจริง ๆ ก็เป็นได้..”“ ผมอยากจะให้พวกเขาคิดได้อย่างที่มะยมคิดจัง ทุกอย่างมันคงไม่ยุ่งยากเหมือนทุกวันนี้..”“ เอาน่าอย่าคิดอะไรไปไกลเลย เอาเป็นว่าตอนนี้นายลงไปไกวชิงช้าให้ฉันนั่งดีกว่านะอิส เอาแรงๆเลย” คนร่างสูงกระโดดลงไปอย่างเสียดาย ก่อนจะกลับมายิ้มร่าเหมือนเดิม แล้วเอ่ยแซวออกไปว่า ... “ แน่ใจว่าให้ผลักแรง ๆ งั้นไม่เกรงใจแล้วมะยม..”อิสราออกแรงไกวชิงช้าไปข้างหน้าข้างหลังด้วยจิตใจที่เบิกบานอย่างเต็มที่ จนแทบจะหยุดภาพและวันเวลาวัน ณ ตอนนี้เอาไว้ที่ตรงนี้ เวลานี้ “ โอ๊ย ๆ อิสรา ... หยุดได้แล้ว นายไกวแรงเกินไปฉันกำลังจะตกอยู่แล้ว..”“ ฮ่ะ ๆ ๆ ๆ อ้าวยังไงกันแน่ครับ จะให้ไกวช้าหรือเบากันแน่ ”“ ไม่ใช่อย่างงี้ นายขี้โกง แกล้งฉันอยู่นี่นา..”“ ผมเปล่าแกล้งคุณนะ” อิสรายิ้มร่าแล้วดึงเชือกชิงช้าใต้ร่มไม้ให้หยุดนิ่งก่อนจะเปลี่ยนให้ตัวเองขึ้นไปนั่งข้าง ๆ สาวหน้าคมอีกครั้งคราวนี้ใกล้กว่าครั้งแรกอีก มะยมจะขยับไปไหนก็ไม่ได้ ได้แต่ไกวชิงช้าให้แรงไปข้างหน้าแก้เขินไปเท่านั้น อิสรารู้สึกดีใจที่ได้เฝ้ามองผู้หญิงอันเป็นที่รักที่ตอนนี้เริ่มเป็นส่วนหนึ่งของบ้านแล้ว...มะยมก็ดูเหมือนจะผ่อนคลาย ไม่เกร็งเหมือนตอนมาที่นี่ครั้งแรก ๆ และเริ่มรู้สึกดี เข้าใจคนตัวสูงที่นั่งข้าง ๆ มากยิ่งขึ้น ...ขณะที่ทั้งสองกำลังสนุกสนานกันอยู่ใต้ร่มพฤกษ์อันสูงใหญ่ แผ่กระจายและร่มรื่นด้วยความเป็นกันเอง ชื่นมื่นใจเหมือนโลกทั้งโลกมีเพียงคนเพียงคน อยู่ตรงนั่น บนตึกใหญ่สีขาวกลับมีสายตาอย่างน้อยสองคู่จ้องมองลงมายังที่นี่ด้วยความรู้สึกแปลกแตกต่าง และปะปนไปตามความคิดแต่ละคน ...“ เธอทนดูเฉย ๆ อย่างงี้ได้ยังไงวิสา นั่นคู่หมั้นเธอนะ..”“ ฉันเห็นแล้วพลอย หยุดพล่ามหน่อยจะได้มั้ย..” คนพูดตวาดกลับไปคล้ายกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด“ แต่ตอนนี้เราต้องทำอะไรซักอย่างแล้วไม่งั้น..... ” พลอยใสใส่อารมณ์ทั้งกิริยาและน้ำเสียงจนดูเหมือนว่าเป็นเจ้าทุกข์ในภาพที่กำลังเห็นข้างหน้าเสียเอง จนสาวหน้าคมเฉี่ยวสมัยไหม่รู้สึกฉุนกึก แล้วหันกลับมาทันทีก่อนจะตวาดกลับไปว่า.... “ ดูท่าเธอจะเป็นห่วงอิสราเกินไปแล้วนะพลอย ทั้งที่ความจริง คนที่เธอต้องเป็นห่วงน่าจะเป็นแม่น้องสาวเธอมากกว่า เพราะอีกสักประเดี๋ยวถ้าฉันทนไม่ได้ขึ้นมา อาจจะลงมือลงมือก็ได้..”“ เชอะใครสนกัน ... ฉันไม่นับมันเป็นญาติมาตั้งนานแล้ว เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะวิสา”“ งั้นดีแล้ว ถ้าฉันจะลงมือเธออย่ามาห้ามก็แล้วกัน ตอนนี้เรามันเงียบ ๆ อย่างงี้ไปก่อน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ฉันจะลุยด้วยตัวของฉันเอง..”“ ให้มันจริงเหอะ ฉันก็อยากเห็นภาพมันโดนยำอยู่เหมือนกัน คงสนุกดีพิลึกนะ..”“ ฉันรู้สึกว่าเธอจะเกลียดยายนั่นจริง ๆ เลยนะพลอย ... เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทำไมถึงได้เกลียดกันมากมายขนาดนี้ น่าแปลกประหลาดใจซะจริง ๆ” วันวิสาโพล่งคำถามขึ้นมากวนใจพลอยใสที่ยิ้มเยาะคล้ายกำชัยเหนือทุกคน ก่อนจะมาสะดุดตรงคำถาม ๆ นี้ “ เรื่องมันยาว เอาไว้ฉันจะเล่าให้ฟังในวันหลัง ฉันว่าตอนนี้เธอทำอะไรสองคนนั่นไม่ได้แล้วล่ะ” “ อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ ...เพราะเธอนั่นแหละพลอย ชวนฉันคุยอยู่ได้ เป็นไงล่ะสองคนนั่นเลยหายไปจู๋จี๋กันที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ฮึ ! อย่างนี้เธอต้องรับผิดชอบ” “ ไหงมาโทษกันอย่างนี้ล่ะวิสา ไม่ได้ดังใจแล้วเป็นอย่างงี้ทุกทีเลย”“ เธอมันคนละชั้นกับฉัน อย่าสะเอาะมาตีสนิทเชียวนะพลอย แค่ฉันไปไหนมาไหนกับเธอทุกวันนี้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติกับตัวเธอมากแค่ไหนแล้ว... จำกำพืดเดิมของตัวเองไว้ให้ดี อย่าลืมสัญชาติไพร่เสียล่ะ”พลอยใสรู้สึกถึงพายุที่เริ่มก่อตัวเป็นเฆมดำก้อนใหญ่เตรียมถล่มทุกสิ่งทุกอย่างข้างหน้าได้ในทันทีถ้าไม่ใช่สติเข้าข่มเพราะวาจาที่เชือดเฉือน บาดลึกเข้าไปถึงในหัวใจของเด็กสาวที่หยิ่งทะนงข้างหน้า ... แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้เพราะติดที่คำว่า “ ชนชั้นสูง..” กับ “ ไพร่ชนชั้นต่ำ”ทำได้แค่เพียงอดทนรอคอยลอบกัดนังผู้ดีปัญญาอ่อนที่ดีแต่ขู่ฟ่ออยู่ตรงหน้าตอนนี้ในโอกาสจะอำนวยได้ในภายหลัง ถึงตอนนั้นแหละใครจะเป็นคนไปยืนบนแท่นผู้ชนะอย่างถาวร ถ้าไม่ใช่คนอย่างพลอยใสคนนี้...นับตั้งแต่วันแรกที่วันวิสาเดินเข้ามาเหยียบโรงเรียนมัธยมท่าวังหิน จนมาเจอเพื่อนคู่หูอย่างพลอยใส ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็วด้วยอุปนิสัยที่คล้าย ๆ กัน คือเป็นคนขี้ใจน้อยและใจร้อนเป็นอันดับหนึ่ง ...สาวหนึ่งเป็นสาวตระกูลสูงศักดิ์ เงินทอง ทรัพย์ศฤงคารมากมายล้นฟ้า คาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด อยากได้สิ่งใดในชีวิตก็จะมีคนจัดหาให้ในทันที มีหม่อมแม่ หม่อมยาย หม่อมยายตามใจจนรวมตัวมาเป็นวันวิสาผู้สูงส่งในทุกวันนี้ ... ส่วนอีกสาวหนึ่งเป็นเพียงแค่ลูกครูใหญ่จน ๆ ตะเกียกตะกายดิ้นรนเลี้ยงลูกสาวสองคนด้วยความลำบากแทบเลือดตากระเด็นมาตลอดชีวิต ดำรงตนด้วยความลำบากลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอดตั้งแต่ยังเล็ก อยากได้อะไรไม่เคยได้ถ้าไม่เอาเหงื่อแลกให้ได้มา ชีวิตทั้งหมดมีเป้าหมายไว้เพียงอย่างเดียวว่าจะต้องถีบตัวเองให้พ้นขุมนรกแห่งความจนในวันนี้ให้ได้เร็วที่สุด .... ฉะนั้นการคบหากับวันวิสาในวันนี้ ก็เท่ากับเป็นการกุยทางลัดไปสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเป้าหมายที่ชื่อ “ อิสรา ” แต่ทว่าหนทางก็ไม่ได้โรยด้วยพรมแดงดอกกุหลาบเสียเมื่อไหร่ เพราะมีก้างขว้างคออยู่สองคนนั่นก็คือ “ นังวิสาหน้าโง่กับอีมะยม น้องทรยศ ” งานนี้ถ้าจะทำให้สำเร็จอย่างขาวสะอาดแท้จริง จะต้องกำจัดนังสองคนนี้ไปในเร็ววัน จะช้าอยู่ไม่ได้เลยนี่คือสิ่งที่เด็กสาวคิดไว้อย่างนั้น .... “ อย่าเลยวันวิสาปล่อยไปเถอะ ... ป่านนี้คงแยกย้ายกันกลับแล้วมั้ง”“ น่าเสียดายจริง ไม่งั้นฉันลุยตบไปเสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เพราะเธอคนเดียวนี่แหละมาห้ามชั้นไว้ ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ..”“ ฉันว่าเราไปอ่านหนังสือต่อที่ห้องเธอดีกว่านะ เรื่องนี้ค่อยไว่จัดการทีหลัง มันคงไม่สายเกินไป..”“ ก็ได้ วันนี้ถือว่านังบ้านนอกคนนี้มันโชคดีที่มีพี่สาวแสนดีอย่างเธอ ไปเราไปกันดีกว่า..” วันวิสามิวายที่จะกระแนะกระแหนพลอยใสเรื่องมะยม ก่อนจะหันตัวกลับเข้ายังเฉลียงบ้านในทันที ...ส่วนมะยมกับอิสราหลังจากหยอกเย้ากันตามประสาหนุ่มสาววัยใสกันพอหอมปากหอมคอเรียบร้อยแล้ว็ค่อย ๆ เดินผ่านเรือนเพาะชำและแปลงปลูกไม้สุดหวงของท่านชาย ชี้ชวนชมมวลดอกไม้นานาพรรณ ก่อนจะขึ้นตึกเพื่อลาประมุขของบ้านที่ตอนนี้กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มโตที่ห้องหนังสือเงียบ ๆ อย่างสงบเช่นเคย ...ท่านชายปกรณ์เทวาเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ เหลือบตามอง คนสองคนที่ค่อย ๆ เดินมาอย่างเบาเสียงก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ด้านตรงกันข้ามพร้อมกับเอื้อนเอ่ยประโยคออกมาอย่างสุภาพ ..“ ท่านพ่อ.... มะยมจะกลับแล้ว ลูกเลยพามาลาครับ..”“ เป็นไงบ้างมะยมวันนี้ทานข้าวอิ่มดีหรือเปล่า ลุงขอโทษที่ไม่ได้พาเดินเที่ยวรอบวัง แต่อิสคงพาเราเดินไปทั่วหมดแล้วล่ะสิ วันหลังก็มาเที่ยวที่นี่อีกนะ ไม่ต้องเกรงใจอะไรถือว่าเป็นบ้านของมะยมเองก็แล้วกัน.”“ กราบขอบพระคุณคุณลุงมากค่ะ งั้นหนูไม่รบกวนเวลาอ่านหนังสือของคุณลุงแล้ว” มะยมก้มกราบผู้อาวุโสที่ตอนนี้กำลังเพ่งมองมายังตนเองอย่างพินิจพิเคราะห์แท้จริง จนต้องหลบฉากเดินเลี่ยงออกมาทันทีที่มีจังหวะ ก่อนจะเดินทอดน่องชมภาพเขียนสีน้ำมันที่ใส่กรอบทองไว้ได้องค์ประกอบลงตัวที่สุด โดยปล่อยให้อิสราสนทนากับผู้เป็นบิดาสักครู่ ก่อนจะมาสมทบแล้วเดินลงบันใดวนลงไปขึ้นรถสปอร์ตสีดำหรูที่สยามสตาร์ทเครื่องไว้รออยู่แล้ว ...“ ขับไปส่งมะยมที่บ้านเลยนะหยาม อย่าเพิ่งแวะไปที่ไหน..”“ จะรีบไปรีบกลับครับคุณชาย ไม่ต้องห่วง..”“ มะยมพรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะ เราจะต้องไปหาข้อมูลเรื่องงานแข่งเรือกันอีก อย่าลืมล่ะ..”“ จำได้แล้วอิสรา พรุ่งนี้เจอกัน..” พอก้าวขาขึ้นบันได้บ้าน มะยมได้ยินเสียงทุ้มคุ้นเคยดังมาจากใต้ถุนบ้าน เป็นครูพลนั่นเอง ที่ตอนนี้กำลังถือตะเกียงเจ้าพายุก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ใต้เล้าไก่ที่ทำขึ้นมาหยาบ ๆ .. “ เพิ่งกลับมาถึงหรือลูก พ่อกำลังดูเจ้าไก่อูมันกำลังจะออกลูก สงสัยจะกลัวใครมาขโมยลูกมันเหมือนคราวก่อน ส่งเสียงร้องดังลั่นบ้านตั้งแต่หัวค่ำ พ่อเลยลงมาดูมันซะหน่อย นี่ก็เพิ่งจะเงียบเสียงไปเมื่อกี้นี่เอง..”“ เจ้าไก่อูสีแดงคู่กับเจ้าไก่โต้งสีแดงขาวนั่นหรือจ๊ะพ่อ... มันมีลูกได้ไงกัน เมื่อวานหนูเพิ่งเห็นพวกมันป้อกันไปมาอยู่เลย”“ ไอ้สองตัวนั่นแหละ มันสำคัญนักเชียว ฉลาดก็เป็นที่หนึ่งดื้อก็เป็นที่หนึ่ง พ่อยกให้เป็นไก่คู่โปรด นอกจากเจ้าเหลืองหางขาวอีกตัว..” ครูพลเอ่ยถึงเจ้าไก่ชนตัวเก่งที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ แต่ไม่เคยจะให้มันลงสังเวียนแข่งขันกับใครที่ไหน ทั้ง ๆ มีคนมาติดต่อจนขี้เกียจจะปฏิเสธแล้ว ครูอาวุโสยังคงใจแข็งอยู่เช่นเดิม มีเพียงเหตุผลเดียวที่ว่าสงสารมันและไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยงมันเป็นไก่ชนเพื่อประชันขันแข่งกับใคร“ แหมไวไฟกันจริงเชียวนะไก่พวกนี้ แล้ว่ะอจะเฝ้ามันกกไข่อย่างงี้ทั้งคืนเลยเหรอจ๊ะ..”“ ไม่หรอกลูก สักประเดี๋ยวรอมันเงียบเสียงแล้ว พ่อก็จะขึ้นเรือนเลย ว่าแต่ว่าทำไมเรากลับมาบ้านคนเดียวล่ะลูก พลอยใสทำไมไม่มาด้วยไหนมาขอไปที่ฟ้าเมฆากับลูกนี่นา.” ครูพลเอ่ยถามด้วยความสงสัย... มะยมจึงตอบไปว่า “ หนูก็ไม่ทราบว่าเค้าจะกลับมาตอนไหนจ๊ะพ่อ หลังจากทานข้าวที่โต๊ะอาหาร เขาก็แยกตัวไปกับเพื่อนของเขาเลย “ “ อ้าวเป็นซะยังงั้นไปลูกสองคนนี่ มันอะไรกันนักหนา ไม่ยอมลงให้กันเลย..”“ พ่อจ๋าหนูขึ้นบ้านก่อนนะ จะไปอาบน้ำแล้วอ่านหนังสือนอน แต่พ่อคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว รถไร่ฟ้าเมฆากำลังจะเข้ามาจอดบ้านเราแล้ว หนูไปล่ะ..”“ เดี๋ยวก่อนสิมะยม..” ครูพลร้องเรียกลูกสาวคนเล็กได้แค่นั้น เมื่อร่างสูงเพรียวบอบบางหายขึ้นไปบนบ้านแล้ว จนพออีกอึดใจสาวหน้าสวยตาคมซึ้งก็เดินมาถึงพร้อมกับคำเอ่ยทักที่ทั้งห้วนและแห้งแล้งสิ้นดีว่า ...“ มาถึงบ้านแล้วนะพ่อ หนูไปล่ะ..”“ ประเดี๋ยวสิพลอย พ่อถามอะไรหน่อยสักนาทีจะได้มั้ย” ครูพลตะโกนกลับมาทันที เมื่อเห็นว่าสาวน้อยหน้าคมกำลังจะผละจากไปในทันทีที่พูดจบประโยค “ มีอะไรกับหนูนักหนาเหรอพ่อ เร็ว ๆ หน่อยนะหนูจะรีบเข้านอน พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้าอีก..” พลอยใสพูดห้วน ๆ สะบัดน้ำเสียงรำคาญผู้เป็นพ่อเต็มที่ ...“ พ่ออยากถามว่าเป็นยังไงบ้างวันนี้ ไปเที่ยวไร่ฟ้าเมฆาสนุกมั้ย”“ สนุกกะผีอะไรเล่าพ่อ เซ็งตายห่า ..หนูเกลียดคนบางคนที่ชอบตีสองหน้าซะจริง ๆ ชอบทำตัวไร้เดียงสาอยู่ได้ น่ารำคาญและน่าอับอายชะมัด..” ถึงพลอยใสไม่เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร ครูพลก็พอจะเดาได้ว่าเหตุการณ์ที่สองพี่น้องไปรัปทานอาหารที่ไร่ฟ้าเมฆา คงไม่ราบรื่นอย่างที่ตนเองคิดหวังเอาไว้แต่อย่างใด จึงได้ตัดบทโบกมือให้ลูกสาวคนโตรีบขึ้นบ้านไปตามที่ต้องการในแต่แรก ..พลอยใสรับรู้อารมณ์ไม่พอใจของครูพล จึงสะบัดหน้าพร้อมกระทืบเท้าขึ้นบ้านไปในทันที ...ครูพลถอนหายใจอย่างหนักอีกครั้งก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปด้วยใจเศร้าหมอง นึกคิดถึงแต่การะเกด เมียรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วสะท้อนใจที่ตนเองไม่สามารถเลี้ยงดูลูกสาวให้ได้ดีกว่าหรือดีเท่าเมียรัก .. ------------------------------------------ชุมชนพึ่งตนเองบ้านท่าข้าม เป็นชุมชนเล็กที่มีประชากรอาศัยอยู่ไม่มากไม่น้อยประมาณสองร้อยกว่าหลังคาเรือน อาชีพทำการประมงน้ำจืดริมน้ำน่านเป็นอาชีพหลักที่สืบทอดกันมานานครั้งบรรพบุรุษ คนหนุ่มสาวชายหญิงจะมีอาชีพเสริมอีกอย่างคือปลูกผักริมน้ำ เพื่อส่งตลาดกลางในตัวจังหวัด สภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ยังคงกลิ่นอายชนบทอันงดงาม ยากจะหักใจลืมหากมาได้สัมผัสด้วยตัวเองเหมือนเช่นอิสรากับมะยมที่กำลังยืนอยู่ริมสายน้ำที่ใสเหมือนแก้ว ไหลระริกผ่านแก่งโขดหิน ซ่านซ่ากระโจนทะยาน แสนบริสุทธิ์ไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ... สองหนุ่มสาวสูดอากาศยามเย็น กลิ่นโคลนสาปควายผสมกลิ่นฟางข้าว กลิ่นหญ้าเกี่ยวใหม่ กลิ่นปลักโคลนที่มีควายตัวสีดำเมี่ยมนอนแช่กายสบายอุรา แรกเข้ามาเป็นระยะ ๆ จนแทบจะหลับตานึกได้เลยว่านี่แหละคือ สวรรค์บ้านนาที่แท้จริง มะยมเหลียวซ้ายแลขวามองหาผู้อาวุโสสงสุดแห่งบ้านท่าข้าม นั่นก็คือ ปู่คำตัน ที่ลูกสาวบอกว่าปู่เดินออกมาทุ่งนาและจะลงเล่นน้ำที่ริมน้ำน่าเป็นประจำทุกวัน ....ทั้งสองสะดุ้งสะดุดความคิดชื่นชมสภาพรอบ ๆ ตัว เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกจากลำน้ำ ...“ นังหนูกับไอ้หนุ่มตามหาปู่อยู่หรือเปล่า..” ทั้งสองหันขวับไปตามเสียงแหบทุ้มกังวารแผ่ว ๆ แว่วมาตามสายลม ก็เห็นว่ามีร่างของชายชราอายุน่าจะประมาณแปดสิบปีขึ้นไปกำลังเล่นน้ำอยู่ข้างกอไม้พุ่มเล็ก ๆ ด้วยสีหน้าที่สดชื่นร่าเริงจนเกินบรรยายได้“ คะ ครับคุณปู่ ...พวกเรามาตามหาปู่ที่นี่ เห็นคุณป้าลูกสาวปู่บอกว่าปู่จะมาเล่นน้ำน่านตอนเย็นแบบนี้” “ หนูเป็นลูกสาวครูพลที่พ่อเคยมาหาปู่ตอนวันเสาร์อาทิตย์อยู่บ่อย ๆ ไงคะ ส่วนคนนี้เป็นคุณชาย เอ๊ย เป็นลูกชายเจ้าขจองไร่องุ่นทางฟากเขาโน้นไงค่ะปู่ ..” มะยมอธิบายเสริมไปด้วยกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก “ อ้อ ! ลูกสาวไอ้พลน่ะเอง พ่อเอ็งมาหาข้าเมื่อวานเย็นแล้วมาบอกว่าเอ็งทั้งสองอยากจะได้ข้อมูลดิบเกี่ยวกับประเพณีการแข่งเรือโบราณของที่นี่และจังหวัดแห่งนี้ ข้าก็บอกไปว่าให้มันมาหาข้าได้ทุกเวลา ..” “ หนูเลยมาหาปู่กับอิสราที่นี่ไงล่ะคะ ปู่จ๋าเรือเล็กที่ปู๋ไปมาคุ้งน้ำน่นเหนือกับคุ้งที่นี่อยู่ที่ไหนจ๊ะ หนูอยากเห็นจัง มันลำใหญ่มากหรือเปล่าจ๊ะ ” “ ฮ่ะ ๆ ๆ นังมะยมเอ๊ย เอ็มันลูกบ้านป่าบ้านายังไงไม่รู้จักเรือเล็ก เสียชื่อโหมดเลย ... มะมาตามปู่มาทางนี้เดี๋ยวจะพาข้ามไปฝั่งบ้านกะโน้น ..” ปู่คำตันพาคนทั้งสองลัดเลาะตามริมฝั่งน้ำน่านที่ดารดาษไปด้วยแปลงปลูกผักชนิดต่าง ๆ ไปตามเส้นเลือดใหญ่ของชาวท่าวังหินที่มีประวัติอันสืบทอดมายาวนานหลายชั่วอายุคน ...------------------------------------------กาหรือหงส์ กำลังสนุก ติดตามตอนใหม่ในวันมะรืนนะครับ ขอบพระคุณมากที่ติดตามกันมา .. ขอบคุณอีกครั้งครับผม ..นายอิส /เมฆชรา๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ เวลา ๑๐โมงกว่า ..