เมื่อป้าโซไปสอบเอาใบขับขี่ญี่ปุ่น..(2) ตอน.. ร.ร.สอนขับรถที่ญี่ปุ่น
ดำเนินเรื่องต่อจากวานนี้ ..
หลังจากไหล่ลู่หางตก เอ๊ย..คอตกกลับบ้าน วิถีชีวิตของป้าโซก็เปลี่ยนไป..( อร๊ายยยย.. คล้ายๆศาลาคนเศร้า) คือได้งานทำค่ะ ทีนี้ชีวิตก็ยุ่งเหยิงกับงานๆๆตลอดสองปีกว่าที่ทำอยู่ โดยเช้าออกไปทำงานพร้อมลุง พอบ่ายปู่ก็ไปรับ เป็นคุณนายมีคนขับรถให้นั่งตลอด
พอมาตกงานรอบนี้ สมควรแก่เวลาที่จะต้องขับรถเองได้แ้ล้ว เพราะสายตาปู่แย่เต็มทีสำหรับคนอายุ 76 วันนึงอาจเห็นไฟแดงเป็นไฟเีขียวก็ได้ใครจะไปรู้ บวกกับงานกำลังหาๆอยู่ ส่วนมากจะเป็นที่ๆต้องขับรถไป ไม่สามารถนั่งรถไฟไปได้ เลยได้ฤกษ์เข้าร.ร.สอนขับรถ
ร.ร.สอนขับรถที่ป้าโซไปเรียน อยู่ติดกับสถานีรถไฟหลังบ้าน สามารถเดินไปถึงในเวลา 7 นาที ร.ร.สอนขับรถที่นี่เปิดสอนทั้งเต็มคอร์สสำหรับผู้ไม่เคยขับขี่มาก่อน และสอนเป็นกรณีๆไปสำหรับผู้ที่เคยมีใบขัีบขี่มาแล้วแต่เกิดเหตุให้มีอันต้องถูกริบใบขับขี่(โดยมากเป็นพวกดื่มสุราแล้วขับรถ) พอพ้นช่วงเวลาหนึ่งที่กฏหมายกำหนดค่อยกลับมาสอบทำใบขับขี่ใหม่ ซึ่งช่วงเวลานี้แล้วแต่ความร้ายแรงของความผิด เป็นจำนวนหลายๆปีก็มี สำหรับป้าโซจะอยู่ในเคสนี้ อ่ะ..ไม่ใช่่ว่าทำความผิด แต่ขับเป็นมาแล้วและต้องการแค่การฝึกฝนที่ถูกกฏของที่นี่เพื่อให้สามารถไปสอบขับรถให้ผ่าน..
สนนราคาค่าเรียนแบบเต็มรูปแบบสำหรับคนที่ไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อน อยู่ที่ 270,000 เยน (เอา 3 หารคร่าวๆเป็นเงินไทย) โดยจะสอนทั้งกฏจราจรต่างๆและการขับรถ ซึ่งที่ร.ร.สอนขับรถนี่สามารถสอบเอาใบขับขี่ชั้นต้นได้ โดยมีการสอบข้อเขียนด้วยคำถาม 50 คำถาม และสอบการขับรถในสนามหัดขับรถ เมื่อสอบผ่านขั้นตอนนี้ ร.ร.ก็จะมีอำนาจออกใบขับขี่ชั่วคราวให้ เพื่อนักเรียนจะได้นำรถออกไปหัดขับและสอบที่ถนนจริง โดยนำรถของร.ร.สอนขับรถและครูฝึกนั่งคุมไปด้วย จากนั้นทางร.ร.ก็จะรวบรวมหลักฐานนักเรียนของตน ไปขอใบขับขี่ตัวจริงที่กรมขนส่งอีกที อ้อ..ครูฝึกที่ร.ร.นี่ ส่วนมากเป็นตำรวจขนส่งที่เกษียณแล้วด้วยค่ะ
ฟังดูราคาค่าเรียนขับรถโหดใช่ไหม? นี่คือเหตุผลหลักที่พวกนักดื่มทั้งหลายกลัวนักกลัวหนาในกรณีดื่มแล้วขัึบ เพราะถ้าตำรวจเช็คอัลกอฮอล์ขึ้นมา ใบขับขี่ที่ใช้ทั้งเวลาและจ่ายทั้งเงินแพงๆ ในการฝึกฝน จะมีอันหลุดลอยไปอย่างง่ายดาย บางคนหลุดลอยไปตลอดชีวิตด้วยซ้ำ และถ้าไม่มีใบขัีบขี่ โอกาสที่จะทำงานก็จะลดน้อยลงไปโดยเฉพาะผู้ชาย เพราะบริษัททั่วไปถ้าจ้างผู้ชายก็มักจะให้เดินทางไปโน่นมานี่เพื่องานของบริษัทด้วย สำหรับคนที่เคยมีใบขับขี่ แล้วถูกยึดใบขับขี่จากตำรวจเนื่องจากดื่ม มักจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานด้วยอย่างตรงๆ เพราะทางบริษัทก็จะคิดว่า ขนาดใบขับขี่ของตัวเอง ยังไม่มีความสามารถที่จะรับผิดชอบรักษาเอาไว้ได้ นับประสาอะไรกับการงาน?
เรื่องดื่มแล้วขับ หลังๆมานี่กฏหมายระบุไว้ด้วยว่านอกจากคนดื่มแล้วขับจะมีความผิดแล้ว เจ้าของร้านที่ขายเครื่องดื่มมึนเมาให้ก็มีความผิดอีกด้วย ในฐานะที่สนับสนุนให้คนทำผิด..ประมาณนั้น.. ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติถ้าคุณไปสั่งเครื่องดื่มมีอัลกอฮอล์ที่ร้านอาหารไหนแล้วพนักงานจะถามก่อนเลยว่า ใครเป็นคนขับรถกลับครับ? อย่างกรณีที่บ้านป้าโซ ถ้าจะดื่มต้องพกแพ็คปู่ไปด้วย แล้วเวลาพนักงานถามก็จะชี้ไปที่คนแก่คนนั้นแหละ
เอา.. ยาวไปเรื่องดื่มแล้วขับซะแล้ว.. มาต่อเรื่องใบขับขี่ค่ะ..
สำหรับกรณีป้าโซ เราไม่ต้องเข้าคอร์สเต็มรูปแบบอย่างนั้น เลยไปเรียนแบบเป็นครั้งคราว สนนราคา 5,040 เยนต่อ 50 นาที ที่ร.ร.สอนขับรถนี่มีกริ่งแจ้งเวลาทุกชม.การสอนแบบร.ร.ทั่วไปเลยค่ะ เวลาอยู่ที่บ้านป้าโซก็ได้ยินเสียงกริ่งนี่บ่อยๆ
ตอนปู่พาไปสมัครเรียน มีสาวน้อยหน้าหวานทำหน้าที่เป็นพนักงานทั่วไป ช่วงที่ไปนั่นเป็นช่วงที่นักเรียนมัธยมปลายใกล้จบปีการศึกษากันแล้ว คนมาเรียนเลยหนาตามาก นักเรียนม.ปลายพวกนี้เมื่อจบการศึกษา ส่วนใหญ่จะทำอะรุไบ้ท์ (งานพิเศษ)หาเงินเก็บส่วนตัวกัน บางคนพอจบแล้วก็ออกมาำทำงานเลยก็มี หรือบางคนก็ไปเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เห็นเด็กๆพวกนี้มาที่ร.ร.สอนขับรถแล้วกิ๊วก๊าวกัน ประมาณมาหาเพื่อนมาเจอเพื่อนที่นี่ คุยกันประสาวัยรุ่นแล้วให้สงสัยว่า พวกเขาตั้งใจมาเีรียนจริงๆด้วยตัวเองเพราะอยากได้ใบขับขี่ หรือมาเรียนเพราะพ่อแม่ส่งมาเพื่อให้ได้มาหนึ่งใบในความจำเป็นของชีวิตยามเติบใหญ่?
หอบเอาความสงสัยนี้มาถามลุง ลุงบอกว่าน่าจะพ่อแม่ส่งมามากกว่า สำหรับลุงๆไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะการทำใบขับขี่นั่นก็เพื่อตัวเอง สมควรที่จะเป็นตัวเองในการขวนขวายให้ได้มา นั่นคือต้องหาเงินมาเีรียนเพื่อสอบทำใบขับขี่ด้วยตัวเอง แล้วความสำคัญของใบขับขี่จะขลังมากกว่า เพราะมันยาก..กว่าจะได้มา เสียทั้งเงิน ทั้งเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาเรียน ไม่ใช่เรียนไปแบบเรียนไปยังงั้น พ่อแม่จ่ายมาก็เรียนไป ครั้นพอได้ใบขับขี่มาจริงก็จะให้ความสำคัญกับใบนี่น้อยกว่าที่ควร ซึ่งจะมีผลทางอ้อมกับการขับขี่ยวดยาน ในเรื่องมารยาทในการใช้ถนนร่วมกัน ในเรื่องมารยาทของการขับรถ
สมัยลุงสอบทำใบขับขี่นั่น ลุงก็ทำงานเก็บเงินมาเรียนและสอบเอง เริ่มจากใบขับขี่มอเตอร์ไซด์.. ขนาด 50 cc นี่สอบแต่ข้อเขียน ไม่ต้องสอบขับขี่ และคนที่ได้ใบขับขี่รถยนต์ ก็จะสามารถขี่มอเตอร์ไซด์ขนาด 50 cc นี่ได้ไปโดยปริยาย ไ่ม่้ต้องไปสอบข้อเขียนแต่อย่างใด แต่ถ้าขนาดสูงขึ้นไปเช่น 125 cc ต้องสอบขี่ด้วย ซึ่งขนาด 125 cc นี่กว่าลุงจะสอบผ่านต้องไปสอบถึง 10 ครั้ง ตอนนั้นยังเรียนระดับอุดมศึกษาอยู่ ต้องโดดเรียนไปสอบด้วยเงินเก็บที่ตัวเองทำอะรุไบ้ท์ไว้ ตอนสอบขี่นั่น เข้มงวดขนาดแค่เข็นรถไปที่จุดเริ่ม ยังไม่ได้ขี่ซักกะแอะตำรวจที่ยืนคุมสอบอยู่บนหอคอยก็ประกาศออกไมค์เรียกไปว่า "เอาละ..พอแล้ว เข็นกลับมาได้แล้ว" ลุงก็คอตกกลับไป จดจำข้อผิดพลาดของตัวเองเป็นบทเรียนในการสอบครั้งต่อไป.. สมัียหนุ่มๆลุงคลั่งมอเตอร์ไซด์อยู่พัก จนสอบเอาใบขับขี่ขนาด 400 cc ได้ หลุดจากขนาดนี้ก็เป็นรุ่นสูงกว่า 400 cc คือไม่จำกัด cc แล้ว
นั่น!! ยาวไปถึงเรื่องลุงจนได้ แล้วเมื่อไหร่ใบขับขี่ป้าโซจะจบละนี่? ต่อๆๆๆ..
ป้าโซเข้าไปเรียนที่ร.ร.สอนขับรถนี่ได้สามครั้ง โดยแต่ละครั้งครูก็จะหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไป ซึ่งเขาจะมีใบบันทึกประวัติการขับรถในแต่ละครั้งของป้าโซ ว่าวันนั้นๆมีข้อบกพร่องตรงไหนต้องแก้ไขบ้าง เพราะฉะนั้นถึงแม้ครูจะเปลี่ยนหน้า แต่ก็สามารถต่อเนื่องกันได้
ครั้งแรก เป็นคุณลุงท่าทางภูมิฐานวัยประมาณห้าสิบกว่า โกนหัวเจ๊งเหน่ง(หรือผมมันน้อยใจลากบาลไปเองก็ไม่ทราบได้) คุณลุงบอกกล่าวพื้นฐานการขับรถคร่่าวๆ แล้วก็ปล่อยให้ป้าโซขับ จุดบกพร่องในวันนี้ของป้าโซ ก็คือเวลาจะเลี้ยว เมื่อเปิดไฟเลี้ยวแล้ว ต้องมองกระจกหลัง กระจกข้าง และเอียงหน้าไปดูด้วยสายตาตัวเองอีกทีให้แน่ใจ รวมทั้งหมดสามขั้นตอน ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 10 วิ. ก่อนจะค่อยๆปาดพวงมาลัยเข้าชิดด้านที่ตัวเองจะเีลี้ยวแล้วบังคับให้รถแล่นตรงๆ ช่วงนี้จะต้องกะระยะให้ประมาณ 30 เมตร ก่อนจะเลี้ยวจริง จากนั้นก็เป็นขั้นตอนการเลี้ยวธรรมดา
จุดที่สองที่สอนก็ีคือ เวลาเข้าโค้ง ให้ชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้งด้วยการแตะเบรคสามครั้งเบาๆ รักษาระดับความเร็วไว้ที่ 10 กม. พอเข้าโค้งแล้วให้เร่งความเร็วได้ ที่สำคัญตอนอยู่ในช่วงโ้ค้งห้ามเหยียบเบรค.. อันนี้นักเรียนป้าโซไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตรูถึงจะเหยียบเบรคระหว่างโค้งไม่ได้? ปากหนัก ไม่ได้ถามมาซะด้วย เค้าสอนมาไงก็งั้น กฏเค้านี่!!
จุดที่สามที่สอน คือตอนขึ้นสะพาน ให้รักษาความเร็วไว้ที่ 10 กม. เหมือนกัน เลี้ยงคันเร่งไว้ให้ได้ระดับนี้ เมื่อต้องหยุดกลางสะพานให้ใส่เบรคมือช่วย และเมื่อจะออกตัวให้เท้าเหยียบคันเร่งพร้อมกับปล่อยเบรคมือ (ป้าโซเรียนแบบเกียร์ออโต้นะคะ ที่นี่จะมีสอบใบขับขี่แบบเกียร์ธรรมดาหรือออโต้ ซึ่งจะแยกกันและต้องขับรถในแบบที่สอบเอาใบขับขี่นั่นด้วย) พอลงสะพานก็ให้เลียเบรคลดความเร็วไว้
จุดที่สี่.. คือตอนข้ามทางรถไฟ เมื่อเห็นทางรถไฟ ใ้ห้หยุดรถพร้อมเปิดกระจกด้านคนขับลงเพื่อฟังเสียงรถไฟ(ว่ามันจะร้องทึ้งก็ช่าง ไม่ทึ้งก็ช่าง รึว่าร้อง ปู๊นๆๆ ฉึกฉัก ฉึกฉัก.. เอ่อ.. มุกค่ะมุก) จากนั้นหันไปมองขวา ซ้าย แล้วก็ขวาอีกที ก่อนจะปิดกระจกเคลื่อนรถข้ามทางรถไฟไปได้
เอ้า.. เรียนกับคุณลุงคนแรกได้ความว่ายังงี้ .. ผ่านไป
ครั้งที่สองก็ไปในวันรุ่งขึ้น คราวนี้เจอครูวัยกลางคน หนุ่มกว่าคุณลุงเมื่อวานนี้หน่อย คุณพี่คนนี้สอนเรื่องการเลี้ยวซ้าย ว่าจะต้องบีบช่องทางด้านซ้ายมือให้ห่างจากฟุตบาทน้อยกว่า 1 เมตรก่อนจะเลี้ยว เพื่อป้องกันมอเตอร์ไซด์แล่นมาเสียบทางซ้ายแล้วจะเกิดอุบัติเหตุได้ และเมื่อเลี้ยวให้ชิดทางด้านซ้ายมากที่สุด อีกจุดก็คือเมื่อเลี้ยวแล้ว ให้แล่นชิดซ้ายของเลนซ้ายมือในทันที อย่าไปเกะกะอยู่ที่เลนซ้ายด้านขวา นอกนั้นก็โอเคหมด ครูถามว่าป้่าโซจะไปสอบขับอีกเมื่อไหร่? ป้าโซบอกแล้วแต่ดุลยพินิจของครู ซึ่งคุณพี่เธอก็บอก อีกซักครั้งสองครั้งก็ไปสอบได้แล้ว
ครั้งที่สาม ห่างจากครั้งก่อนสามวัน คราวนี้เจอครูหนุ่ม หนุ่มจริงๆนะฮ้าาาา.. อุ๊ยยืดดดด เช็ดน้ำลายที่หกเรี่ยราดแล้วก็ตั้งใจเรียน คุณครูน้องเธอสอนเรื่องการกะระยะเวลาเลี้ยวซ้าย ซึ่งป้าโซจะตีวงกว้างมากไปทำให้ด้านซ้ายเหลือช่องเยอะ จากนั้นก็สอนเรื่องการจอดรถ ซึ่งให้ห่างจากฟุตบาท 30 เซ็นต์และหน้ารถถึงจุดหมายพอดีเป๊ะ.. ไม่งั้นสอบตก เมื่อเรียนครั้งนี้ ครูหนุ่มบอกว่าคิดว่าน่าจะโอเคแล้วนะครับ ลองไปสอบดูเถอะครับ
จบการเรียนทั้งสามครั้งด้วยเงินทั้งหมด 15,120 เยน ป้าโซก็กะจะควักกระเป๋าแค่นี้แหละ เรื่องอื่นก็ไม่น่ามีปัญหา จุดบกพร่องของป้า่โซเท่าที่คุณตำรวจเธอแจ้งมาตอนไปสอบครั้งแรกก็น่าจะมีเท่านี้ เราฝึกฝนซะก็น่าจะสอบผ่าน .. สู้เค้า โซซังที่ไม่ใช่โซเซ !!
กะจะจบให้ได้ในสองตอน แต่โม้ในส่วนขยายซะเยอะ เลยจบไม่ลง มาจบกันในคราวหน้าแล้วกันนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2554 |
|
35 comments |
Last Update : 1 มีนาคม 2554 17:14:03 น. |
Counter : 3017 Pageviews. |
|
|
|