วิธีที่ดีกว่า คือ ทำตัวเราให้ดีในขอบเขตที่เราทำได้ ไม่จำเป็นต้องดีเลิศ สมบูรณ์แบบ หรือดีแบบที่คนอื่นคาดหวัง, ทำได้เท่าไรก็ขอให้มีความสุขในสไตล์ของ "ความเป็นเรา" ให้ได้
(2). ดู TV ให้น้อยลง
TV เป็นอะไรที่ "น้อยไว้ละดี" คือ ถ้าดูหรือชมไม่มากนักจะทำให้เราทันสมัย ทันโลก, แต่ถ้ามากไป อาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อของ "มืออาชีพ" ที่โฆษณา หรือกระตุ้นให้เรามีความ "อยาก" จนกลายเป็นโรค "ไม่รู้จักพอ"
.
วิธีหนึ่งที่จะช่วยทดสอบว่า เราติด TV มากเท่าไร คือ ลองจัดให้มีเวลา 1/2-1 วันในรอบสัปดาห์ที่เป็นช่วง 'free (from) TV' หรือไม่ดู TV, ทำแบบนี้ทุกสัปดาห์จะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
.
(3). อ่านอะไรดีๆ
.
ลองอ่านนิตยสารที่เป็นรูปเล่ม เช่น แนชนัล จีโอกราฟฟิค (National Geographic) ฯลฯ, อ่านหนังสือ 2-3 เล่ม/เดือน, หรืออ่านบล็อกดีๆ เป็นประจำ จะช่วยให้เรามีมุมมองในเรื่องชีวิตมากขึ้น และที่สำคัญ คือ จะทำให้เรามีความสุขจากการเข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย
.
(4). ไม่พูดกระทบคนอื่น
.
การสำรวมวาจา ไม่พูดกระทบคนอื่นต่อหน้า ไม่นินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง และไม่เหยียบย่ำความรู้สึกของคนอื่น เป็นเรื่องของการยกจิตให้เข้าสู่กระแสชีวิตที่ดีงามยิ่งขึ้น
.
ความสุขที่ได้จากการเหยียบย่ำคนอื่นมักจะเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืนอะไร แถมยังทำให้เข้าไปใกล้สังคมคนพาล ซึ่งทำให้ชีวิตตกต่ำในระยะยาว
.
(5). พูดเพื่อความสุข
.
คุณครูภาษาไทยสอนว่า คนไทยชอบคนที่รู้จักพูดคำ "ขอบคุณ-ขอบใจ-ขอโทษ" อย่างรู้กาละเทศะ หรือรู้ว่า ควรจะกล่าวคำเหล่านี้เวลาไหน และกล่าวที่ใด
.
คำ "ขอบคุณ-ขอบใจ" เป็นน้ำคำที่ทำให้คนรอบข้างเราอยากทำดี, คำ "ขอโทษ" เป็นน้ำคำที่บรรเทาทุกข์ให้คนรอบข้างเรา
.
การฝึกชมคนอื่นตามจริง โดยเฉพาะการชมเมื่อคนอื่น "คิดดี-พูดดี-ทำดี (appreciation)" เป็นการทำให้คนอื่น ตัวเรา และสังคมมีความสุข แถมยังทำให้คนรอบข้างอยากทำดี
.
กล่าวกันว่า สังคมที่พัฒนาไปไกลมักจะเป็นสังคมที่มีการแสดงความชื่นชมการ "ทำดี" มากกว่าการ "ได้ดี" เช่น ชื่นชมคนที่ขยันทำมาหากินแบบไม่คดไม่โกงใคร ไม่ชื่นชมคนที่รวยจากการคดโกง ฯลฯ
.
(6). สะสมเรื่องที่ให้กำลังใจ
.
การจดบันทึกถ้อยคำที่ให้กำลังใจ และการทำดีของเราไว้ เช่น บริจาคเลือด ช่วยมดตกน้ำ ฯลฯ ทบทวนเรื่องที่เรา "คิดดี-พูดดี-ทำดี" สักครั้งก่อนนอน และทบทวนซ้ำเมื่อเราเกิด "เศร้า-เหงา-เซง" หรือจิตตกจากกระแสแห่งการทำดี
.
(7). ออกแรง-ออกกำลัง
.
การออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ เช่น เดิน จักรยาน ฯลฯ 20 นาที เช้า-เย็น, ขึ้นลงบันไดแทนใช้ลิฟต์ หรือการออกกำลังประเภทที่เหงื่อตกหน่อย มีส่วนช่วยให้เรามีความสุขได้ทุกวัน
.
พระอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ดี คือ "เหงื่อออกมาก-น้ำตาออกน้อย, เหงื่อออกน้อย-น้ำตาออกมาก" ซึ่งจะหมายถึงการขยันขันแข็งหาเลี้ยงชีวิตโดยชอบธรรมตั้งแต่อายุน้อย ไม่เป็นหนี้เกินตัว ออมทรัพย์ ลงทุนอย่างรอบคอบ จะทำให้ชีวิตบั้นปลายดีก็ได้
.
อีกนัยหนึ่ง, การออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำทำให้คนเรามีความสุขได้ง่ายขึ้น ป้องกันอาการ "เศร้า-เหงา-เซง" โดยเฉพาะการปั่นจักรยานจะช่วยได้มาก
.
ท่านที่สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นเป็นประจำ... ถ้าลองเดินสวดมนต์ โดยอาจบันทึกเสียงใส่เครื่องเล่น MP3 ไว้ และสวดไปพร้อมกัน จะทำให้ได้ออกกำลังด้วย ได้ฝึกจิตไปอย่างดีด้วย
.
(8). มีความหวัง
.
ความหวังที่จะมีชีวิตดีขึ้นทำให้คนเรามีความสุข และทำอะไรๆ ได้ดีมากกว่าที่คิดไว้เสมอ
.
ท่านเตง เส่ง นายกรัฐมนตรีพม่า กล่าวว่า เสียใจที่เด็กชนกลุ่มน้อยไม่มีโอกาสได้ใช้คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
.
ท่านอองซาน ซูจี กล่าวถึงเด็กๆ พม่าส่วนน้อยที่ติดยาเสพติด หรือการพนันว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะขาดความหวังในชีวิต ชีวิตที่ขาดความหวังเป็นชีวิตที่ขาดพลัง และเสี่ยงที่จะถูกชักจูงไปในทางที่ไม่ดี
.
ทั้งสองท่านไม่ได้พูดแต่ปาก ทว่า... พูดอย่างมีความหวัง และตั้งความพยายามในการพลิกฟื้นแผ่นดินพม่า ซึ่งถ้าทำได้, น่าจะทำให้พม่าก้าวไปไกล และเป็นฮับ หรือศูนย์กลางการค้าระหว่างจีน-อินเดีย-อาเซียนได้ในอนาคต