ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

10 แข้งเสียดายตังค์ตลาดปีใหม่

10 แข้งเสียดายตังค์ตลาดปีใหม่

: ไหนๆ "ต้นหิน" ก็จัดการนำเสนอ "10 แข้งสุดคุ้มตลาดปีใหม่" ไปแล้ว ไอ้ครั้นจะปล่อยให้ดูแต่ด้านดีๆ มันก็ใช่เรื่อง เพราะในชีวิตจริงทุกอย่างมันมี 2 ด้านด้วยกันทั้งนั้นล่ะ ว่าแล้ววันนี้กระผมขอเสนอขั้วตรงข้ามให้ได้เสพก็แล้วกัน

ก็อย่างว่านะ ตลาด ม.ค. ก็เหมือนเสี่ยงดวงซื้อหวย ตาดีได้ตาร้ายเสียกันไป นอกจากนักเตะใหม่จะไม่ได้มีโอกาสในการปรับตัวให้เข้ากับทีมมากสักเท่าไหร่จนทำให้ผลงานอาจจะไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่ถูกคาดหวังเอาไว้ ซ้ำร้าย ตลาดนักเตะช่วงหน้าหนาวแบบนี้โก่งราคาได้โก่งราคาดี เพราะหากไม่ซื้อก็ต้องรออีกทีช่วงปิดฤดูกาลโน่นเลย บางทีมยังต้องจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายมาช่วยทีมลุ้นคว้าแชมป์ ในขณะที่พวกหนีตายยิ่งโดนบีบคั้นมากกว่า หลังการซื้อไม่สำเร็จอาจหมายถึงการตกชั้น

ไม่ว่าจะทีมใหญ่ ทีมเล็ก เงินเยอะ เงินน้อย แต่การซื้อนักเตะโดยเฉพาะในช่วงเดือนม.ค.แบบนี้ ความเสี่ยงจะล้มเหลวมากพอกัน ไม่ว่าจะย้ายมาด้วยชื่อเสียงระดับไหนหรือค่าตัวแพงเป็นสถิติหรืออย่างไร และนี่คือ 10 แข้งเสียดายตังค์ตลาดปีใหม่ (ไม่เรียงลำดับนะจ้ะ)


โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส || เซบีย่า ไป อาร์เซน่อล (17 ล้านปอนด์, 2004)

อาจจะเก่าหน่อย แต่เชื่อว่า "เดอะ กูนเนอร์ส" ทั้งหลายน่าจะยังจำกันได้ "สปีดดี ลีลาเด็ด ยิงประตูใช้ได้" เสียอย่างเดียวไม่ประสบความสำเร็จในแง่ผลงานส่วนตัวกับทีมก็เท่านั้นเอง

เรเยส เปิดตัวได้น่าดูชมทีเดียว หลังย้ายมาแล้วช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ในฤดูกาลแรกที่แลนดิ้งถึงกรุงลอนดอนทันที แถมยังเป็นผู้บันดาลประตูชัยซัดโครมใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในฤดูกาลถัดมาได้อีกต่างหาก

แต่เรื่องราวหลังจากนั้นเหมือนไอ้หนุ่ม "อันโต" จะโดนลักพาตัวไปแล้วให้คนหน้าคล้ายมาไล่หวดลูกหนังแทน ผลงานไม่สม่ำเสมอเหมือนเคย แถมยังโฮมซิค สุดท้ายก็อยู่ต่อไม่ไหวจำใจต้องย้ายกลับบ้านในที่สุด จัดเป็นนักเตะที่ทำเสียดายตังค์เพราะจิตใจไม่ใช่ผลงานอย่างที่สุด


เจมส์ บีทตี้ || เซาธ์แฮมป์ตัน ไป เอฟเวอร์ตัน (6 ล้านปอนด์, 2005)

ครั้งหนึ่งหัวหอก "นักบุญแดนใต้" เคยเข้าฝักถึงขั้นถูกยกไปเปรียบกับ อลัน เชียร์เรอร์ กองหน้าในตำนานของ นิวคาสเซิ่ล มาแล้ว แถมยังได้รับความสนใจจาก ลิเวอร์พูล อีกต่างหาก แต่ก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว แป๊บเดียวชาวบ้านก็ลืมหมด

บีทตี้ ย้ายเข้าสู่ถิ่นกูดิสัน พาร์ค ด้วยโปรไฟล์ระดับยิงยับใน 2 ฤดูกาลหลังสุดก่อนจะย้ายทีม (23 ประตู 2002/03 และ 14 ประตู 2003/04) แต่ครั้นได้เปลี่ยนร่างจากชุดแดงลายขาวมาเป็นน้ำเงินเข้มสดใสแล้ว จำนวนประตูก็หดหายโดยพลัน

หัวหอกร่างใหญ่ทำได้แค่ 1 ประตูจาก 11 นัด ฤดูกาลถัดมาอาจจะดีขึ้นมาถึง 110% ก็จริง (11 ประตู) แต่ผลงานและการมีส่วนร่วมกับสาละวันเตี้ยลงๆ จนค่อยๆ ระเห็จลงไปเล่นกับทีมในดิวิชั่นต่ำเตี้ยลงเรื่อยๆ


ฌอง-อแล็ง บูมซง || กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ไป นิวคาสเซิ่ล (8 ล้านปอนด์, 2005)

ตำนานชัดๆ สำหรับแนวรับดีกรีทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้ ดาวเตะเชื้อสายแคเมอรูนย้ายจาก โอแซร์ มาเล่นให้กับ เรนเจอร์ส แบบฟรีๆ เมื่อซัมเมอร์ปี 2004 และทำผลงานได้เด็ดดวงด้วยมาตรฐานลีกเมืองน้ำหอมซึ่งสูงกว่าลีกแดนขี้เมา

แกรม ซูเนสส์ กุนซือ "สาลิกาดง" จึงเกิดอาการถูกใจเจ๊ขึ้นมาหลังได้เห็นลีลาการเข้าสกัดอันแม่นยำและเต็มไปด้วยชั้นเชิงของ บูมซง ว่าแล้วก็เลยทุ่มเงินซื้อตัวเข้ามาด้วยราคาที่จัดว่า "แพง" ในยุคนั้น

บูมซง เปิดตัวได้อย่างน่าชื่นชมในฤดูกาลแรกกับ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่กับในฤดูกาลที่ 2 นั้น ค่าตัวที่เคยจ่ายไปแล้วดูมีแววจะคุ้มนั้นก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไปว่า โคตรจะไม่คุ้ม ก่อนจะขายเลหลังให้ ยูเวนตุส ซึ่งตอนนั้นตกชั้นไปเล่นใน เซเรีย บี ด้วยราคา 3.3 ล้านปอนด์


ริคาร์โด้ โรช่า || เบนฟิก้า ไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (3.3 ล้านปอนด์, 2007)

กองหลังชาวโปรตุเกสย้ายมาอยู่กับ "ไก่เดือยทอง" ในยุค มาร์ติน โยล โดยหวังจะดึงมาทดแทน เล็ดลีย์ คิง แนวรับกัปตันทีมซึ่งเดี้ยงยาวเป็นระยะ แต่แทนที่ โรช่า จะมาช่วยทีม ดันทะลึ่งมาเพิ่มภาระให้กับทีมเสียอย่างนั้น

โรช่า ทำพลาดอย่างร้ายแรงในเกมกับ อาร์เซน่อล ใน ลีก คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ทำให้ สเปอร์ส คิดได้ทันทีว่างานนี้ถ้าไม่โดนย้อมแมวก็คงต้องไปควักลูกตาทีมงานที่ส่งไปตามดูดาวเตะรายนี้แทนแล้วล่ะ เอาตาข้างไหนดูถึงได้ส่งรายงานสนับสนุนให้ซื้อตัวมาได้

นับจากนั้น โรช่า ก็ได้ลงเล่นด้วยจำนวนเกมแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น โดยฤดูกาลแรกเล่นรวมทุกรายการ 13 นัด ฤดูกาลถัดมา 5 และฤดูกาลสุดท้าย 0 นัด สถิติแบบนี้ให้ฟรีอาจจะยังโกรธ


อฟอนโซ่ อัลเวส || ฮีเรนวีน ไป มิดเดิ้ลสโบรช์ (12.7 ล้านปอนด์, 2008)

นี่ก็เข้าขั้นตำนานอีกหนึ่งราย และหากมีการหยิบยกชื่อกองหน้า "บราซิล" ที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลก อังกฤษ มั่นใจว่าคอบอลเกิน 1 ล้านคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน อฟอนโซ่ อัลเวส!!

หัวหอกหน้ากลมโชว์ฟอร์มสะเด่าระห่ำแตกใน เอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ ด้วยการสอยตาข่ายให้ ฮีเรนวีน ได้ถึง 45 ประตู จาก 38 นัด ยิงเยอะกว่าจำนวนนัดที่ลงเล่นเสียอีก ใครเห็นสถิติแบบนี้ก็ต้องชื่นชมว่าเก่งเป็นเทพอย่างเดียวทั้งนั้น

แต่น่าเสียดาย อฟอนโซ่ อัลเวส กลายสภาพจาก "ไอ้เสือ" เป็น "ไอ้เหมียว" เมี้ยวๆ ต่อหน้าสไตล์ลูกหนังเมืองผู้ดี โดยทำได้ 6 ประตู จาก 11 นัดในฤดูกาลแรกซึ่งถือว่าค่าเฉลี่ยยังดีในระดับน่าพอใจ แต่ในฤดูกาลหลังนี่สิ จำนวนประตูหดลงเหลือ 4 ประตูจาก 34 นัด


ริคาร์โด้ กวาเรสม่า || อินเตอร์ มิลาน ไป เชลซี (ยืมตัว, 2009)

จัดว่าเข้าขั้นคลาสสิกระดับ "เทพยูทูป" ไปอีกราย กวาเรสม่า ย้ายมาอยู่กับ "สิงห์บลูส์" ในยุคหลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือชาวบราซิล โดยเป็นการดึงตัวมาชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ทั้งที่จอมเลื้อยรายนี้ขึ้นชื่อเรื่องความล้มเหลวหากต้องไปเล่นที่อื่นซึ่งไม่ใช่บ้านเกิด

กวาเรสม่า ล้มเหลวแบบสุดๆ กับ อินเตอร์ ในยุคโชเซ่ มูรินโญ่ เฮดโค้ชชาวโปรตุเกส แม้จะเป็นคนบ้านเดียวกันแต่ "เดอะ แฮปปี้วัน" ก็ไม่สามารถปลุกปั้น กวาเรสม่า ได้สำเร็จ โดยเจ้าตัวล้มเหลวหนักข้อถึงขนาดได้รางวัล "ถังขยะทองคำ" ตั้งแต่ฤดูกาลแรกใน เซเรีย อา เลยด้วยซ้ำ

ส่วนกับ เชลซี ปีกจอมเลื้อยผู้พิศมัยการเปิดลูกไซด์ก้อย (จะทำเพื่อ?) ได้ลงเล่นไปทั้งสิ้น 5 นัด สิริรวมระยะเวลาทั้งสิ้น 97 นาที นี่ขนาดยืมตัวนะ... ยังเสียดายค่าจ้างเลย


เวย์น บริดจ์ || แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป เวสต์แฮม (ยืมตัว, 2011)

"เดอะ แฮมเมอร์ส" พยายามสุดตัวเพื่อจะรอดตกชั้นให้ได้ และแนวรับก็คือจุดอ่อน ณ เวลานั้น ด้วยเหตุฉะนี้ เดวิด ซัลลิแวน และเดวิด โกลด์ ดูโอเจ้าของสโมสรจึงจำเป็นต้องเติม "ประสบการณ์" เข้าสู่แผงกองหลังเพื่อยพยุงตัวให้รอดจากสถานการณ์สุดบัดซบให้ได้

เวย์น บริดจ์ ซึ่งเสียเหลี่ยมจนกู่ไม่กลับนับตั้งแต่ถูก จอห์น เทอร์รี่ "แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ" ก็เลยถูก แมนฯ ซิตี้ ต้นสังกัดปล่อยตัวไปหาฟอร์มเดิมๆ กลับมา โดยปล่อยให้ เวสต์แฮม ยืมไปใช้งานแลกกับแค่ให้ช่วยออกค่าจ้างสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์

ปรากฏว่า "ไอ้สะพาน" ช่วยอะไรไม่ได้ เวสต์แฮม ตกชั้นพร้อมกับหนี้สินพะรุงพะรังซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากค่าจ้างของเจ้าหมอนี่นั่นล่ะ


เฟร์นานโด ตอร์เรส || ลิเวอร์พูล ไป เชลซี (50 ล้านปอนด์, 2011)

เรียกได้ว่าหัวหอกหน้ามนคนสเปนรายนี้ติดโผโพลทุกสำนัก ไม่ว่าจะเปิดหาข้อมูลจากสื่อเจ้าไหน "เอล นินโญ่" แทบจะการันตีการเอาชื่อตัวเองไปกองในนั้นอยู่ก่อนแล้ว... ราวกับว่าเขาย้ายทีมเพื่อสิ่งนี้!!

ตอร์เรส สละความเป็นฮีโร่ในถิ่นแอนฟิลด์ เพื่อพุ่งชนความสำเร็จในสีเสื้อ "สิงห์บลูส์" แล้วก็ได้มันเกือบจะครบทุกอย่างสมใจไม่ว่าจะเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และเอฟเอ คัพ ยังขาดก็แต่ พรีเมียร์ลีก อย่างเดียวเท่านั้น

หากวัดกันด้วยถ้วยแชมป์และเกียรติประวัติตามบรรทัดด้านบน ตอร์เรส คงดูหล่อขึ้นมาอีก 10 กะโหลก แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า "ส่วนร่วม" และ "จำนวนประตู" ดูจะทำให้เจ้าตัวหม่นราศีไปไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว หลังใช้เวลาเพียง 903 นาทีในการเบิกประตูแรก!! และปัจจุบันก็กระหน่ำซัดไปแล้วกระจุยกระจายถึง 40 ประตู จาก 149 นัด!!


แอนดี้ คาร์โรลล์ || นิวคาสเซิ่ล ไป ลิเวอร์พูล (35 ล้านปอนด์, 2011)

ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ให้ลึกซึ้งสำหรับดาวยิงรายนี้หลังจากย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดเช่นกันว่าดาวยิงตีนระเบิดอย่าง คาร์โรลล์ ซึ่งซัดเอาๆ ในสีเสื้อ "สาลิกาดง" จะมาดับอนาถเอาดื้อๆ แบบนี้

คาร์โรลล์ ทำได้เพียง 2 ประตูจาก 7 นัดในฤดูกาลแรกกับ "หงส์แดง" ท่ามกลางข้ออ้างว่า "ปรับตัวช้า" ซึ่งก็จริงนะ ใครมันจะปรับตัวได้ง่ายอะไรขนาดนั้น แต่ในฤดูกาลถัดมานั้นตัวเลขกลับยิ่งฟ้องชัด 4 ประตูจาก 35 นัด

อารมณ์ ลิเวอร์พูล คงเหมือน "มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้อง...ต้อง...ต้อง....ชอบมากๆ ด้วย" และตอนนี้ เวสต์แฮม เจ้าของดาวเตะรายนี้คนปัจจุบันซึ่งเซ้งต่อไปด้วยค่าตัว 17 ล้านปอนด์ก็คงจะเริ่มตะหงิดๆ บ้างแล้วเหมือนกัน


เบนนี่ แม็คคาร์ธีย์ || แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ไป เวสต์แฮม (2.5 ล้านปอนด์, 2011)

หัวหอกทีมชาติแอฟริกาใต้ ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ "กุหลาบไฟ" แม้อายุจะเยอะแล้วก็จริง แต่ เวสต์แฮม ยังมองว่าหมอนี่ยัง "มีของ" เลยเจียดเงินซื้อตัวมาเสริมทัพ โดยหมายมั่นปั้นมือจะให้ช่วยยิงประตูสักฤดูกาลละ 10 เม็ดก็คุ้มทุนแล้ว

หากในกรณีที่เลวร้ายสุดๆ แม็คคาธีย์ ยิงประตูได้ไม่เยอะก็คงแค่เสียดาย อย่างน้อยก็ถือว่ามีอะไหล่ที่ยังพอพึ่งพาได้ แต่นี่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น หลังหัวหอกร่างตันซัดไม่ได้เลยแม้แต่เม็ดเดียว!!

ส่งลงสนามไปทั้งสิ้น 14 นัดตลอดช่วง 2 ฤดูกาล ทำไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียว เลวร้ายถึงขั้น คาเรน เบรดี้ รองประธาน "ขุนค้อน" ต้องนิยาม แม็คคาร์ธีย์ ว่า "big fat mistake" ความผิดพลาดครั้งอ้วนๆ ซึ่งเจ้าตัวตั้งใจส่อเสียดน้ำหนักตัวซึ่งเกินมาตรฐานนักฟุตบอลมาเยอะเลยทีเดียว

ต้นหิน




  • สนับสนุนเนื้อหา Smm Sport




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2556   
Last Update : 26 ธันวาคม 2556 21:12:03 น.   
Counter : 2727 Pageviews.  

Samsung พูดไม่ออก! พบช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยของ Galaxy S4

ตามรายงานของ Wall Street Journal ระบุว่านักวิจัยจากอิสราเอลพบว่าระบบความปลอดภัยของ Samsung หรือที่เรียกว่า Samsung Knox มีช่องโหว่ที่ทำให้แฮคเกอร์สามารถส่งมัลแวร์ล้วงเอาข้อมูลของผู้ใช้ออกไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งช่องโหว่ดังกล่าวพบใน Smartphone รุ่น Galaxy S4 เท่านั้น แต่ไม่มีปัญหากับรุ่น Galaxy Note 3


ทางด้าน Samsung ยังไม่ได้ออกมาแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการค้นพบช่องโหว่ดังกล่าว บอกเพียงแค่ว่าบริษัทกำลังตรวจสอบประเด็นนี้อยู่ และทาง Samsung ไม่คิดว่าช่องโหว่ที่นักวิจัยอิสราเอลพบนั้นจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างที่กล่าวอ้างไว้

รายงานการค้นพบช่องโหว่ดังกล่าวนี้ถูกปล่อยออกมาไม่นานหลังจากทาง Samsung ได้พยายามโปรโมทจุดขายเรื่องระบบความปลอดภัยของ Smartphone แบรนด์ Samsung อยู่ เนื่องจาก Samsung ได้ให้ความสำคัญกับลูกค้าที่เป็นกลุ่มองค์กรและรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งความปลอดภัยของข้อมูลถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้

เมื่อไม่นานมานี้ ทางกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกาก็ได้จัดซื้อ Galaxy S4 จำนวน 500 เครื่องเพื่อทดสอบระบบ Knox ของทาง Samsung แต่ในขณะนี้ทางกระทรวงกลามโหมยังคงไม่รับรองให้ใช้อุปกรณ์ของ Samsung ในเครือข่ายของกระทรวงฯ

อนึ่ง Samsung Knox เป็นระบบความปลอดภัยสำหรับใช้งานในองค์กร โดยจะแยกข้อมูลทั่วไปในตัวเครื่อง กับข้อมูลที่ใส่ไว้ใน Knox ออกจากกัน การจะเปิดดูข้อมูใน Knox จะต้องใส่รหัสผ่านเฉพาะจึงจะเข้าไปดูได้ ทำให้ข้อมูลที่อยู่น Knox มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

อ้างอิงจาก NEOWIN

สนับสนุนเนื้อหา: Arip




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2556   
Last Update : 26 ธันวาคม 2556 21:10:41 น.   
Counter : 1568 Pageviews.  

เธอไม่ค่อยมีน้ำหล่อหลื่น

ถาม

แฟนผมไม่ค่อยจะมีน้ำหล่อลื่น ทำให้การมีเซ็กซ์กันไม่สนุกทั้งๆ ที่เธอก็มีอารมณ์ เธอไม่อยากให้ใช้เจลหล่อลื่น เพราะไม่เป็นธรรมชาติ มีวิธีการอะไรที่จะแนะนำแบบที่เป็นธรรมชาติบ้างไหมครับ...กรกรต/บางพลัด



ตอบ

เรื่องที่ผู้หญิงไม่มีน้ำหล่อลื่นเป็นเรื่องก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก บางรายก็เกิดจากการไม่มีอารมณ์ แต่หลายรายที่มีอารมณ์แต่น้ำหล่อลื่นไม่ค่อยออกมาก็มีส่วนหนึ่งเป็นเพราะฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายมีปริมาณที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้หญิงยุคนี้มักจะมีฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายไม่สมดุล

ถ้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการนอนหลับแต่หัวค่ำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารให้ถูกส่วน ก็จะมีสุขภาพที่สมบูรณ์

ทำให้ฮอร์โมนเป็นปกติและจะสามารถมีการผลิตน้ำหล่อลื่นออกมาได้มากขึ้น แต่การแนะนำดังกล่าวเชื่อว่าทำได้ยากมากในยุคสมัยนี้ที่ผู้หญิงทำงานหนัก พักผ่อนน้อย


วิธีการต่อมาก็คือผู้หญิงจะต้องฝึกการกระตุ้นตัวเองเป็นประจำด้วยการใช้น้ำมือคลึงกระตุ้นปุ่มคลิตอริสของเธอจนมีการผลิตน้ำหล่อลื่นออกมา ถ้าผู้หญิงทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนจะอาบน้ำหรือในช่วงที่ว่างๆ ก่อนจะนอน

โดยใช้จินตนาการพิศวาสไปด้วย ต่อมต่างๆ ที่มันมีหน้าที่ผลิตน้ำหล่อลื่นออกมาก็จะมีการออกเอ็กเซอร์ไซส์เป็นประจำ

พอถึงเวลาปฏิบัติการเซ็กซ์เซอร์ไซส์ ก็จะสามารถทำหน้าที่ได้ดีขึ้น มีน้ำหล่อลื่นมากขึ้น คุณช่วยได้โดยการใช้ปากทำออรัลให้เธอโดยการเน้นการกระตุ้นปุ่มคลิตอริสให้เนิ่นนานพอที่จะเกิดการหลั่งน้ำหล่อลื่นออกมา หรือจะใช้นิ้วมือช่วยกระตุ้นก็ได้เช่นกัน แล้วค่อยจัดการเผด็จศึกภายหลัง




penhouse ขอขอบคุณ นิตยสารเพนท์เฮ้าส์ ผู้สนับสนุนเนื้อหา




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2556   
Last Update : 26 ธันวาคม 2556 21:10:00 น.   
Counter : 1608 Pageviews.  

ตั้งชื่ออย่างไรไม่ให้มีอักษรกาลกีณี

การตั้งชื่อให้เกิดความเป็นมงคลถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของคนไทย ที่นิยมไม่ให้มีตัวอักษรกาลกีณีในชื่อของตน บางคนมีการหากำลังชื่อมีสูตรการคำนวณผลลัพธ์ออกมาแล้วไปหาคำทำนาย เพื่อดูความเป็นสิริมงคลตามความหมายของชื่อนั้นๆ ที่จะนำมาตั้ง

หากชาวสนุก!ดูดวงที่อยากเสริมดวงต้อนรับปีใหม่ 2557 ด้วยการเปลี่ยนชื่อสร้างสิริมงคลให้แก่ตนเอง ลองมาดูเรื่องของอักษรที่ใช้ในการตั้งชื่อเพื่อป้องกัน อักษรกาลกีณีกันดีกว่าค่ะ....สามารถเช็คได้จากด้านล่างนี้เลยค่ะ


ตั้งชื่องอย่างไรไม่ให้มีอักษรกาลกีณี


อักษรที่เป็นกาลกิณีตามวันเกิด

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันอาทิตย์ คือ ศ ษ ส ห ฬ ฮ

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันจันทร์ คือ อ สระทั้งหมด

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันอังคาร คือ ก ข ค ฆ ง

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันพุธกลางวัน คือ จ ฉ ช ซ ฌ ญ

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันพุธกลางคืน (ราหู) คือ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันพฤหัสบดี คือ ด ต ถ ท ธ น

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันศุกร์ คือ ย ร ล ว

อักษรที่เป็นกาลกิณีของคนที่เกิดวันเสาร์ คือ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ



ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2556   
Last Update : 26 ธันวาคม 2556 21:09:11 น.   
Counter : 1426 Pageviews.  

อนาคต 10 อย่างที่กำลังจะหายไป

เมื่อมีการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นก็ต้องมีส่วนที่ล้าสมัยและกำลังจะหายไป บทความชิ้นหนึ่งจากนิตยสาร The Futurist นักอนาคตศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รูปแบบการดำรงชีวิตที่อาจจะเปลี่ยนแปลงหรือหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเนื่องจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต นักอนาคตศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้อย่างไรบ้าง


อันดับที่ 1 ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม ภาษา และการศึกษา

สมาร์ทโฟนทำให้คนรุ่นใหม่ในปี ค.ศ. 2020 สามารถเข้าถึงข้อ้อมูลข่าวสารได้จากทั่วโลกอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการศึกษาที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาครูผู้สอน เยาวชนในยุคนั้นจะใช้ภาษาของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นหลัก เช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน และจะซึมซับวัตนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ความเหลื่อมล้ำต่างๆ หายไป แต่ในข้อดีก็มีข้อเสียปนอยู่ นั่นคือ ในปี 2030 ภาษาจำนวน 3 พัน ภาษาจากที่มีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบัน 6 พันภาษาจะหายสาบสูญไป รวมถึงคนรุ่นต่อๆ ไปอาจจะไม่มีความเข้าใจและความอดในความแตกต่างด้านวัฒนธรรม

อันดับที่ 2 ระบบการศึกษาในปัจจุบัน

เทคโนโลยีจะลบล้างระบบการศึกษาที่แบ่งกลุ่มนักเรียนตามอายุการเลื่อนระดับชั้นเรียนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล นักเรียนจะมีโอกาสในการค้นพบและเลือกสาขาความเชี่ยวชาญได้เร็วขึ้น (เช่นเดียวกับนักกรีฑาในปัจจุบัน ที่นักกรีฑาสามารถเลือกสาขากีฬาที่ตนชอบได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก) แม้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะฟังดูดี แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ บริษัทผู้นำด้านโทรคมนาคมบางแห่งอาจจะกลายเป็นผู้ควบคุมการศึกษาของคนในอนาคต เพราะพวกเขามีเครื่องมือสื่อสารทั้งหมดอยู่ในมือ

อันดับที่ 3 รูปแบบของสหภาพยุโรป

ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการค้าในประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปจะแตกต่างไป โดยข้อจำกัดต่างๆ จะถูกทำลายลงและจะมีการปกครองแบบรัฐบาลเดียว สหภาพยุโรปจะกลายเป็นสหรัฐยุโรป (United Europe)และพูดภาษาเดียวกัน

อันดับที่ 4 งาน

ในปี ค.ศ. 2030 งานกว่า 2 พันล้านตำแหน่งจะหายสาบสูญไป เทคโนโลยีที่เป็นปัจจัยสำคัญคือ เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ เทคโนโลยีการจัดแต่งพันธุกรรม และอื่นๆ อย่างไรก็ตามแม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำลายงานแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็สร้างงานรูปแบบใหม่ๆ ที่เราอาจจะคิดไม่ถึงขึ้นเช่นกัน

อันดับที่ 5 ร้านค้า

ห้างร้านต่างๆ ในปี 2030 จะไม่ใช่ห้างร้านในรูปแบบที่เรารู้จักอีกต่อไป ผู้บริโภคจะใช้อินเตอร์เน็ตในการศึกษาคุณสมบัติ ความสามารถ และราคาของสินค้า จากนั้นก็แวะไปที่ห้างร้านเพื่อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งจะมีเพียงหุ่นยนต์คอยให้บริการ และตอบคำถามพื้นฐานของผู้ที่สนใจ จากนั้นผู้บริโภคก็จะสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ เมื่อพวกเขากลับถึงบ้าน ก็จะพบกับสินค้าที่เพิ่งสั่งไว้ตั้งรออยู่ที่หน้าประตู

อันดับที่ 6 หมอ

ในปี 2030 เทคโนโลยีจะทำให้การตรวจวินิจฉัยโรคบางอย่างสามารถทำได้เองที่บ้านของคุณ สมาร์ทโฟนและเทคโนโลยี Cloud computing จะสามารถตรวจระดับน้ำตาลระดับออกซิเจน ระดับการเต้นของหัวใจ และอื่นๆ ได้ หุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่แพทย์ผ่าตัด แพทย์จะมีจำนวนน้อยลงและจะต้องเป็นแพทย์ที่มีความสามารถสูงเท่านั้น พวกเขาจะสามารถปฏิบัติงานได้จากทุกแห่งทั่วโลกผ่านระบบควบคุมทางไกล จะมีเพียงบุคคลสำคัญๆ หรือผู้ที่มีความสามารถทางการเงินสูงที่ได้รับสิทธิพิเศษในการรับการรักษาจากแพทย์จริงๆ

อันดับที่ 7 กระดาษ

นอกจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และเอกสารต่างๆ ที่พิมพ์ลงบนกระดาษจะหายไปแล้ว ธนบัตรก็จะหายไปด้วย ทุกอย่างจะอยู่ในรูปแบบดิจิตอล โรงพิมพ์จำนวนมากต้องปิดกิจการหนังสือที่เป็นรูปเล่มพิมพ์บนกระดาษแม้จะไม่หายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง แต่ที่จะพบได้จะเป็นหนังสือที่พิมพ์โดย Self-Publishing หรือการจัดพิมพ์ด้วยตนเอง

อันดับที่ 8 ประสบการณ์แบบดั้งเดิมของมนุษย์

ในอนาคตจะไม่มีคำว่า "ข้อมูลส่วนบุคคล" เพราะข้อมูลของเราทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวันเดือนปีเกิด ประวัติการศึกษาหมายเลขบัตรเครดิต ประวัติการรักษาพยาบาล จะถูกบันทึกและบุคคลอื่นๆ จะสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต่อไป เราจะขาด "การไตร่ตรอง" เพราะสมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีการสื่อสารอื่นๆ ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนั้น เทคโนโลยีในอนาคตจะสามารถตรวจรับการรับรู้ต่างๆ ของร่างกายเราได้ เช่น จังหวะการเต้นของหัวใจระหว่างการออกกำลังกาย และคอยให้คำแนะนำว่าเราควรจะหยุดหรือเร่งการออกกำลังกายเทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้เราไม่มีโอกาสที่จะครุ่นคิดและสื่อสารกับร่างกายของเรา "การรอคอย" จะกลายเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย เพราะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการฝาก-ถอนเงิน สั่งอาหารจองบัตรโดยสารต่างๆ สามารถทำได้ทันทีผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยียังสามารถบอกเราได้อีกว่า ขณะนี้ที่สนามบินมีผู้โดยสารมากน้อยแค่ไหนและเราควรมาถึงสนามบินเวลาใดเพื่อหลีกเลี่ยงการรอคอย นอกจากนั้นเราก็จะไม่ "หลงทาง" เพราะเทคโนโลยีจะคอยบอกตำแหน่งของเราและแนะนำเส้นทางได้อยู่ตลอดเวลา

อันดับที่ 9 สมาร์ทโฟน

เทคโนโลยีทุกวันนี้มีอายุสั้น สมาร์ทโฟนเองก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีล้าสมัยในอนาคตอันใกล้เช่นกัน เทคโนโลยีในยุคต่อไปจะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสวมใส่ได้ เช่นที่เราได้เห็นกันเมื่อไม่นานที่ผ่านมา คือ Google glasses ยิ่งไปกว่านั้นเราเตรียมบอกลาคีย์บอร์ดหรือเม้าส์ไปได้เลย นักอนาคตได้คาดการณ์ไว้ถึงเทคโนโลยีที่จะเป็นที่นิยมในอนาคต คือ Intelligent Web (2017 - 2020), Intelligent Interface และ Virtual Reality (2019 - 2023), Thought power และ AI หรือ Artificial Intelligence (2024 - 2031)

อันดับที่10 ความไม่ปลอดภัย

ต่อไปเราจะไม่มีอุบัติเหตุบนถนน เพราะยานพาหนะจะสามารถสื่อสารกันได้และหลีกเลี่ยงการปะทะกันได้การโจรกรรมจะสิ้นสุดลง เพราะของมีค่าทุกอย่างจะถูกติดตั้งเครื่องมือติดตามตัว ซึ่งจะมีขนาดเท่ากับอนุภาคเล็กๆที่สามารถใส่ไว้กับวัสดุใดก็ได้

ที่มา
สำนักงานที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน
//ostc.thaiembdc.org/13th/?p=1577




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2556   
Last Update : 24 ธันวาคม 2556 22:32:18 น.   
Counter : 1893 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  

ข่าวดี
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]










ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add ข่าวดี's blog to your web]