รั ก แ บ บ พุ ท ธ พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ
รั ก แ บ บ พุ ท ธ
พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ
...คนเราจะอยู่ในโลกนี้อย่างผู้มีปัญญา
เราต้องเรียนรู้ธรรมชาติของความรัก
และพยายามลดสัดส่วนที่เกิดจากตัณหาเท่าที่จะลดได้
ควรจะพัฒนาความรู้สึกของเรา
ให้เป็นไปในทางเมตตาเท่าที่เราจะทำได้
ถ้าเทียบเป็นระดับ (spectrum)
ก็มีตั้งแต่ความรักตาบอด
หรือความรักที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว
เรียกว่าความรักที่มืด
ที่นำไปสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อนมากที่สุด
จนถึงความรักระดับสูงสุด สว่างที่สุด
ก็คือ เมตตาธรรมที่ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ
ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง
ทำอย่างไรเราจึงพัฒนาความรักให้สว่างขึ้น
ให้เป็นเหตุให้ต้องทุกข์ต้องทรมานใจน้อยลง
อารมณ์ของคนเราส่วนมากมันอยู่ได้หรือเข้มข้นได้
เพราะเราหลับหูหลับตาต่อความจริงบางประการ
อารมณ์นั้นไม่ใช่ทางไปสู่ความพ้นทุกข์แน่นอน
เพราะอาศัยอวิชชาจึงอยู่ได้
อวิชชาอยู่ที่ไหน ตัณหาต้องอยู่ที่นั่น
เพราะแยกออกจากกันไม่ได้ อวิชชากับตัณหาไปด้วยกัน
เหมือนกับวิชาความรู้ ความเข้าใจตามความเป็นจริง
ต้องอยู่กับฉันทะ หรือกุศลฉันทะ
เป็นความอยากที่ปราศจากโทษ
...บางครั้งคนแสวงหาความรักเพื่อดับทุกข์อย่างตาบอด
คือว่ารู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์
แล้วเชื่อว่าความรักจะดับความทุกข์ของตนได้
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าจะมีปัญหา
เพราะความทุกข์ไม่เคยดับไปด้วยความรัก
ความทุกข์ดับไปด้วยการดับอวิชชา
ทุกข์ดับเพราะอวิชชาดับ เพราะตัณหาดับ
ไม่ใช่เพราะความรัก
ถ้าเราหวังความดับทุกข์จากความรักนั้น
คือการตั้งต้นไว้ผิด และจะต้องผิดหวัง
มีละคร หนังสือ เพลง หลายสิ่งหลายอย่าง
ที่จะชวนให้เราเข้าใจว่าความรักดับทุกข์ได้
แต่ชีวิตของเราแต่ละคนฟ้องขึ้นมาว่า ไม่ใช่ !
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
อวิชชาปรากฏอยู่ในลักษณะตัณหา
อยากได้ อยากมี อยากเป็น
แต่แก่นแท้ของอวิชชา
คือการมองว่าชีวิตมีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นสิ่งที่ตัวของตัว สิ่งที่ท่านเรียกว่าอัตตา
คือตัวเราศูนย์กลางของชีวิต
พระพุทธองค์ท้าทายว่า
ถ้ามีจริง มันอยู่ตรงไหน
อยู่ในกายไหม อยู่ในความรู้สึกไหม อยู่ในความจำได้ไหม
อยู่ในความคิด อยู่ในการรับรู้ทางประสาทไหม มีอยู่ตรงไหน
แต่ส่วนมากคนก็ไม่ได้สนใจวิเคราะห์อย่างนี้
แต่เชื่อว่ามีตัวเราที่เป็นของเที่ยงแท้ถาวร
เกิดความเชื่องมงายเกี่ยวกับธรรมชาติของตัวเอง
หนึ่ง ความกลัว สอง ความเหงา
กิเลสทั้งหลายทั้งปวง มันจะเกิดขึ้น
เพราะมีตัวเราที่แปลกแยกจากคนอื่น
แปลกแยกจากสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง
แต่พอเราไม่ได้ดูตัวเองดีๆ
ก็ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงคืออะไร
คืออวิชชา การไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเอง รู้แต่ว่าเหงา
รู้แต่ว่าแปลกแยก รู้แต่ว่ากลัว...
ผู้มีอวิชชามักจะแสวงหาความรัก
เพื่อจะไม่ต้องเหงา ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องรู้สึกแปลกแยก
แต่นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง
ถ้าเรากล้าดูตัวเอง
กล้าพิจารณาความเหงา กล้าพิจารณาความกลัว
ความกังวลต่างๆ กล้าดูสิ่งต่างๆ ที่เป็นทุกข์อยู่ในใจ
ความหิวโหย ความหวังจากคนอื่นก็จะน้อยลงไปเอง
จะเริ่มเห็นว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ของจริงของจังอะไร
มันเป็นแค่อารมณ์ มีเกิด มีดับ
ผู้ที่เห็นแก่ตัวมาก เพราะเชื่อในอัตตาตัวตนมาก
และเป็นผู้ที่บำรุงเลี้ยงความคิดผิด
ที่เราให้ชื่อว่าอัตตาอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งเห็นแก่ตัว ก็ยิ่งจะต้องเจอความเหงา
ยิ่งต้องเจอความกลัว ความกังวล
ความกลัวบางทีก็ปลอมตัว...
มันจะออกในรูปแบบความก้าวร้าว
ความก้าวร้าวนี้มักจะเป็นอาการของความกลัว
...ถ้าจะรู้สึกว่า เราขาดอะไรสักอย่าง
และก็หวังว่าคนอื่นเขาจะเสริมส่วนที่ขาด
ก็จะทำให้ความสัมพันธ์กับคนอื่น
แปรไปในทางที่ต้องการอะไรสักอย่างจากเขา
เมื่อเราต้องการอะไรสักอย่างจากคนอื่น
และเชื่อว่าถ้าไม่ได้สิ่งนั้นชีวิตเราจะแย่ ก็ต้องเครียด
และความหึงหวงก็จะต้องรุนแรงมาก
เพราะถ้าเราฝากความหวังในความสุขใจ
ความมั่นคงของชีวิตไว้กับคนใดคนหนึ่ง
เราก็ต้องกลัวว่า เราต้องพลัดพรากจากคนนั้น
สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักธรรมชาติของชีวิต
และผู้ที่มีความหวังในคนรักมากเกินไป
ต้องการสิ่งที่คนอื่นให้เราไม่ได้...
...ส่วนมากคนแต่งงานกัน เท่าที่สังเกต
เมื่อเกิดปัญหา ไม่ใช่เพราะไม่รักกัน
ที่จริงก็รักกันอยู่ แต่ไม่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
คนสองคนรักกันได้โดยไม่ค่อยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
พอคนสองคนเกิดมีปัญหา
ก็จะเข้าใจว่า ไม่รักกันจริง
หรือมีปัญหาเรื่องความรัก
ที่จริงก็รักกันอยู่แต่ไม่เข้าใจกัน
มีความคิดผิดบางอย่างที่ยังปล่อยวางไม่ได้
ถ้าเราไม่ฝึกหัดตัวเอง
ความรักก็จะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาชีวิตและกิเลสต่างๆ
ก็จะทำให้ความรักเศร้าหมองได้
โดยไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาให้สูงขึ้นได้เลย
เรื่องความรัก แรกๆ คนรักกัน
ก็อยากจะสบตากันนานๆ
อยากจะมองแต่หน้าและดวงตานานๆ
อันนั้นก็เป็นวาระของมัน