.
การศึกษาใหม่จากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ พบว่า ภาวะโลกร้อนและฟ้าฝนแปรปรวน โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น (ร้อนขึ้น), หรือความชื้นในอากาศสูงขึ้นทำให้โรคหลายอย่างกำเริบ จนต้องไปตรวจที่ห้องฉุกเฉินบ่อยขึ้น
.
เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน สโตรค (stroke = กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต), โรคไต ความดันเลือดต่ำจนมีอาการเวียนหัว-เป็นลม ฯลฯ
.
ข่าวดีนิดหน่อย คือ อากาศร้อนชื้นมีส่วนทำให้ความดันเลือดสูงลดลง โรคหลอดเลือดแดงโป่งพองแตก (มักจะแตกตอนความดันเลือดเพิ่ม หรือมีแรงกด) ลดลง
.
กลไกที่อาจเป็นไปได้ คือ อากาศร้อนชื้นทำให้คนเราหลั่งเหงื่อมากขึ้น เสียน้ำ-เกลือมากขึ้น ทำให้ความดันเลือดสูงต่ำลง
.
เป็นที่ทราบกันดีว่า คลื่นความร้อน(อากาศร้อนชื้น)ทำให้คนป่วย หรือตายได้ โดยเฉพาะคนสูงอายุ เด็กเล็ก หรือคนที่ออกกำลัง-ทำงานหนักกลางแดด
.
การศึกษาหนึ่งประมาณการณ์ว่า สหรัฐฯ จะมีคนตายจากภาวะโลกร้อน-คลื่นความร้อนสะสมจากช่วงนี้ (2555) จนถึงปี 2100/2643 ประมาณ 150,000 คน (ใน 88 ปี)
อ.รูปา บาซู (รูปา = รูป; ชุดชั้นในทำในกัลกัตตา อินเดียยี่ห้อหนึ่งชื่อ "รูปา" เช่นกัน), นักระบาดวิทยา และคณะ ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างคนไข้ที่ไปห้องฉุกเฉิน (emergency room / ER) 1.2 ล้านครั้ง (visits)
ผลการศึกษาพบว่า ทุกๆ 10F (องศาฟาเรนไฮต์) ที่เพิ่มขึ้น = 5.6C (องศาเซลเซียส), ผู้คนจะป่วยหนักจนต้องไป ER หรือห้องฉุกเฉินเพิ่มมากขึ้นดังนี้
- โรคหัวใจ > 1.7%
- เบาหวาน > 4.3%
- ความดันเลือดต่ำ เวียนหัว หน้ามืด เป็นลม > 12.7%
- ลมแดด (heat stroke) > 400% = 4 เท่า
- ขาดน้ำ (dehydration) > 25%
กลไกที่เป็นไปได้ คือ เมื่ออากาศร้อนขึ้น... ร่างกายจะต้องหาทางระบายความร้อน โดยการหลั่งเหงื่อออกมามากขึ้น เพิ่มเสี่ยงภาวะขาดน้ำ
.
ภาวะขาดน้ำทำให้เลือดของคนเรามีสัดส่วนน้ำน้อยลง-เนื้อ(เม็ดเลือด)มากขึ้น หรือ "(มีความเข้ม)ข้นขึ้น"
.
.
เปรียบคล้ายซุปหรือน้ำแกงที่ข้นขึ้นหลังเคี่ยวไฟไปนานๆ หรืออุ่นหลายครั้ง... จะมีน้ำน้อยลง เนื้อซุปหรือเนื้อแกงมากขึ้น ทำให้มีความหนืด (viscosity) มากขึ้น
.
เลือดที่ข้นขึ้นหนืดขึ้นจะไหลเวียนได้ช้าลง มีโอกาสเกิดลิ่มเลือด (clot) มากขึ้น
.
หัวใจเองก็ต้องบีบตัวแรงขึ้น ทำงานหนักขึ้น เนื่องจากการบีบเลือดที่ข้นหนืด ทำได้ยากกว่าเลือดปกติ
.
ธรรมชาติของข่าวร้ายอย่างหนึ่ง คือ มักจะมาคู่กับข่าวดี (ถ้าเจ้าของข่าวร้ายทนไหว ไม่ตาย อึดพอ ไม่ท้อถอย และยืนหยัดได้นานพอ...)
.
ข่าวดีที่ว่า คือ อากาศที่ร้อนขึ้น (ทุกๆ 10F/5.6C) จะพบคนป่วยที่ไปห้องฉุกเฉินหรือ ER น้อยลงดังนี้
- ความดันเลือดสูง > 10%
- หลอดเลือดสมองแตก > 8.4%
- หลอดเลือดแดงโป่งพอง (aneurysm) แตก > 13.6%
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ เมื่ออากาศร้อนขึ้น หลอดเลือดใต้ผิวหนังจะขยายตัว เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงส่วนนอกมากขึ้น คายความร้อนได้ดีขึ้น, และหลั่งเหงื่อมากขึ้น เสียน้ำ-เกลือมากขึ้น
.
เวลาอากาศร้อนขึ้น, คนฮิสแปนิคป่วยหนักจนต้องไป ER บ่อยกว่าคนผิวขาวหรือฝรั่ง (whites)
.
คนฮิสแปนิค (hispanics; ศัพท์เดิม = สเปน) = คนจากเม็กซิโก,อเมริกากลาง-ใต้; ส่วนใหญ่มีเชื้อสายผสมระหว่างคนที่อพยพจากยุโรปใต้ อินเดียนแดงเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผิวเหลืองเล็กน้อย รูปร่างไม่สูงมากแบบฝรั่งแท้ที่ส่วนใหญ่อพยพจากยุโรปกลาง-เหนือ
.
เม็กซิโก อเมริกากลาง-ใต้ ส่วนใหญ่เป็นอดีตเมืองขึ้นสเปน ยกเว้นบราซิลเป็นอดีตเมืองขึ้นโปรตุเกส
.
ช่วงนี้เศรษฐกิจยุโรปตกต่ำ... ชาวบราซิลท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ CNN ไว้น่าคิด คือ
.
แต่ก่อนชาวบราซิล(บางคน)ไปขายนาผืนน้อยที่โปรตุเกส... เดี๋ยวนี้พวกเขา(บางคน)บินกลับมาขายตัวบ้านเรา(บราซิล)
.
.
เศรษฐกิจตกต่ำทำให้คนยุโรปใต้จำนวนมาก downgrade (ดาวน์เกรด = ลดระดับ ลดชั้น) ตัวเอง เช่น จบปริญญาหางานทำไม่ได้ ต้องไปหางานนอกประเทศแบบไม่เกี่ยงงาน เพื่อความอยู่รอด ฯลฯ
.
การศึกษานี้พบว่า คนฮิสแปนิคป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหัวใจ ไตวาย ท้องเสียจากโรคติดเชื้อมากกว่าฝรั่งผิวขาว (whites)
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ คนฮิสแปนิคมีโอกาสทางการศึกษาต่ำกว่า ทำงานใช้แรงงาน ทำงานกลางแจ้งมากกว่า และมีประกันสุขภาพน้อยกว่าฝรั่ง (สหรัฐฯ ไม่มีระบบประกันสุขภาพ 30 บาทแบบไทย)
.
เชื่อกันว่า อินเดียนแดงอพยพข้ามช่องแคบในยุคที่โลกมีน้ำแข็งมาก... จากเอเชียไปอเมริกา ทำให้โครงสร้างเล็กกว่า และเป็นโรคเรื้อรังหลายอย่าง เช่น อ้วนลงพุง เบาหวาน ฯลฯ ง่ายกว่าฝรั่ง
.
ธรรมชาติของคนเอเชียที่อายุยืนอย่างมีสุขภาพดี... ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ไม่อยู่นิ่งนาน ใช้แรงทำงาน หรือไม่ก็ "กินแต่น้อย"
.
แพทย์แผนจีนแนะนำให้นอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้า... แล้วให้บ้วนปาก ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว ออกไปกลางแจ้ง เพื่อรับพลังหยางจากแดดอ่อนๆ ตอนเช้า เช่น เดิน-วิ่งออกกำลัง รำมวยจีน ไทชิ ฯลฯ
.
.
การฝึกนิสัยไม่นั่งนานเกิน 1-1.5 ชั่วโมง/ครั้ง, พกขวดน้ำเล็กๆ ติดตัว (ขวดนมสีขาวขุ่นใช้ใส่น้ำได้ปลอดภัยกว่าขวดพลาสติกใส), ดื่มน้ำสัก 2-3 คำทุก 1/2-1 ชั่วโมง ช่วยป้องกันโรคที่มากับภาวะโลกร้อนได้ดีเช่นกัน
.
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ .
> [ Twitter ]
- Thank Reuters > SOURCE: bit.ly/VAzI57>Epidemiology, online September 21, 2012.
- นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ รพ.ห้างฉัตร ลำปาง. 6 ตุลาคม 55. ยินดีให้ท่านนำบทความไปใช้ได้ โดยอ้างที่มา และไม่จำเป็นต้องขออนุญาต... ขอบคุณครับ > CC: BY-NC-ND.
- ข้อมูล ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค; ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูง จำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้.